โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล
สภาวะจิตดวงสุดท้าย ครั้งที่ 1
หรือที่เรียกตามปริยัติชื่อว่า มรรคญาณ ผลญาณ
ขณะกำลังจะหมดลมหายใจ(ขาดใจตาย) สภาพธรรมที่มีเกิดขึ้นนี้จะปรากฏขึ้นเสมือนมีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงๆ เป็นสภาพธรรมที่ไม่สามารถบังคับบัญชาใดๆได้
เป็นเรื่องของ จิตใต้สำนึกที่เกี่ยวกับ ความกลัวตาย ที่มีอยู่ตามความเป็นจริง
ความรู้สึกครั้งแรกของทุกคน รู้ชัดเหมือนๆกัน
ก่อนที่จะเกิด จะรู้ชัดว่าจะเหมือนหายใจไม่ออก
เหมือนจะตาย ถ้ายอมตาย แล้วจะมีสภาวะต่อมาเกิดขึ้น
คือ ถูกแรงดูดที่มีแรงมหาศาล ของถูกดูดเข้าไปในหลุมหรือรู
จากสภาวะทั้งหมด สรุปได้ว่า การเกิดสภาวะจิตดวงสุดท้ายครั้งที่แรก(1) ทุกคนต้องยอมตาย บ้างคนอาจจะมีสติดี กรณีของคนที่ 1 ที่ปล่อยเลย
ทั้งสภาวะทุกหมด สรุปได้ว่า ทุกคนที่ก่อนถูกแรงดูดมหาศาลดูดเข้าไป ต้องเจอสภาวะหายใจไม่ออกหรือทำให้รู้สึกเหมือนจะตาย เป็นการรู้ชัดในสภาวะทุกข์
ขณะเกิดสภาวะ อนุโลมญาณ มรรคญาณ ผลญาณ
เมื่อวุฏฐาคามินีวิปัสสนากำลังดำเนินไปอยู่นั้น ย่อมจะเห็นรูป,นาม แสดงความเป็นทุกข์ ให้ปรากฏเห็นชัดเจน แล้วก็เข้าสู่มรรคเลย ลักษณะอย่างนี้เรียกว่า อัปปณิหิตวิโมกข์ คือหลุดพ้นจากทางทุกขัง
ขณะที่เกิด จะเหมือนเรื่องเกิดขึ้นในชีวิตจริงๆ
.
คนที่ 1
ก่อนเกิดสภาวะบอกว่า จะรู้สึกเหมือนจะตาย แต่ไม่ได้เล่าว่า เจออะไร ถึงได้พูดว่า เหมือนจะตาย แล้วเล่าต่อว่า ก็นั่งอยู่ จะตายได้ไง จึงคิดว่า ไปเลยจะได้รู้ว่าเป็นไร เจอเหมือนโดนดูดเข้าไปในรู ตอนหลังบอกว่า จะเข้ารู ต้องเข้าถูก คือ รูธรรม
.
คนที่ 2
“สามวันมันจี้เอาปางตาย ทำอะไรไม่ได้เลยค่ะ แต่ละปั้บลงนี่ยังกะโดนเครื่องปั๊มหัวใจช็อตเอาประมาณนั้นมั้ง (จากแต่ก่อนที่เคยเป็นคล้ายอาการแทง กรีด คว้าน และเฉือนอยู่ภายใน) นั่นภายในมันดิ้นกันพล่านเลยจนหมดแรง ร่อแร่แล้วนี่ ตรงที่เห็นขณะเกิดดับก่อนจะเหมือนกระแสบางอย่างถูกดูดลงหลุมดำ (แอบประมาณเรียกเอง)”
.
คนที่ 3
“เจออาการร่างกายปวด ตัวหวิวใจหวิว พยายามประคองสติใว้ อาการทั้งตัวเหมือนโดนน้ำท่วมสำลักหรือเป็นลมแดดหูอื้อตาลาย แต่สติยังแข็งมาก รับรู้ได้ทุกอย่าง เหมือนโดนดูดเข้าไปในท่อดำมืดอะไรสักอย่าง มีอาการเจ็บปวดเหมือนตัวจะขาดจากกัน กระดูกเนื้อหนังเหมือนแตกไปทั้งร่าง หมุนติ้วๆอยู่ไม่มีบนล่างกำหนดทิศทางกำหนดหนักเบาร้อนเย็นอ่อนแข็งอะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น ไม่มีอะไรให้ยึดจับทั้งนั้น
พอตกใจจิตถอนออกก็สงบสว่างอยู่พักนึง พอเริ่มสบายสติผ่อนคลายหายกระเพื่อมก็โดนอีก คราวนี้เหมือนโดนกระชากตัวพุ่งพรวดลงไปในเหว ตัดสินใจยอมเจ็บยอมตาย มันดิ่งก็ดิ่งตามไปด้วย ผ่านไปสักพักก็โล่ง มีแต่สว่างขาวโพลงอยู่ ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรอยู่อย่่างนั้น แต่ไม่กลัวอะไรเลย มันโล่งไปหมด สบายสุดๆ ก็จับอารมณ์ตรงหน้ามาพิจารณาต่อ สักพักก็ไม่คิดอะไรอีก อาการอิ่มใจหายไปอารมณ์แน่นกว่าเดิม พอเย็นอิ่มใจนานๆไปก็สงบสุดๆอารมณ์แน่นขึ้นอีก สักพักเหลือแต่นิ่งอยู่อารมณ์แน่นขึ้นแล้ว ถึงขั้นนี้ไปไม่เป็นแล้ว ลมหายใจก็ไม่มี มันดับหมด
.
คนที่ 4
“พี่น้ำ…
เหมือนเคยเจอสภาวะนี้ ครั้งนึงค่ะ หลายปีมาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร ตอนนั้นไปปฎิบัติธรรมที่วัด นั่งในวิหารรวม มีสติ กำหนดตามรู้สภาวะ ไปเรื่อยๆ มาถึงจุดนึงจะมีสภาวะของการบีบคั้น กดดัน เหมือนจะจมน้ำตาย ตอนนั้้นก็ยอมตาย ตายก็ตายค่ะ เลยปล่อยให้สภาวะมันเป็นไป(ไม่ปล่อยก็ต้องปล่อย)
เหมือนมีแรงดูดมหาศาล ดูดและหมุนๆเข้าไป นึกไปถึงที่ีพี่น้ำบอกว่า เหมือนตอนคลอดแล้วโดนดูดออกมา มันเหมือนเป็นความรู้สึกนั้นเลย หลังจากดูดเสร็จแล้ว สภาวะก็จะเหมือนเราแหวกออกมาจากอะไรไม่รู้ซักอย่างนึงค่ะ มันอธิบายไม่ถูกเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะเปรียบกับอะไร หลังจากนั้น ก็เข้าไปเห็นสภาวะอะไรก็ไม่รู้ที่มันว่างๆ โปร่งๆเบาๆ สบายๆ แต่ยังมีสิ่งที่เข้าไปรู้อยู่ค่ะ แต่ไม่รู้ว่ารู้อะไร หลังจากนั้น(ไม่นานในความรู้สึก) สภาวะทั้งหมดก็คลายตัว แล้วระลึกได้ถึงการกลับมามีตัวตนที่นั่งอยู่ในวิหารค่ะ แต่กายมันสั่น ฟันกระทบกัน กึกๆ เหมือนไปผ่านจุดเยือกเเข็งมาค่ะ
.
คนที่ 5 วลัยพร
ขณะกำลังกรรมฐานอยู่ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนั้น อาการเหมือนคนที่ขาดอากาศหายใจ แรกๆดิ้นรน หาอากาศหายใจ สุดท้ายปลงตกว่า ตายก็ดีเหมือนกัน เพราะรู้สึกเบื่อหน่ายทุกเรื่องราว
เมื่อคิดพิจรณาดังนี้ หยุดดิ้นรน รู้ชัดทุกอาการที่มีเกิดขึ้นก่อนหมดลมหายใจเฮือกสุดท้าย ความรู้สึกดับลงไป
ต่อมารู้สึกเหมือนถูกดูดด้วยแรงดูดมหาศาล สองข้างทางที่ผ่านเข้าไป มีภาพในอดีตชาติแต่ละชาติ ผ่านไปไวมาก ดูไม่ทัน จึงไม่รู้ว่าเป็นชาติไหนบ้าง เป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัส ชีวิตแรกเกิด ตอนที่ออกจากท้องแม่ คลอดโดยใช้เครื่องดูดช่วยดูดออก ที่รู้ชัด เพราะเคยทำงานอยู่ตึกสูติ รู้โดยอาชีพ เมื่อมาเจอกับตนเอง จึงรู้ชัด
ตอนที่เราเจอ ช่วงถูกดูดเข้าไป ตอนนั้นสว่างมากๆๆๆ จะเหมือนในภาพ