ว่าด้วยหลุดพ้นโดยส่วนสอง และที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง
มีพระธรรมตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้
กามเหสสูตรที่ ๓
[๒๔๙] อุ. ดูกรอาวุโส พระผู้มีพระภาคตรัสว่า บุคคลหลุดพ้นโดยส่วนสองๆ ดังนี้
ดูกรอาวุโส โดยปริยายเพียงเท่าไรหนอแล พระผู้มีพระภาคตรัสบุคคลหลุดพ้นโดยส่วนสอง ฯ
อา. ดูกรอาวุโส ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน
อายตนะนั้นมีอยู่ด้วยอาการใดๆ เธอย่อมถูกต้องอายตนะนั้นด้วยกายด้วยอาการนั้นๆ และย่อมทราบชัดด้วยปัญญา
ดูกรอาวุโส โดยปริยายแม้เพียงเท่านี้แล พระผู้มีพระภาคตรัสบุคคลหลุดพ้นโดยส่วนสอง ฯลฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุ เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ
อาสวะทั้งหลายของเธอย่อมสิ้นไปเพราะเห็นด้วยปัญญา อายตนะนั้นมีอยู่ด้วยอาการใดๆ
เธอย่อมถูกต้องอายตนะนั้นด้วยกายด้วยอาการนั้นๆ และย่อมทราบชัดด้วยปัญญา
ดูกรอาวุโส โดยนิปปริยายแม้เพียงเท่านี้แล พระผู้มีพระภาคตรัสบุคคลหลุดพ้นโดยส่วนสอง ฯ
–
๕. อนุคคหสูตร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิ อันองค์ ๕ อนุเคราะห์แล้ว
ย่อมเป็นธรรมมีเจโตวิมุติเป็นผล มีเจโตวิมุติเป็นผลานิสงส
และเป็นธรรมมีปัญญาวิมุติเป็นผล มีปัญญาวิมุติเป็นผลานิสงส์
องค์ ๕ เป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในธรรมวินัยนี้ สัมมาทิฐิ
อันศีลอนุเคราะห์แล้ว
อันสุตะอนุเคราะห์แล้ว
อันการสนทนาธรรมอนุเคราะห์แล้ว
อันสมถะอนุเคราะห์แล้ว
อันวิปัสสนาอนุเคราะห์แล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิอันองค์ ๕ เหล่านี้แล อนุเคราะห์แล้ว
ย่อมมีเจโตวิมุติเป็นผล มีเจโตวิมุติเป็นผลานิสงส์
และมีปัญญาวิมุตติเป็นผล มีปัญญาวิมุติเป็นผลานิสงส์ ฯ
.
คำว่า อันสมถะอนุเคราะห์แล้ว
ตัวสภาวะที่มีเกิดขึ้น หรือลักษณะอาการที่มีเกิดขึ้น ได้แก่
ปฏิปทาวรรคที่ ๒
ภิกษุย่อมเจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป
เมื่อเธอเจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป มรรคย่อมเกิด
เธอย่อมเสพ เจริญ กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
เมื่อเธอเสพ เจริญ กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
ย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้ อนุสัยย่อมสิ้นสุด ฯ
.
คำว่า เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้า
ได้แก่ สมถะเกิดก่อน วิปัสสนาเกิดทีหลัง
ขณะทำกรรมฐาน ตัวสภาวะหมายถึง มีการใช้คำบริกรรม
เช่น พุทโธ พองหนอ ยุบหนอ การนับเป็นจังหวะ กสิณ ฯลฯ
เรียกว่า มีบัญญัติเป็นอารมณ์
จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ซึ่งสามารถมีเกิดขึ้นทั้งมิจฉาสมาธิและสัมมาสมาธิ
ในที่นี้หมายเอาเฉพาะสัมมาสมาธิ
สภาวะที่มีเกิดขึ้น ขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ เรียกว่า กายสักขี
คือ ขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ มีกายเป็นสักขี
ซึ่งเกิดจากสติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม
ส่วนจะทำให้รู้ชัดความเกิด ความดับในรูปฌาน อรูปฌาน นิโรธ ขึ้นอยู่กับกำลังสติ
ต้องอาศัยการเดินจงกรม แล้วต่อด้วยนั่ง
กำลังสติที่เกิดจากการเดินจงกรม เป็นการสะสม
ซึ่งเคยเขียนไว้ว่า การเดิน ๖ ระยะ กำลังสติที่มีเกิดขึ้น จะมีกำลังมากขึ้นมากว่าสักแต่เดิน เพียงแต่เหตุปัจจัยของแต่ละคนสร้างมาไม่เหมือนกัน
เป็นที่มาของคำว่า ประกอบด้วยปัญญาเป็นเหตุให้ถึง (เห็น) ความเกิดและความดับ เป็นอริยะ เป็นไปเพื่อชำแรกกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ
ได้แก่ รู้ชัดความเกิด ความดับในผัสสะ ที่มีเกิดขึ้นขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ(สัมมาสมาธิ)
เห็นความเกิด ความดับในรูปฌาน อรูปฌาน นิโรธ
.
“เธอย่อมเสพ เจริญ กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
เมื่อเธอเสพ เจริญ กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
ย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้ อนุสัยย่อมสิ้นสุด”
คำว่า ย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้
หมายถึง ตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้เรื่องสังโยชน์สูตร
คำว่า อนุสัยย่อมสิ้นสุด
ได้แก่ เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม คืออินทรีย์ ๕ พร้อม สภาวะจิตดวงสุดท้าย(วิมุตติ) จึงมีเกิดขึ้น โดยไม่ต้องตั้งใจว่าจะให้มีเกิดขึ้น
ละตัณหา คือ ละความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕
จะรู้ชัดด้วยตนเอง ขณะเกิดสภาวะจิตดวงสุดท้ายที่มีเกิดขึ้น
สภาวะตรงนี้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสเรียกว่า สุขาปฏิปาทา
จะเกิดขึ้นเร็วหรือจะเกิดช้า ขึ้นอยู่กับอินทรีย์ ๕
คือมีเกิดขึ้น ขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ
มาในรูปแบบของนิมิตที่เสมือนจริง คือเหมือนมีเกิดขึ้นในชีวิต ทั้งที่นั่งอยู่
เรียกว่า สังขารนิมิต
เป็นสภาวะที่มีเกิดขึ้นก่อนที่จะเกิดสภาวะโคตรภู(ถูกดูด)
จะมีเกิดขึ้นครั้งแรกในก่อนจะได้โสดาปัตติผล ครั้งเดียวเท่านั้น
ถ้าจะให้รู้ชัดความเกิด ความดับในวิโมกข์ ๘
ต้องเดินจงกรม ต่อนั่ง จะสามารถทำให้วิโมกข์ ๘ สามารถมีเกิดขึ้นได้
แต่จะรู้ได้ว่าเข้าถึงวิโมกข์ ๘
ต้องดูความเกิด ความดับขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิเป็นหลัก
ถ้าจะให้รู้ชัดความเกิด ความดับในวิโมกข์ ๘
ต้องเดินจงกรม ต่อนั่ง จะสามารถทำให้วิโมกข์ ๘ สามารถมีเกิดขึ้นได้
แต่จะรู้ได้ว่าเข้าถึงวิโมกข์ ๘
ต้องดูความเกิด ความดับขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิเป็นหลัก
มีหลายๆคนเข้าใจความผิด คิดว่าต้องตั้งอธิษฐานว่า จะขอให้ความดับกี่เท่าไหร่ ก็อธิษฐาน แล้วนั่งอย่างเดียว
มันไม่ใช่แบบนั้นนะ ต้องเดินจงกรมก่อน แล้วนั่ง มันเกี่ยวกับอินทรีย์ ๕
การเดินจงกรม ๖ ระยะ จะทำให้กำลังสติมีมากขึ้นกว่าสักแต่ว่าเดิน ประมาณว่าเดินให้ครบเวลาแล้วนั่ง
บางคนสงสัยว่า หากเดินจงกรม ๖ ระยะ จิตก็ติดคำบัญญัติ นี้เกิดจากความคิดผิด
ต้องแยกสภาวะให้ออกจากกัน
การเดินจงกรม ก็ตัวสภาวะของเดินจงกรม
การเดิน ๖ ระยะ ทำให้รู้ชัดความเกิด ความดับ ทุกย่างก้าวขณะกำลังเดิน
หากทำได้ กำลังสติมีมากกว่าสักแต่ว่าเดิน
พอมานั่ง จิตจะตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ง่าย
ส่วนการนั่ง สภาวะที่มีเกิดขึ้นก็ตัวสภาวะขณะกำลังนั่งอยู่
คนละตัวสภาวะกัน อย่าเอาไปรวมกัน
ก่อนที่จะรู้ชัดความหลุดพ้นสองส่วน
ต้องรู้ชัดสภาวะนี้ก่อน คือ
ตัวสภาวะที่มีเกิดขึ้น หรือลักษณะอาการที่มีเกิดขึ้น
ได้แก่ สมถะ(สัมมาสมาธิ)
กามเหสสูตรที่ ๑
[๒๔๗] อุ. ดูกรอาวุโส พระผู้มีพระภาคตรัสว่า กายสักขีๆ ดังนี้
โดยปริยายเพียงเท่าไรหนอแล พระผู้มีพระภาคจึงตรัสกายสักขี ฯ
อา. ดูกรอาวุโส ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน
และอายตนะนั้นมีอยู่ด้วยอาการใดๆ เธอย่อมถูกต้องอายตนะนั้นด้วยกายด้วยอาการนั้นๆ
ดูกรอาวุโส โดยปริยายแม้เพียงเท่านี้แล พระผู้มีพระภาคตรัสกายสักขี ฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุ … บรรลุทุติยฌาน … ตติยฌาน … จตุตถฌาน …
และอายตนะนั้นมีอยู่ด้วยอาการใดๆ เธอย่อมถูกต้องอายตนะนั้นด้วยกายด้วยอาการนั้นๆ
ดูกรอาวุโส โดยปริยายแม้เพียงเท่านี้แล พระผู้มีพระภาคตรัสกายสักขี ฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุ … บรรลุอากาสานัญจายตนะ …
และอายตนะนั้นมีอยู่ด้วยอาการใดๆ เธอย่อมถูกต้องอายตนะนั้นด้วยกายด้วยอาการนั้นๆ
ดูกรอาวุโสโดยปริยายแม้เพียงเท่านี้แล พระผู้มีพระภาคตรัสกายสักขี ฯลฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุ … เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง
บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ และอาสวะทั้งหลายของเธอย่อมสิ้นไป เพราะเห็นด้วยปัญญา
และอายตนะนั้นมีอยู่ด้วยอาการใดๆ เธอย่อมถูกต้องอายตนะนั้นด้วยกายด้วยอาการนั้นๆ
ดูกรอาวุโส โดยนิปปริยายแม้เพียงเท่านี้แลพระผู้มีพระภาคตรัสกายสักขี ฯ
๔. รถวินีตสูตร
ภิกษุชาวชาติภูมิยกย่องพระปุณณมันตานีบุตร
สีลวิสุทธิ เป็นประโยชน์แก่จิตตวิสุทธิ
จิตตวิสุทธิ เป็นประโยชน์แก่ทิฏฐิวิสุทธิ
ทิฏฐิวิสุทธิ เป็นประโยชน์แก่กังขาวิตรณวิสุทธิ
กังขาวิตรณวิสุทธิ เป็นประโยชน์แก่มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ
มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ เป็นประโยชน์แก่ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ
ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ เป็นประโยชน์แก่ญาณทัสสนวิสุทธิ
ญาณทัสสนวิสุทธิ เป็นประโยชน์แก่อนุปาทาปรินิพพาน
คำว่า มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ
ตัวสภาวะที่มีเกิดขึ้น หรือลักษณะอาการที่มีเกิดขึ้น
ได้แก่ สมถะ(สัมมาสมาธิ)
ญาณ ๑๖ ได้แก่ ภังคญาณ
ตัวสภาวะ ได้แก่ อารมณ์ที่เป็นบัญญัติถูกเพิกถอนจนหายไปหมด
คือ จิตละทิ้งคำบริกรรม(บัญญัติ) มีรูปนามเป็นอารมณ์
จากนั้นเห็นความเกิด ความดับรูปนามในรูปฌาน อรูปฌาน นิโรธ
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกำลังสติที่มีอยู่ และขึ้นอยู่กับกำลังสมาธิที่มีอยู่
เช่น บางคนได้รูปฌาน จะรู้ชัดความเกิด ความดับในรูปฌาน
จะไม่สามารถความเกิด ความดับในอรูปฌาน
ขึ้นอยู่วิริยะ(การทำความเพียร) ให้เดินจงกรม ต่อนั่ง อย่านั่งเพียงอย่างเดียว
ส่วนตรงนี้เป็นสัทธรรมปฏิรูป ก็ไม่รู้ว่ามีเกิดขึ้นในสมัยไหน
มันยิ่งกว่า วิสุทธิมรรคและวิมุตติมรรค ญาณ ๑๖
คือมาเปลี่ยนตัวสภาวะให้เป็นตามความรู้ความเห็นของตน(คนแปล) ดูจากการตีความตัวสภาวะ(@เชิงอรรถ)
ซึ่งไม่ใช่สภาวะหลุดพ้นโดยส่วนสอง ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้
๔. อุภโตภาควิมุตตสูตร
ว่าด้วยบุคคลผู้เป็นอุภโตภาควิมุต
[๔๕] ท่านพระอุทายีถามว่า “ผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกบุคคลว่า‘อุภโตภาควิมุต อุภโตภาควิมุต’
“ผู้มีอายุ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ พระผู้มีพระภาคจึงตรัสเรียกบุคคลว่า ‘อุภโตภาควิมุต”๑-
ท่านพระอานนท์ตอบว่า “ผู้มีอายุ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ
และอายตนะคือปฐมฌานนั้นมีอยู่โดยประการใดๆ เธอสัมผัสอายตนะคือปฐมฌานนั้นด้วยกายโดยประการนั้นๆ อยู่ และเธอรู้ชัดอายตนะคือปฐมฌานนั้นด้วยปัญญา
ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ พระผู้มีพระภาคจึงตรัสเรียกบุคคลว่า‘อุภโตภาควิมุต’ โดยปริยายแล้ว ฯลฯ๒-
ภิกษุล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่
อาสวะทั้งหลายของเธอหมดสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา อายตนะ
@เชิงอรรถ :
@๑ ดูเชิงอรรถที่ ๒ ข้อ ๑๔ (ปุคคลสูตร) หน้า ๒๐ ในเล่มนี้
@๒ ดูความเต็มเทียบกับข้อ ๔๓ (กายสักขีสูตร) ในวรรคเดียวกันนี้
{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๓ หน้า : ๕๓๘}
คือสัญญาเวทยิตนิโรธนั้นมีอยู่โดยประการใดๆ
เธอสัมผัสอายตนะคือสัญญาเวทยิตนิโรธนั้นด้วยกายโดยประการนั้นๆ อยู่ และเธอรู้ชัดอายตนะคือสัญญาเวทยิตนิโรธนั้นด้วยปัญญา
ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ พระผู้มีพระภาคจึงตรัสเรียกบุคคลว่า ‘อุภโตภาควิมุต’ โดยนิปปริยายแล้ว”