ใครผิด?

หลายๆเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิต เมื่อก่อนเรามักจะชอบถามตัวเองด้วยคำถามเดิมๆบ่อยๆว่า ” เราผิดด้วยหรือ? ” เพราะส่วนมากเรามักจะถูกอีกฝ่ายต่อว่าทำนองว่าเราทำผิดต่อคนอื่นๆ จนมองดูเหมือนกับว่าชีวิตของเรานั้นมักจะพบแต่ความผิดพลาดมากกว่าที่จะประสพกับความสำเร็จไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องของชีวิต

เดี๋ยวนี้เราเลิกถามตัวเองแล้วว่า ” เราผิดด้วยหรือ? ” เพราะได้คำตอบที่ชัดเจนแล้วว่า เพราะความไม่รู้ เพราะไม่ได้ดั่งใจที่คนอื่นต้องการให้เราเป็นแบบที่เขาต้องการ เราจึงต้องเป็นคนผิดในสายตาของคนอื่นๆตลอดเวลา แม้ทุกวันนี้ ก็ยังมีคนกล่าวหาเราว่าเรานั้นผิด ยังคงมีอยู่

ทุกวันนี้การเดินทางของเรา เหมือนเดินทางแบบโดดเดี่ยว มีเพื่อนก็เหมือนไม่มี เพราะมีบ่อยครั้งยามที่เราอยู่คนเดียว เราสัมผัสถึงความรู้สึกโดดเดี่ยวที่เกิดขึ้น เราเหมือนอยู่ตัวคนเดียว ต่อให้มีเสียงอึกทึกครึกโครมมากแค่ไหน เราก็รู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีใครเลย มีบ่อยครั้งที่เราชอบรู้อยู่ในกายนานๆ นั่งดูการทำงานของกาย พอรู้สึกเบื่อก็เปลี่ยนอิริยาบทหางานอื่นๆให้จิตมีงานทำ พยายามไม่ปล่อยให้จิตว่างงาน เพราะพอว่างงาน กิเลสมักจะเข้าแทรกแซงทุกที

งานที่เราชอบให้จิตรู้อยู่ในงานนั้นๆมากที่สุดคือ การยืนเย็บผ้า สลับกับการเดินจงกรม ชอบมากเลยนะ เพราะทำให้จิตจดจ่อรู้อยู่ในงานนั้นๆในดี ความคิดไม่ค่อยเกิด บางครั้งเกิดก็มีแต่ความคิดพิจรณาทบทวนสภาวะต่างๆที่ผ่านมา บางทีเดินสลับกับยืนทำงานแบบนี้เป็นเวลาถึงสี่ชั่วโมงก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกเมื่อยแต่อย่างใด มีแต่เป็นเหตุให้สมาธิเกิดอย่างต่อเนื่อง เมื่อกำหนดนั่งต่อ สมาธิที่เกิดขึ้นแนบแน่นดี รู้ชัดในกายได้ดี รู้ถึงการเคลื่อนไหวต่างๆในกาย จิตจะรู้อยู่แบบนั้นได้อย่างต่อเนื่อง สภาวะที่เกิดขึ้น มักจะเป็นการตอกย้ำถึงความไม่เที่ยงเนืองๆ ทำให้เกิดการให้ค่าต่อสภาวะต่างๆที่เกิดขึ้นลดน้อยลงไปเรื่อยๆ เรียกว่าอยู่กับปัจจุบันได้ทันมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน

นับวันจิตตั้งมั่นได้ง่ายมากขึ้นเรื่อยๆ รู้ชัดในกายเนืองๆ เมื่อกี้ขณะที่นั่งอ่านคนมาส่งสภาวะให้อ่าน ขณะที่อ่านสิ่งที่เขาโพสๆมา จิตเป็นสมาธิอย่างต่อเนื่องรู้ชัดในกายได้ดี เห็นการเคลื่อนไหวของกายได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจะรู้ชัดตรงลิ้นปี่ได้ชัดมากๆ

เดี๋ยวนี้สมาธิมีกำลังมากขึ้นเรื่อยๆ สภาวะทิสากาเกิดขึ้นบ่อยกว่าเมื่อก่อน ไม่มีความยินดีอะไรๆต่อสภาวะที่เกิดขึ้น เริ่มเคยชินต่อสภาวะเลยไม่ไปรู้สึกยินดีอะไร เพราะเป็นเรื่องปกติของสมาธิที่มีกำลังแรงมากๆ สภาวะนี้เขาจะเกิดของเขาเอง ยังหรอก สมาธิแค่นี้ยังไม่พอ ต้องมีมากกว่านี้ ถึงจะเป็นพลังที่ขับเคลื่อนไปได้ดีกว่านี้ แต่ก็ไม่ได้ไปรู้สึกคาดหวังใดๆกับสภาวะ

ตอนนี้ใครพูดอะไรมา นั่นคือเหตุของคนๆนั้น ตราบใดที่ยังไม่รู้ชัดในรูป,นามกัน ตราบนั้น ย่อมมีการให้ค่าต่อสิ่งที่มากระทบ เรื่องปกตินะ เหตุมี ผลย่อมมี เหตุไม่มีผลก็ย่อมไม่มี ก็ยังมีอยู่นะที่จิตมีการกระเพื่อมต่อสิ่งที่มากระทบ แต่ก็แค่รู้ได้ไวมากขึ้น บางครั้งแค่การให้ค่าของคนอื่นๆก็มีผลกระทบต่อจิตของเรานะ ก็เราเองยังมีกิเลสอยู่นี่ เรื่องธรรมดาๆมากๆที่เราเองก็ยังรู้สึกอยู่บ้าง แต่สติมันทันมากขึ้น เลยไม่ไปรู้สึกทุกข์หรือสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเหตุให้ทุกข์ใจแต่อย่างใด

บางสภาวะก็ทำให้เรารู้สึกตื้อๆขมๆอยู่ในลำคอแบบบอกไม่ถูก สภาวะของใจหรือจิตนี่ช่างยากจะที่จะบรรยายออกมาได้หมดจริงๆ เราเองยังอ่านตัวเองไม่ออกอีกหลายๆสภาวะ บางครั้งบางสภาวะเกิดขึ้นที่มีผลทำให้จิตกระเพื่อม เรานั่งดู บางครั้งถามตัวเองว่า ทำไมยังคงรู้สึกแบบนี้ สุดท้ายคำตอบก็คือมันก็แค่สภาวะ เหตุมี ผลย่อมมี สภาวะมาทดสอบเราตลอดเวลา ก็ยังคงมีผลอยู่นะสภาวะนี้ถึงแม้ว่าตอนนี้ไม่เกิดถี่เหมือนเมื่อก่อนก็ตาม แต่ก็เกิดไม่นาน อาการที่จิตกระเพื่อมก็น้อยลงไปเอง มีแต่เหตุทั้งนั้นเลยนะ เหตุที่ทำไปด้วยความไม่รู้

http://music.siamza.com/music.php?k=64K&id=203

สภาวะแต่ละสภาวะ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ก่อให้เกิดความทุกข์แต่อย่างใด แต่บางสภาวะเวลาที่เกิดขึ้นก็ทำให้รู้สึกตื้อๆขมๆในคอทุกๆครั้ง ไม่ใช่แค่สภาวะนี้สภาวะเดียว ยังมีอีกหลายๆสภาวะที่ทำให้เรารู้สึกเช่นนี้ บางทีเราเองก็งงนะ ทำไมความรู้สึกเดียวกัน ทั้งๆที่สภาวะเกิดขึ้นนั้นเป็นคนละคนกัน แต่ถึงแม้จะเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นในคนละคนก็ตาม ที่เหมือนๆในสภาวะนี้คือ การจากลา ไม่ว่าจะจากลาแบบไหนๆก็ตาม ไม่ว่ากับใครก็ตาม เวลาสภาวะนี้เกิดขึ้น จะทำให้เรารู้สึกตื้อๆขมๆในคอทุกๆครั้ง เมื่อกี้ก็เกิดตอนที่น้องเขามาส่งสภาวะ มันไปนึกถึงวันที่ต้องจากกัน ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม …..

สังเกตุหลายครั้งแล้ว เวลาที่จิตเราว่างจากงาน เราจะชอบแว่บระลึกถึงเรื่องการจากลาทุกครั้ง มันเป็นเอง เหมือนสภาวะมันคอยตอกย้ำให้เราเคยชินเรื่องการจากกัน ให้เราฝึกที่จะปล่อยวางในการเกาะเกี่ยวสิ่งต่างๆ เพราะยังไงสักวันต้องจากกันอยู่ดี ไม่ว่าจะจากกันด้วยเหตุอันใดก็ตาม

เราจึงควรที่จะใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้อย่างคุ้มค่า ควรบอกลากัน ให้อภัยซึ่งกันและกันไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม เพราะความไม่รู้ตัวเดียว ภพชาติจึงยืดยาวออกไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ยังมีเหตุ ตราบนั้นผลที่ได้รับย่อมมีแน่นอน เราจึงมาปฏิบัติเพื่อดับที่เหตุ คือ ตัวตนที่มีอยู่ของเรานี่แหละ

ธันวาคม 2010
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031  

คลังเก็บ