สอบอารมณ์ชาวบ้าน … อย่างฮา
31 ก.ค. 2010 ใส่ความเห็น
in บันทึก
ทำตามความเป็นจริงแล้วสบาย
31 ก.ค. 2010 ใส่ความเห็น
in บันทึก, หนังสือ, อุบายในการดูจิต
การเจริญสติ ยิ่งทำต่อเนื่อง ยิ่งนับวัน สภาวะจะมีแต่ความละเอียด จะคิด จะทำอะไร มันจะละเอียดมากขึ้น มองเห็นแต่เหตุและผล เลยไม่ไปทุกข์ร้อนใดๆกับสิ่งที่เกิดขึ้น เหตุมี ผลย่อมมี แล้วจะต้องไปหาอะไรนอกตัว หรือไปมองอะไรนอกตัวให้วุ่นวาย สู้รู้อยู่ตามความเป็นจริงจะดีกว่า
นับว่าหนังสือวิสุทธิมรรค หรือพระไตรปิฎกฉบับบย่อที่ได้มาจากท่านมหาสมปอง เราเรียกสมณศักดิ์ของพระอาจารย์ท่านไม่ถูก ท่านอยู่ที่คณะ ๒๕ วัดมหาธาตุ หนังสือเล่มนี้มีประโยชน์มากๆ ทั้งทางด้าน ปริยัติ ปฏิบัติและปฏิเวธ ต้องผ่านสภาวะต่างๆมาแล้ว เมื่อมาอ่านถึงจะเข้าใจ ถ้ายังไม่ผ่าน ก็คงได้แต่คาดเดาเอาเอง
เมื่อก่อนเรามีความอยากนะ ตอนที่เห็นตามความเป็นจริงใหม่ๆ
อยากพูด อยากเล่า อยากบอก อยากสอน อยากให้ทุกคนได้รู้ในสิ่งที่เรารู้
เดี๋ยวนี้ ตั้งแต่โดนสภาวะกระหนาบและถูกสอนโดยสภาวะ ความอยากเหล่านั้นไม่มี ไม่มีแล้วความอยากสอนใครๆแบบแต่ก่อน เพราะยิ่งสอนรู้สึกยิ่งเหนื่อย เหนื่อยใจมากๆกับกิเลสของคน
คนแต่ละคนที่มีแต่ความอยาก แต่เขาไม่เคยย้อนกลับไปมองตัวเองกัน ในสิ่งที่เขาคิดกัน มีแต่ส่งจิตออกนอก มีแต่คอยนำไปเปรียบเทียบ มีแต่การให้ค่า มีแต่ความอยาก อยาก แต่ไม่ยอมรับตามความเป็นจริงที่เป็นอยู่
หลายๆวันที่ผ่านมา โดนสภาวะมาสอนตลอด ทำให้เรายิ่งทำตามความเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้สภาวะเหมือนลอยตัว คือ ทำไปเรื่อยๆ ทำต่อเนื่อง ไม่สนใจเรื่องของเวลา ไม่ให้ค่ากับสิ่งที่เกิดขึ้น พูดตามความเป็นจริง เพื่อไม่ไปหยิบยื่นกิเลสให้แก่คนอื่นๆไปด้วยความไม่รู้อีก เลิกแล้วในการพูดแบบก่อนๆ พูดเรื่องญาณโน้นญาณนี้ ล้วนเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้นเลย
เมื่อคืน หลังจากที่หมูโทรฯมา เราก็เข้านอนเลย ง่วงมากๆ น่าจะสามทุ่มกว่าๆ ตื่นมาอีกที ใกล้ๆตี 3 ก็เลยลุกขึ้นอาบน้ำ แล้วขึ้นห้องพระทำกรรมฐาน ลงมาจากห้องพระตีสี่ครึ่ง ก็หุงข้าว ข้าวที่หุงเอาไว้หมดแล้ว คือจะหุงครั้งละ 5 ถ้วย แล้วตักใส่กล่องเก็บเข้าตู้เย็น เวลาจะกินก็นำมาเวฟ ใช้เวลา 3 นาที ข้าวจะร้อนมากๆ ช่วยประหยัดค่าไฟในการเสียบหม้อหุงข้าวระบบอุ่น ทำแบบนั้น ข้าวจะแข็งติดหม้อ
ข้าวที่หุงจะใช้ข้าวกล้องขาว 1 ถ้วย ข้าวสารธรรมดา 1 ถ้วย ข้าวกล้องแดง 1 ถ้วย นำไปแช่ไว้ก่อน พอจะหุง ก็จะใส่ข้าวหอมมะลิขาวลงไปอีกสองถ้วย ใส่น้ำห้าขีด มันจะมีขีดบอกที่หม้อ เท่านี้แหละ จะได้ข้าวที่อร่อย หอมนุ่ม มีวิตามิน
กับข้าว เดี๋ยวนี้กินง่าย อยู่ง่าย ซื้อแกงถุงที่หน้าบ้าน ถุงละ 20 บาท กินคนเดียวไม่หมดหรอก เขาให้เยอะมาก อาจจะเนื่องจากการเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กๆด้วย พ่อและแม่จะสอนให้กินข้าวเยอะมากกว่ากับ จำนวนพี่น้องเยอะ กินกับมาก จะไม่พอกิน พ่อเป็นเพียงข้าราชการพลเรือน แม่เป็นแม่บ้าน ลูกห้าคน รายจ่ายเลยค่อนข้างเยอะ อาศัยว่าพ่อทำงานรพ. เลยหอบแกงถุงกลับมาบ้านทุกวัน นี่เป็นอีกเหตุ ที่ทำให้เราไม่ชอบกินแกงกะทิ เพราะกับข้าวที่พ่อนำมาส่วนมาก ไม่พ้นแกงกะทิ
พอมีเยอะ ย่อมทำให้กินทิ้งกินขว้าง ไม่เสียดายอาหารที่เหลือ เราเองก็เช่นกัน ไม่มีความพอดีเลยเห็นไหม เวลามีน้อยก็ประหยัด พอมีมาก ก็กินทิ้งกินขว้าง นี่แหละหนา ความไม่รู้
ได้ความรู้จากรุ่นน้องในเรื่องการเก็บอาหาร
น้องคนนี้เป็นคนทางเหนือ เขาจะชอบบ่นทุกครั้งที่เราทิ้งอาหารที่เหลือ เขาบอกว่า เราสามารถเก็บใส่ถุงแล้วนำไปใส่ตู้เย็นไว้ได้ แล้วเวลาจะกินก็นำมาอุ่นในมื้อต่อๆไป เขาขอเราเก็บอาหารที่เหลือที่เราไม่เอาแล้ว เราบอกได้เลย ให้เขาเก็บได้ ตอนนั้นได้แต่มองๆเขานะว่าจะประหยัดไปถึงไหน
พอได้มาเจริญสติ เรื่องในอดีตมันผุดขึ้นมามากมาย ความผิดพลาด ความล้มเหลวในอดีต ความประมาทในการใช้ชีวิตในอดีต เรื่องราวต่างๆจะผุดขึ้นมา พาเราย้อนกลับไปหาเหตุการณ์เหล่านั้นอีกครั้ง
อย่างมื้อเช้าในวันนี้ เราได้กินข้าวแต่เช้า กับข้าวมี น้ำพริกกะปิกับผัก ผัดเผ็ดเครื่องในไก่ ต้มพะโล้ใส่หมู ( ไข่กินหมดไปแล้ว ) กับข้าวที่มีเยอะ เพราะเดี๋ยวนี้ เวลาเรากินกับเหลือ จะนำใส่กระปุก แล้วนำไปแช่แข็งไว้ จะกินข้าวเมื่อไหร่ ก็นำไปเวฟได้ทันที มื้อเช้าเมื้อนี้ กับข้าวจึงเยอะเพราะเหตุนี้แหละ
น้ำพริกกะปิ ไม่ได้ทำเองเหมือนเมื่อก่อน แต่จะแวะซื้อที่ตลาดนัด ถุงละ 10 บาท ให้เยอะมากๆ ก้นำใส่กระปุก เก็บเข้าตู้เย็นเหมือนกัน แล้วก็ยังมีอีกนะ น้ำพริกแห้งๆสารพัดน้ำพริก ที่น้องที่อยู่ด้วยกันซื้อมา เขากินไม่หมด เราก็นำมาคลุกๆผสมๆรวมกันใส่ไว้ในกระปุก นำเข้าตู้เย็นไว้ บางทีเขานำออกมากิน เขาถามว่าซื้อมาจากไหนอร่อยดี
เราก็บอกว่า ก็ที่กินเหลือๆน่ะแหละ พวกน้ำพริกตาแดง น้ำพริกกุ้งเสียบ น้ำพริกแมงดาสารพัดที่เขาซื้อๆมาน่ะแหละ มันเหลือๆอยู่ในถุง
เราก็นำมารวมๆ คลุกเคล้าให้มันเข้ากัน เก็บๆใส่กระปุกไว้ ก็เลยมีน้ำพริกไว้กินในมื้อต่อๆไป ที่บ้าน ในตู้เย็น เลยเต็มไปด้วยของกิน เพราะเหตุนี้แหละ
ก็โดนนะ กฏแห่งกรรม หรือ สิ่งที่เราเคยกระทำไว้ เมื่อก่อนเราเคยว่าน้องที่คอยเก็บอาหารจากที่เรากินเหลือ เราถามเขาว่าจะขี้เหนียวไปถึงไหน เงินเดือนเยอะแยะ ของค้างมันจะไปมีรสอร่อยเหมือนของใหม่ๆได้ยังไง
ตอนนี้โดนหมดเลยนะ มีคนเขาว่าเราขี้เหนียว ไม่ค่อยซื้ออะไรกิน คนแถวๆหมูบ้าน เราได้ยินมา แต่เฉยๆนะ เพราะเคยเจอมาแล้ว จึงทำให้เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดมา เขาเองไม่แตกต่างจากเราในสมัยก่อนหรอก เพราะความไม่รู้ เมื่อเขาไม่รู้ เขาจึงได้พูดเช่นนั้นกัน เขาเห็นวันๆ เราไม่เคยออกจากบ้านไปซื้ออะไรกัน อยู่แต่ในบ้าน ประตูปิดตลอด เราให้อภัยกับทุกๆคนที่มีส่วนร่วมในการว่ากล่าวกับเรามานะ ไม่ไปโกรธเคืองใดๆเลย นิดเดียวไม่มี นี่แหละผลของความไม่รู้
สบายเลยนะ นับวันยิ่งสบาย สบายทุกๆวัน ได้ปฏิบัติตามสะดวก กินอยู่สะดวก สบาย มีแบ่งปันให้กับคนอื่นๆ ให้โน่นบ้าง นี่บ้าง
เดี๋ยวนี้ ถึงได้ย้ำบ่อยๆว่า ทำตามความเป็นจริงแล้วแสนสบาย ง่วงก็ให้รู้ว่าง่วง เพลียก็ให้รู้ว่าเพลีย ขี้เกียจก็ให้รู้ว่าขี้เกียจ ฯลฯ เรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก ความคิดที่แปรเปลี่ยนตลอดเวลา จะไปเอาอะไรกับสภาวะ
ถ้าไปให้ค่า ต้องหาเหตุละว่าเกิดจากอะไร ทำไม รู้แล้วได้อะไรขึ้นมาล่ะ ที่รู้ก็เป็นเพียงกิเลส กิเลสที่เกิดจากการให้ค่า แต่ไม่ใช่ตามความเป็นจริง พอหลงให้ค่า การปรุงแต่งก็เกิดตามกิเลสที่ให้ค่า
เมื่อก่อนว่ามีความสุขแล้วนะกับสภาวะที่ผ่านมา
ตอนนี้ยิ่งมีความสุขขึ้นยิ่งกว่าเมื่อก่อนมากๆ เพราะทำตามความเป็นจริง
เมื่อยก็พัก เหนื่อยก็พัก ขี้เกียจก็ให้รู้ พักไป มีแค่นั้นแหละ ไม่ต้องไปฝืน
พักแล้ว ร่างกายสดชื่น ทีนี้สบายเลยปฏิบัติ เดินรู้เท้า นั่งรู้ลมหายใจ พอลมละเอียดจับลมไม่ได้ มารู้ที่รู้กายเคลื่อนไหวตามลมหายใจเข้าออก เช่นท้องพองยุบ ถ้าจับพองยุบไม่ได้ รู้ที่อกเคลื่อนไหวแทน
บางครั้งจิตเสพสมาธิสูง จับอะไรไม่ได้เลย ก็ให้รู้ที่กาย ส่วนไหนของกายก็ได้ รู้เป็นขณะๆไปแบบนั้น เวทนาเกิดก็รู้ ไม่ต้องไปหาเหตุผลว่าอะไร ทำไม เพราะล้วนแต่เป็นการให้ค่า ให้ความหมายต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่คิดแก้ไขใดๆ แม้กระทั่งนอนก็รู้ เวลาจะหลับก็รู้ตัวมากขึ้น
สภาวะทุกๆสภาวะภายในของทุกคน ไม่มีความแตกต่างกันเลย ที่แตกต่างคือ ตัว สติ สัมปชัญญะ ที่จะสามารถรู้อยู่ในปัจจุบันได้ คือรู้อยู่ในกายได้ตลอด รู้ได้มากหรือน้อย นี่คือความแตกต่าง
ส่วนสภาวะภายนอก หรือ เหตุที่เกิดขึ้นในชีวิตของแต่ละคนนั้น
ล้วนแตกต่างกันไป ตามเหตุที่แต่ละคนกระทำมา และเหตุใหม่ที่สร้างให้เกิดขึ้นอีก
วิธีการรับมือคือ ดูตามความเป็นจริง อย่าตอบโต้ใดๆทั้งสิ้น การตอบโต้ คือ การไปคิดแก้ไข
นั่นคือ การสร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้นอีกแล้ว ภพชาติย่อมยืดยาวออกไปเรื่อยๆ
หากแม้การกระทบนั้นๆ ส่งผลคือ ทำให้จิตกระเพื่อม
หากสติ สัมปชัญญะยังไม่มีกำลังมากพอ หรือยังไม่ทัน
ให้ใช้วิธีหายใจยาวๆ แล้วกำหนดรู้หนอลงไปทุกๆครั้งที่สติยังไม่ทัน ทำแบบนี้บ่อยๆ แล้วเมื่อวันใด กำลังของสติ สัมปชัญญะมากพอ การกำหนดจะหายไปเอง ต่อไปทุกๆการกระทบ จะกระทบแล้วเหลือแค่รู้มากขึ้น เหตุมี ผลย่อมมี เหตุไม่มี ผลย่อมไม่มี
พูดและทำตามสภาวะแล้วสบาย เหตุใหม่ย่อมไม่มี เหตุไม่มี ผลย่อมไม่มี ไม่ใช่พูดเพราะอยากสอน สอนแล้วมีแต่กิเลสเกิดขึ้นมากมาย ทำให้ตัวเองเหนื่อย เหนื่อยกับกิเลส เหนื่อยกับความทะยานอยากของคนอื่นๆที่เขายังไม่รู้ แล้วมีแต่ความอยากรู้
ความอยาก
27 ก.ค. 2010 ใส่ความเห็น
in หนังสือ
อิ่มบุญ อิ่มใจ
27 ก.ค. 2010 ใส่ความเห็น
in บันทึก
นั่งนานเกินคิด 10 นาที 20 บาท ( มื้อนี้หมูขอเลี้ยงเอง )

หลังจากนั้นหมูก็พาเดินทัวร์ ไปร้านสินค้าญี่ปุ่น เขาเขียนว่าทั้งร้านทุกอย่าง 60 บาทต่อหนึ่งรายการ
ซื้อใยสำหรับขัดตัวมาหนึ่งชิ้น ทำได้เก๋มากๆ ออกแบบเป็นผืนสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวๆ
กว้าง 12 ซม. ยาว 1 เมตร ทำจากใยบวบ มีหลายแบบ หลายขนาด ทั้งแบบแข็ง แบบกลางๆ
และ แบบนุ่ม มีเขียนบอกไว้ว่า ทำจากอะไรบ้าง จากถั่วเหลือง จากคาร์บอนก็มีนะ เข้าใจทำ
นำมาทอเป็นผืน ถูกนะถ้าเทียบกับจากที่ร้านอื่นๆ แม้แต่ที่ใส่สบู่ก็เข้าใจออกแบบ เป็นสองชั้น
ใช้ตัวดูดติดผนัง มีแต่ของโนเนะแบบญี่ปุ่น สินค้าทุกอย่างโลโก้จะเป็นของญี่ปุ่น
ไปชั้นบน ไม่ได้ดูว่าชั้นที่เท่าไหร่ จะมีเครื่องหนังขาย ซื้อไส้ปากกาของโปโล ( หมูให้มาเป็นของขวัญปีใหม่ )
แถวบ้านไม่มีขาย หาซื้อยากมาก 1 ไส้ ใช้ได้ 4 เดือน ราคาอันละ 115 บาท ซื้อมาสองไส้
หลังจากนั้นพาหมูไปร้านเทวิน พาไปซื้อรองเท้า ( หมูจ่ายเอง )
ก็เลยซื้อน้ำยาสำหรับรองเท้าหนังให้หมูไป 1 กระปุก
หมูฝากเสื้อมาให้กับช่างเสริมสวยและช่างทำเล็บ และมีของกินด้วย
ค่อนข้างพะรุงพะรังตอนกลับ
ขากลับนั่งรถไฟฟ้าบีทีเอสจากอนุเสาวรีย์ชัยฯมาลงที่อ่อนนุช ใช้เวลาเดินทาง 30 นาที
ถ้านั่งรถแอร์นะ อย่างต่ำสองชม. กว่าจะถึงสมุทรปราการ ถ้ารถติดล่ะก็อย่างต่ำ 3 ชม.
ใช้เวลาเดินทางทั้งหมดชม.ครึ่ง เรามองคน แล้วนั่งอมยิ้ม
การเดินทางในวันนี้ค่อนข้างมีความสุข ไม่ค่อยจะรู้สึกหงุดหงิดเหมือนเมื่อก่อน
มองรอบๆตัวด้วยความสุขใจมากขึ้น หน้าจะอมยิ้มตลอด ส่งยิ้มให้คนได้ง่าย
จนคนข้างๆต้องส่งยิ้มให้ ใครจะนึกจะคิดอย่างไร เราไม่รู้นะ แต่เรารู้สึกสงบสุขอยู่ในใจ
ทั้งๆที่เสียงในรถไฟฟ้า คนค่อนข้างคุยกันเสียงดังมาก บางคนก็โทรฯ บางคนเล่นเกมส์
สภาวะของเราเปลี่ยนไปอย่างได้ชัด มันจะรู้อยู่ในกายได้ชัดมากๆ
ถึงแม้ว่ารอบๆตัวของเรานั้นจะมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา สุขหรือทุกข์ อยู่ที่เราไปให้ค่าจริงๆ
นานๆจะออกจากบ้านสักที ก็ดีเหมือนกัน แต่ถ้าเลือกระหว่างอยู่บ้านกับออกไปข้างนอก
เราก็ยังเลือกที่จะอยู่บ้านมากกว่า มีความสุขมากๆเวลาที่ได้อยู่บ้าน
ไปทำงานก็มีความสุขกับการปฏิบัติ เพราะเวลาทำงานของเราหลักๆคือการปฏิบัติ
นับวันสภาวะละเอียดมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน ตอนนี้จับรายละเอียดสภาวะของสมาธิได้ชัดเจนมากขึ้น
เมื่อก่อน สภาวะสมาธิของเรามันก้าวกระโดด เนื่องจากของเก่าสะสมมาเยอะ ทำให้จับได้แต่สภาวะหยาบๆ
แยกสภาวะของฌานได้แบบหยาบๆ ตอนนี้แยกรายละเอียดสภาวะของฌาน ได้แบบละเอียดมากขึ้น
การเห็นแจ้ง
26 ก.ค. 2010 ใส่ความเห็น
in การถ่ายถอนอุปทาน, การเจริญสติ, การเห็นตามความเป็นจริง, บันทึก, หนังสือ
มิจฉาทิฏฐิ คือ ผู้ที่ยังไม่เห็นตามความเป็นจริง และ การชอบกล่าวเพ่งโทษนอกตัวเนืองๆ
การที่ผู้ใดที่จะเชื่อใครนั้น ล้วนเกิดจากเหตุที่เคยสร้างร่วมกันมา ทุกชีวิตที่เป็นไปต่างๆนาๆ ล้วนเกิดจากเหตุที่ตนเองกระทำมาทั้งสิ้น ไม่มีใครที่จะสามารถช่วยให้ใครเห็นตามความเป็นจริงได้ ทุกอย่างล้วนมีเหตุและผล ไม่งั้นสมัยพุทธกาล คนที่เกิดมาพร้อมร่วมสมัยพระพุทธเจ้าและได้พบกับพระพุทธองค์ มรรคมีองค์ ๘ หากมีมีการแสดงถึงมิจฉาทิฏฐิในข้อใดข้อหนึ่ง เมื่อยังไม่เห็นตามความเป็นจริง จึงมองทุกอย่าง และให้ค่าทุกๆอย่าง |
ต้นเหตุแห่งทุกข์
24 ก.ค. 2010 ใส่ความเห็น
in ความทุกข์, ความทุกข์และสภาวะ, หนังสือ
ความก้าวหน้าในการปฏิบัติ ดูตรงไหน?
23 ก.ค. 2010 2 ความเห็น
in หนังสือ, อุบายในการดูจิต, แนวทางการปฏิบัติ
สมาธิคุมจิต,สติ สัมปชัญญะตัดภพชาติ
22 ก.ค. 2010 ใส่ความเห็น
in การเจริญสติ, การเห็นตามความเป็นจริง, ขอบคุณความผิดพลาด, บันทึก
ถูกทดสอบ ” สุขไม่มีประมาณ “
22 ก.ค. 2010 ใส่ความเห็น
in สุขยิ่งนัก, สุขและสภาวะ, หนังสือ
ขุดกิเลส
21 ก.ค. 2010 2 ความเห็น
in บันทึก