รู้ให้ทัน หยุดให้ทัน
จากการไปปฏิบัติ ที่สถานปฏิบัติธรรม พระธรรมโมลี ปากช่อง เขาใหญ่ ในครั้งนี้ ทำให้เห็นว่า สิ่งที่ควรกระทำให้มากขึ้นคือ รู้ให้ทัน หยุดให้ทัน
เรื่องราวของการทำความเพียร ไม่มีอะไรเลย แต่ที่มีมากที่สุด คือ ใจ นี่แหละ ถ้ารู้ไม่ทันต่อสภาวะที่เกิดขึ้น(กิเลส) นอกจาก ความคิดที่เกิดขึ้นแล้ว ยังก้าวล่วงออกไปทางวจีกรรม กายกรรมอีก
ผลกระทบกลับมาคือ การกระทำนั้นๆ หรือ ความคิดนั้นๆ ส่งผลกลับมา ขณะที่กำลังปฏิบัติอยู่ เรียกว่า ถูกนิวรณ์เล่นงาน จนอ่วมอรทัย แทบจะหอบกระเป๋ากลับบ้าน
ถือคำพูด
เกือบทำแบบนั้นจริงๆ อยากจะหอบกระเป๋ากลับบ้านในวันนั้น ทันที แต่เพราะได้บอกพระอาจารย์ ล่วงหน้าไว้แล้วว่า จะกลับวันจันทร์ กลัวถูกว่า เป็นคนโลเล เลยไม่กล้าทำตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น
สภาวะมาสอน
เมื่อทำความเพียรต่อ จิตคิดพิจรณาตลอด ภาพแต่ละเหตุ แต่ละขณะ ผุดขึ้นมาต่อเนื่อง
สภาวะตามความเป็นจริง รู้ดีว่า สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นไปตามเหตุปัจจัยของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นการ ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ถ่าย ฯลฯ
จากเหตุปัจจัยที่มีต่อกัน เมื่อมาพบเจอกัน ความยึดติดในรู้ ที่มีอยู่ รู้ว่าควรทำอย่างไร ใจไปคิดแทนเขา ยามที่เห็นการกระทำของเขา
เห็นเขาตักอาหารเต็มถาด หลุมที่มีอยู่ แทบจะไม่พอใส่ ใส่จนล้น อาหารเวลาจะหยิบ เลือกแล้ว เลือกอีก คนแล้วคนอีก หยิบอาหารแบบ ไม่นึกถึงคนที่เหลืออยู่ว่า คนข้างหลัง จะมีกินพอไหม
ตัวเหตุ
สิ่งที่เกิดขึ้น ถูกสะสมเชื้อ มาตั้งแต่วันแรกเจอกัน ภาพการไม่กำหนดในการหยิบ ตัก กิน ปริมาณอาหารที่ล้นถาด แต่เขาก็กินจนหมด ไม่มีเหลือ และยังไปหาของกินเพิ่มอีกที่ข้างบน ตรงที่มีน้ำปานะ จัดตั้งไว้
ขนมเป็นเหตุ
วันที่เกิดเหตุมากที่สุด คือ วันที่มีขนมเปี๊ยะกุหลาบ ชิ้นเล็กๆ มีชิฟฟ่อนเค้ก มีหลายคน หยิบแบบไม่คิดถึงคนข้างหลัง หยิบใส่ล้นหลุม
พอมาถึงเรา และมีคนต่อจากเราอีกสองคน ขนมหมดเกลี้ยง เหลือแต่กล้วยน้ำว้า ตอนนั้นแหละ ปริ๊ดทันที เก็บเอาไว้ในใจ
น้ำปานะก็เหมือนกัน พฤติกรรมจากคนเดิม แม้แต่ของพระ ก็ไม่เว้น น้ำปานะ ที่โยมนำมาใส่กล่องไว้ สำหรับพระ คนนี้กลับหยิบเอามากินแบบไม่ต้องคิด
แถมน้ำปานะนั้น หลังเที่ยงไม่ควรกิน เพราะ เป็นพวกธัญญาพืชแบซอง ที่มีส่วนผสมที่ต้องเคี้ยว เช่น ข้าว ข้าวโพด ถึงแม้จะบดละเอียดมาแล้วก็ตาม
ใจมีคิด เมื่อมีคิด เหตุมี ผลย่อมมี ขณะปฏิบัติ ภาพต่างๆผุดขึ้นมา เดินก็รู้เท้าไม่ค่อยชัด เพราะไปคิดเรื่องอื่นมากกว่า เวลานั่ง ก็นั่งไม่ได้ มีแต่ความคิด ทนอยู่จนหมดเวลา ใจอยากกลับบ้าน
ใจปล่อยวาง
การคิดพิจรณา ในสิ่งที่ติดอยู่ พยายามที่จะละ แค่ดับไปชั่วคราว ตราบใดที่ยังมีเชื้อ ก็เกิดขึ้นมาใหม่อีก รู้สึกฟุ้งซ่าน
ผลของการทำความเพียรต่อเนื่อง มุ่งดับเหตุของการเกิดมาตลอด ผลส่งกลับมา มีน้องคนหนึ่ง มาใหม่ เวลากินข้าว เขาจะกินแบบไม่สนใจใคร กินเอิ่ม ก็ลุก อยากคุยก็คุย ไม่สนใจใคร(ตามภาพที่มองเห็น)
เมื่อมาปฏิบัติ ภาพของน้องผุดขึ้นมา พร้อมกับภาพที่ติดอยู่ เรื่องการกินของอีกคน สองภาพ แตกต่างอย่างสิ้นเชิง
ภาพคนแรก กินแบบไม่คิดอะไร
ภาพคนที่สอง กินแบบไม่คิดอะไร กินในแบบของเขา เพราะเรามีเหตุปัจจัยกับเขา จึงทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด
เหตุของเขา แต่เราดันไปคิดแทนว่า จะต้องทำแบบนั้น แบบนี้ จึงจะส่งผลเร็ว ต่อการปฏิบัติ
ภาพคนแรกผุดขึ้นมาอีก เขาไม่สนใจใคร กินๆแล้วก็ไป
จิตเกิดการปล่อยวางลงทันที นี่แหละ ทุกข์เพราะคิด
วันต่อๆมา เมื่อกระทบกับบุคคลเดิม ใจว่างเปล่า ไม่มีความรู้สึกหรือความคิดใดๆกับเขาอีก มันเป็นเรื่องเหตุปัจจัยของแต่ละคน
นี่แหละ คิดให้ตาย คิดเพื่อจะหยุด กลับหยุดคิดไม่ได้
จนกว่า จิตจะเห็นความจริงแบบแจ่มแจ้ง จนเกิดการปล่อยวางโดยตัวของจิตเอง ทุกสิ่งหายวั๊บไปกับตา ไม่มีเหลือเชื้อให้เกิดขึ้นอีก ใจกลับมาปกติ
ไม่หักดิบ
การไปครั้งนี้ ทำให้เห็นความอยากที่เนียนมากขึ้น อยาก แต่ไม่รู้ว่าอยาก คิดว่ารู้ จึงทำ อยากได้สภาวะเดิมๆกลับคืน รู้ว่า ควรทำอย่างไร จึงคิดหักดิบ
ผลคือความพลั้งเผลอ ที่ยังมีอยู่ ผลกระทบส่งกลับมาที่เวลาปฏิบัติ มีแต่ความคิด จิตจึงตั้งมั่นได้ยาก เพราะโดนนิวรณ์เล่นงาน
ความเผลอ
ทุกๆการกระทำ ต้องรู้ให้ทัน เพราะยังไม่ทัน การสร้างเหตุใหม่ ให้เกิดขึ้น จึงเกิดทันที แค่คำพูด ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่ควรกระทำก็ตาม
พี่ที่พักอยู่ด้วยกัน มีเหตุให้เขาอยู่ต่อไม่ได้ ขอกลับก่อนกำหนด เราก็บอกกับพี่ว่า พี่อยู่ต่อไม่ได้จริงๆหรือ น่าจะอยู่นะ ให้อภัยพี่อีกคนไปเถอะ อย่าถือโกรธขนาดนั้นเลย
พี่ตอบว่า ไม่เอา อยู่ไม่ได้จริงๆ น้องไม่มาเป็นพี่ น้องไม่รู้หรอก
เราก็บอกว่า พี่ไปห่วงพี่เขามากไป จนเอามาเป็นภาระให้กับตัวเอง ก็เลยเป็นแบบนี้ เขาจะกินยังไง ก็เรื่องของเขา
ผลกลับมา
กรรมนี่ทันตานะ หลังจากพี่เขากลับไป สองวันต่อมา วลัยพรเจอทันที ผลคือ แทบจะหอบกระเป๋ากลับบ้านเหมือนกัน ถ้าไม่ติดว่า บอกพระอาจารย์ไว้แล้วว่า จะกลับวันจันทร์ ไม่งั้น กลับจริงๆ
ทนอยู่ต่อ ปฏิบัติก็ห่วยแตกสุดๆ เห็นแต่ทุกข์ มีแต่ความคิด ฟุ้งซ่านมากๆ เห็นชัดเลย อาการอยากหอบกระเป๋ากลับบ้าน เป็นปัจจัจตังจริงๆ เหมือนที่พี่เขาพูดไว้ น้องไม่มาเป็นพี่ น้องไม่รู้หรอก
จบ
สองวันต่อมา เจอเหตุให้ ทำให้มีสติ ดับเหตุเก่าที่มีอยู่ลงไปได้ ใจกลับมาปกติ การทำความเพียร เป้นไปได้แบบสบายๆ
ใจกลับมาคิดอีก อยากอยู่ต่อ ไม่อยากกลับ แต่สติบอกว่า ไม่เที่ยงหรอก กลับดีกว่า แล้วเริ่มต้นใหม่อีก
ไม่มีอะไร
กลับมาตั้งสติใหม่ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องปกติของสิ่งๆนั้น มันไม่มีอะไร ที่มีเพราะเรามีเหตุปัจจัยร่วมกับเขา