นิวรณ์และการละนิวรณ์
จรวรรคที่ ๒
จารสูตร
[๑๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้าแม้กามวิตก พยาบาทวิตก หรือวิหิงสาวิตก
เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้กำลังเดินอยู่
และภิกษุยินดี ไม่ละ ไม่บรรเทา ไม่ทำให้ถึงความพินาศซึ่งวิตกนั้น ไม่ให้ถึงความไม่มี
ภิกษุแม้กำลังเดินอยู่เป็นอย่างนี้แล้ว
เราเรียกว่า ผู้ไม่มีความเพียร ไม่มีโอตตัปปะ
เกียจคร้าน มีความเพียรเลวเป็นนิจนิรันดร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้าแม้กามวิตก พยาบาทวิตก หรือวิหิงสาวิตก
เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ยืนอยู่
และภิกษุยินดี ไม่ละ ไม่บรรเทา
ไม่ทำให้ถึงความพินาศ ซึ่งวิตกนั้น ไม่ให้ถึงความไม่มี
ภิกษุแม้ยืนอยู่เป็นอย่างนี้
เราเรียกว่า ผู้ไม่มีความเพียร ไม่มีโอตตัปปะ
เกียจคร้าน มีความเพียรเลวเป็นนิจนิรันดร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้าแม้กามวิตก พยาบาทวิตก หรือวิหิงสาวิตก
เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้นั่งอยู่
และภิกษุยินดี ไม่ละ ไม่บรรเทา
ไม่ทำให้ถึงความพินาศซึ่งวิตกนั้น ไม่ให้ถึงความไม่มี
ภิกษุแม้นั่งอยู่เป็นอย่างนี้
เราเรียกว่า ผู้ไม่มีความเพียร ไม่มีโอตตัปปะ
เกียจคร้าน มีความเพียรเลวเป็นนิจนิรันดร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้าแม้กามวิตก พยาบาทวิตก หรือวิหิงสาวิตก
เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้นอนตื่นอยู่
และภิกษุยินดี ไม่ละ ไม่บรรเทา
ไม่ทำให้ถึงความพินาศซึ่งวิตกนั้น ไม่ให้ถึงความไม่มี
ภิกษุแม้นอนตื่นอยู่เป็นอย่างนี้
เราเรียกว่า ผู้ไม่มีความเพียร ไม่มีโอตตัปปะ
เกียจคร้าน มีความเพียรเลวเป็นนิจนิรันดร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้าแม้กามวิตก พยาบาทวิตก หรือวิหิงสาวิตก
เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้เดินอยู่
และภิกษุไม่ยินดี ละบรรเทา กระทำให้พินาศซึ่งวิตกนั้น ให้ถึงความไม่มี
ภิกษุแม้เดินอยู่เป็นอย่างนี้
เราเรียกว่า ผู้มีความเพียร มีโอตตัปปะ
มีความเพียรอันปรารภแล้วเป็นนิจนิรันดร มีใจเด็ดเดี่ยว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้าแม้กามวิตก พยาบาทวิตก หรือวิหิงสาวิตก
เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ยืนอยู่
และภิกษุไม่ยินดี ละ บรรเทา กระทำให้พินาศซึ่งวิตกนั้น ให้ถึงความไม่มี
ภิกษุแม้ยืนอยู่เป็นอย่างนี้
เราเรียกว่า ผู้มีความเพียร มีโอตตัปปะ
มีความเพียรอันปรารภแล้วเป็นนิจนิรันดร มีใจเด็ดเดี่ยว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้าแม้กามวิตก พยาบาทวิตก หรือวิหิงสาวิตก เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้นั่งอยู่
และภิกษุไม่ยินดี ละ บรรเทา กระทำให้พินาศซึ่งวิตกนั้น ให้ถึงความไม่มี
ภิกษุแม้นั่งอยู่เป็นอย่างนี้
เราเรียกว่าผู้มีความเพียร มีโอตตัปปะ
มีความเพียรอันปรารภแล้วเป็นนิจนิรันดร มีใจเด็ดเดี่ยว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้าแม้กามวิตก พยาบาทวิตก หรือวิหิงสาวิตก เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้นอนตื่นอยู่
และภิกษุไม่ยินดี ละ บรรเทา กระทำให้พินาศซึ่งวิตกนั้น ให้ถึงความไม่มี
ภิกษุแม้นอนตื่นอยู่เป็นอย่างนี้
เราเรียกว่า ผู้มีความเพียร มีโอตตัปปะ
มีความเพียรอันปรารภแล้วเป็นนิจนิรันดร มีใจเด็ดเดี่ยว ฯ
ถ้าภิกษุใด เดินก็ตาม ยืนก็ตาม นั่งหรือนอนก็ตาม
ย่อมตรึกถึงวิตกอันลามกอิงอาศัยกิเลส
ภิกษุผู้เช่นนั้น เป็นผู้ดำเนินไปสู่ทางผิด
หมกมุ่นแล้วในอารมณ์ อันยังความลุ่มหลงให้เกิด
เป็นผู้ไม่ควรเพื่อบรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม
แต่ถ้าภิกษุใดเดินก็ตาม ยืนก็ตาม นั่งหรือนอนก็ตาม
ยังวิตกให้สงบแล้ว ยินดีในธรรม เป็นที่สงบวิตก
ภิกษุเช่นนั้น เป็นผู้ควรเพื่อบรรลุซึ่งสัมโพธิญาณอันอุดม ฯ
= อธิบาย =
“กามวิตก”
คำว่า วิตก
ได้แก่ ความคิด ครุ่นคิด
คำว่า กามในที่นี้
ได้แก่ กามฉันทะ
ภาวะที่มีเกิดขึ้นเป็นสิ่งที่มีเกิดขึ้นขณะดำเนินชีวิต
และมีเกิดขึ้นขณะทำกรรมฐาน อริยบทยืน อริยบทเดิน อิรยาบทนั่ง
นึกถึงสิ่งที่เคยเสพ ความชอบ ความพอใจ
นึกถึงสิ่งที่ชอบ เช่น อาหารกินแล้วรสชาติอยากให้กินอีก
เดินไปน้ำลายสอไปด้วย ด้วยความอยากกินอีก
.
๒. นีวรณปหานวรรค
หมวดว่าด้วยธรรมเป็นเหตุละนิวรณ์
[๑๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะเป็นเหตุให้กามฉันทะที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น
หรือกามฉันทะที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์
เหมือนศุภนิมิต
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลใส่ใจศุภนิมิตโดยไม่แยบคาย
กามฉันทะที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น
และกามฉันทะที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ ฯ
[๑๖]ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะเป็นเหตุให้กามฉันทะที่ยังไม่เกิด ไม่เกิดขึ้น
หรือกามฉันทะที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคลย่อมละได้
เหมือนอศุภนิมิต
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลใส่ใจอศุภนิมิตโดยแยบคาย
กามฉันทะที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้น
และกามฉันทะที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคลย่อมละได้ ฯ
= อธิบาย =
คำว่า สุภนิมิต
อธิบายด้วย
๘. คัททูลสูตรที่ ๒
คำว่า ศุภนิมิต ขอใช้เป็นการสะกดคำเป็นนี้ สุภนิมิต
สุ + ภู = สุภู + กฺวิ = สุภูกฺวิ > สุภู > สุภ (นปุงสกลิงค์)
แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่เป็นโดยสภาวะที่งดงาม”
จึงจะตรงกับกับภาวะงดงาม วิจิตร เป็นเรื่องอุปาทานขันธ์ ๕
สำหรับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ
๙. นิพเพธิกสูตร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กามคุณ ๕ ประการนี้
คือ รูปที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา
น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นที่รัก ยั่วยวน ชวนให้กำหนัด
เสียงที่พึงรู้แจ้งด้วยหู …
กลิ่นที่พึงรู้แจ้งด้วยจมูก …
รสที่พึงรู้แจ้งด้วยลิ้น …
โผฏฐัพพะที่พึงรู้แจ้งด้วยกาย อันน่าปรารถนา
น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นที่รัก ยั่วยวน ชวนให้กำหนัด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ชื่อว่ากาม
สิ่งเหล่านี้เรียกว่ากามคุณในวินัยของพระอริยะเจ้า
พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา
ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว
จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์นี้ต่อไปอีกว่า
ความกำหนัดที่เกิดด้วยสามารถแห่งความดำริของบุรุษ ชื่อว่ากาม
อารมณ์อันวิจิตรทั้งหลายในโลกไม่ชื่อว่ากาม
ความกำหนัดที่เกิดขึ้นด้วยสามารถแห่งความดำริของบุรุษ ชื่อว่ากาม
อารมณ์อันวิจิตรทั้งหลายในโลกย่อมตั้งอยู่ตามสภาพของตน
ส่วนว่า ธีรชนทั้งหลายย่อมกำจัดความพอใจ ในอารมณ์อันวิจิตรเหล่านั้น ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุเกิดแห่งกามเป็นไฉน
คือ ผัสสะเป็นเหตุเกิดแห่งกามทั้งหลาย
ก็ความต่างกันแห่งกามเป็นไฉน
คือกามในรูปเป็นอย่างหนึ่ง
กามในเสียงเป็นอย่างหนึ่ง
กามในกลิ่นเป็นอย่างหนึ่ง
กามในรสเป็นอย่างหนึ่ง
กามในโผฏฐัพพะเป็นอย่างหนึ่ง
นี้เรียกว่าความต่างกันแห่งกาม
.
นีวรณสูตร
นิวรณ์ทำให้มืด
[๕๐๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย นิวรณ์ ๕ เหล่านี้
กระทำให้มืด กระทำไม่ให้มีจักษุ
กระทำไม่ให้มีญาณ เป็นที่ตั้งแห่งความดับปัญญา
เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน
นิวรณ์ ๕ เป็นไฉน?
คือ กามฉันทนิวรณ์ กระทำให้มืด กระทำไม่ให้มีจักษุ
กระทำไม่ให้มีญาณ เป็นที่ตั้งแห่งความดับปัญญา
เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน
พยาบาทนิวรณ์ …
ถีนมิทธนิวรณ์ …
อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ …
วิจิกิจฉานิวรณ์ กระทำให้มืด กระทำไม่ให้มีจักษุ
กระทำไม่ให้มีญาณ เป็นที่ตั้งแห่งความดับปัญญา
เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นิวรณ์ ๕ เหล่านี้แล
กระทำให้มืด กระทำไม่ให้มีจักษุ
กระทำไม่ให้มีญาณ เป็นที่ตั้งแห่งความดับปัญญา
เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน.
[๕๐๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย โพชฌงค์ ๗ เหล่านี้
กระทำให้มีจักษุ กระทำให้มีญาณ เป็นที่ตั้งแห่งความเจริญปัญญา
ไม่เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น เป็นไปเพื่อนิพพาน
โพชฌงค์ ๗ เป็นไฉน?
คือ สติสัมโพชฌงค์
กระทำให้มีจักษุ กระทำให้มีญาณ เป็นที่ตั้งแห่งความเจริญปัญญา
ไม่เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น เป็นไปเพื่อนิพพาน ฯลฯ
อุเบกขาสัมโพชฌงค์
กระทำให้มีจักษุ กระทำให้มีญาณ เป็นที่ตั้งแห่งความเจริญปัญญา
ไม่เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น เป็นไปเพื่อนิพพาน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย โพชฌงค์ ๗ เหล่านี้แล
กระทำให้มีจักษุ กระทำให้มีญาณ เป็นที่ตั้งแห่งความเจริญปัญญา
ไม่เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น เป็นไปเพื่อนิพพาน.
.
วิธีการละนิวรณ์ ๕
- การสดับเรื่องศิลที่มีหลายประการ
ศีลสูตร
[๑๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีศีลสมบูรณ์
มีปาติโมกข์สมบูรณ์
จงเป็นผู้สำรวมในปาติโมกขสังวร
สมบูรณ์ด้วยอาจาระและโคจร
มีปรกติเห็นภัยในโทษอันมีประมาณน้อย
สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
เมื่อเธอทั้งหลายมีศีลสมบูรณ์ มีปาติโมกข์สมบูรณ์ สำรวมในปาติโมกข์สังวร
สมบูรณ์ด้วยอาจาระและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษอันมีประมาณน้อย
สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
กิจที่ควรทำยิ่งกว่านี้ จะพึงมีอะไรเล่า
= อธิบาย =
คำว่า สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
ได้แก่ ศิล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ
ต้องสดับตามลำดับ
พรหมจริยสูตร
[๒๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตผู้ประพฤติพรหมจรรย์
เพื่อลวงประชาชนก็หามิได้
เพื่อเกลี้ยกล่อมประชาชนก็หามิได้
เพื่ออานิสงส์ คือ ลาภสักการะ และความสรรเสริญ ก็หามิได้
เพื่ออานิสงส์ คือ การอวดอ้างวาทะก็หามิได้
เพื่อความปรารถนาว่า ชนจงรู้จักเราด้วยอาการดังนี้ ก็หามิได้
โดยที่แท้ ตถาคตอยู่ประพฤติพรหมจรรย์นี้
เพื่อสังวร เพื่อละ เพื่อคลายความกำหนัด เพื่อดับกิเลส ฯ
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ได้ทรงแสดงพรหมจรรย์
อันเป็นการละเว้น มีปรกติยังสัตว์ให้หยั่งลงภายในนิพพาน
เพื่อสังวร เพื่อละ
หนทางนี้อันท่านผู้ใหญ่ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ดำเนินไปแล้ว
อนึ่ง ชนเหล่าใดย่อมดำเนินไปสู่ทางนั้น
ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว
ชนเหล่านั้นชื่อว่าทำตามคำสั่งสอนของศาสดา
จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ฯ
= อธิบาย =
คำว่า พรหมจรรย์
ได้แก่ มรรคมีองค์ ๘
- การทำกรรมฐาน
อริยบทยืน
การกำหนดยืนหนอ
ต่อด้วย
อริยบทเดิน
การเดินจงกรม มีทั้งหมด ๖ ระยะ
ต่อด้วยอริยบทนั่ง
การทำสมาธิ
สมถะ มีบัญญัติเป็นอารมณ์
ใช้คำบริกรรม เช่น พุทโธ พองหนอยุบหนอ กสิณฯลฯ
อะไรๆที่มีกายมาข้องเกี่ยวกับการทำให้จิตเป็นสมาธิ
วิปัสสนา มีรูปนามเป็นอารมณ์ กำหนดผัสสะที่มีเกิดขึ้นตามจริง เช่น
อานาปานสติ
หายใจเข้า รู้ลมหายใจเข้าตามจริง
หายใจออก รู้ลมหายใจออกตามจริงฯลฯ
ความคิดเกิดขึ้น กำหนดตามจริง แล้วเพิกเฉย ไม่สนใจ
หันกลับมาจดจ่อรู้ลมหายใจเข้าออกต่อเนื่อง
หายใจเข้า ท้องพองขึ้น กำหนดตามจริง
หายใจออก ท้องแฟ่บ กำหนดตามจริง
อย่านำตัวตนเข้าไปเกี่ยวข้องกับสภาวะที่มีเกิดขึ้น
สมถะและวิปัสสนา
ใช้ทั้งสองอย่าง เช่น
อาปานาสติ
หายใจเข้า กำหนดตามจริง
หายใจออก กำหนดตามจริง
ขณะกำหนดอยู่(จดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออก)
มีความคิดเกิดขึ้น ใช้คำบริกรรมมาช่วย
เช่น รู้หนอ 3 ครั้ง รู้หนอ รู้หนอ รู้หนอ
หากกำหนดแล้ว ความคิดไม่หาย
ให้ใช้ลมหายใจเข้าออกมาช่วย
สูดลมหายใจเข้าลึกๆ บริกรรมรู้
ปล่อยลมหายใจออกช้าๆ บริกรรมหนอ
ความคิดจะค่อยๆหายไปเอง
หากทำแล้ว ความคิดยังไม่หาย
ไม่ต้องไปสนใจว่าความคิดจะหายไปหรือยัง
แล้วกลับมาจดจ่อรู้ลมหายใจเข้า หายใจออก
ทำต่อเนื่องจนกระทั่งจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ
เมื่อมีความคิดมีเกิดขึ้น ให้กำหนดตามจริง
อย่านำตัวตนเข้าไปเกี่ยวข้องกับสภาวะที่มีเกิดขึ้น
เมื่อจิตเป็นสมาธิต่อเนื่อง ความคิดจะหายไปเอง ไม่ต้องทำอะไร
๖. อากังเขยยสูตร
ว่าด้วยข้อที่พึงหวังได้ ๑๗ อย่าง
[๗๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี.
ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสพระผู้มีพระภาคว่า พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพุทธพจน์นี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีศีลอันสมบูรณ์
มีปาติโมกข์อันสมบูรณ์อยู่เถิด
จงเป็นผู้สำรวมด้วยความสำรวมในปาติโมกข์
ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจรอยู่เถิด
จงเป็นผู้มีปกติเห็นภัยในโทษทั้งหลายมีประมาณน้อย
สมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลายเถิด.
[๗๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
ขอเราพึงเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจ เป็นที่เคารพ
และเป็นผู้ควรยกย่องของเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายเถิดดังนี้
ภิกษุนั้น พึงกระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
[๗๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
ขอเราพึงได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขารเถิด ดังนี้
ภิกษุนั้น พึงกระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
[๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราบริโภคจีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขารของเทวดาหรือมนุษย์เหล่าใด
สักการะเหล่านั้นของเทวดาและมนุษย์เหล่านั้น พึงมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่เถิด ดังนี้
ภิกษุนั้นพึงกระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
[๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
ญาติและสาโลหิตของเราเหล่าใด ล่วงลับ ทำกาละไปแล้ว มีจิตเลื่อมใส ระลึกถึงอยู่
ความระลึกถึงด้วยจิตอันเลื่อมใสของญาติและสาโลหิตเหล่านั้น
พึงมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่เถิด ดังนี้
ภิกษุนั้นพึงกระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
[๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึงเป็นผู้ข่มความไม่ยินดีและความยินดีได้
อนึ่ง ความไม่ยินดี อย่าพึงครอบงำเราได้เลย
เราพึงครอบงำย่ำยี ความไม่ยินดีอันเกิดขึ้นแล้วได้อยู่เถิด ดังนี้
ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
[๗๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุพึงหวังว่า
เราพึงเป็นผู้ข่มความกลัวและความขลาดได้
อนึ่ง ความกลัวและความขลาด อย่าพึงครอบงำเราได้เลย
เราพึงครอบงำ ย่ำยี ความกลัวและความขลาดที่เกิดขึ้นแล้วได้อยู่เถิด ดังนี้
ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
[๘๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึงเป็นผู้ได้ฌานทั้ง ๔ อันเกิดขึ้นเพราะจิตยิ่ง
เป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม ตามความปรารถนาพึงได้ไม่ยาก ไม่ลำบากเถิด ดังนี้
ภิกษุนั้น พึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
[๘๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึงถูกต้องด้วยกายซึ่งวิโมกข์อันก้าวล่วงรูปาวจรฌานแล้ว
เป็นธรรมไม่มีรูปสงบระงับอยู่เถิด ดังนี้
ภิกษุนั้น พึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนาพอกพูนสุญญาคาร.
[๘๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึงเป็นโสดาบันเพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ ๓
พึงเป็นผู้มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงมีอันตรัสรู้เป็นเบื้องหน้าเถิด ดังนี้
ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
[๘๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึงเป็นพระสกทาคามี
เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ ๓
เพราะราคะ โทสะ โมหะ เป็นสภาพเบาบาง
พึงมาสู่โลกนี้เพียงครั้งเดียว แล้วพึงทำที่สุดทุกข์ได้เถิด ดังนี้
ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
[๘๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึงเป็นอุปปาติกสัตว์
เพราะความสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕
พึงปรินิพพานในพรหมโลกนั้น มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดาเถิด ดังนี้
ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
[๘๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึงบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือ
คนเดียวพึงเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนพึงเป็นคนเดียวก็ได้
ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝากำแพง ภูเขาไปได้ไม่ติดขัด
เหมือนไปในที่ว่างก็ได้ พึงผุดขึ้น ดำลง แม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้
พึงเดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้
เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้
ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ ซึ่งมีฤทธิ์ มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้
ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้เถิด ดังนี้
ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
[๘๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึงได้ยินเสียงทั้ง ๒ ชนิด คือ
เสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ ทั้งที่อยู่ไกลและใกล้
ด้วยทิพยโสตอันบริสุทธิ์ ล่วงโสตของมนุษย์เถิด ดังนี้
ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
[๘๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึงกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นด้วยใจ คือ
จิตมีราคะ ก็รู้ว่าจิตมีราคะ
หรือจิตปราศจากราคะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ
จิตมีโทสะ ก็รู้ว่าจิตมีโทสะ
หรือจิตปราศจากโทสะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ
จิตมีโมหะ ก็รู้ว่าจิตมีโมหะ
หรือจิตปราศจากโมหะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ
จิตหดหู่ ก็รู้ว่าจิตหดหู่
หรือจิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน
จิตเป็นมหรคต ก็รู้ว่าจิตเป็นมหรคต
หรือจิตไม่เป็นมหรคต ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นมหรคต
จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า
หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า
จิตเป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตเป็นสมาธิ
หรือจิตไม่เป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นสมาธิ
จิตหลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น
หรือจิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้นเถิด ดังนี้
ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่างประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
[๘๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึงระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ
พึงระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏวิวัฏกัปเป็นอันมากบ้างว่า
ในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น
มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น
แม้ในภพนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น
มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ เราพึงระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก
พร้อมทั้งอาการพร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้เถิด ดังนี้
ภิกษุนั้น พึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
[๘๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึงเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติเลว ประณีต
มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก
ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์
พึงรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรมว่า
สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า
เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ
เมื่อตายไป เขาถึงเข้าอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้
ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า
เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ
เมื่อตายไป เขาเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้
เราพึงเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต
มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก
ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์
พึงรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมด้วยประการฉะนี้เถิด ดังนี้
ภิกษุนั้น พึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
[๙๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึงทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้
เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่เถิด ดังนี้
ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา
พอกพูนสุญญาคาร.
คำใดที่เรากล่าวแล้วว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย
จงเป็นผู้มีศีลอันถึงพร้อม มีปาติโมกข์อันถึงพร้อมแล้วอยู่เถิด
เธอทั้งหลายจงเป็นผู้สำรวมด้วยความสำรวมในปาติโมกข์
ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจรอยู่เถิด
เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย
สมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลายเถิด ดังนี้
คำนั้น อันเราอาศัยอำนาจประโยชน์นี้ จึงได้กล่าวแล้ว ฉะนี้แล.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว
ภิกษุเหล่านั้นมีใจชื่นชมยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาค ฉะนี้แล.
= อธิบาย =
สัมมาสมาธิเมื่อมีเกิดขึ้น ตัวสภาวะต่างๆจะดำเนินต่อเนื่องโดยตัวสภาวะของมันเอง
ดังที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมไว้ว่า
“ภิกษุเหล่านั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีลทั้งหลาย
ประกอบความสงบใจในภายใน
ไม่เหินห่างจากฌาน
ประกอบด้วยวิปัสสนา
เพิ่มพูนการอยู่เรือนว่างเปล่าเถิด”
ข้อที่ 1 พึงกระทำให้บริบูรณ์ในศีลทั้งหลาย
ได้แก่ สีลปาริสุทธิ
เริ่มจากการสดับ(การฟัง) การศึกษา สุตะ(ฟัง ท่องจำจนขึ้นใจ)
ข้อที่ 2 หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ได้แก่ ทำกรรมฐาน
สมถะ(มีบัญญัติเป็นอารมณ์)
หรือ วิปัสสนา(มีรูปนามเป็นอารมณ์)
เดินจงกรม ต่อด้วยการนั่ง
เมื่อจิตเป็นสมาธิ จะเป็นสัมมาสมาธิโดยอัตโนมัติ
ทำให้ไม่ต้องปรับอินทรีย์ มีแต่เพิ่มเติมให้นั่งมากขึ้น
หมายถึง เดิน 60 นั่ง 60
เมื่อนั่งครบเวลา ให้นั่งต่อไปเรื่อยๆ ไม่ต้องสนใจเรื่องเวลา
เวทนากล้าจะปรากฏ
หากเวทนากล้าไม่เกิด ถือเสียว่าได้สมาธิมีเพิ่ม คือมีแต่ได้กับได้ ไม่มีเสีย
แต่คนส่วนมากจะไม่รู้ตรงนี้ มักจะตามเวลาที่กำหนดไว้
บางคนทำตามคือหมดเวลาที่ตั้งไว้ จะนั่งต่อ
เมื่อเจอเวทนากล้าปรากฏ จึงเลิกนั่ง
เกิดจากความกลัว ไม่สามารถผ่านสภาวะนี้ไปได้
สภาวะจะจมแช่อยู่แค่นี้ไม่ไปไหน
หากนั่งแล้วมีแต่แสงว่างเจิดจ้า ไม่สามารถรู้กายได้
ก็ต้องปรับอินทรีย์ ให้เดินจงกรมมากกว่านั่ง
เช่นคนที่มีสมาธิมากจะนั่ง 3 ชม. มีแต่แสงสว่าง เห็นโน้นนี่ เห็นเทวดา ไปเที่ยวนรก
ถอดกายทิพย์ได้ รู้วาระจิตของคนอื่นได้ สารพัดไปทางฤทธิ์
หลายๆคนพอใจ ติดใจ ในสิ่งที่รู้เห็น สภาวะจมแช่อยู่แค่นั้น
ต้องปรับอินทรีย์ เดินเริ่มจาก 1 ชม. ต่อนั่ง 3 ชม.ถ้ายังมีแต่แสงสว่าง ไม่สามารถรู้กายได้ ต้องเพิ่มเวลาการเดิน
ดิฉันเป็นคนที่มีสมาธิมาก ต้องเดิน 4 ชม. จึงจะรู้กายได้พร้อมๆกับแสงสว่างยังเจิดจ้าอยู่ ไม่หายไปไหน
บางคนไม่ชอบเดิน จะนั่งอย่างเดียว
จะสมถะ(มีบัญญัติเป็นอารมณ์)หรือวิปัสสนา(มีรูปนามเป็นอารมณ์)
เมื่อจิตเป็นสมาธิ ก็ต้องปรับอินทรีย์
หากไม่มีการปรับอินทรีย์ สมาธิที่มีเกิดขึ้นยังเป็นมิจฉาสมาธิ
เวลาจิตเป็นสมาธิ จะติดนิมิต ติดเรื่องแปลกๆที่มีเกิดขึ้น ไม่ก็ดิ่ง ไม่รู้สึกตัว
ข้อ 3 ไม่ทำฌานให้เหินห่าง
ได้แก่ จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิในฌาน 1 2 3 4 5 6 7 8
ข้อ 4 ประกอบด้วยวิปัสสนา
เวทนากล้า ไตรลักษณ์ปรากฏตามจริง
ข้อ 5 พอกพูนสุญญาคาร
กำหนดผัสสะที่มีเกิดขึ้นตามจริง
ไม่นำตัวตนเข้าไปเกี่ยวข้องกับสภาวะที่มีเกิดขึ้นขณะจิตเป็นสมาธิในรูปฌาน อรูปฌาน
คือปราศจากตัวตน เรา เขา เข้าไปเกี่ยวข้องกับสภาวะที่มีเกิดขึ้น
.
ตรงนี้กรณีที่ขาดคนแนะนำทำกรรมฐาน
พูดถึงการเดินจงกรม 60 นาที ต่อนั่ง 60 นาที
บางคนกังวล มักจะเกิดผู้ปฏิบัติใหม่
ตั้งเวลาเดินจงกรม 60 นาที ต่อนั่ง 60 นาที จะทำได้ไหม
ให้เริ่มต้นตั้งเวลาที่ละน้อย เช่น
เดินจงกรม 15 นาที ต่อนั่ง 10 นาที
ตั้งเวลาเดินให้มากกว่านั่ง
ทำทุกวัน จนจิตคุ้นเคย หากวันไหนไม่ทำ จะนอนไม่หลับ
ทำครบ 7 วัน ให้เพิ่มเวลา
จากเดิน 15 นาที มาเป็น 20 นาที
นั่งจาก 10 นาที มาเป็น 15 นาที
ทำครบ 7 วัน ให้เพิ่มเวลาไปเรื่อยๆ
ทำแบบนี้ จะทำให้สามารถเดิน 60 นาที นั่ง 60 นาที
หากวันไหนหยุดทำไป ให้นับหนึ่งใหม่
ให้สังเกตุเรื่องจิตเป็นสมาธิ
หากหยุดทำไป แล้วพอมาทำใหม่ จิตยังคงเป็นสมาธิได้ ไม่ต้องเริ่มใหม่
หากสภาวะเป็นแบบนี้ ให้ใช้เวลาเท่าเดิมที่เคยทำไว้ก่อนหน้า ไม่ต้องเริ่มต้นใหม่
หากหยุดทำไป แล้วพอมาทำใหม่ จิตไม่เป็นสมาธิ ให้เริ่มต้นใหม่
ให้ทำทีละน้อยก่อน แล้วค่อยเพิ่มเวลาการปฏิบัติ
สภาวะที่เคยมีเกิดขึ้น จะกลับคืนมาเอง