ราคะ ความกำหนัด ความยินดี พอใจ กามฉันทะ โลภ กามฉันทะ
ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งทางใจ ความยินร้าย ไม่พอใจ โกรธ พยาบาท
กิเลสหยาบ นิวรณ์
กิเลสกลาง สังโยชน์
กิเลสละเอียด อนุสัย
ราคะ ปฏิฆะ กิเลสแบบหยาบ นิวรณ์
การสดับพระธรรมจากพระอริยะ สัตบุรุษ สัปปุรุษ
ทำให้ช่วยเบาบางลงไปได้
ราคะ ปฏิฆะ กิเลสแบบกลาง สังโยชน์
อาศัยการทำกรรมฐาน จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ช่วยบดบังลงไปได้
ราคะ ปฏิฆะ อนสุัย
อาศัยจากวิมุตติปาริสุทธิที่มีเกิดขึ้นตามจริง
แจ้งอริยสัจ ๔ ตามจริง
ประหานอนุสัยที่มีอยู่ลงไปได้
วิชชา ๑ ประหานกามตัณหา
วิชชา ๒ ประหานภวตัณหา
วิชชา ๓ ประหานวิภวตัณหา
๔ โปตลิยสูตร
เรื่องโปตลิยคฤหบดี
[๓๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จประทับอยู่ในอังคุตตราปชนบท ในนิคม ของชาวอังคุตตราปะ ชื่อว่าอาปณะ.
ครั้งนั้น เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังอาปณนิคม.
ครั้นเสด็จเที่ยวบิณฑบาตในอาปณนิคมแล้วภายหลังภัต
เสด็จกลับจากบิณฑบาตแล้ว เสด็จเข้าไปยังไพรสณฑ์แห่งหนึ่ง เพื่อทรงพักกลางวัน
เสด็จถึงไพรสณฑ์นั้นแล้ว ประทับนั่งพักกลางวัน ณ โคนไม้ต้นหนึ่ง
แม้โปตลิยคฤหบดี มีผ้านุ่งผ้าห่มสมบูรณ์ ถือร่มสวมรองเท้า
เดินเที่ยวไปมาเป็นการพักผ่อนอยู่ เข้าไปยังไพรสณฑ์นั้นแล้ว
ครั้นถึงไพรสณฑ์นั้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
[๓๗] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะโปตลิยคฤหบดีผู้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งว่า
ดูกรคฤหบดี อาสนะมีอยู่ ถ้าท่านประสงค์ เชิญนั่งเถิด.
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว
โปตลิยคฤหบดีโกรธ น้อยใจว่า พระสมณโคดมตรัสเรียกเราด้วยคำว่า คฤหบดี แล้วได้นิ่งเสีย.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะโปตลิยคฤหบดีครั้งที่ ๒ ว่า ดูกรคฤหบดี อาสนะมีอยู่ ถ้าท่านประสงค์เชิญนั่งเถิด.
โปตลิยคฤหบดีโกรธ น้อยใจว่า พระสมณโคดมตรัสเรียกเราด้วยคำว่า คฤหบดีได้นิ่งเสียเป็นครั้งที่ ๒.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะโปตลิยคฤหบดีเป็นครั้งที่ ๓ ว่า ดูกรคฤหบดี อาสนะมีอยู่ ถ้าท่านประสงค์ เชิญนั่งเถิด.
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว โปตลิยคฤหบดีโกรธ น้อยใจว่า พระสมณโคดมตรัสเรียกเราด้วยคำว่า คฤหบดี
แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ท่านพระโคดม
พระดำรัสที่พระองค์ตรัสเรียกข้าพเจ้าด้วยคำว่า คฤหบดีนั้น ไม่เหมาะ ไม่ควรเลย.
พ. ดูกรคฤหบดี ก็อาการของท่าน เพศของท่าน
เครื่องหมายของท่านเหล่านั้น เหมือนคฤหบดีทั้งนั้น.
โป. จริงเช่นนั้น ท่านพระโคดม ก็แต่ว่าการงานทั้งปวง
ข้าพเจ้าห้ามเสียแล้ว โวหารทั้งปวง ข้าพเจ้าตัดขาดแล้ว.
ดูกรคฤหบดี ก็การงานทั้งปวง ท่านห้ามเสียแล้ว โวหารทั้งปวง ท่านตัดขาดแล้วอย่างไรเล่า?
ท่านพระโคดม ขอประทานโอกาส สิ่งใดของข้าพเจ้าที่มี เป็นทรัพย์ก็ดี
เป็นข้าวเปลือกก็ดี เป็นเงินก็ดี เป็นทองก็ดี สิ่งนั้นทั้งหมด
ข้าพเจ้ามอบให้เป็นมฤดกแก่บุตรทั้งหลาย ข้าพเจ้ามิได้สอน มิได้ว่าเขาในสิ่งนั้นๆ
ข้าพเจ้ามีอาหารและเครื่องนุ่งห่มเป็นอย่างยิ่งอยู่
ท่านพระโคดม การงานทั้งปวงข้าพเจ้าห้ามเสียแล้ว โวหารทั้งปวง
ข้าพเจ้าตัดขาดแล้ว ด้วยประการอย่างนี้แล.
ดูกรคฤหบดี ท่านกล่าวการตัดขาดโวหาร เป็นอย่างหนึ่ง
ส่วนการตัดขาดโวหารในวินัยของพระอริยะ เป็นอีกอย่างหนึ่ง.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็การตัดขาดโวหารในวินัยของพระอริยะอย่างไรเล่า
ดีละ พระองค์ผู้เจริญ การตัดขาดโวหารในวินัยของพระอริยะ มีอยู่ ด้วยประการใด
ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงแสดงธรรมแก่ข้าพเจ้า ด้วยประการนั้นเถิด.
ดูกรคฤหบดี ถ้าอย่างนั้น ท่านจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว.
โปตลิยคฤหบดีทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว.
เครื่องตัดโวหาร ๘ ประการ
[๓๘] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรคฤหบดี ธรรม ๘ ประการนี้
ย่อมเป็นไปเพื่อตัดขาดโวหารในวินัยของพระอริยะ
๘ ประการเป็นไฉน
คือ ปาณาติบาต
พึงละได้ เพราะอาศัยการไม่ฆ่าสัตว์
อทินนาทาน
พึงละได้ เพราะอาศัยการถือเอาแต่ของที่เขาให้
มุสาวาท
พึงละได้ เพราะอาศัยวาจาสัตย์ ปิสุณาวาจา
พึงละได้ เพราะอาศัยวาจาไม่ส่อเสียด
ความโลภ
ด้วยสามารถความกำหนัด
พึงละได้ เพราะอาศัยความไม่โลภ ด้วยสามารถความกำหนัด
ความโกรธด้วยสามารถแห่งการนินทา
พึงละได้ เพราะความไม่โกรธ ด้วยสามารถแห่งการนินทา
ความคับแค้นด้วยความสามารถแห่งความโกรธ
พึงละได้ เพราะอาศัยความไม่คับแค้น ด้วยสามารถความโกรธ
ความดูหมิ่น
ท่านพึงละได้ เพราะอาศัยความไม่ดูหมิ่นท่าน
ดูกรคฤหบดี ธรรม ๘ ประการนี้แล เรากล่าวโดยย่อยังมิได้จำแนกโดยพิสดาร
ย่อมเป็นไปเพื่อตัดขาดโวหารในวินัยของพระอริยะ.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ธรรม ๘ ประการนี้
พระผู้มีพระภาคตรัสโดยย่อ มิได้ทรงจำแนกโดยพิสดาร
ย่อมเป็นไปเพื่อตัดขาดโวหารในวินัยของพระอริยะ
ดีละ พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคทรงอาศัยความกรุณา
จำแนกธรรม ๘ ประการนี้ โดยพิสดารแก่ข้าพเจ้าเถิด.
ดูกรคฤหบดี ถ้าอย่างนั้น ท่านจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว.
โปตลิยคฤหบดีทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว.
[๓๙] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรคฤหบดี
ก็คำที่เรากล่าวดังนี้ว่า ปาณาติบาต
พึงละได้ เพราะอาศัยการไม่ฆ่าสัตว์
เรากล่าวเพราะอาศัยอะไร
ดูกรคฤหบดี อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เราพึงทำปาณาติบาต
เพราะเหตุแห่งสังโยชน์เหล่าใด
เราปฏิบัติเพื่อละ เพื่อตัดสังโยชน์เหล่านั้น
อนึ่ง เราพึงทำปาณาติบาต
แม้ตนเองพึงติเตียนตนได้
เพราะปาณาติบาตเป็นปัจจัย
วิญญูชนพิจารณาแล้ว พึงติเตียนได้
เพราะปาณาติบาตเป็นปัจจัย
เมื่อตายไป ทุคติเป็นอันหวังได้
เพราะปาณาติบาตเป็นปัจจัย
ปาณาติบาตนี้นั่นแหละ
เป็นตัวสังโยชน์
เป็นตัวนิวรณ์
อนึ่ง อาสวะที่เป็นเหตุคับแค้นและกระวนกระวายเหล่าใด
พึงเกิดขึ้น เพราะปาณาติบาตเป็นปัจจัย
เมื่อบุคคลงดเว้นจากปาณาติบาตแล้ว
อาสวะที่เป็นเหตุคับแค้นและกระวนกระวายเหล่านั้น ย่อมไม่มี
คำที่กล่าวดังนี้ว่า ปาณาติบาต
พึงละได้ เพราะอาศัยการไม่ฆ่าสัตว์
เรากล่าวเพราะอาศัยข้อนี้.
[๔๐] ก็คำที่เรากล่าวดังนี้ว่า อทินนาทาน
พึงละได้ เพราะอาศัยการถือเอาแต่ของที่เขาให้
เรากล่าวเพราะอาศัยอะไร
ดูกรคฤหบดี อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เราพึงถือเอาของที่เขามิได้ให้
เพราะเหตุแห่งสังโยชน์เหล่าใด
เราปฏิบัติเพื่อละ เพื่อตัดสังโยชน์เหล่านั้น
อนึ่ง เราพึงถือเอาของที่เขามิได้ให้
แม้ตนเองพึงติเตียนตนได้
เพราะอทินนาทานเป็นปัจจัย
วิญญูชนพิจารณาแล้วพึงติเตียนได้
เพราะอทินนาทานเป็นปัจจัย
เมื่อตายไป ทุคติเป็นอันหวังได้
เพราะอทินนาทานเป็นปัจจัย
อทินนาทานนี้นั้นแหละ
เป็นตัวสังโยชน์
เป็นตัวนิวรณ์
อนึ่ง อาสวะที่เป็นเหตุคับแค้น และกระวนกระวายเหล่าใด
พึงเกิดขึ้น เพราะอทินนาทานเป็นปัจจัย
เมื่อบุคคลงดเว้นจากอทินนาทานแล้ว
อาสวะที่เป็นเหตุคับแค้นและกระวนกระวายเหล่านั้น ย่อมไม่มี
คำที่เรากล่าวดังนี้ว่า อทินนาทาน
พึงละได้ เพราะอาศัยการถือเอาแต่ของที่เขาให้
เรากล่าวเพราะอาศัยข้อนี้.
[๔๑] ก็คำที่เรากล่าวดังนี้ว่า มุสาวาท
พึงละได้ เพราะอาศัยวาจาสัตย์
เรากล่าวเพราะอาศัยอะไร
ดูกรคฤหบดี อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เราพึงกล่าวมุสา
เพราะเหตุแห่งสังโยชน์เหล่าใด
เราปฏิบัติเพื่อละ เพื่อตัดสังโยชน์เหล่านั้น
อนึ่ง เราพึงกล่าวมุสา
แม้ตนเองพึงติเตียนตนได้
เพราะมุสาวาทเป็นปัจจัย
วิญญูชนพิจารณาแล้วพึงติเตียนได้
เพราะมุสาวาทเป็นปัจจัย
เมื่อตายไป ทุคติเป็นอันหวังได้
เพราะมุสาวาทเป็นปัจจัย
มุสาวาทนี้นั่นแหละ
เป็นตัวสังโยชน์
เป็นตัวนิวรณ์
อนึ่ง อาสวะที่เป็นเหตุคับแค้นและกระวนกระวายเหล่าใด
พึงเกิดขึ้น เพราะมุสาวาทเป็นปัจจัย
เมื่อบุคคลเว้นจากมุสาวาทแล้ว
อาสวะที่เป็นเหตุคับแค้นและกระวนกระวายเหล่านั้น ย่อมไม่มี
คำที่เรากล่าวดังนี้ว่า มุสาพึงละได้
เพราะอาศัยวาจาสัตย์
เรากล่าวเพราะอาศัยข้อนี้.
[๔๒] ก็คำที่เรากล่าวดังนี้ว่า ปิสุณาวาจา
พึงละได้ เพราะอาศัยวาจาไม่ส่อเสียด
เรากล่าวเพราะอาศัยอะไร
ดูกรคฤหบดี อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เราพึงกล่าววาจาส่อเสียด
เพราะเหตุแห่งสังโยชน์เหล่าใด
เราปฏิบัติเพื่อละ เพื่อตัดสังโยชน์เหล่านั้น
อนึ่ง เราพึงกล่าววาจาส่อเสียด
แม้ตนเองพึงติเตียนตนได้
เพราะวาจาส่อเสียดเป็นปัจจัย
วิญญูชนพิจารณาแล้ว
พึงติเตียนได้ เพราะวาจาส่อเสียดเป็นปัจจัย
เมื่อตายไป ทุคติเป็นอันหวังได้
เพราะวาจาส่อเสียดเป็นปัจจัย
ปิสุณาวาจานี้นั่นแหละ
เป็นตัวสังโยชน์
เป็นตัวนิวรณ์
อนึ่ง อาสวะที่เป็นเหตุคับแค้นและกระวนกระวายเหล่าใด
พึงเกิดขึ้น เพราะวาจาส่อเสียดเป็นปัจจัย
เมื่อบุคคลงดเว้นจากวาจาส่อเสียดแล้ว
อาสวะที่เป็นเหตุคับแค้นและกระวนกระวายเหล่านั้น ย่อมไม่มี
คำที่เรากล่าวดังนี้ว่า ปิสุณาวาจา
พึงละได้ เพราะอาศัยวาจาไม่ส่อเสียด
เรากล่าวเพราะอาศัยข้อนี้.
[๔๓] ก็คำที่เรากล่าวดังนี้ว่า ความโลภด้วยสามารถความกำหนัด
พึงละได้ เพราะอาศัยความไม่โลภด้วยสามารถความกำหนัด
เรากล่าวเพราะอาศัยอะไร
ดูกรคฤหบดี อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เราพึงมีความโลภด้วยสามารถความกำหนัด
เพราะเหตุสังโยชน์เหล่าใด
เราปฏิบัติเพื่อละเพื่อตัดสังโยชน์เหล่านั้น
อนึ่ง เราพึงมีความโลภด้วยสามารถความกำหนัด
แม้ตนเองพึงติเตียนตนได้
เพราะความโลภด้วยสามารถแห่งความกำหนัดเป็นปัจจัย
วิญญูชนพิจารณาแล้วพึงติเตียนได้
เพราะความโลภด้วยสามารถแห่งความกำหนัดเป็นปัจจัย
เมื่อตายไป ทุคติเป็นอันหวังได้
เพราะความโลภด้วยสามารถความกำหนัดเป็นปัจจัย
ความโลภด้วยสามารถความกำหนัดนี้นั่นแหละ
เป็นตัวสังโยชน์
เป็นตัวนิวรณ์
อนึ่ง อาสวะที่เป็นเหตุคับแค้นและกระวนกระวายเหล่าใด
พึงเกิดขึ้น เพราะความโลภด้วยสามารถความกำหนัดเป็นปัจจัย
เมื่อบุคคลไม่โลภด้วยสามารถความกำหนัด
อาสวะที่เป็นเหตุคับแค้นและกระวนกระวายเหล่านั้น ย่อมไม่มี
คำที่เรากล่าวดังนี้ว่า ความโลภด้วยสามารถความกำหนัด
พึงละได้ เพราะอาศัยความไม่โลภด้วยสามารถความกำหนัด
เรากล่าวเพราะอาศัยข้อนี้.
[๔๔] ก็คำที่เรากล่าวดังนี้ว่า ความโกรธด้วยความสามารถแห่งการนินทา
พึงละได้ เพราะอาศัยความไม่โกรธด้วยสามารถแห่งการนินทา
คำนี้เรากล่าวเพราะอาศัยอะไร
ดูกรคฤหบดี อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เราพึงโกรธด้วยสามารถแห่งการนินทา
เพราะเหตุแห่งสังโยชน์เหล่าใด
เราปฏิบัติเพื่อละ เพื่อตัดสังโยชน์เหล่านั้น
อนึ่งเราพึงโกรธด้วยสามารถแห่งการนินทา
แม้ตนเองพึงติเตียนตนได้
เพราะความโกรธด้วยสามารถแห่งการนินทาเป็นปัจจัย
วิญญูชนพิจารณาแล้วพึงติเตียนได้
เพราะความโกรธด้วยสามารถแห่งการนินทาเป็นปัจจัย
เมื่อตายไป ทุคติเป็นอันหวังได้
เพราะความโกรธด้วยสามารถแห่งการนินทาเป็นปัจจัย
ความโกรธด้วยสามารถแห่งการนินทานั่นแหละ
เป็นตัวสังโยชน์
เป็นตัวนิวรณ์
อนึ่ง อาสวะที่เป็นเหตุคับแค้นและกระวนกระวายเหล่าใด
พึงเกิดขึ้น เพราะความโกรธด้วยสามารถแห่งการนินทาเป็นปัจจัย
เมื่อบุคคลไม่โกรธด้วยสามารถแห่งการนินทา
อาสวะที่เป็นเหตุคับแค้นและกระวนกระวายเหล่านั้น ย่อมไม่มี
คำที่เรากล่าวดังนี้ว่า ความโกรธด้วยสามารถแห่งการนินทา
พึงละได้ เพราะอาศัยความไม่โกรธด้วยสามารถแห่งการนินทา
เรากล่าวเพราะอาศัยข้อนี้.
[๔๕] คำที่เรากล่าวดังนี้ว่า ความคับแค้นด้วยสามารถความโกรธ
พึงละได้ เพราะอาศัยความไม่คับแค้นด้วยสามารถความโกรธ
เรากล่าวเพราะอาศัยอะไร
ดูกรคฤหบดี อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เราพึงคับแค้นด้วยสามารถความโกรธ
เพราะเหตุแห่งสังโยชน์เหล่าใด
เราปฏิบัติเพื่อละ เพื่อตัดสังโยชน์เหล่านั้น
อนึ่ง เราพึงคับแค้นด้วยสามารถความโกรธ
แม้ตนเองพึงติเตียนตนได้
เพราะความคับแค้นด้วยสามารถแห่งความโกรธเป็นปัจจัย
วิญญูชนพิจารณาแล้ว พึงติเตียนได้
เพราะความคับแค้นด้วยสามารถแห่งความโกรธเป็นปัจจัย
เมื่อตายไป ทุคติเป็นอันหวังได้
เพราะความคับแค้นด้วยสามารถแห่งความโกรธเป็นปัจจัย
ความคับแค้นด้วยสามารถแห่งความโกรธนี้นั่นแหละ
เป็นตัวสังโยชน์
เป็นตัวนิวรณ์
อนึ่ง อาสวะที่เป็นเหตุคับแค้นและกระวนกระวายเหล่าใด
พึงเกิดขึ้น เพราะความคับแค้นด้วยสามารถความโกรธเป็นปัจจัย
เมื่อบุคคลไม่คับแค้นด้วยสามารถความโกรธ
อาสวะที่เป็นเหตุคับแค้นและกระวนกระวายเหล่านั้น ย่อมไม่มี
คำที่เรากล่าวดังนี้ว่า ความคับแค้นด้วยสามารถความโกรธ
พึงละได้ เพราะอาศัยความไม่คับแค้นด้วยสามารถความโกรธ
เรากล่าวเพราะอาศัยข้อนี้.
[๔๖] คำที่เรากล่าวดังนี้ว่า ความดูหมิ่นท่าน
พึงละได้ เพราะอาศัยความไม่ดูหมิ่นท่าน
เรากล่าวเพราะอาศัยอะไร
ดูกรคฤหบดี อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เราพึงดูหมิ่นท่าน
เพราะเหตุแห่งสังโยชน์เหล่าใด
เราปฏิบัติเพื่อละ เพื่อตัดสังโยชน์เหล่านั้น
อนึ่ง เราพึงดูหมิ่นท่าน
แม้ตนเองพึงติเตียนตนได้
เพราะความดูหมิ่นท่านเป็นปัจจัย
วิญญูชนพิจารณาแล้วพึงติเตียนตนได้
เพราะความดูหมิ่นท่านเป็นปัจจัย
เมื่อตายไป ทุคติเป็นอันหวังได้
เพราะความดูหมิ่นท่านเป็นปัจจัย
ความดูหมิ่นท่านนี้นั่นแหละ
เป็นตัวสังโยชน์
เป็นตัวนิวรณ์
อนึ่ง อาสวะที่เป็นเหตุคับแค้นและกระวนกระวายเหล่าใด
พึงเกิดขึ้น เพราะความดูหมิ่นท่านเป็นปัจจัย
เมื่อบุคคลไม่ดูหมิ่นท่าน
อาสวะที่เป็นเหตุคับแค้นและกระวนกระวายเหล่านั้น ย่อมไม่มี
คำที่เรากล่าวดังนี้ว่า ความดูหมิ่นท่าน
พึงละได้ เพราะอาศัยความไม่ดูหมิ่นท่าน
เรากล่าวเพราะอาศัยข้อนี้.
ดูกรคฤหบดี ธรรม ๘ ประการที่เรากล่าวโดยย่อ ไม่ได้จำแนกโดยพิสดาร
ย่อมเป็นไปเพื่อละ เพื่อตัดขาดโวหารในวินัยของพระอริยะนั้น เหล่านี้แล
ดูกรคฤหบดี แต่เพียงเท่านี้จะได้ชื่อว่าเป็นการตัดขาดโวหารทั้งสิ้น
ทุกสิ่งทุกอย่าง โดยประการทั้งปวง ในวินัยของพระอริยะหามิได้.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ก็อย่างไรเล่า
จึงจะได้ชื่อว่าเป็นการตัดขาดโวหารทั้งสิ้น
ทุกสิ่งทุกอย่าง โดยประการทั้งปวง ในวินัยของพระอริยะ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็การตัดขาดโวหารทั้งสิ้น
ทุกสิ่งทุกอย่างโดยประการทั้งปวง ในวินัยของพระอริยะมีด้วยประการใด
ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงแสดงธรรมแก่ข้าพเจ้า ด้วยประการนั้นเถิด.
ดูกรคฤหบดี ถ้าอย่างนั้น ท่านจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว
โปตลิยคฤหบดีทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว.
อุปมากาม ๗ ข้อ
[๔๗] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า ดูกรคฤหบดี
เปรียบเหมือนสุนัขอันความเพลียเพราะความหิวเบียดเบียนแล้ว
พึงเข้าไปยืนอยู่ใกล้เขียงของนายโคฆาต
นายโคฆาตหรือลูกมือของนายโคฆาตผู้ฉลาด
พึงโยนร่างกระดูกที่เชือดชำแหละออกจนหมดเนื้อ
แล้วเปื้อนแต่เลือดไปยังสุนัข ฉันใด
ดูกรคฤหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
สุนัขนั้นแทะร่างกระดูกที่เชือดชำแหละออกจนหมดเนื้อ
เปื้อนแต่เลือด จะพึงบำบัดความเพลียเพราะความหิวได้บ้างหรือ?
ไม่ได้เลยพระองค์ผู้เจริญ
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเป็นร่างกระดูกที่เชือดชำแหละออกจนหมดเนื้อ
เปื้อนแต่เลือด และสุนัขนั้นพึงมีแต่ส่วนแห่งความเหน็ดเหนื่อยคับแค้นเท่านั้น.
ดูกรคฤหบดี อริยสาวกก็ฉันนั้นแล
ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า กามทั้งหลาย
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เปรียบด้วยร่างกระดูก
มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
ในกามนี้มีโทษอย่างยิ่ง
ครั้นเห็นโทษแห่งกามนี้ตามความเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้แล้ว
ย่อมเว้นขาดซึ่งอุเบกขาที่มีความเป็นต่างๆ
อาศัยความเป็นต่างๆ แล้วเจริญอุเบกขาที่มีความเป็นอารมณ์เดียว
อาศัยความเป็นอารมณ์เดียวอันเป็นที่ดับความถือมั่นโลกามิสโดยประการทั้งปวง หาส่วนเหลือมิได้.
[๔๘] ดูกรคฤหบดี เปรียบเหมือนแร้งก็ดี นกตะกรุมก็ดี เหยี่ยวก็ดี พาชิ้นเนื้อบินไปแร้งทั้งหลาย
นกตะกรุมทั้งหลาย หรือเหยี่ยวทั้งหลาย จะพึงโผเข้ารุมจิกแย่งชิ้นเนื้อนั้น ฉันใด
ดูกรคฤหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ถ้าแร้ง นกตะกรุม หรือเหยี่ยวตัวนั้น ไม่รีบปล่อยชิ้นเนื้อนั้นเสีย
มันจะถึงตายหรือทุกข์ปางตายเพราะชิ้นเนื้อนั้นเป็นเหตุ?
อย่างนั้น พระองค์ผู้เจริญ.
ดูกรคฤหบดี อริยสาวกก็ฉันนั้นแล ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่ากามทั้งหลาย
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เปรียบด้วยชิ้นเนื้อ มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก ในกามนี้มีโทษอย่างยิ่ง
ครั้นเห็นโทษแห่งกามนี้ตามความเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้แล้ว
ย่อมเว้นขาดซึ่งอุเบกขาที่มีความเป็นต่างๆ
อาศัยความเป็นต่างๆ แล้วเจริญอุเบกขาที่มีความเป็นอารมณ์เดียว
อาศัยความเป็นอารมณ์เดียว อันเป็นที่ดับความถือมั่นโลกามิสโดยประการทั้งปวง หาส่วนเหลือมิได้.
[๔๙] ดูกรคฤหบดี เปรียบเหมือนบุรุษพึงถือคบเพลิงหญ้าอันไฟติดทั่วแล้ว เดินทวนลมไป ฉันใด
ดูกรคฤหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ถ้าบุรุษนั้นไม่รีบปล่อยคบเพลิงหญ้าอันไฟติดทั่วนั้นเสีย คบเพลิงหญ้าอันไฟติดทั่วนั้น
พึงไหม้มือ ไหม้แขน หรืออวัยวะน้อยใหญ่ แห่งใดแห่งหนึ่งของบุรุษนั้น
บุรุษนั้นจะถึงตายหรือถึงทุกข์ปางตาย เพราะคบเพลิงนั้นเป็นเหตุ?
อย่างนั้น พระองค์ผู้เจริญ.
ดูกรคฤหบดี อริยสาวกก็ฉันนั้นแล ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่ากามทั้งหลาย
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เปรียบด้วยคบเพลิงหญ้า
มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก ในกามนี้มีโทษอย่างยิ่ง
ครั้นเห็นโทษแห่งกามนี้ตามความเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้แล้ว
ย่อมเว้นขาดซึ่งอุเบกขาที่มีความเป็นต่างๆ
อาศัยความเป็นต่างๆ แล้วเจริญอุเบกขาที่มีความเป็นอารมณ์เดียว
อาศัยความเป็นอารมณ์เดียว อันเป็นที่ดับความถือมั่นโลกามิสโดยประการทั้งปวง หาส่วนเหลือมิได้.
[๕๐] ดูกรคฤหบดี เปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง ลึกกว่าชั่วบุรุษหนึ่ง
เต็มด้วยถ่านเพลิงอันปราศจากเปลว ปราศจากควัน
บุรุษผู้รักชีวิต ไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์ พึงมา
บุรุษมีกำลังสองคนช่วยกันจับแขนบุรุษนั้นข้างละคน ฉุดเข้าไปยังหลุมถ่านเพลิง ฉันใด
ดูกรคฤหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
บุรุษนั้นจะพึงน้อมกายเข้าไปด้วยคิดเห็นว่าอย่างนี้ๆ บ้างหรือ?
ไม่เป็นเช่นนั้น พระองค์ผู้เจริญ ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะบุรุษนั้นรู้ว่าเราจักตกลงยังหลุมถ่านเพลิงนี้ จักถึงตาย หรือถึงทุกข์ปางตาย
เพราะการตกลงยังหลุมถ่านเพลิงเป็นเหตุ.
ดูกรคฤหบดี อริยสาวกก็ฉันนั้นแล ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่ากามทั้งหลาย
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เปรียบด้วยหลุมถ่านเพลิง
มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก ในกามนี้มีโทษอย่างยิ่ง
ครั้นเห็นโทษแห่งกามนี้ตามความเป็นจริง ด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้แล้ว
ย่อมเว้นขาดซึ่งอุเบกขา ที่มีความเป็นต่างๆ
อาศัยความเป็นต่างๆ แล้วเจริญอุเบกขาที่มีความเป็นอารมณ์เดียว
อาศัยความเป็นอารมณ์เดียว
อันเป็นที่ดับความถือมั่นโลกามิสโดยประการทั้งปวง หาส่วนเหลือมิได้.
[๕๑] ดูกรคฤหบดี เปรียบเหมือนบุรุษพึงฝันเห็นสวนอันน่ารื่นรมย์ ป่าอันน่ารื่นรมย์
ภาคพื้นอันน่ารื่นรมย์ สระโบกขรณีอันน่ารื่นรมย์ บุรุษนั้นตื่นขึ้นแล้ว ไม่พึงเห็นอะไร ฉันใด
ดูกรคฤหบดี อริยสาวกก็ฉันนั้นแล ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่ากามทั้งหลาย
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เปรียบด้วยความฝัน มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
ในกามนี้มีโทษอย่างยิ่ง
ครั้นเห็นโทษแห่งกามนี้ตามความเป็นจริง ด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้แล้ว
ย่อมเว้นขาดซึ่งอุเบกขาที่มีความเป็นต่างๆ
อาศัยความเป็นต่างๆ แล้วเจริญอุเบกขาที่มีความเป็นอารมณ์เดียว
อาศัยความเป็นอารมณ์เดียว
อันเป็นที่ดับความถือมั่นโลกามิสโดยประการทั้งปวง หาส่วนเหลือมิได้.
[๕๒] ดูกรคฤหบดี เปรียบเหมือนบุรุษพึงยืมโภคสมบัติ
คือ แก้วมณีและกุณฑลอย่างดีบรรทุกยานไป
เขาแวดล้อมด้วยทรัพย์สมบัติที่ตนยืมมา พึงเดินไปภายในตลาด
คนเห็นเขาเข้าแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่าดูกรท่านผู้เจริญ บุรุษผู้นี้มีโภคสมบัติหนอ
ได้ยินว่าชนทั้งหลายผู้มีโภคสมบัติ ย่อมใช้สอยโภคสมบัติอย่างนี้ ดังนี้
พวกเจ้าของพึงพบบุรุษนั้น ณ ที่ใดๆ พึงนำเอาของของตนคืนไปในที่นั้นๆ ฉันใด
ดูกรคฤหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
จะสมควรหรือหนอ เพื่อความที่บุรุษนั้นจะเป็นอย่างอื่นไป?
ไม่เป็นเช่นนั้น พระองค์ผู้เจริญ
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเจ้าของย่อมจะนำเอาของของตนคืนไปได้.
ดูกรคฤหบดี อริยสาวกก็ฉันนั้นแล ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่ากามทั้งหลาย
พระผู้มีพระภาคตรัสว่าเปรียบด้วยของยืม มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
ในกามนี้มีโทษอย่างยิ่ง
ครั้นเห็นโทษแห่งกามนี้ตามความเป็นจริง ด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้แล้ว
ย่อมเว้นขาดซึ่งอุเบกขาที่มีความเป็นต่างๆ
อาศัยความเป็นต่างๆ แล้วเจริญอุเบกขาที่มีความเป็นอารมณ์เดียว
อาศัยความเป็นอารมณ์เดียว
อันเป็นที่ดับความถือมั่นโลกามิสโดยประการทั้งปวง หาส่วนเหลือมิได้.
[๕๓] ดูกรคฤหบดี เปรียบเหมือนราวป่าใหญ่ ในที่ไม่ไกลบ้านหรือนิคม
ต้นไม้ในราวป่านั้น พึงมีผลรสอร่อย ทั้งมีผลดก
แต่ไม่มีผลหล่นลง ณ ภาคพื้นสักผลเดียว
บุรุษผู้ต้องการผลไม้ พึงเที่ยวมาเสาะแสวงหาผลไม้
เขาแวะยังราวป่านั้น เห็นต้นไม้อันมีผลรสอร่อยมีผลดกนั้น
เขาพึงคิดอย่างนี้ว่า ต้นไม้นี้มีผลรสอร่อย มีผลดก
แต่ไม่มีผลหล่นลง ณ ภาคพื้นสักผลเดียว แต่เรารู้เพื่อขึ้นต้นไม้
ไฉนหนอ เราพึงขึ้นต้นไม้นี้แล้วกินพออิ่ม และห่อพกไปบ้าง
เขาขึ้นต้นไม้นั้นแล้ว กินจนอิ่ม และห่อพกไว้
ลำดับนั้น บุรุษคนที่สองต้องการผลไม้ถือขวานอันคมเที่ยวมาเสาะแสวงหาผลไม้
เขาแวะยังราวป่านั้นแล้ว เห็นต้นไม้ มีผลรสอร่อย มีผลดกนั้น
เขาพึงคิดอย่างนี้ว่า ต้นไม้นี้มีผลรสอร่อย มีผลดก
แต่ไม่มีผลหล่นลง ณ ภาคพื้นสักผลเดียวและเราก็ไม่รู้เพื่อขึ้นต้นไม้
ไฉนหนอ เราพึงตัดต้นไม้นี้แต่โคนต้น แล้วกินพออิ่ม และห่อพกไปบ้าง
เขาพึงตัดต้นไม้นั้นแต่โคนต้น ฉันใด
ดูกรคฤหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษคนโน้นซึ่งขึ้นต้นไม้ก่อนนั้น
ถ้าแลเขาไม่รีบลง ต้นไม้นั้นจะพึงล้มลง หักมือ หักเท้า
หรือหักอวัยวะน้อยใหญ่แห่งใดแห่งหนึ่งของบุรุษนั้น
บุรุษนั้นพึงถึงตายหรือถึงทุกข์ปางตาย เพราะต้นไม้นั้นล้มเป็นเหตุ?
เป็นอย่างนั้น พระองค์ผู้เจริญ.
ดูกรคฤหบดี อริยสาวกก็ฉันนั้นแล ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่ากามทั้งหลาย
พระผู้มีพระภาคตรัสว่าเปรียบด้วยผลไม้ มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
ในกามนี้มีโทษอย่างยิ่ง
ครั้นเห็นโทษแห่งกามนี้ตามความเป็นจริง ด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้แล้ว
ย่อมเว้นขาดซึ่งอุเบกขาที่มีความเป็นต่างๆ อาศัยความเป็นต่างๆ
แล้วเจริญอุเบกขาที่มีความเป็นอารมณ์เดียว
อาศัยความเป็นอารมณ์เดียว
อันเป็นที่ดับความถือมั่นโลกามิสโดยประการทั้งปวง หาส่วนเหลือมิได้.
วิชชา ๓
[๕๔] ดูกรคฤหบดี อริยสาวกนี้นั้นแล อาศัยอุเบกขา
เป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์ ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่านี้
เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก
คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง
ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง
ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง
ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง
ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้างว่า
ในภพโน้นเรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น
มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น
แม้ในภพนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น
มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ เธอย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก
พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้.
ดูกรคฤหบดี อริยสาวกนี้นั้นแล อาศัยอุเบกขาเป็นเหตุ
ให้สติบริสุทธิ์ ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่านี้แหละ
เธอเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว
ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี
ตกยากด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์
ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า
สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
ติเตียนพระอริยเจ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ
ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
เขาย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
ส่วนสัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต
ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ
ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้
เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์ กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต
มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก
ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์
ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้.
ดูกรคฤหบดี อริยสาวกนี้นั้นแล อาศัยอุเบกขาเป็นเหตุ
ให้สติบริสุทธิ์ ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่านี้แหละ
เธอทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้
เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่.
โปตลิยคฤหบดีแสดงตนเป็นอุบาสก
[๕๕] ดูกรคฤหบดี ด้วยอาการเพียงเท่านี้แล
ชื่อว่าเป็นการตัดขาดโวหารทั้งสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่าง
โดยประการทั้งปวง ในวินัยของพระอริยะ
ดูกรคฤหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ท่านเห็นการตัดขาดโวหารทั้งสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง
โดยประการทั้งปวง ในวินัยของอริยะเห็นปานนี้
ในตนบ้างหรือหนอ.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าก็กระไรๆ อยู่
การตัดขาดโวหารทั้งสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่าง
โดยประการทั้งปวง ในวินัยของพระอริยะ อันใด
ข้าพเจ้ายังห่างไกลจากการตัดขาดโวหารทั้งสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่าง
โดยประการทั้งปวง ในวินัยของพระอริยะ อันนั้น
เพราะเมื่อก่อนพวกข้าพเจ้า
ได้สำคัญพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกผู้ไม่รู้ทั่วถึง ว่าเป็นผู้รู้ทั่วถึง
ได้คบหาพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกผู้ไม่รู้ทั่วถึง ว่าเป็นผู้อันบุคคลผู้รู้เหตุผลพึงคบหา
ได้เทิดทูนพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกผู้ไม่รู้ทั่วถึงไว้ในฐานะของผู้รู้ทั่วถึง
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แต่พวกข้าพเจ้าได้สำคัญ
ภิกษุทั้งหลายผู้รู้ทั่วถึง ว่าเป็นผู้ไม่รู้ทั่วถึง
ได้คบหาภิกษุทั้งหลายผู้รู้ทั่วถึง ว่าเป็นผู้อันบุคคลผู้ไม่รู้เหตุผล พึงคบหา
ได้ตั้งภิกษุทั้งหลายผู้รู้ทั่วถึง ไว้ในฐานะของผู้ไม่รู้ทั่วถึง
แต่บัดนี้ พวกข้าพเจ้า
จักรู้พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกผู้ไม่รู้ทั่วถึง ว่าเป็นผู้ไม่รู้ทั่วถึง
จักคบหาพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก
ผู้ไม่รู้ทั่วถึงว่าเป็นผู้อันบุคคลผู้ไม่รู้เหตุผลพึงคบหา
จักตั้งพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกผู้ไม่รู้ทั่วถึง ไว้ในฐานะของผู้ไม่รู้ทั่วถึง
พวกข้าพเจ้า จักรู้ภิกษุทั้งหลาย ผู้รู้ทั่วถึง ว่าเป็นผู้รู้ทั่วถึง
จักคบหาภิกษุทั้งหลายผู้รู้ทั่วถึงว่าเป็นผู้อันบุคคลผู้รู้เหตุผลพึงคบหา
จักเทิดทูนภิกษุทั้งหลายผู้รู้ทั่วถึง ไว้ในฐานะของผู้รู้ทั่วถึง
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคได้ยังความรักสมณะในหมู่สมณะ
ได้ยังความเลื่อมใสสมณะในหมู่สมณะ
ได้ยังความเคารพสมณะในหมู่สมณะ ให้เกิดแก่ข้าพเจ้าแล้วหนอ.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก
เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด
บอกทางแก่คนหลงทางหรือส่องประทีปในที่มืด
ด้วยคิดว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูปดังนี้ ฉันใด
พระผู้มีพระภาคทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรมและพระภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ
ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ดังนี้แล