การทำความเพียร พศ.2550

บันทึกปี 49 ไม่รู้ทำไมถึงไม่มีการลงบันทึกไว้
โผล่มาอีกที มีเวิดเพรส เริ่มเดือนกย. ปี 50

.

เริ่มรู้บัญญัติ คำเรียกต่างๆ เรื่องปกตินะ
เริ่มมีการใช้คำเรียกต่างๆ ก็อ่านไปเรื่อยๆก่อนนะ
จะถึงบางอ้อทีหลังเอง บัญญัติกับอุปกิเลส เป็นของคู่กัน

การจดบันทึก จึงเริ่มมีรายละเอียดต่างๆมากขึ้น

การทำความเพียร และ สภาวะในอดีต กันยายน 2550

 

 

 

4 มกราคม 2550

วันนี้เดิน1ช.ม. นั่ง1ช.ม. วันนี้เมื่อขณะที่เกิดเวทนา เรามีสติชัดเจนมากๆ กำหนดได้อย่างต่อเนื่อง

แล้วจู่ๆก็เห็นจิตมันแยกออกจากาย แยกออกมาเป็นคนละส่วนกัน

เห็นและเข้าใจเลยว่า นี่คือรูปนาม และมันก็เป็นเรื่องแปลก ที่เราเข้าใจในสมมุติได้ทันที

ขณะที่เกิดเวทนา เห็นตั้งแต่เกิดว่าเกิดตรงไหน ไปที่ตรงไหน ปวดอย่างไรบ้าง แต่เราไม่ไปรู้สึกกับอาการปวด

เพียงแต่เป็นฝ่ายเฝ้าดูอยู่อย่างเดียว ตอนนั้นไม่มีการกำหนดใดๆทั้งสิ้น

ปฏิบัติเสร็จเรานั่งทบทวนถึงสิ่งที่เราปฏิบัติในเวลานี้ รูปนาม แบบที่เราท่องๆมานั้น เราเองยังไม่เข้าใจเลย ยังแยกไม่ถูก

แต่พอปฏิบัติได้ มันเข้าใจชัดเจนเลย จากที่ไม่เข้าใจรูปนาม กลับเข้าใจได้อย่างชัดเจน และพูดเรื่องรูปนามได้

สมมุติก็เหมือนกัน เมื่อก่อนก็เข้าใจแบบปากท่องๆ แต่ก็ยังมีการค้างคาใจเมื่อใครมาพูดอะไรที่ไม่ถูก ( แบบเราคิดเอง )

แต่พอมาเข้าใจสมมุติ มันดับเลยความคิดนั้น เขารู้ก็รู้ของเขา เรารู้ก็รู้ของเรา รู้แตกต่างกันเป็นเรื่องธรรมดา

13 สิงหาคม

เริ่มเพิ่มการเดินเป็นระยะ3 มีสติดีมากๆ สติต่อเนื่อง เดินช้าๆ ยังมีการกำหนดตลอด ตัวไม่เบา ไม่หนัก ต้องกำหนดต้นจิต

กับหยุดหนอด้วย เดินแล้วกำหนดนั่ง เวทนาเยอะมากๆ กำหนดไม่ได้

14 สิงหาคม

ปฏิบัติ2ช.ม.เหมือนเดิม

วันนี้ได้อ่านหนังสือของอ.จ.สุทัสสา เรื่องของแม่ยุพินศิษญ์หลวงพ่อจรัญ ที่เป้นมะเร็งจะต้องตาย ( หมดทางรักษาแล้ว )

หลวงพ่อได้ให้ไปปฏิบัติที่วัด อยู่ที่วัดเลย มีความเพียรมากๆ ไม่มีการนอนเลย ปฏิบัติอยู่ 3เดือน มะเร็งหาย

อ่านแล้วเกิดกำลังใจในการปฏิบัติมากๆ

18 สิงหาคม

ไปเรียนนักธรรมตรีที่วัดนอก กว่าเราจะตัดสินใจเรียนนี่คิดอยู่นาน คุณนุได้พูดถึง ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธให้ฟัง
และเรื่องอนุนิสัยในชาติต่อๆไป แล้วเราก็รำลึกถึงคำพูดของหลวงพ่อพุธที่ท่านบอกว่าเราปฏิบัติไปได้เร็ว
เพราะ เราสำเร็จกสิณมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว นี่เป็นตัวอย่างในเรื่องอนุนิสัยในชาติก่อนๆ เราเลยตัดสินใจเรียนนักธรรม

21 สิงหาคม

วันนี้สติดีมาก เห็นเวทนาได้ตลอด โดยไม่ไปรู้สึกกับอาการปวด เราลองขยับขา ขยับกาย เพราะอยากรู้ว่าเมื่อขยับจะปวดไหม
ไม่มีอาการตอบสนองใดๆทั้งสิ้น

22 สิงหาคม

แปลกๆ วันนี้นั่งแล้วเบื่อๆยังไงก็ไม่รู้ ทั้งที่ปฏิบัติเหมือนเดิมทุกวัน เป้นมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ถึงจะเห็นเวทนา แต่มันเหมือนเบื่อ
วันนี้เวทนาก็มีปกติ แต่มันปวดจนน่ารำคาญ กำหนดไม่ทัน

23 สิงหาคม

เห็นเวทนา เกิด-ดับ อย่างต่อเนื่อง เป็นสมาธิตลอด สติดี เดินกำหนดได้ดี ยืนกำหนดได้ดี ฟุ้งซ่านมีบ้าง กำหนดทัน

สงสัยเราจะถูกกับอากาศช่วงเช้า ปฏิบัติต่อเนื่อง มานั่งทบทวนหลังปฏิบัติ มันไม่มีอะไรแน่นอน ต้องอาศัยความต่อเนื่องเท่านั้น

3 กันยายน

การเดินจงกรม ละเอียดชัดเจนมากขึ้นขณะที่เดิน มีอะไรมากระทบอายตนะ กำหนดได้ตลอด ไม่ฟุ้งซ่าน จับลมหายใจ

พร้อมกับอาการท้องพองยุบ ขณะที่เดินได้อย่างชัดเจน เมื่อเดิน สังเกตุได้ ลมหายใจจะรวมเป็นหนึ่งขณะที่เดิน

มันจะไปพร้อมกันหมดทั้งตัว รู้พร้อมหมด สติดีตลอด เมื่อมานั่งต่อ สมาธิเกิดอย่างต่อเนื่อง สมาธิตั้งอยู่ได้นานขึ้น

เป็นสมาธิเร็วขึ้น พอกำหนดนั่ง ปรับลมหายใจแค่ 5 ครั้ง เข้าสู่สมาธิได้เลย

เพิ่มเวลาในการปฏิบัติ เป็นวันละ 4ชม.บ้าง 5 ช.ม.บ้าง 6 ช.ม.บ้าง บางวัน 1ช.ม.ก็มีไม่แน่นอน แล้วแต่สะดวก สูงสุด 8 ช.ม.

เดินจงกรม เดินระยะ 1- 4 ละเอียดมากขึ้น ชัดเจนขณะที่ก้าวเดิน

 

10 ก.ย. 2007 “พุทโธ”

รู้จักพุทโธ ตอนแม่พาไปวัดพุทโธภาวนา อยู่ที่สามพราน

จำได้ว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งแม่ป่วยมีเลือดออก กินยาอะไรก็ไม่หยุด
ขุดมดลูกก็ไม่หาย แม่เลยไปรักษาที่ร.พ.จุฬาต่อ หมอผ่าตัดมดลูกทิ้ง
แม่เป็นเนื้องอกที่มดลูก ผลการส่งชิ้นเนื้อไปตรวจ แม่เป็นมะเร็ง ระยะที่ 1

เราได้แนะนำให้แม่ไปหาวัดที่มีการปฏิบัติกรรมฐาน
แม่ไปหาป้าที่อ่อนนุช ป้าพาแม่ไปนครปฐม ไปวัดพุทโธภาวนา
ช่วงนั้นแม่หายหน้าไป ตัวเราเองก็ยุ่งกับงานจนไม่ได้สนใจสอบถาม

เจอแม่อีกครั้ง แม่มาหาที่ทำงาน (คิดย้อนหลังทีไรรู้สึกละอายใจทุกที)
แม่หายจากมะเร็ง อาการที่เลือดไหลไม่หยุด ก็หายสนิท
ทั้งที่ตอนนั้นผ่าตัดแล้ว เลือดก็ยังไหลอยู่

แม่มาชวนไปปฏิบัติที่วัดพุทโธ
ไปกับแม่เพราะเกรงใจแม่ อีกอย่างอยากไปเที่ยวด้วย
ไม่ได้คิดว่าจะปฏิบัติอะไร แค่งานที่ทำก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว

คนที่มาวัดนี้เยอะมากๆ ห้องน้ำต้องแย่งกันเข้า ต้องตื่นตั้งแต่ตี1 ตี2
เพื่อรออาบน้ำแล้วค่อยไปนอนต่อ เพราะตี4 จะไม่มีห้องน้ำว่าง

มีพระมาเทศน์ให้ฟัง เราชอบฟังพระเทศน์อยู่แล้ว
ฟังมาตั้งแต่เด็ก เลยติดเสียงเทศน์ มันทำให้รู้สึกสงบ
พระท่านสอนเรื่องการกำหนดลมหายใจเข้าออก
โดยใช้ หายใจเข้า – พุท หายใจออก – โธ

เรารู้สึกว่ามันง่ายมาก แม่บอกว่าเราหัวดี บางคนยังทำไม่ได้เลย
เพราะหายใจไม่ทันกับการกำหนด แต่เราไม่เป็น ทำได้สบายๆๆ

กลับมาบ้านก็ทำมั่งไม่ทำมั่ง ไม่ได้สนใจอะไร
มาชวนเพื่อนที่ทำงานไป ไม่มีใครไปสักคน
เขาบอกว่ามันไกลไปอยู่ตั้งนครปฐม

ครั้งแรกกสิณ นี่ก็มาพุทโธ ก็ยังไม่ได้สนใจ

12 ก.ย. 2007

เบื่อๆๆๆๆ เบื่อจังเลย อาการเบื่อนี้เกิดกับเราอยู่หลายวัน
เราไม่รู้จะแก้ยังไง

กำหนดก็แล้ว เปลี่ยนอริยาบทก็แล้ว ก็ยังเบื่อ
เวลาเกิดเวทนา เมื่อเข้าใจเวทนาก็นั่งดูอย่างเดียว
แรกๆก็ดีหรอก มันเข้าใจทะลุปรุโปร่ง ให้เห็นว่าที่ ….
แท้เวทนาก็ …. มีแค่นี้เอง เขาจะเกิดก็เกิดเอง
จะไปบังคับเจาะจงว่าต้องเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ไม่ได้

เอ้า … พอเบื่อที่จะดู ก็กลับกลายเป็นว่า ปวดสุดๆไปเลย
ทรมาณสุดๆไปเลย เราก็เลยเซ็งสุดๆไปเลย
เฮอะๆๆๆๆ จะมีอะไรแน่นอนกับอารมณ์ของตัวเอง

แม้แต่การปฏิบัติแต่ละครั้งยิ่งนับวัน ยิ่งมีอะไรแปลกๆมาอยู่เรื่อย
เหมือนให้เราทำเดิมๆซ้ำๆจนกว่าจะเข้าใจชัดเจน

เหมือนเรียนหนังสือเลยแฮะ บางวันก็อยากเรียน
เพราะเรียนแล้วเข้าใจ บางวันก็ไม่อยากเรียน
เพราะยิ่งเรียนมันรู้สึกว่ายิ่งแย่ ( ในความคิดตัวเอง )
จริงๆแล้วคืออะไรล่ะ มันไม่มีอะไรจริงหรือไม่จริง

 

 

สุดท้ายเราก็รู้วิธีแก้ความเบื่อให้กับตัวเอง
แรกๆเราก็เพิ่มเวลาปฏิบัติ จากเดิน 1 ช.ม. นั่ง 1 ช.ม.
ทำแค่ 2 ช.ม. เช้าเย็น เราก็เพิ่มเป็นครั้งละ 4 ช.ม.
สุดท้ายก็เบื่ออีก แหม … พักหลังนี่เวทนามันเยอะจัง
พอเวทนาเกิด ความฟุ้งซ่านมันก็ตามมา

 

 

เดินจงกรม ใช่ว่าจะมีสติต่อเนื่องได้ตลอด
ถึงตอนนี้สติจะชัดเจนกว่าเมื่อก่อนก็จริง
แต่ปฏิบัตินี่อีกเรื่องนึงเลย สติทันบ้างไม่ทันบ้าง

 

 

เมื่อวานก็เบื่ออีก มันเป็นบ้าอะไรก็ไม่รู้
พักนี้มันเกิดอาการเบื่อบ่อยจัง กำหนดเท่าไรก็ไม่หาย
สุดท้ายเมื่อคืน เลยลดเวลาลง ถ้าเวลาเท่าเดิม
คอยคิดละ ( บางครั้งนะ ) เมื่อไหร่จะครบเวลาเสียที

 

 

เมื่อคืนเลยปรับเวลาลง จะคิดทำแค่ 1 ช.ม.
ไม่ได้จับเวลาว่าเดินกี่นาที นั่งกี่นาที ตั้งเวลาไว้ 1 ช.ม.
ใจก็คิดนะตอนนั้น แหม… แค่ 1 ช.ม. สบายมาก
เอออ … แล้วมันก็เป็นผลดีกับตัวเราเอง
กำหนดได้คล่อง สมาธิเข้าออกได้คล่อง
กลับกลายเป็นว่า จะทำแค่ 1 ช.ม. เลยเป็น 2 ช.ม.แทน
หลังจากนั้นก็กำหนดนั่งหลับเอาเหมือนเดิม

 

 

ตี 4 อีกรอบนึง รู้สึกไม่ง่วงเลยมันก็แปลกดี
ทุกทีตื่นมาก็ยังง่วง ไม่อยากจะทำตอนเช้า
ถ้าทำแล้วมันท้อ มันเบื่อ มันต้องมีอะไรสักอย่างนึง
สุดท้ายเราก็หาวิธีแก้อาการท้อและเบื่อให้กับตัวเองได้

15 ก.ย. 2007

ตั้งแต่เราปรับเวลาปฏิบัติ อาการเบื่อแทบจะไม่มี
เราหันมาทบทวนการปฏิบัติ แบบที่ครูบาอาจารยืท่านทำไว้
เข้าออกสมาธิให้คล่อง เท่ากับเรากำลังทบทวน

แต่ละขั้นๆที่เราได้ปฏิบัติมา
ทำให้เห็นรูปนาม การเกิด ดับ ได้ชัดเจนขึ้น

มองเห็นอะไร เดี๋ยวนี้กลายเป็นธรรมะไปหมด
แต่ยังไม่ถึงขนาด 100% แต่ว่าดีกว่าเมื่อก่อนมากๆ

17 ก.ย. 2007 “พองหนอ ยุบหนอ”

หลังจากที่ได้เหินห่างเรื่องการปฏิบัติไปนาน
ทำมั่ง ไม่ทำมั่ง เวลาผ่านไปหลายปี

มีอยู่วันหนึ่ง พี่ที่ทำงานชวนไปนั่งสมาธิ คราวนี้คนที่สอนเราเป็นฆราวาส แขนขวาท่านขาด

ชื่อพระอาจารย์ สุวรรณ (เปิดสมุดดูเพราะลืมชื่อท่าน)
ท่านเป็นอาจารย์สอนกัมมัฏฐานที่นครพนม พระธาตุพนม
เราเป็นคนชอบเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว ก็ตกลงไปกับพี่เขา
จำได้นิดนึงว่า ท่านแขนขาดเพราะโดนฟ้าผ่า แต่จำไม่ได้ว่า ฟ้าผ่าท่านเพราะท่านกำลังทำอะไร

ท่านอ.จ.ให้กำหนดใช้พองหนอ ยุบหนอ แทนพุทโธ
คือหายใจเข้ากำหนดพองหนอ หายใจออก กำหนดยุบหนอ
แต่ไม่ได้ให้ดูอาการท้องที่พองยุบ ให้ตามลมหายใจอย่างเดียว

 

ที่นี่แปลกกว่าที่เราเคยเจอมา ………..
เวลาสวดมนต์เสร็จ พอนั่งสมาธิปั๊บ ท่านให้หายใจถี่ๆแรงๆ
ยังไม่ต้องกำหนดองค์ภาวนาใดๆทั้งสิ้น เราทำตามที่ท่านบอก
เหมือนจะขาดใจ มันบอกไม่ถูก

บางคนก็ลุกขึ้นรำ บางคนก็ทุบทำร้ายตัวเอง

บางคนก็อาเจียน ต้องเอากระโถนตั้งไว้ตรงหน้า

 

 

ท่านบอกว่า การทำเช่นนี้เพื่อปรับความสมดุลการหายใจ
และเป็นการแก้กรรมด้วย อะไรๆที่อยู่ในตัวเราจะได้ออกมา
(ที่ให้หายใจถี่ๆแรงๆ นานด้วยนะไม่ใช่แป๊บเดียว)

วันแรกๆเราทำก็ยังปกติดี เพียงแต่รู้สึกเหมือนเราจะขาดใจ
เวลานั่งสมาธิ ท่านจะให้นั่ง 3 ช.ม.เต็มๆ ปวดก็ต้องทน ห้ามขยับ
ท่านจะคอยพูดตลอด

วันที่3 มันแปลกมากๆ 2 วันแรกก็ปกติดี
วันที่3นี่ ร้องไห้ใหญ่เลย ร้องไห้เหมือนจะขาดใจตาย

เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องร้อง
พยายามบังคับให้ตัวเองหยุดร้องก็บังคับไม่ได้
รู้ตัวตลอดขณะที่ร้อง แต่เหมือนมันซ้อนๆกันยังไงก็ไม่รู้
มันน่าเกลียดมากๆเลยในความรู้สึกของตัวเราเอง

คิดดูก็แล้วกันร้องเหมือนรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย
ทั้งสะอึกสะอื้น น้ำลายไหลย้อย น้ำลายเต็มพื้นเลย
สักพักก็หยุดเอง พอหยุดก็เข้าสมาธิเลย

ทีนี่ไม่รู้อะไรละ ได้ยินแต่เสียงอาจารย์ท่านพูดอย่างเดียว
อย่างอื่นไม่รู้ละ จะปวดจะเมื่อยนี่ไม่มีเลย

ทั้งๆที่2วันแรกจะเป็นจะตาย ปวดจนน้ำตาไหล
เพราะท่านจะคอยพูดไม่ให้ขยับตัวอย่างเด็ดขาด

นิมิตเยอะมาก (มาตอนนี้เพิ่งรู้ว่า ตอนนั้นติดนิมิต)
เหมือนอาจารย์ท่าจะรู้ว่าแต่ละคนเห็นอะไร ท่านพูดไปเรื่อยๆ

หลังจากมีอาการร้องไห้หนักๆอยู่ 7 วัน
อาการนั้นก็หายไปเอง อาจารย์บอกว่า …..
เจ้ากรรมนายเวรเขามาทวง เราเคยทำความทุกข์ใจให้กับเขาไว้มาก

ปฏิบัติมีนิมิตเยอะมาก ตอนนั้นไม่รู้ว่าเขาเรียกว่า นิมิต
พราะอาจารย์ท่านไม่เคยบอกอะไร มีแต่ถามว่าเห็นอะไรกันบ้าง

หลังจากที่หยุดร้องไห้แล้ว ต่อจากนั้นมา เมื่อหายใจถี่ๆหนักๆ
มันจะรวมตัวเป็นสมาธิเลย จะมีแสงสว่างมากๆเวลาเป็นสมาธิ

อาจารย์บอกว่าเราปฏิบัติได้ก้าวหน้ากว่าคนอื่นๆ
ตอนนั้นก็ดีใจอ่ะนะ ก็เหมือนคนเรียนหนังสือแล้วครูมาชม

ปฏิบัติอยู่เกือบ 2 ปี ไปบ้านอ.จ.ทุกวัน ไปตั้งแต่ทุ่ม
กลับบ้านเกือบ 5 ทุ่ม

ตอนนั้นยังทำงานอยู่ เราต้องกลับมาเข้าเวรเที่ยงคืนทุกวัน
ก่อนถึงเวลาเข้าเวร เราจะนอนที่ห้องพักเวร
แล้วเราก็จะมาปฏิบัติต่อที่ห้องพักเวร

 

 

มีวันหนึ่ง เรากำหนดอยู่ดีๆ ตอนนั้นเรางงมากๆ
ไม่รู้ว่ามันคืออะไร อยู่ดีๆก็เหมือนร่างกายเราหายไป
ลมหายใจก็หายไป รู้แต่ท้องพองยุบอย่างเดียว

แบบท้องมันกระเพื่อมเบาๆ แล้วเหมือนเห็นมีตัวเราซ้อนอยู่อีกร่างนึง
มีความรู้สึกเหมือนร่างนั้นมันจะหลุดออกมา

ตอนนั้นยอมรับเลยว่ากลัวมากๆ กลัวตาย
มันบอกความรู้สึกไม่ถูก กลัวว่าถ้าร่างข้างใน
หลุดออกไปแล้วเราจะต้องตาย นี่มันกลัวแบบนี้

เราฮึดสู้เลยตอนนั้น เท่าที่จำได้นะ เพราะเรื่องนี้มันนานมาแล้ว
จำได้ว่าลุกขึ้นเลย เดี่ยวนั้นเลย ไม่ยอมนั่งอีกเลย

วันต่อมาเล่าให้อ.จ.ฟัง ท่านบอกว่า …..
ทีหลังอย่ากลัว ปล่อยให้หลุดออกมาเลย ไม่ตายหรอก

ตั้งแต่นั้นมา หลังจากปฏิบัติที่บ้านอ.จ.แล้ว
เวลากลับมาขึ้นเวร เราไม่ยอมทำอีกเลย
ทำทีไรก็จะเป็นแบบเดิมทุกที เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร
อ.จ.ก็ไม่อธิบายให้ฟัง ถามก็ตอบว่าไม่มีอะไร

 

 

จุดหักเหของชีวิต ………..

 

 

อยู่มาวันหนึ่ง เรานั่งแล้วมองเห็นภาพๆหนึ่ง
เป็นภาพต้นมะพร้าว ใบมันร่วงลงในน้ำๆเน่าๆ
(ความรู้สึกเรามันบอกว่า น้ำนั้นมันเน่า)

เสร็จแล้ว มันงอกขึ้นมาเป็นต้นไม้ต้นเล็กๆ เหมือนต้นหญ้า
มันงอกขึ้นมาเต็มไปหมด เราก็ถามท่านว่ามันคืออะไร

ตอนนั้นจำไม่ได้ว่าไปพูดอะไรที่ไม่ถูกใจท่านเข้า
ท่านบอกว่า ต่อไปคุณก็เป็นเหมือนเป็ดน่ะแหละ

ต้องกลับไปกินอาจม ของมันเคยกิน
อีกแปดปีคุณจะได้กลับมาปฏิบัติใหม่

เราน่ะตอนนั้นอายมากๆเลย เล่นมาว่าเราแบบนั้น
คนก็เยอะ ว่าเราได้แสบมากกก

 

 

เริ่มมีเค้าบอกเหตุว่าคำพูดท่านั้นเป็นจริง…….

เราไม่เคยเล่นหวย ความที่ว่านั่งสมาธิแล้วเห้นตัวเลข
เลยไปลองซื้อ ถูกด้วยนะ บ้าหวยไปเลย

จำได้ละ ว่าทำไมอ.จ.ถึงโกรธ …….

ก็มาวันหนึ่งเราไปเดินห้าง เจอปกหนังสือเล่มหนึ่ง
เหมือนในนิมิตที่เราเห็นเลย เป็นหนังสือเกี่ยวกับการทำสมาธิของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย

เราก็เลยบอกอ.จ.ไปว่า ที่เราเห็นนี่คือหนังสือพวกนี้
มีทั้งหมดสี่เล่ม เราอ่านแล้วมันดีมากๆเลย

ต่อมาสำนักอ.จ.จัดทัวร์บุญบ่อย เราไม่ค่อยได้ไป เพราะไม่ชอบ
ก็เลยไม่ค่อยได้ไปบ้านอ.จ. ต่อมาไม่นานอ.จ.ก็ปิดสำนัก
ช่วงนั้นปัญหาของอ.จ.กับผู้ปฏิบัติเกิดเยอะมาก

ต่อมาชีวิตได้เป็นดั่งที่อ.จ.กล่าวไว้จริงๆ
ชีวิตหักเหแบบสุดๆ เลิกปฏิบัติไปเลย
มีแต่เพื่อน กินและเที่ยวๆๆๆๆ

ผ่านไปสิบกว่าปีได้ วันนั้นไปทำบุญวัดอโศการาม
ได้เจออ.จ. ได้กราบและกล่าวขออโหสิกรรมต่อท่าน

ทุกชีวิต ย่อมเป็นไปตามวิบากกรรมของแต่ละคน
(กรรมและผลของกรรม)

 

การทำความเพียร และ สภาวะในอดีต กันยายน ปีพศ. 2550

รู้บัญญัติ เริ่มเขียนละเอียดมากขึ้น

“โยนิโส” ในที่นี้ เป็นเพียงการรู้จากที่เคยอ่านมา
แต่ยังไม่รู้สภาพธรรมที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง”โยนิโส”
ขันธ์ ๕ ก็เช่นกัน

 

24 ก.ย. 2007

ตั้งแต่ปรับเวลาในการปฏิบัติ โดยหันมาเข้าออกสมาธิให้คล่อง
อาการที่ว่าเบื่อๆค่อยๆคลายลง จนเดี่ยวนี้ไม่มีแล้ว
เริ่มกลับมาปฏิบัติแบบเดิม  แต่จะปรับเวลาสลับกัน
จะไม่ทุ่มเทแบบเมื่อก่อน เดินสายกลางดีกว่า

 

กลางคืน ปฏิบัติแค่ 1 รอบ แล้วกำหนด นั่งหลับ
ตีสามปฏิบัติอีกรอบ เมื่อคืนนั่งหลับก็จริง แต่เป็นสมาธิทั้งคืน
กลางวันก็ทำอีกรอบ ถ้าอากาศร้อนมากก็ไม่ไหว
แต่ไม่ได้เจาะจงว่าจะทำวันละกี่รอบ แล้วแต่สะดวก

ขณะที่นั่งสมาธิ แล้วอะไรที่เกิดขึ้น ใช้วิธีโยนิโส
โดยการแยกขันธ์ 5 ออกมา แยกแล้วชัดเจนขึ้น
ละเอียดขึ้น เวทนาที่เคยรุนแรงมากๆ ก็เข้าใจมากขึ้น

26 ก.ย. 2007

หลังจากที่ได้เจอหนังสือ ที่ปกหนังสือเหมือนในนิมิตแล้ว ก็ไปโคราชทันที เพื่อจะไปหาหลวงพ่อพุธ
ไปวัดป่าสาละวันครั้งแรกลำบากมากๆ ถามเขาตลอดทาง จำได้ว่าจ้างสามล้อพาไป
รู้สึกว่าจะเสียตังค์ไป50บาท ไปที่วัดก็ไม่เจอหลวงพ่ออีก เขาบอกว่าหลวงพ่ออยุ่วัดที่แปดริ้ว

เราก็คิดว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวค่อยมาใหม่ ขอเบอร์โทรจากทางวัดมา เราโทรไปหาหลวงพ่อ
คนที่รับสายเป็นผู้หญิง เขาก็ไม่ให้คุย อ้างว่าหลวงพ่อติดธุระอยู่ จำได้ว่า ไปโคราชถึง 4 ครั้ง

โทรฯอยู่หลายครั้ง ไม่เคยได้คุยเลย ไม่ไหวแล้วไปโคราช ค่ารถแพงมากๆ ไกลก็ไกล ค่ารถก็หลายต่อ
สุดท้ายจุดธูปอธิษฐานถึงหลวงพ่อ ว่าขอให้ได้คุยกับหลวงพ่อ ได้คุยจริงๆ

เราถามหลวงพ่อว่า ขณะที่เราไม่ได้ทำสมาธิ เช่นเวลาทนข้าว คุยกับเพื่อนหรือทำกิจกรรมอื่นๆอยู่
ทำไมเราถึงเป็นสมาธิตลอดเวลา  เราไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เพราะเวลาเป็นสมาธิขึ้นมา
มันจะรู้เลย มันจะสงบจากกิจกรรมที่ทำอยู่ทันที  หากกำลังมองอยู่ มันก็เห็นเหมือนภาพสามมิติ

หลวงพ่อได้เมตตาอธิบายให้ฟังว่า มันไม่มีอะไรหรอก เกิดเนื่องจากจิตเราเร็วเกินไป

ท่านบอกว่า ให้เราเริ่มใหม่ เริ่มนับหนึ่งใหม่  เริ่มจาก 1 2 3 4 ท่านไม่บอกว่าคืออะไร ก็งงเด้
(คือจะต้องมี วิตก วิจารณ์ ปิติ สุข เอกัคคตา)

มันจะเห็นชัดเจนขณะที่เกิดแต่ละขั้น  แล้วจะทำให้ชำนาญในการเข้าออกสมาธิ

เรามาคิดๆย้อนหลังดู มิน่า หลวงพ่อสมชายถึงโยนหนังสือให้เราฝึกกสิณเอง
ทีแท้หลวงพ่อท่านรู้หนอ รู้ว่าพอเราจับปั๊บ เราจะทำได้เอง เพราะของเคยทำมาแล้ว

และที่เราไปรู้เรื่องอะไรต่อมิอะไรต่างๆ บางทีก็ได้ยินเสียงเขาคิดทั้งที่เขาไม่ได้พูด  มันเกิดจากฤทธิ์ของฌานนี่เอง
อีกอย่างนึงที่เราสงสัยมาตลอดว่าทำไมถึงไม่สนใจเรื่องฌาน เพราะรู้แล้วว่าไม่ใช่ทางที่พ้นทุกข์
เราจึงไม่สนใจ การปฏิบัตินี่ดีจริงๆ ทำให้อ่านตัวออก บอกตัวได้

27  ก.ย.  2007

เมื่อใดก็แล้วแต่ที่เราได้ปฏิบัติ หรือกำหนดอริยาบทย่อยต่างๆ เราถือว่าเราได้สะสมหน่วยกิต
ไม่ต้องไปคิดว่า ทำแล้วจะเป็นยังไง รู้แต่ว่า ทำแล้วต้องไม่เครียด ทำแล้วจะเข้าใจมากขึ้น
ทำให้เราเข้าใจในรายละเอียดมากขึ้น บางครั้งอาจจะไม่แน่ใจในบางสิ่ง ( สิ่งที่คิด )
ก็ถามผู้ที่รู้มากกว่า ( อันนี้ยกความดีให้คุณนุหรือท่านอ.จ.งื่อ )

 

28 ก.ย. 2007

วันนี้แปลก ขณะที่นั่งเหมือนมียุงหรือมดมากัดเราทั้งตัว กำหนดไม่หาย เลยเอามือลูบ ไม่มีอะไรเลย ไม่สะดุดอะไรเลย

เราเริ่มปรับเวลาไปเรื่อยๆ ไม่เจาะจง เมื่อคืน 2 ช.ม. สติตอนเดินชัดเจนดี กำหนดได้ทัน รู้พร้อมตลอด
การเดินจงกรมเดี๋ยวนี้ รู้พร้อมทั่วตัว จับได้หมด ทั้งลมหายใจ ทั้งอาการท้องพองยุบ ทั้ง ขณะที่เดิน และสิ่งที่มากระทบ
ละเอียดมากขึ้น แทบจะไม่ต้องกำหนดเดินเหมือนเมื่อก่อน ยิ่งเดินถึงระยะ 4 ยิ่งละเอียดมากๆแต่ละก้าวที่เดิน

เมื่อคืน ขณะที่นั่งสมาธิ สมาธิมากเกินสติ เลยกลายเป็นนั่งเพลินไป
รู้ตัวอีกที เสียงนาฬิกาที่ตั้งเวลาไว้ ดังขึ้นพอดี กำหนดเสียงนาฬิกาได้ทัน ไม่มีตกใจ

กำหนดรู้กับเสียงที่ได้ยิน หลังปฏิบัติเสร็จก็มานั่งทบทวน แต่ละครั้งมีแต่ความเปลี่ยนแปลง ไม่เหมือนเดิม

เดินมากไป เมื่อมานั่ง เวทนาย่อมเกิดน้อยลงหรือเกิดแต่จับไม่ทัน (สติอ่อน)

เดินน้อยไป เมื่อมานั่งเวทนาเกิดมาก ก็ไปเก็บกดกับเวทนาอีก ช่างไม่มีความพอดีเอาเสียเลย

เดินนั่งพอๆกัน ก็เกิดเวทนาแต่ละครั้งไม่เหมือนกัน สติทันบ้างไม่ทันบ้าง มันช่างหลากหลายเสียจริงๆ

ทำยังไงถึงจะมีสติเสมอกับสมาธิได้ นี่สิที่เราต้องทำความเพียรเพิ่ม อาจจะเป็นเพราะว่า …

 

29 ก.ย. 2007

พอเดินสร็จ กำหนดนั่ง ยังไม่ทันพองยุบเลย เข้าสมาธิเฉยเลย ดิ่งไปเลย ดับสนิท ไม่รับรู้ใดๆทั้งสิ้น เหมือนเวลามันหายไป
มารู้ตัวอีกทีตอนนาฬิกาดังหมดเวลา

เมื่อวานปฏิบัติไป 3 ช.ม. เมื่อคืนตั้งแต่ตี 1 ถึง ตี 4 ตั้งแต่นั้นมาเรายังไม่ได้นอนเลย ตามันสว่าง ไม่ง่วงเลย

เมื่อวานอ่านหนังสือ แล้วก็หลับไปช่วง 5 ทุ่ม ตื่นมาเที่ยงคืนครึ่ง ก็อาบน้ำสระผม แล้วขึ้นห้องพระปฏิบัติเลย
เหมือนร่างกายเรากำลังปรับสภาพให้สมดุล ดูจากเวทนา  ที่เริ่มมองเห็นชัดเจนขึ้น ตั้งแต่เกิด จนกระทั่งดับ จับได้ตลอด

เมื่อเช้าปฏิบัติทั้งสองรอบ เหมือนกันอยู่อย่างนึงคือ พอนั่งปั๊บ เราปรับลมหายใจ แค่ 5 ครั้ง ก็เป็นสมาธิ
ทั้งที่ทุกๆครั้ง จะต้องบริกรรมพองหนอ ยุบหนอ อย่างน้อยสองถึงสามครั้ง ถึงจะเข้าสู่สมาธิ เดี๋ยวนี้เข้าออกสมาธิได้คล่องแคล่วมากๆ
คงเกิดจากการที่เราทำอย่างต่อเนื่อง  หลังจากปฏิบัติแล้วก็ทบทวนตลอด

 

 

==========================================

สมาธิเกินสติ

เราเริ่มปรับเวลาไปเรื่อยๆ ไม่เจาะจง เมื่อคืน 2 ช.ม. สติตอนเดินชัดเจนดี กำหนดได้ทัน รู้พร้อมตลอด
การเดินจงกรมเดี๋ยวนี้ รู้พร้อมทั่วตัว จับได้หมด ทั้งลมหายใจ ทั้งอาการท้องพองยุบ ทั้ง ขณะที่เดิน และสิ่งที่มากระทบ
ละเอียดมากขึ้น แทบจะไม่ต้องกำหนดเดินเหมือนเมื่อก่อน ยิ่งเดินถึงระยะ 4 ยิ่งละเอียดมากๆแต่ละก้าวที่เดิน
เมื่อคืน ขณะที่นั่งสมาธิ สมาธิมากเกินสติ เลยกลายเป็นนั่งเพลินไป รู้ตัวอีกที เสียงนาฬิกาที่ตั้งเวลาไว้ ดังขึ้นพอดี กำหนดเสียงนาฬิกาได้ทัน ไม่มีตกใจ
กำหนดรู้กับเสียงที่ได้ยิน หลังปฏิบัติเสร็จก็มานั่งทบทวน แต่ละครั้งมีแต่ความเปลี่ยนแปลง ไม่เหมือนเดิม
เดินมากไป เมื่อมานั่ง เวทนาย่อมเกิดน้อยลงหรือเกิดแต่จับไม่ทัน (สติอ่อน)
เดินน้อยไป เมื่อมานั่งเวทนาเกิดมาก ก็ไปเก็บกดกับเวทนาอีก ช่างไม่มีความพอดีเอาเสียเลย
เดินนั่งพอๆกัน ก็เกิดเวทนาแต่ละครั้งไม่เหมือนกัน สติทันบ้างไม่ทันบ้าง มันช่างหลากหลายเสียจริงๆ
ทำยังไงถึงจะมีสติเสมอกับสมาธิได้ นี่สิที่เราต้องทำความเพียรเพิ่ม อาจจะเป็นเพราะว่า …

สะสมหน่วยกิต

 
เมื่อใดก็แล้วแต่ที่เราได้ปฏิบัติ หรือกำหนดอริยาบทย่อยต่างๆ เราถือว่าเราได้สะสมหน่วยกิต
 
ไม่ต้องไปคิดว่า ทำแล้วจะเป็นยังไง รู้แต่ว่า ทำแล้วต้องไม่เครียด ทำแล้วจะเข้าใจมากขึ้น
 
ทำให้เราเข้าใจในรายละเอียดมากขึ้น บางครั้งอาจจะไม่แน่ใจในบางสิ่ง ( สิ่งที่คิด )
 
ก็ถามผู้ที่รู้มากกว่า ( อันนี้ยกความดีให้คุณนุหรือท่านอ.จ.งื่อ )

สนทนากับหลวงพ่อพุธ แก้ปัญาเรื่องการเป็นสมาธิตลอดเวลา

หลังจากที่ได้เจอหนังสือ ที่ปกหนังสือเหมือนในนิมิตแล้ว ก็ไปโคราชทันที เพื่อจะไปหาหลวงพ่อพุธ
ไปวัดป่าสาละวันครั้งแรกลำบากมากๆ ถามเขาตลอดทาง จำได้ว่าจ้างสามล้อพาไป
รู้สึกว่าจะเสียตังค์ไป50บาท ไปที่วัดก็ไม่เจอหลวงพ่ออีก เขาบอกว่าหลวงพ่ออยุ่วัดที่แปดริ้ว
เราก็คิดว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวค่อยมาใหม่ ขอเบอร์โทรจากทางวัดมา เราโทรไปหาหลวงพ่อ
คนที่รับสายเป็นผู้หญิง เขาก็ไม่ให้คุย อ้างว่าหลวงพ่อติดธุระอยู่ จำได้ว่า ไปโคราชถึง 4 ครั้ง
โทรฯอยู่หลายครั้ง ไม่เคยได้คุยเลย ไม่ไหวแล้วไปโคราช ค่ารถแพงมากๆ ไกลก็ไกล ค่ารถก็หลายต่อ
สุดท้ายจุดธูปอธิษฐานถึงหลวงพ่อ ว่าขอให้ได้คุยกับหลวงพ่อ ได้คุยจริงๆ
เราถามหลวงพ่อว่า ขณะที่เราไม่ได้ทำสมาธิ เช่นเวลาทนข้าว คุยกับเพื่อนหรือทำกิจกรรมอื่นๆอยู่
ทำไมเราถึงเป็นสมาธิตลอดเวลา  เราไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เพราะเวลาเป็นสมาธิขึ้นมา
มันจะรู้เลย มันจะสงบจากกิจกรรมที่ทำอยู่ทันที  หากกำลังมองอยุ่ มันก็เห็นเหมือนภาพสามมิติ
หลวงพ่อได้เมตตาอธิบายให้ฟังว่า มันไม่มีอะไรหรอก เกิดเนื่องจากจิตเราเร็วเกินไป
ท่านบอกว่า ให้เราเริ่มใหม่ เริ่มนับหนึ่งใหม่  เริ่มจาก 1 2 3 4 ท่านไม่บอกว่าคืออะไร ก็งงเด้
(คือจะต้องมี วิตก วิจารณ์ ปิติ สุข เอกัคคตา)
มันจะเห็นชัดเจนขณะที่เกิดแต่ละขั้น  แล้วจะทำให้ชำนาญในการเข้าออกสมาธิ
เรามาคิดๆย้อนหลังดู มิน่า หลวงพ่อสมชายถึงโยนหนังสือให้เราฝึกกสิณเอง
ทีแท้หลวงพ่อท่านรู้หนอ รู้ว่าพอเราจับปั๊บ เราจะทำได้เอง เพราะของเคยทำมาแล้ว
และที่เราไปรู้เรื่องอะไรต่อมิอะไรต่างๆ บางทีก็ได้ยินเสียงเขาคิดทั้งที่เขาไม่ได้พูด
มันเกิดจากฤทธิ์ของฌานนี่เอง อีกอย่างนึงที่เราสงสัยมาตลอดว่าทำไมถึงไม่สนใจเรื่องฌาน
เพราะรู้แล้วว่าไม่ใช่ทางที่พ้นทุกข์ เราจึงไม่สนใจ การปฏิบัตินี่ดีจริงๆ ทำให้อ่านตัวออก บอกตัวได้

พองหนอ ยุบหนอ

 
หลังจากที่ได้เหินห่างเรื่องการปฏิบัติไปนาน
ทำมั่ง ไม่ทำมั่ง เวลาผ่านไปหลายปี
 
มีอยู่วันหนึ่ง พี่ที่ทำงานชวนไปนั่งสมาธิ คราวนี้คนที่สอนเราเป็นฆราวาส แขนขวาท่านขาด
ชื่อพระอาจารย์ สุวรรณ (เปิดสมุดดูเพราะลืมชื่อท่าน) ท่านเป็นอาจารย์สอนกัมมัฏฐานที่นครพนม พระธาตุพนม
 
เราเป็นคนชอบเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว ก็ตกลงไปกับพี่เขา
จำได้นิดนึงว่า ท่านแขนขาดเพราะโดนฟ้าผ่า แต่จำไม่ได้ว่า ฟ้าผ่าท่านเพราะท่านกำลังทำอะไร
 
ท่านอ.จ.ให้กำหนดใช้พองหนอ ยุบหนอ แทนพุทโธ
 คือหายใจเข้ากำหนดพองหนอ หายใจออก กำหนดยุบหนอ
 แต่ไม่ได้ให้ดูอาการท้องที่พองยุบ ให้ตามลมหายใจอย่างเดียว
 
ที่นี่แปลกกว่าที่เราเคยเจอมา ………..
 เวลาสวดมนต์เสร็จ พอนั่งสมาธิปั๊บ ท่านให้หายใจถี่ๆแรงๆ
 ยังไม่ต้องกำหนดองค์ภาวนาใดๆทั้งสิ้น เราทำตามที่ท่านบอก เหมือนจะขาดใจ มันบอกไม่ถูก
 
บางคนก็ลุกขึ้นรำ บางคนก็ทุบทำร้ายตัวเอง
 บางคนก็อาเจียน ต้องเอากระโถนตั้งไว้ตรงหน้า
 
ท่านบอกว่า การทำเช่นนี้เพื่อปรับความสมดุลการหายใจ
 และเป็นการแก้กรรมด้วย อะไรๆที่อยู่ในตัวเราจะได้ออกมา
 (ที่ให้หายใจถี่ๆแรงๆ นานด้วยนะไม่ใช่แป๊บเดียว)
 
วันแรกๆเราทำก็ยังปกติดี เพียงแต่รู้สึกเหมือนเราจะขาดใจ
 เวลานั่งสมาธิ ท่านจะให้นั่ง 3 ช.ม.เต็มๆ ปวดก็ต้องทน ห้ามขยับ ท่านจะคอยพูดตลอด
 
วันที่3 มันแปลกมากๆ 2 วันแรกก็ปกติดี
 วันที่3นี่ ร้องไห้ใหญ่เลย ร้องไห้เหมือนจะขาดใจตาย
 เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องร้อง พยายามบังคับให้ตัวเองหยุดร้องก็บังคับไม่ได้
 รู้ตัวตลอดขณะที่ร้อง แต่เหมือนมันซ้อนๆกันยังไงก็ไม่รู้ มันน่าเกลียดมากๆเลยในความรู้สึกของตัวเราเอง
 
คิดดูก็แล้วกันร้องเหมือนรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย
 ทั้งสะอึกสะอื้น น้ำลายไหลย้อย น้ำลายเต็มพื้นเลย
 
สักพักก็หยุดเอง พอหยุดก็เข้าสมาธิเลย
 ทีนี่ไม่รู้อะไรละ ได้ยินแต่เสียงอาจารย์ท่านพูดอย่างเดียว
 อย่างอื่นไม่รู้ละ จะปวดจะเมื่อยนี่ไม่มีเลย ทั้งๆที่2วันแรกจะเป็นจะตาย ปวดจนน้ำตาไหล
 
เพราะท่านจะคอยพูดไม่ให้ขยับตัวอย่างเด็ดขาด
 นิมิตเยอะมาก (มาตอนนี้เพิ่งรู้ว่า ตอนนั้นติดนิมิต)
 
เหมือนอาจารย์ท่าจะรู้ว่าแต่ละคนเห็นอะไร ท่านพูดไปเรื่อยๆ
 หลังจากมีอาการร้องไห้หนักๆอยู่ 7 วัน
 
อาการนั้นก็หายไปเอง อาจารย์บอกว่า ….. 
 เจ้ากรรมนายเวรเขามาทวง เราเคยทำความทุกข์ใจให้กับเขาไว้มาก
 
ปฏิบัติมีนิมิตเยอะมาก ตอนนั้นไม่รู้ว่าเขาเรียกว่า นิมิต
 เพราะอาจารย์ท่านไม่เคยบอกอะไร มีแต่ถามว่าเห็นอะไรกันบ้าง
 
หลังจากที่หยุดร้องไห้แล้ว ต่อจากนั้นมา เมื่อหายใจถี่ๆหนักๆ
 มันจะรวมตัวเป็นสมาธิเลย จะมีแสงสว่างมากๆเวลาเป็นสมาธิ
 
อาจารย์บอกว่าเราปฏิบัติได้ก้าวหน้ากว่าคนอื่นๆ
 ตอนนั้นก็ดีใจอ่ะนะ ก็เหมือนคนเรียนหนังสือแล้วครูมาชม
 
ปฏิบัติอยู่เกือบ 2 ปี ไปบ้านอ.จ.ทุกวัน ไปตั้งแต่ทุ่ม กลับบ้านเกือบ 5 ทุ่ม
 ตอนนั้นยังทำงานอยู่ เราต้องกลับมาเข้าเวรเที่ยงคืนทุกวัน
 
ก่อนถึงเวลาเข้าเวร เราจะนอนที่ห้องพักเวร
 แล้วเราก็จะมาปฏิบัติต่อที่ห้องพักเวร
 
มีวันหนึ่ง เรากำหนดอยู่ดีๆ ตอนนั้นเรางงมากๆ
 ไม่รู้ว่ามันคืออะไร อยู่ดีๆก็เหมือนร่างกายเราหายไป
ลมหายใจก็หายไป รู้แต่ท้องพองยุบอย่างเดียว
 
แบบท้องมันกระเพื่อมเบาๆ แล้วเหมือนเห็นมีตัวเราซ้อนอยู่อีกร่างนึง
 มีความรู้สึกเหมือนร่างนั้นมันจะหลุดออกมา
 
ตอนนั้นยอมรับเลยว่ากลัวมากๆ กลัวตาย
 มันบอกความรู้สึกไม่ถูก กลัวว่าถ้าร่างข้างใน
 หลุดออกไปแล้วเราจะต้องตาย นี่มันกลัวแบบนี้
 
เราฮึดสู้เลยตอนนั้น เท่าที่จำได้นะ เพราะเรื่องนี้มันนานมาแล้ว
 จำได้ว่าลุกขึ้นเลย เดี่ยวนั้นเลย ไม่ยอมนั่งอีกเลย
 
วันต่อมาเล่าให้อ.จ.ฟัง ท่านบอกว่า …..
 ทีหลังอย่ากลัว ปล่อยให้หลุดออกมาเลย ไม่ตายหรอก
 
ตั้งแต่นั้นมา หลังจากปฏิบัติที่บ้านอ.จ.แล้ว
 เวลากลับมาขึ้นเวร เราไม่ยอมทำอีกเลย
 ทำทีไรก็จะเป็นแบบเดิมทุกที เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร
 อ.จ.ก็ไม่อธิบายให้ฟัง ถามก็ตอบว่าไม่มีอะไร
 
จุดหักเหของชีวิต ………..
 
อยู่มาวันหนึ่ง เรานั่งแล้วมองเห็นภาพๆหนึ่ง
 เป็นภาพต้นมะพร้าว ใบมันร่วงลงในน้ำๆเน่าๆ
 ( ความรู้สึกเรามันบอกว่า น้ำนั้นมันเน่า )
 
เสร็จแล้ว มันงอกขึ้นมาเป็นต้นไม้ต้นเล็กๆ เหมือนต้นหญ้า
 มันงอกขึ้นมาเต็มไปหมด เราก็ถามท่านว่ามันคืออะไร
 
ตอนนั้นจำไม่ได้ว่าไปพูดอะไรที่ไม่ถูกใจท่านเข้า
 ท่านบอกว่า ต่อไปคุณก็เป็นเหมือนเป็ดน่ะแหละ
 ต้องกลับไปกินอาจม ของมันเคยกิน  อีกแปดปีคุณจะได้กลับมาปฏิบัติใหม่
 
เราน่ะตอนนั้นอายมากๆเลย เล่นมาว่าเราแบบนั้น
 คนก็เยอะ ว่าเราได้แสบมากกก
 
เริ่มมีเค้าบอกเหตุว่าคำพูดท่านั้นเป็นจริง…….
 
เราไม่เคยเล่นหวย ความที่ว่านั่งสมาธิแล้วเห้นตัวเลข
 เลยไปลองซื้อ ถูกด้วยนะ บ้าหวยไปเลย
 
จำได้ละ ว่าทำไมอ.จ.ถึงโกรธ …….
 
ก็มาวันหนึ่งเราไปเดินห้าง เจอปกหนังสือเล่มหนึ่ง
 เหมือนในนิมิตที่เราเห็นเลย เป็นหนังสือเกี่ยวกับการทำสมาธิของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย
 
เราก็เลยบอกอ.จ.ไปว่า ที่เราเห็นนี่คือหนังสือพวกนี้
 มีทั้งหมดสี่เล่ม เราอ่านแล้วมันดีมากๆเลย
 
ต่อมาสำนักอ.จ.จัดทัวร์บุญบ่อย เราไม่ค่อยได้ไป เพราะไม่ชอบ
 ก็เลยไม่ค่อยได้ไปบ้านอ.จ. ต่อมาไม่นานอ.จ.ก็ปิดสำนัก
 ช่วงนั้นปัญหาของอ.จ.กับผู้ปฏิบัติเกิดเยอะมาก
 
ต่อมาชีวิตได้เป็นดั่งที่อ.จ.กล่าวไว้จริงๆ
 
ชีวิตหักเหแบบสุดๆ เลิกปฏิบัติไปเลย
 มีแต่เพื่อน กินและเที่ยวๆๆๆๆ
 
ผ่านไปสิบกว่าปีได้ วันนั้นไปทำบุญวัดอโศการาม
 ได้เจออ.จ. ได้กราบและกล่าวขออโหสิกรรมต่อท่าน
 ทุกชีวิต ย่อมเป็นไปตามวิบากกรรมของแต่ละคน

เข้าออกสมาธิให้คล่อง

ตั้งแต่เราปรับเวลาปฏิบัติ อาการเบื่อแทบจะไม่มี
เราหันมาทบทวนการปฏิบัติ แบบที่ครูบาอาจารยืท่านทำไว้
เข้าออกสมาธิให้คล่อง เท่ากับเรากำลังทบทวน
แต่ละขั้นๆที่เราได้ปฏิบัติมา
ทำให้เห็นรูปนาม การเกิด ดับ ได้ชัดเจนขึ้น
มองเห็นอะไร เดี๋ยวนี้กลายเป็นธรรมะไปหมด
แต่ยังไม่ถึงขนาด 100% แต่ว่าดีกว่าเมื่อก่อนมากๆ

เบื่อๆๆๆๆ เคยบ้างไหมปฏิบัติแล้วเบื่อ

 
เบื่อๆๆๆๆ เบื่อจังเลย
 
อาการเบื่อนี้เกิดกับเราอยู่หลายวัน เราไม่รู้จะแก้ยังไง
 
กำหนดก็แล้ว เปลี่ยนอริยาบทก็แล้ว ก็ยังเบื่อ
 
เวลาเกิดเวทนา เมื่อเข้าใจเวทนาก็นั่งดูอย่างเดียว
 
แรกๆก็ดีหรอก มันเข้าใจทะลุปรุโปร่ง ให้เห็นว่าที่ ….
 
แท้เวทนาก็  …. มีแค่นี้เอง เขาจะเกิดก็เกิดเอง
 
จะไปบังคับเจาะจงว่าต้องเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ไม่ได้
 
เอ้า …  พอเบื่อที่จะดู ก็กลับกลายเป็นว่า ปวดสุดๆไปเลย
 
ทรมาณสุดๆไปเลย  เราก็เลยเซ็งสุดๆไปเลย
 
เฮอะๆๆๆๆ จะมีอะไรแน่นอนกับอารมณ์ของตัวเอง
 
แม้แต่การปฏิบัติแต่ละครั้งยิ่งนับวัน ยิ่งมีอะไรแปลกๆมาอยู่เรื่อย
 
เหมือนให้เราทำเดิมๆซ้ำๆจนกว่าจะเข้าใจชัดเจน
 
เหมือนเรียนหนังสือเลยแฮะ บางวันก็อยากเรียน
 
เพราะเรียนแล้วเข้าใจ บางวันก็ไม่อยากเรียน
 
เพราะยิ่งเรียนมันรู้สึกว่ายิ่งแย่ ( ในความคิดตัวเอง )
 
จริงๆแล้วคืออะไรล่ะ อิอิ มันไม่มีอะไรจริงหรือไม่จริง
 
ปล้ำกับจิตของตัวเองนี่สนุกนะ ดีกว่าไปเต้นแร้งเต้นกากับคนอื่นๆ
 
สุดท้ายเราก็รู้วิธีแก้ความเบื่อให้กับตัวเอง
 
แรกๆเราก็เพิ่มเวลาปฏิบัติ จากเดิน 1 ช.ม. นั่ง 1 ช.ม.
 
ทำแค่ 2 ช.ม. เช้าเย็น เราก็เพิ่มเป็นครั้งละ 4 ช.ม.
 
สุดท้ายก็เบื่ออีก แหม … พักหลังนี่เวทนามันเยอะจัง
 
พอเวทนาเกิด ความฟุ้งซ่านมันก็ตามมา
 
เดินจงกรม ใช่ว่าจะมีสติต่อเนื่องได้ตลอด
 
ถึงตอนนี้สติจะชัดเจนกว่าเมื่อก่อนก็จริง
 
แต่ปฏิบัตินี่อีกเรื่องนึงเลย สติทันบ้างไม่ทันบ้าง
 
เมื่อวานก็เบื่ออีก มันเป็นบ้าอะไรก็ไม่รู้
 
พักนี้มันเกิดอาการเบื่อบ่อยจัง กำหนดเท่าไรก็ไม่หาย
 
สุดท้ายเมื่อคืน เลยลดเวลาลง ถ้าเวลาเท่าเดิม
 
คอยคิดละ ( บางครั้งนะ ) เมื่อไหร่จะครบเวลาเสียที
 
เมื่อคืนเลยปรับเวลาลง จะคิดทำแค่ 1 ช.ม.
 
ไม่ได้จับเวลาว่าเดินกี่นาที นั่งกี่นาที ตั้งเวลาไว้ 1 ช.ม.
 
ใจก็คิดนะตอนนั้น แหม… แค่ 1 ช.ม. สบายมาก
 
เอออ … แล้วมันก็เป็นผลดีกับตัวเราเอง
 
กำหนดได้คล่อง สมาธิเข้าออกได้คล่อง
 
กลับกลายเป็นว่า จะทำแค่ 1 ช.ม. เลยเป็น 2 ช.ม.แทน
 
หลังจากนั้นก็กำหนดนั่งหลับเอาเหมือนเดิม
 
ตี 4 อีกรอบนึง  รู้สึกไม่ง่วงเลยมันก็แปลกดี
 
ทุกทีตื่นมาก็ยังง่วง ไม่อยากจะทำตอนเช้า
 
ถ้าทำแล้วมันท้อ มันเบื่อ  มันต้องมีอะไรสักอย่างนึง
 
สุดท้ายเราก็หาวิธีแก้อาการท้อและเบื่อให้กับตัวเองได้

พุทโธ

 
รู้จักพุทโธ  ตอนแม่พาไปวัดพุทโธภาวนา อยู่ที่สามพราน
 
จำได้ว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งแม่ป่วยมีเลือดออก กินยาอะไรก็ไม่หยุด
 
ขุดมดลูกก็ไม่หาย แม่เลยไปรักษาที่ร.พ.จุฬาต่อ หมอผ่าตัดมดลูกทิ้ง
 
แม่เป็นเนื้องอกที่มดลูก ผลการส่งชิ้นเนื้อไปตรวจ แม่เป็นมะเร็ง ระยะที่ 1
 
เราได้แนะนำให้แม่ไปหาวัดที่มีการปฏิบัติกรรมฐาน
 
แม่ไปหาป้าที่อ่อนนุช ป้าพาแม่ไปนครปฐม ไปวัดพุทโธภาวนา
 
ช่วงนั้นแม่หายหน้าไป ตัวเราเองก็ยุ่งกับงานจนไม่ได้สนใจสอบถาม
 
เจอแม่อีกครั้ง แม่มาหาที่ทำงาน ( คิดย้อนหลังทีไรรู้สึกละอายใจทุกที )
 
แม่หายจากมะเร็ง อาการที่เลือดไหลไม่หยุด ก็หายสนิท
 
ทั้งที่ตอนนั้นผ่าตัดแล้ว เลือดก็ยังไหลอยู่  แม่มาชวนไปปฏิบัติที่วัดพุทโธ
 
ไปกับแม่เพราะเกรงใจแม่ อีกอย่างอยากไปเที่ยวด้วย
 
ไม่ได้คิดว่าจะปฏิบัติอะไร แค่งานที่ทำก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว
 
คนที่มาวัดนี้เยอะมากๆ ห้องน้ำต้องแย่งกันเข้า ต้องตื่นตั้งแต่ตี1
 
ตี2 เพื่อรออาบน้ำแล้วค่อยไปนอนต่อ เพราะตี4 จะไม่มีห้องน้ำว่าง
 
มีพระมาเทศน์ให้ฟัง เราชอบฟังพระเทศน์อยู่แล้ว
 
ฟังมาตั้งแต่เด็ก เลยติดเสียงเทศน์ มันทำให้รู้สึกสงบ
 
พระท่านสอนเรื่องการกำหนดลมหายใจเข้าออก
 
โดยใช้ หายใจเข้า – พุท  หายใจออก – โธ
 
เรารู้สึกว่ามันง่ายมาก แม่บอกว่าเราหัวดี บางคนยังทำไม่ได้เลย
 
เพราะหายใจไม่ทันกับการกำหนด แต่เราไม่เป็น ทำได้สบายๆๆ
 
กลับมาบ้านก็ทำมั่งไม่ทำมั่ง ไม่ได้สนใจอะไร
 
มาชวนเพื่อนที่ทำงานไป ไม่มีใครไปสักคน
 
เขาบอกว่ามันไกลไปอยู่ตั้งนครปฐม
 
ครั้งแรกกสิณ นี่ก็มาพุทโธ ก็ยังไม่ได้สนใจ

กสิณ

 
หลังจากที่ได้ฝึกเตโชกสิณจากหนังสือที่หลวงพ่อสมชาย โยนมาให้ฝึกเอง
 
ตอนนั้นยังไม่รู้หรอกว่าจะมีผลอะไรตามมา แล้วฝึกไปเพื่ออะไร
 
หลังจากที่พ่อห้าม ก็ลืมไปเลย ไม่เคยสนใจจะหยิบขึ้นมาดูอีก
 
แต่เราเป็นคนที่แปลกอยู่อย่างหนึ่ง ไปที่ไหนจะเจอแต่วิญญาณ ( ชาวบ้านเรียก " ผี " )
 
ตอนเรียนม.ปลาย ได้เขาชมรม " หมอดู " งานนี้
 
อ.จ.ให้เราเป็นหมอดู เพราะเวลาจับมือใคร หรือได้เจอใครใหม่ๆ
 
เราจะรู้เรื่องของเขาได้โดยเขาไม่ต้องบอก เราเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร  
 
แล้วถ้าใครมาถามเรื่องที่คุยกันในวันต่อมา เราจะจำอะไรไม่ได้เลย
 
( สงสัยจะเป็นร่างทรงแต่เด็ก )แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าไปรู้เรื่องเขาได้ยังไง
 
จะมีเหตุการณ์หลายๆเหตุการณ์ที่เรารู้ล่วงหน้าได้ก่อนจะเกิด
 
แต่อย่างว่าแหละ ตอนนั้นเราเองก็ไม่ได้สงสัยว่าเพราะอะไรและทำไม
 
แล้วก็ไม่ได้ให้ความสนใจ เคยเล่นเกมสะกดจิตกับเพื่อน
 
( แบบที่ออกรายการในไอทีวี ) เพื่อนสะกดจิตเราไม่ได้
 
แต่เราสะกดจิตเพื่อนได้ เพื่อนบอกว่าเราจิตแข็ง
 
มารู้ตอนได้ปฏิบัตินี่เอง ว่าเป็นผลของการทำกสิณ ทำให้เรารู้เรื่องราวต่างๆได้
 
 

กันยายน 2007
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930

คลังเก็บ