พระอนาคามี
หากได้อ่านตั้งแต่แรกเริ่มเรื่องอนาคามีที่เราได้เขียนรายละเอียดไว้
น่าจะเข้าใจมากขึ้นเรื่องอนาคามี
ไม่ใช่เป็นอนาคามี แล้วกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
ยกตย.เด็กในข่าวชื่อน้องไนซ์
ที่พูดทำนองว่า ตัวเองอนาคามีมาก่อน(ชาติก่อน)
แล้วกลับชาติมาเกิดเป็นอนาคามีต่อ
ที่น้องพูดแบบนี้เกิดจากขาดการศึกษาในพระธรรม
ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเรื่องพระอนาคามี
ไม่มีหรอกนะ ที่เด็กบอกว่าเป็นอนาคามีมาก่อน แล้วตาย
แล้วกลับมาเกิดเป็นมนุษ์อีก
ไม่มีหรอกนะ ไม่มีแน่นอน
พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ชัดเจน
พระอนาคามี มีเกิดขึ้นได้อบรมแล้วในศาสนานี้เอง
บุคคลบางคนในโลกนี้ ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้แล้ว
จุติจากกายนั้นแล้วเป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้
ดีใจอีกเล็กน้อย
ที่สามารถสะสมพระสูตรที่ควรรู้
แม้จะค่อยๆรู้ก็ตาม
แต่ก็ทำให้รู้สึกดีใจได้เหมือนกัน
ประมาณว่า นั่นหมายถึงสิ่งที่เราทะยอยเขียนมาเรื่อยๆ
ค่อยๆเป็นรูปธรรม สามารถจับต้องได้ และปฏิบัติตามได้
โดยมีพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้
เป็นเสมือนแผนที่ ทำให้ไม่ไปสนใจข้างนอก
ข้างนอก สิ่งที่มีเกิดขึ้น ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด
ล้วนเกิดจากการกระทำของตน
ผลของกรรมมาในรูปแบบของเวทนา โลกธรรม ๘
ที่เกิดเป็นทุกข์ เกิดจากยังขาดปัญญา ยังไม่มีปัญญามีเกิดขึ้นในตน
เกิดจากไม่เคยสดับธรรมจากพระอริยะ สัตุบุรษ สัปบุรุษมาก่อน
หากเคยได้สดับธรรมมาก่อน
อย่างน้อย ทุกข์ที่มีเกิดขึ้น ย่อมเบาบางลง
เพราะมีพระธรรมเป็นที่พึ่ง
ทำให้สามารถรับมือกับผัสสะ เวทนา ที่มีเกิดขึ้นในแต่ละขณะๆ
ตั้งแต่ลืมตา(ตื่น) จนกระทั่งหลับลง
เรื่องพระอนาคามีและวิธีการปฏิบัติ เคยเขียนไว้แบบคร่าวๆ
เรื่องวิธีการปฏิบัติและผลของการปฏิบัติ
วิธีการปฏิบัติ
๕. อนุคคหสูตร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิ อันองค์ ๕ อนุเคราะห์แล้ว
ย่อมเป็นธรรมมีเจโตวิมุติเป็นผล มีเจโตวิมุติเป็นผลานิสงส
และเป็นธรรมมีปัญญาวิมุติเป็นผล มีปัญญาวิมุติเป็นผลานิสงส์
องค์ ๕ เป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในธรรมวินัยนี้ สัมมาทิฐิ
อันศีลอนุเคราะห์แล้ว
อันสุตะอนุเคราะห์แล้ว
อันการสนทนาธรรมอนุเคราะห์แล้ว
อันสมถะอนุเคราะห์แล้ว
อันวิปัสสนาอนุเคราะห์แล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิอันองค์ ๕ เหล่านี้แล อนุเคราะห์แล้ว
ย่อมมีเจโตวิมุติเป็นผล มีเจโตวิมุติเป็นผลานิสงส์
และมีปัญญาวิมุตติเป็นผล มีปัญญาวิมุติเป็นผลานิสงส์ ฯ
.
เทวตาวรรคที่ ๒
อนาคามิสูตร
[๓๓๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุยังละธรรม ๖ ประการไม่ได้แล้ว
ย่อมเป็นผู้ไม่ควรเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล
ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน
คือ ความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ๑
ความเป็นผู้ไม่มีหิริ ๑
ความเป็นผู้ไม่มีโอตตัปปะ ๑
ความเป็นผู้เกียจคร้าน ๑
ความเป็นผู้มีสติเลอะเลือน ๑
ความเป็นผู้มีปัญญาทราม ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุยังละธรรม ๖ ประการนี้ไม่ได้แล้ว
ย่อมเป็นผู้ไม่ควรเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุละธรรม ๖ ประการได้แล้ว
ย่อมเป็นผู้ควรเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล
ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน
คือ ความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ๑
ความเป็นผู้ไม่มีหิริ ๑
ความเป็นผู้ไม่มีโอตตัปปะ ๑
ความเป็นผู้เกียจคร้าน ๑
ความเป็นผู้มีสติเลอะเลือน ๑
ความเป็นผู้มีปัญญาทราม ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุละธรรม ๖ ประการนี้ได้แล้ว
ย่อมเป็นผู้ควรเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล ฯ
.
ปฏิปทาวรรคที่ ๒
[๑๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทา ๔ ประการนี้
๔ ประการเป็นไฉน
คือ ทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ปฏิบัติลำบากทั้งรู้ได้ช้า ๑
ทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ปฏิบัติลำบากแต่รู้ได้เร็ว ๑
สุขาปฏิปทาทันธาภิญญา ปฏิบัติสะดวกแต่รู้ได้ช้า ๑
สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ปฏิบัติสะดวกทั้งรู้ได้เร็ว ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทา ๔ ประการนี้แล ฯ
https://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=21&A=4083&Z=4299
.
สมถะและวิปัสสนา
- สมถะ มีบัญญัติเป็นอารมณ์
ในที่นี้หมายเอาเฉพาะรูปฌาน อรูปฌาน ที่เป็นสัมมาสมาธิเท่านั้น - วิปัสสนา มีรูปนามเป็นอารมณ์
ในที่นี้หมายเอาเฉพาะรูปฌาน อรูปฌาน ที่เป็นสัมมาสมาธิเท่านั้น - สมถะและวิปัสสนา ควบคู่กัน
ในที่นี้หมายเอาเฉพาะรูปฌาน อรูปฌาน ที่เป็นสัมมาสมาธิเท่านั้น - สมถะล้วนๆ
กามเหสสูตรที่ ๑
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=23&A=9604&Z=9623
ตัวสภาวะที่มีเกิดขึ้น รูปฌาน อรูปฌานที่เป็นสัมมาสมาธิ อีกส่วน
มีเรื่องไตรลักษณ์มาเกี่ยวข้อง อีกส่วน
ยถาภูติญาณทัสสนะ - วิปัสสนาล้วนๆ
กามเหสสูตรที่ ๒
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=23&A=9624&Z=9635…
ตัวสภาวะที่มีเกิดขึ้น รูปฌาน อรูปฌานที่เป็นสัมมาสมาธิ อีกส่วน
มีเรื่องไตรลักษณ์มาเกี่ยวข้อง อีกส่วน
ยถาภูติญาณทัสสนะ - สมถะและวิปัสสนา ควบคู่กัน
สมถะเกิดก่อน วิปัสสนาเกิดที่หลัง
วิปัสสนาเกิดก่อน สมถะเกิดที่หลัง
สมถะและวิปัสสนามีเกิดขึ้นสลับกันไปมา
กามเหสสูตรที่ ๓
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=23&A=9636&Z=9649…
ตัวสภาวะที่มีเกิดขึ้น รูปฌาน อรูปฌานที่เป็นสัมมาสมาธิ อีกส่วน
มีเรื่องไตรลักษณ์มาเกี่ยวข้อง อีกส่วน
ยถาภูติญาณทัสสนะ
.
- บรรลุช้า ปฏิบัติตลอดชีวิต
มีเรื่องกรรมและผลของกรรม และอินทรีย์ ๕ มาเกี่ยวข้อง
สมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิ
ฌานสูตรที่ ๑
https://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=21&A=3451&Z=3504… - บรรลุช้า ปฏิบัติตลอดชีวิต
มีเรื่องกรรมและผลของกรรม และอินทรีย์ ๕ มาเกี่ยวข้อง
สมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิและมีไตรลักษณ์มาเกี่ยวข้อง
ฌานสูตรที่ ๒
https://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=21&A=3505&Z=3525… - บรรลุช้าและบรรลุเร็ว
มีเรื่องกรรมและผลของกรรม และอินทรีย์ ๕ มาเกี่ยวข้อง
สมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิและมีไตรลักษณ์มาเกี่ยวข้อง
ฌานสูตร
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=23&A=9041&Z=9145
.
ผลของการปฏิบัติตาม บรรลุบุรรลุช้าและเร็ว
สีลสูตร
การหลีกออก ๒ วิธี
[๓๗๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่าใด
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสมาธิ
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิมุติ
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ
การได้เห็นภิกษุเหล่านั้นก็ดี
การได้ฟังภิกษุเหล่านั้นก็ดี การเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้นก็ดี
การเข้าไปนั่งใกล้ภิกษุเหล่านั้นก็ดี
การระลึกถึงภิกษุเหล่านั้นก็ดี การบวชตามภิกษุเหล่านั้นก็ดี
แต่ละอย่างๆเรากล่าวว่ามีอุปการะมาก ข้อนั้นเพราะเหตุไร?
เพราะว่าผู้ที่ได้ฟังธรรมของภิกษุเห็นปานนั้นแล้ว ย่อมหลีกออกอยู่ด้วย ๒ วิธี
คือ หลีกออกด้วยกาย ๑ หลีกออกด้วยจิต ๑
เธอหลีกออกอยู่อย่างนั้นแล้ว ย่อมระลึกถึง ย่อมตรึกถึงธรรมนั้น.
[๓๗๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สมัยใด ภิกษุหลีกออกอยู่อย่างนั้นแล้ว ย่อมระลึกถึงย่อมตรึกถึงธรรมนั้น
สมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ เป็นอันภิกษุปรารภแล้ว
ภิกษุย่อมชื่อว่าเจริญสติสัมโพชฌงค์
สติสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์
เธอมีสติอยู่อย่างนั้น ย่อมเลือกเฟ้น ตรวจตรา
ถึงความพินิจพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา.
[๓๗๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สมัยใด ภิกษุมีสติอยู่อย่างนั้น ย่อมเลือกเฟ้น
ตรวจตราถึงความพินิจพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา
สมัยนั้น ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ เป็นอันภิกษุปรารภแล้ว
ภิกษุย่อมชื่อว่าเจริญธรรมวิจยสัมโพชฌงค์
ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์
เมื่อภิกษุเลือกเฟ้น ตรวจตรา พินิจพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา
ความเพียรอันไม่ย่อหย่อนเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว.
[๓๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สมัยใด เมื่อภิกษุเลือกเฟ้น ตรวจตรา พินิจพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา
ความเพียรอันไม่ย่อหย่อน อันภิกษุปรารภแล้ว
สมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์เป็นอันภิกษุปรารภแล้ว
ภิกษุย่อมชื่อว่าเจริญวิริยสัมโพชฌงค์
วิริยสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์
ปีติที่ไม่มีอามิสย่อมเกิดแก่ภิกษุผู้ปรารภความเพียร.
[๓๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สมัยใด ปีติที่ไม่มีอามิสย่อมเกิดแก่ภิกษุผู้ปรารภความเพียร
สมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์เป็นอันภิกษุปรารภแล้ว
ภิกษุย่อมชื่อว่าเจริญปีติสัมโพชฌงค์
ปีติสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์
กายก็ดี จิตก็ดี ของภิกษุผู้มีใจกอปรด้วยปีติ ย่อมสงบระงับ.
[๓๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สมัยใด กายก็ดี จิตก็ดี ของภิกษุผู้มีใจกอปรด้วยปีติ ย่อมสงบระงับ
สมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์เป็นอันภิกษุปรารภแล้ว
ภิกษุย่อมชื่อว่าเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์
จิตของภิกษุผู้มีกายสงบแล้ว มีความสุข ย่อมตั้งมั่น.
[๓๗๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สมัยใด จิตของภิกษุผู้มีกายสงบแล้ว มีความสุข ย่อมตั้งมั่น
สมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์เป็นอันภิกษุปรารภแล้ว
ภิกษุย่อมชื่อว่าเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์
สมาธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์
เธอย่อมเป็นผู้เพ่งดูจิตที่ตั้งมั่นแล้วอย่างนั้นด้วยดี.
[๓๘๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สมัยใด ภิกษุย่อมเป็นผู้เพ่งดูจิตที่ตั้งมั่นแล้ว อย่างนั้นด้วยดี
สมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์เป็นอันภิกษุปรารภแล้ว
ภิกษุย่อมชื่อว่าเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์
อุเบกขาสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์.
อานิสงส์การเจริญโพชฌงค์
[๓๘๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อโพชฌงค์ ๗ อันภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ กระทำให้มากแล้วอย่างนี้
ผลานิสงส์ ๗ ประการ อันเธอพึงหวังได้
ผลานิสงส์ ๗ ประการเป็นไฉน?
[๓๘๒] คือ
(๑) ในปัจจุบัน จะได้บรรลุอรหัตผลโดยพลัน
(๒) ในปัจจุบันไม่ได้บรรลุ ทีนั้นจะได้บรรลุในเวลาใกล้ตาย
(๓) ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ
ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ
ทีนั้นจะได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี
เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป
(๔) ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ
ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ
และไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี
ทีนั้นจะได้เป็นพระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี
เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป
(๕) ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ
ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุไม่ได้
เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี
และไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี
ทีนั้นจะได้เป็นพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี
เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป
(๖) ถ้าในปัจจุบัน ก็ไม่ได้บรรลุ
ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ
ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี
ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี
และไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี
ทีนั้นจะได้เป็นพระอนาคามีผู้สสังขารปรินิพพายี
เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป
(๗) ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ
ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ
ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี
ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี
ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี
และไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้สสังขารปรินิพพายี
ทีนั้นจะได้เป็นพระอนาคามีผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี
เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อโพชฌงค์ ๗ อันภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้
กระทำให้มากแล้วอย่างนี้ ผลานิสงส์ ๗ ประการเหล่านี้ อันเธอพึงหวังได้.
.
พระสูตรเหล่านี้ ล้วนเป็นจิ๊กซอที่ได้สะสมเก็บไว้ในหลายปี
ค่อยๆเจอที่ละพระสูตร ไม่ได้เจอแบบเป็นกลุ่มก้อน
พระสูตรแรกที่เจอ คือ ปฏิปทาวรรคที่ ๒
ซึ่งเป็นความรู้เห็นของสัปบุรุษ
บุคคลนี้ได้ผ่านเส้นทางนี้มาก่อน
มีสภาวะเหล่านี้ตามในพระสูตรนั้น มีเกิดขึ้นในตนตามจริง
การเขียนรายละเอียดเรื่องพระอนาคามี
และลักษณะสภาวะที่มีเกิดขึ้น
มีเกิดขึ้นมาตั้งแต่หลังเข้ารพ. นอนรพ. มีอาการหัวใจล้มเหลว หมดสติ
ต่อจากนั้นค่อยๆเจอจิ๊กซอพระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเรื่องพระอนาคามี
พอจะคร่าวๆได้ว่า พระอนาคามี แบ่งใหญ่ๆมี ๒ ประเภท
บรรลุช้าและบรรลุเร็ว
มีเกิดขึ้นตอนมีชีวิตอยู่ และหลังเสียชีวิต
แบ่งออกเป็น ๕ ประเภท
เพราะมีเรื่องของอินทรีย์ ๕ มาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสัมมาสมาธิ
และมีเรื่องของกรรมเก่าที่เคยกระทำไว้(มิจฉาสมาธิ)
และกรรมใหม่ ที่กำลังกระทำอยู่( อินทรีย์ ๕ สัมมาสมาธิ)
.
การที่เราได้เขียนมาเรื่อยๆ จะมีเหตุให้เจอพระสูตรในแต่ละสูตร
ค่อยๆเจอ ไม่ได้เจอทันทีทั้งหมด
ที่สำคัญ บุคคลนั้นต้องเข้าถึงสภาวะนั้นๆตามจริงด้วยการปฏิบัติ
ไม่ได้เกิดจากการท่องจำ แล้วนำมาเขียนหรือนำมาพูด
หากไม่ได้พระสูตร จะไม่สามารถอธิบายได้เลย
สภาวะที่มีเกิดขึ้นจะดับเฉพาะตน
ไม่สามารถย่อหรือขยาย รายละเอียดของสภาวะที่มีเกิดขึ้น
.
พูดเรื่องกรรมเก่า และกรรมใหม่
ก็ต้องอาศัยพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสอธิบายกับพระสารีบุตร
สัญเจตนิยวรรคที่ ๓
กรรมเก่า
“บุคคลบางคนในโลกนี้
ยังละโอรัมภาคิยสังโยชน์ไม่ได้
แต่เขาบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะในปัจจุบัน
บุคคลนั้นชอบใจ ยินดีและถึงความปลื้มใจ
ด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น
ยับยั้งอยู่ในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น น้อมใจไป
อยู่จนคุ้นในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ไม่เสื่อม
เมื่อทำกาละ
ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดา
ผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนภพ
เขาจุติจากชั้นนั้นแล้ว
ย่อมเป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้”
.
กรรมใหม่
“ดูกรสารีบุตร อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้
ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้แล้ว
เขาบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ ในปัจจุบัน
บุคคลนั้นชอบใจ ยินดี และถึงความปลื้มใจ
ด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น
ยับยั้งในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น น้อมใจไป
อยู่จนคุ้นในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ไม่เสื่อม
เมื่อกระทำกาละ
ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดา
ผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนภพ
เขาจุติจากชั้นนั้นแล้ว
ย่อมเป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้
ดูกรสารีบุตร นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลกนี้
จุติจากกายนั้น
แล้วเป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้
อนึ่ง นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลกนี้
จุติจากกายนั้นแล้ว
เป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ”
คำว่า ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้
ได้แก่ ไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ปรินิพพานบนโน้น
” บุคคลบางคนในโลกนี้ ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้แล้ว”
หมายถึงเป็นบุคคลที่ได้สดับธรรม
จากพระอริยะ สัตบุรุษ สัปบุรุษและปฏิบัติตาม
ประกอบด้วยได้สิกขา ๓ และปฏิบัติตาม
ตัวแปรของสภาวะคืออินทรีย์ ๕
โดยเฉพาะสัมมาสมาธิและปัญญา
ปัญญาสัมมาทิฏฐิ(สีลปาริสุทธิ)
ปัญญาไตรลักษณ์
ปัญญา แจ้งอริยสัจ ๔ ตามจริง
.
การอธิบายรายละเอียด
จะอธิบายเรื่องวิธีการปฏิบัติเริ่มจาก ศิลและสีลลัพพตปรามาส
อาศัยการสดับธรรมจากพระอริยะ สัตบุรุษ สัปบุรุษและปฏิบัติตาม
ผลของการปฏิบัติตาม ทำให้จากศิล มาเป็นสีลปาริสุทธิ
สภาวะสัมมาทิฏฐิมีเกิดขึ้น แม้จะไม่รู้จักคำเรียกก็ตาม
ปาริสุทธิเกิดจากการปฏิบัติตามบุคลลเหล่านี้ คือพระอริยะ สัตบุรุษ สัปบุรุษ
ทำให้ค่อยละๆกามุปาทานที่มีอยู่ เบาบางลง
ทำให้ราคะ โทสะ โมหะ ที่มีอยู่ เบาบางลงโดยตัวของสภาวะ
เมื่อมาทำกรรมฐาน
อาศัยผู้ที่ผ่านเส้นทางนี้มาก่อนและปฏิบัติตาม
คือการสดับธรรมจากพระอริยะ สัตบุรุษ สัปบุรุษและปฏิบัติตาม
ส่วนจะเจอใครเป็นคนแนะนำ ขึ้นอยู่กับกรรมและผลของกรรม
คือกรรมเก่าที่เคยกระทำไว้และกรรมใหม่ที่ได้กระทำขึ้นมาใหม่
ส่วนผลของการปฏิบัติมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับอินทรีย์ ๕
โดยเฉพาะวิริยะ ทำมากแต่ขาดผู้แนะนำ
ทำให้ปฏิบัตินั้นกลายเป็นทุกข์ไป
เกิดจากความสงสัยในสภาวะที่มีเกิดขึ้น นิวรณ์ครอบงำ
เพราะผู้ที่มาแนะนำ มีความรู้แค่ไหน ย่อมพูดและอธิบายได้แค่นั้น
ให้พูดมากกว่านี้ ทำไม่ได้หรอก เพราะสภาวะนั้นๆ ตนยังไม่เข้าถึง
ยกตย. ผู้ปฏิบัติได้รูปฌาน จะให้พูดเรื่องอรูปฌาน ทำไม่ได้หรอก
ผู้ปฏิบัติได้อรูปฌาน จะให้พูดเรื่องนิโรธสมาบัติ ทำไม่ได้หรอก
เพราะผู้ที่อธิบายได้ ต้องมีสภาวะเกิดขึ้นในตนก่อน
คือเห็นความเกิด ขณะกำลังเกิด และดับ
ขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิในรูปฌาน อรูปฌาน นิโรธ ตามลำดับ
หากสภาวะนั้นๆไม่มีเกิดขึ้นในตน
จะไม่สามารถอธิบายให้คนอื่นปฏิบัติตามได้หรอก
จะโทษใคร ต้องโทษตัวเอง
สิ่งที่ตนกระทำไว้ในแต่ละขณะๆ ขณะดำเนินชีวิต คือศิล
โดยเฉพาะการสดับธรรมจากพระอริยะ สัตบุรุษ สัปบุรุษ เป็นตัวแปร
การฟังธรรมจากพระอริยะ จะมีความรู้เห็นเรื่องการรักษาศิลต่างๆ
การฟังธรรมจากสัตบุรุษ
เป็นผู้ที่ปฏิบัติมีสมาบัติ ๘ ที่เป็นสัมมาสมาธิ
จนกระทั่งเข้าธรรม โสดาปัตติมรรค โสดาปัติผล ตามจริง
โดยมีหลักฐานจากพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้
จะมีความรู้เห็นเรื่องกรรมและผลของกรรม
สภาวะที่มีเกิดขึ้นในตน นำมาเล่าให้คนอื่นฟัง
ผู้ที่ฟัง เคยสร้างกรรมในอดีตกับบุคคลนั้น เคยเชื่อกัน
มาในชาติปัจจุบันมาเจอกัน พอได้ฟัง ก็เชื่อกันอีกและปฏิบัติตาม
การฟังธรรมจากสัปบุรุษ เป็นผู้ที่แจ้งอริยสัจ ๔ ด้วยตน
ย่อมพูดเรื่องผัสสะ เวทนา
และวิธีการกระทำเพื่อดับภพชาติของการเกิดปัจจุบัน
ผลของการปฏิบัติตามบุคคลเหล่านี้
ทำให้ราคะ โทสะ โมหะ ที่มีอยู่ เบาบางลง
เมื่อมาทำกรรมฐาน นิวรณ์ ย่อมน้อยลง
จิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ มีโอกาสที่จะเป็นสัมมาสมาธิ
เพราะบุคคลเหล่านี้ผ่านเส้นทางนี้มาก่อน
สภาวะเหล่านี้มีเกิดขึ้นในตนมาก่อน
เมื่อวาน
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
๔. สมจิตตวรรค
หมวดว่าด้วยเทวดาพร้อมใจกัน
บุคคลผู้มีสังโยชน์ ๒ จำพวก
[๓๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี
สมัยนั้น ท่านพระสารีบุตรอยู่ที่ปราสาท
ของวิสาขามิคารมาตา ในบุพพาราม เขตกรุงสาวัตถี
ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตรเรียกภิกษุทั้งหลายมากล่าวว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้นตอบรับแล้ว
ท่านพระสารีบุตรจึงได้กล่าวเรื่องนี้ว่า
“ผู้มีอายุทั้งหลาย เราจักแสดงบุคคลที่มีสังโยชน์ภายใน๑-
และบุคคลที่มีสังโยชน์ภายนอก๒-
ท่านทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว”
ภิกษุเหล่านั้นตอบรับแล้ว
ท่านพระสารีบุตรจึงได้กล่าวเรื่องนี้ว่าบุคคลผู้มีสังโยชน์ภายใน เป็นอย่างไร
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีศีล สำรวมด้วยการสังวรในพระปาติโมกข์
เพียบพร้อมด้วยอาจาระ(มารยาท)และโคจร(การเที่ยวไป)
มีปกติเห็นภัยในโทษแม้เล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
ภิกษุนั้นหลังจากมรณภาพแล้วจะไปเกิดในหมู่เทพหมู่ใดหมู่หนึ่ง๓-
เธอจุติจากอัตภาพนั้น เป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นมนุษย์นี้
บุคคลนี้เรียกว่า ผู้มีสังโยชน์ภายใน เป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นมนุษย์นี้
บุคคลผู้มีสังโยชน์ภายนอก เป็นอย่างไร
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีศีล สำรวมด้วยการสังวรในพระปาติโมกข์
เพียบพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษแม้เล็กน้อย
สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
ภิกษุนั้นบรรลุเจโตวิมุตติที่สงบอย่างใดอย่างหนึ่ง
ภิกษุนั้นหลังจากมรณภาพแล้วจะไปเกิดในหมู่เทพหมู่ใดหมู่หนึ่ง๑-
เธอจุติจากอัตภาพนั้นเป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นมนุษย์นี้
บุคคลนี้เรียกว่า ผู้มีสังโยชน์ภายนอก
เป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นมนุษย์นี้
อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีศีล สำรวมด้วยการสังวรในพระปาติโมกข์
เพียบพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษแม้เล็กน้อย
สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
ภิกษุนั้นปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับกามทั้งหลาย
ปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับภพทั้งหลาย
เธอปฏิบัติเพื่อสิ้นตัณหา เธอปฏิบัติเพื่อสิ้นความโลภ
หลังจากมรณภาพแล้วจะไปเกิดในหมู่เทพหมู่ใดหมู่หนึ่ง
เธอจุติจากอัตภาพนั้นเป็นอนาคามีไม่กลับมาสู่ความเป็นมนุษย์นี้
บุคคลนี้เรียกว่า ผู้มีสังโยชน์ภายนอก
เป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นมนุษย์นี้
= ตรงนี้จะนำมาอธิบายอีกที=
.
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
[๒๘๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถีสมัยนั้นแล ท่านพระ
สารีบุตรอยู่ที่ปราสาทของนางวิสาขา มิคารมารดาในบุพพาราม ใกล้พระนคร
สาวัตถี ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตรได้เรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรผู้มีอายุ
ทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นตอบรับท่านพระสารีบุตรแล้ว
ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวว่าดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย
เราจักแสดงบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายใน
และบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายนอก
ท่านทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว
ภิกษุเหล่านั้นตอบรับท่านพระสารีบุตรแล้ว
ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวว่า ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย
ก็บุคคลที่มีสังโยชน์ในภายในเป็นไฉน
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
เป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วในปาติโมกขสังวร
ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร
มีปรกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย
สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
เมื่อแตกกายตายไป
ภิกษุนั้นย่อมเข้าถึงหมู่เทพหมู่ใดหมู่หนึ่ง
ครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว
เป็นอาคามีกลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้
นี้เรียกว่าบุคคลผู้มีสังโยชน์ในภายใน
เป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ ฯ
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้มีสังโยชน์ในภายนอกเป็นไฉน
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
เป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วในพระปาติโมกขสังวร
ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร
มีปรกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย
สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
ภิกษุนั้นย่อมบรรลุเจโตวิมุติอันสงบอย่างใดอย่างหนึ่ง
เมื่อแตกกายตายไป
ย่อมเข้าถึงหมู่เทพหมู่ใดหมู่หนึ่ง
ครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว
เป็นอาคามีไม่กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้
นี้เรียกว่า บุคคลผู้มีสังโยชน์ในภายนอก
เป็นอาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ ฯ
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง
ภิกษุเป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วในปาติโมกขสังวร
ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย
สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
ภิกษุนั้นย่อมปฏิบัติเพื่อความหน่าย เพื่อคลาย เพื่อความดับกามทั้งหลาย
ย่อมปฏิบัติเพื่อความหน่าย เพื่อคลาย เพื่อความดับภพทั้งหลาย
ย่อมปฏิบัติเพื่อสิ้นตัณหา เพื่อสิ้นความโลภ
ภิกษุนั้นเมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงหมู่เทพหมู่ใดหมู่หนึ่ง
ครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว
เป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย นี้เรียกว่า บุคคลมีสังโยชน์ในภายนอก
เป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ ฯ
ครั้งนั้นแล เทวดาที่มีจิตเสมอกันมากองค์
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ท่านพระสารีบุตรนั่นกำลังเทศนา
ถึงบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายใน
และบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายนอกแก่ภิกษุทั้งหลาย
อยู่ที่ปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดาในบุพพาราม
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บริษัทร่าเริง ขอประทานพระวโรกาส
ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงพระกรุณา
เสด็จไปหาท่านพระสารีบุตรจนถึงที่อยู่เถิด
พระผู้มีพระภาคทรงรับคำอาราธนาด้วยดุษณีภาพ
ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคทรงหายจากพระเชตวันวิหาร
ไปปรากฏเฉพาะหน้าท่านพระสารีบุตร
ที่ปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดาในบุพพาราม
เหมือนบุรุษมีกำลังเหยียดแขนที่คู้หรือคู้แขนที่เหยียดฉะนั้น
พระผู้มีพระภาคประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้
แม้ท่านพระสารีบุตรก็ได้ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค
แล้วนั่งลง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระสารีบุตรว่า ดูกรสารีบุตร
เทวดาที่มีจิตเสมอกันมากองค์เข้าไปหาเราจนถึงที่อยู่
ไหว้เราแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วบอกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ท่านพระสารีบุตรกำลังเทศนาถึงบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายใน
และบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายนอก แก่ภิกษุทั้งหลาย
อยู่ที่ปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดาในบุพพาราม
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บริษัทร่าเริง ขอประทานพระวโรกาส
ขอพระผู้มีพระภาคทรงพระกรุณาเสด็จไปหาท่านพระสารีบุตรจนถึงที่อยู่เถิด
ดูกรสารีบุตร ก็เทวดาเหล่านั้นยืนอยู่ในโอกาสแม้เท่าปลายเหล็กแหลมจดลง
๑๐ องค์บ้าง ๒๐ องค์บ้าง ๓๐ องค์บ้าง
๔๐ องค์บ้าง ๕๐ องค์บ้าง ๖๐ องค์บ้าง
แต่ก็ไม่เบียดกันและกัน
ดูกรสารีบุตร ก็เธอพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า จิตอย่างนั้น
ซึ่งเป็นเหตุให้เทวดาเหล่านั้นยืนอยู่ได้ในโอกาส
แม้เท่าปลายเหล็กแหลมจดลง ๑๐ องค์บ้าง … ๖๐ องค์บ้าง
เป็นจิตอันเทวดาเหล่านั้นอบรมแล้วในภพนั้นแน่นอน
ดูกรสารีบุตร ก็ข้อนั้นเธอไม่ควรเห็นเช่นนี้
ดูกรสารีบุตร ก็จิตอย่างนั้น
ซึ่งเป็นเหตุให้เทวดาเหล่านั้นยืนอยู่ได้ในโอกาสแม้เท่าปลายเหล็ก
แหลมจดลง ๑๐ องค์บ้าง ฯลฯ แต่ก็ไม่เบียดกันและกัน
เทวดาเหล่านั้นได้อบรมแล้วในศาสนานี้เอง
เพราะฉะนั้นแหละสารีบุตร
เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จักเป็นผู้มีอินทรีย์สงบ
มีใจระงับอยู่ เธอควรศึกษาเช่นนี้แหละ
สารีบุตร กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของผู้มีอินทรีย์สงบ
มีใจระงับ จักสงบระงับ เพราะฉะนั้นแหละ
สารีบุตร เธอพึงศึกษาว่า จักนำกายและจิต
ที่สงบระงับแล้วเท่านั้นเข้าไปในพรหมจารีทั้งหลาย
ดูกรสารีบุตร เธอควรศึกษาเช่นนี้แหละ
ดูกรสารีบุตร พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก
ที่ไม่ได้ฟังธรรมบรรยายนี้ ได้พากันฉิบหายเสียแล้ว ฯ
= อธิบาย =
ข้อแรก ภายใน ผัสสะ เวทนา
“ก็บุคคลที่มีสังโยชน์ในภายในเป็นไฉน
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
เป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วในปาติโมกขสังวร
ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร
มีปรกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย
สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
เมื่อแตกกายตายไป
ภิกษุนั้นย่อมเข้าถึงหมู่เทพหมู่ใดหมู่หนึ่ง
ครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว
เป็นอาคามีกลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้
นี้เรียกว่าบุคคลผู้มีสังโยชน์ในภายใน
เป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ ฯ”
ตัวแปรของสภาวะคือ โอรัมภาคิยสังโยชน์
ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงตรัสกับพระสารีบุตร
เรื่องเนวสัญญาฯที่ป็นมิจฉาสมาธิ
.
ข้อที่สอง
“ก็บุคคลผู้มีสังโยชน์ในภายนอกเป็นไฉน
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
เป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วในพระปาติโมกขสังวร
ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร
มีปรกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย
สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
ภิกษุนั้นย่อมบรรลุเจโตวิมุติอันสงบอย่างใดอย่างหนึ่ง
เมื่อแตกกายตายไป
ย่อมเข้าถึงหมู่เทพหมู่ใดหมู่หนึ่ง
ครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว
เป็นอาคามีไม่กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้
นี้เรียกว่า บุคคลผู้มีสังโยชน์ในภายนอก
เป็นอาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ ฯ”
ภายนอก
ตัวแปรของสภาวะคือ โอรัมภาคิยสังโยชน์
ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงตรัสกับพระสารีบุตร
เรื่องเนวสัญญาฯที่ป็นสัมมาสมาธิ
คือภายนอกหรือภายใน ตัวแปรคือ โอรัมภาคิยสังโยชน์
โดยเฉพาะสัมมาสมาธิสำคัญที่สุด
ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงอธิบายให้พระสารีบุตรฟังแล้ว
ในพระสูตร สัญเจตนิยวรรคที่ ๓
เอาจริงๆนะ หากสภาวะเหล่านี้ไม่มีเกิดขึ้นในตนมาก่อน
เราก็ไม่สามารถจะเข้าใจในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสกับพระสารีบุตร
เพราะเราเคยตายในอดีตชาติ ในชาติที่เราเป็นหลวงจีน
มรณะขณะทำกรรมฐาน
มาในชาตินี้ ทำให้เราจึงสนใจเรื่องการทำกรรมฐาน
จนกระทั่งปฏิบัติได้สมาบัติ ๘
นั่นเกิดจากของเก่าที่เคยทำไว้มาในอดีตชาติก่อน
เพียงเป็นเนวสัญญาฯที่เป็นมิจฉาสมาธิ
.
ข้อที่สาม
“ภิกษุเป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วในปาติโมกขสังวร
ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย
สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
ภิกษุนั้นย่อมปฏิบัติเพื่อความหน่าย เพื่อคลาย เพื่อความดับกามทั้งหลาย
ย่อมปฏิบัติเพื่อความหน่าย เพื่อคลาย เพื่อความดับภพทั้งหลาย
ย่อมปฏิบัติเพื่อสิ้นตัณหา เพื่อสิ้นความโลภ
ภิกษุนั้นเมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงหมู่เทพหมู่ใดหมู่หนึ่ง
ครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว
เป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย นี้เรียกว่า บุคคลมีสังโยชน์ในภายนอก
เป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ ฯ”
คำว่า เพื่อความดับกามทั้งหลาย
ได้แก่ กามคุณ ๕
เกิดจากกามุปาทาน
คำว่า เพื่อความดับภพทั้งหลาย
ได้แก่ กามภพ รูปภพ อรูปภพ
ดับกามาสวะ ดับภวาสวะ
สรุปที่พระสารีบุตรสรุปไว้แบบนี้
ต้องเข้าใจก่อน รู้แค่ไหน ย่อมอธิบายได้แค่นั้น
นึกถึงตัวเอง สมัยนั้นก็อธิบายวกวนแบบนี้แหละ
ผู้ที่มีวิชชา ๓ เกิดขึ้นในตนแล้ว
แรกๆใช่ว่าจะมีความรู้อะไรมากมาย
ต้องอาศัยเวลา คือตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสแนะนำพระสารีบุตรไว้
ที่เรารอดมาได้ เพราะเราแค่เขียนออกมาเรื่อยๆ
เพราะรู้ว่าสิ่งที่รู้เห็นหรือผุดขึ้นมา ยังไม่จบ ยังมีผุดขึ้นมาเรื่อยๆ
ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าทรงตรัสพระสารีบุตรแบบนั้น
พระองค์ไม่ได้ทรงตำหนิพระสารีบุตร
เพียงบอกว่าพระสารีบุตรควรทำอะไร
ส่วนตรงนี้
“ดูกรสารีบุตร พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก
ที่ไม่ได้ฟังธรรมบรรยายนี้ ได้พากันฉิบหายเสียแล้ว ฯ”
ก็บรรลัยสิ เหมือนเราในอดีตชาติที่เกิดเป็นหลวงจีนน่ะ
เมื่อวาน
เขียนมาตั้งนาน
เพิ่งจะเจอพระสูตรจนครบ
พระสูตรนี้มีเกิดขึ้นก่อน
พระพุทธเจ้าทรงตรัสย่อไว้ ตัวสภาวะที่สำคัญมีแค่นี้
- บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังละโอรัมภาคิยสังโยชน์ไม่ได้
ตัวสภาวะที่มีเกิดขึ้น ได้แก่ ยังละกามุปาทานยังไม่ได้ - และบุคคลบุคคลบางคนในโลกนี้ ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้แล้ว
ตัวสภาวะที่มีเกิดขึ้น ได้แก่ ละกามุปาทานได้แล้ว
พระสูตรที่ ๑
พระพุทธเจ้าทรงตรัสย่อไว้แค่นี้
ถึงบุคคล ๓ ประเภท
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
๗. กามสูตร
[๒๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
บุคคลผู้ประกอบแล้วด้วยกามโยคะ
ผู้ประกอบแล้วด้วยภวโยคะ
เป็นอนาคามี
ยังต้องมาสู่ความเป็นอย่างนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระอริยบุคคล
ผู้พรากแล้วจากกามโยคะ
(แต่) ยังประกอบด้วยภวโยคะ
เป็นอนาคามี
ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระอริยบุคคล
ผู้พรากแล้วจากกามโยคะ
พรากแล้วจากภวโยคะ
เป็นพระอรหันตขีณาสพ ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความดังกล่าวมานี้แล้ว
ในพระสูตรนั้น จึงตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
สัตว์ทั้งหลาย ผู้ประกอบตนด้วยกามโยคะและภวโยคะทั้งสอง
ชื่อว่ายังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ
ส่วนสัตว์เหล่าใด ละกามทั้งหลายได้เด็ดขาด
แต่ยังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ยังประกอบด้วยภวโยคะ
สัตว์เหล่านั้นบัณฑิตกล่าวว่า เป็นพระอนาคามี
ส่วนสัตว์เหล่าใด ตัดความสงสัยได้แล้ว
มีมานะและมีภพใหม่สิ้นแล้ว
ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายแล้ว
สัตว์เหล่านั้นแลถึงฝั่งแล้วในโลก ฯ
= อธิบาย =
“บุคคลผู้ประกอบแล้วด้วยกามโยคะ
ผู้ประกอบแล้วด้วยภวโยคะ
เป็นอนาคามี
ยังต้องมาสู่ความเป็นอย่างนี้ “
สามารถอธิบายสภาวะที่มีเกิดขึ้น ๒ แบบ
กรรมเก่าและกรรมใหม่(ปัจจุบัน)
- กรรมเก่า ให้อ่านในพระสูตร สัญเจตนิยวรรคที่ ๓
- กรรมใหม่ มีเกิดขึ้นปัจจุบัน
เป็นบุคคลที่ได้สดับธรรมจากพระอริยะ สัตบุรุษ สัปบุรุษและปฏิบัติตาม
ยังละกามโยคะ เป็นสมุจเฉท คือยังไม่ได้มรรคผลตามจริง
ผลของการปฏิบัติทำให้โอรัมภาคิยสังโยชน์ที่มีอยู่ เบาบางลง
เป็นอนาคามี ยังต้องมาสู่ความเป็นอย่างนี้
คำว่า ยังต้องมาสู่ความเป็นอย่างนี้
ได้แก่ ผัสสะ เวทนา
ปฏิบัติตลอดชีวิต
.
พระสูตรใช้นำมาขยายคำที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสย่อไว้
จากการสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้ากับพระสารีบุตร
สัญเจตนิยวรรคที่ ๓
.
เมื่อพระสารีบุตรได้ฟังการอธิบายจากพระพุทธเจ้า
แล้วพระสารีบุตรนำไปสนทนากับพระภิกษุ
มาเป็นพระสูตรนี้
๔. สมจิตตวรรค
หมวดว่าด้วยเทวดาพร้อมใจกัน
บุคคลผู้มีสังโยชน์ ๒ จำพวก
ในพระสูตร ทำไมพระพุทธเจ้าทรงตรัสแบบนั้นกับพระสารีบุตร
“ดูกรสารีบุตร ก็จิตอย่างนั้น
ซึ่งเป็นเหตุให้เทวดาเหล่านั้นยืนอยู่ได้ในโอกาสแม้เท่าปลายเหล็ก
แหลมจดลง ๑๐ องค์บ้าง ฯลฯ แต่ก็ไม่เบียดกันและกัน
เทวดาเหล่านั้นได้อบรมแล้วในศาสนานี้เอง
เพราะฉะนั้นแหละสารีบุตร
เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จักเป็นผู้มีอินทรีย์สงบ
มีใจระงับอยู่ เธอควรศึกษาเช่นนี้แหละ
สารีบุตร กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของผู้มีอินทรีย์สงบ
มีใจระงับ จักสงบระงับ เพราะฉะนั้นแหละ
สารีบุตร เธอพึงศึกษาว่า จักนำกายและจิต
ที่สงบระงับแล้วเท่านั้นเข้าไปในพรหมจารีทั้งหลาย
ดูกรสารีบุตร เธอควรศึกษาเช่นนี้แหละ”
และทรงตรัสกับพระสารีบุตรอีกครั้ง
“ดูกรสารีบุตร พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก
ที่ไม่ได้ฟังธรรมบรรยายนี้ ได้พากันฉิบหายเสียแล้ว ฯ”
ซึ่งมีเหตุนะ
ก็ให้อ่านเนื้อความเต็มในพระสูตร ๔. สมจิตตวรรค
ย่อ
๗. กามสูตร
[๒๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
บุคคลผู้ประกอบแล้วด้วยกามโยคะ
ผู้ประกอบแล้วด้วยภวโยคะ
เป็นอาคามี
ยังต้องมาสู่ความเป็นอย่างนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พระอริยบุคคลผู้พรากแล้วจากกามโยคะ
(แต่)ยังประกอบด้วยภวโยคะ
เป็นอนาคามี ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พระอริยบุคคลผู้พรากแล้วจากกามโยคะ
พรากแล้วจากภวโยคะ
เป็นพระอรหันตขีณาสพ ฯ
สัตว์ทั้งหลายผู้ประกอบแล้วด้วยกามโยคะและภวโยคะ
ย่อมไปสู่สงสารซึ่งมีปรกติถึงความเกิดและความตาย
ส่วนสัตว์เหล่าใดละกามทั้งหลายได้เด็ดขาด
แต่ยังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ยังประกอบด้วยภวโยคะ
สัตว์เหล่านั้นบัณฑิตกล่าวว่า เป็นพระอนาคามี
ส่วนสัตว์เหล่าใด ตัดความสงสัยได้แล้ว มีมานะและมีภพใหม่สิ้นแล้ว
ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายแล้ว
สัตว์เหล่านั้นแลถึงฝั่งแล้วในโลก ฯ
= อธิบาย =
“กามโยคะ”
ได้แก่ กามตัณหา
คำว่า ภวโยคะ
ได้แก่ ภวตัณหา
คำว่า สัตว์เหล่าใดละกามทั้งหลายได้เด็ดขาด
ได้แก่ ละกามุปาทาน
วิธีการละ
๑. ด้วยการสดับธรรมจากพระอริยะ สัตุบรุษ สัปบุรุษและปฏิบัติตาม
๒. ด้วยการทำกรรมฐาน ทำต่อเนื่องจนกระทั่งจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ
ในรูปฌาน อรูปฌาน ที่เป็นสัมมาสมาธิ ในชาติปัจจุบัน
.
ขยาย
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
สัญเจตนิยวรรคที่ ๓
[๑๗๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อกายมีอยู่ สุขทุกข์ภายในย่อมเกิดขึ้น
เพราะกายสัญเจตนาเป็นเหตุ
หรือเมื่อวาจามีอยู่ สุขทุกข์ในภายในย่อมเกิดขึ้น
เพราะวจีสัญเจตนา ๒ เป็นเหตุ
หรือเมื่อใจมีอยู่ สุขทุกข์ภายในย่อมเกิดขึ้น
เพราะมโนสัญเจตนา เป็นเหตุ
อีกอย่างหนึ่ง เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
บุคคลย่อมปรุงแต่งกายสังขาร
อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นด้วยตนเองบ้าง
หรือบุคคลอื่นย่อมปรุงแต่งกายสังขารของบุคคลนั้น
อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้น
หรือบุคคลรู้สึกตัว
ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง
หรือบุคคลไม่รู้สึกตัว
ย่อมปรุงแต่งกายสังขารอันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง
บุคคลย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร
อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นด้วยตนเองบ้าง
หรือบุคคลอื่นย่อมปรุงแต่งวจีสังขารของบุคคลนั้น
อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้นบ้าง
หรือบุคคลรู้สึกตัวย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร
อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง
หรือบุคคลไม่รู้สึกตัว
ย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง
บุคคลย่อมปรุงแต่งมโนสังขาร
อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นด้วยตนเองบ้าง
หรือบุคคลอื่นย่อมปรุงแต่งมโนสังขารของบุคคลนั้น
อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้นบ้าง
หรือบุคคลรู้สึกตัวย่อมปรุงแต่งมโนสังขาร
อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง
หรือบุคคลไม่รู้สึกตัวย่อมปรุงแต่งมโนสังขาร
อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อวิชชาติดตามไปแล้วในธรรมเหล่านี้
แต่เพราะอวิชชานั่นแลดับโดยสำรอกไม่เหลือ
กายอันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้น
ย่อมไม่มี วาจา … ใจ … เขต … วัตถุ… อายตนะ …
อธิกรณะอันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้นย่อมไม่มี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความได้อัตภาพ ๔ ประการนี้
๔ ประการเป็นไฉน
คือ ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนเป็นไป
ไม่ใช่สัญเจตนาของผู้อื่นเป็นไปก็มี
ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของผู้อื่นเป็นไป
ไม่ใช่สัญเจตนาของตนเป็นไปก็มี
ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนด้วย
สัญเจตนาของผู้อื่นด้วยเป็นไปก็มี
ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตน
ก็มิใช่สัญเจตนาของผู้อื่นก็มิใช่เป็นไปก็มี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความได้อัตภาพ ๔ ประการนี้แล ฯ
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว
ท่านพระสารีบุตรได้ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสโดยย่อนี้
ข้าพระองค์ทราบชัดเนื้อความโดยพิสดารอย่างนี้ว่า
บรรดาความได้อัตภาพ ๔ ประการนั้น
ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนเป็นไป
มิใช่สัญเจตนาของผู้อื่นเป็นไปนี้
คือ การจุติจากกายนั้นของสัตว์เหล่านั้น
ย่อมมีเพราะสัญเจตนาของตนเป็นเหตุ
ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของผู้อื่นเป็นไป มิใช่สัญเจตนาของตนเป็นไปนี้
คือ การจุติจากกายนั้นของสัตว์เหล่านั้น
ย่อมมีเพราะสัญเจตนาของผู้อื่นเป็นเหตุ
ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนด้วย สัญเจตนาของผู้อื่นด้วยเป็นไปนี้
คือ การจุติจากกายนั้นของสัตว์เหล่านั้น
ย่อมมีเพราะสัญเจตนาของตนและสัญเจตนาผู้อื่นเป็นเหตุ
ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนเป็นไปก็มิใช่
สัญเจตนาของผู้อื่นเป็นไปก็มิใช่นี้
จะพึงเห็นเทวดาทั้งหลายด้วยอัตภาพนั้นเป็นไฉน พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรสารีบุตร
พึงเห็นเทวดาทั้งหลายผู้เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะด้วยอัตภาพนั้น ฯ
สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
อะไรหนอแลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลกนี้
จุติจากกายนั้น แล้วเป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้
อนึ่ง อะไรเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลกนี้
จุติจากกายนั้นแล้วเป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้
ยังละโอรัมภาคิยสังโยชน์ไม่ได้
แต่เขาบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะในปัจจุบัน
บุคคลนั้นชอบใจ ยินดีและถึงความปลื้มใจด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น
ยับยั้งอยู่ในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น น้อมใจไป
อยู่จนคุ้นในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ไม่เสื่อม
เมื่อทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดา
ผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนภพ
เขาจุติจากชั้นนั้น แล้วย่อมเป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้
ดูกรสารีบุตร อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้
ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้แล้ว
เขาบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ ในปัจจุบัน
บุคคลนั้นชอบใจ ยินดี และถึงความปลื้มใจ
ด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น
ยับยั้งในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น น้อมใจไป
อยู่จนคุ้นในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ไม่เสื่อม
เมื่อกระทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดา
ผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนภพ
เขาจุติจากชั้นนั้นแล้ว ย่อมเป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้
ดูกรสารีบุตร นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลกนี้
จุติจากกายนั้นแล้วเป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้
อนึ่ง นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลกนี้
จุติจากกายนั้นแล้วเป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ
= อธิบาย =
“บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังละโอรัมภาคิยสังโยชน์ไม่ได้
แต่เขาบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะในปัจจุบัน”
คำว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ
ในที่นี้หมายถึง เนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นมิจฉาสมาธิ
“นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลกนี้
จุติจากกายนั้นแล้วเป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้”
.
“บุคคลบางคนในโลกนี้ ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้แล้ว
เขาบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ ในปัจจุบัน”
คำว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ
ในที่นี้หมายถึง เนวสัญญานาสัญญายตนะที่เป็นสัมมาสมาธิ
“นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลกนี้
จุติจากกายนั้นแล้วเป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ”
.
การที่เข้าใจในพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้
อาศัยการสดับธรรมจากพระอริยะ สัตบุรุษ สัปบุรุษและปฏิบัติตาม
แล้วการเข้าถึงสภาวะนั้นๆที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้
การท่องจำเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถจะเข้าใจได้หรอก
เกิดจากสภาวะนั้นๆยังไม่มีเกิดขึ้นในตน
.
ส่วนตรงนี้เราได้เขียนอธิบายสภาวะที่มีเกิดขึ้นเรื่องคำเรียกพระอนาคามี
พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ เรื่องอนาคามี มี ๒ ประเภท
ไม่ใช่เรื่องมรรคผล แต่เป็นเรื่องของภพชาติของการเกิด
ส่วนอนาคามี ๕ ประเภท คนละเรื่องกัน
อันนั้นเรื่องสัมมาสมาธิอยู่ในอินทรีย์ ๕ ทั้งบรรลุเร็วและบรรลุช้า
การศึกษาก็สำคัญ
นำมาบางส่วนจากพระสูตร พระพุทธเจ้าสนทนากับพระสารีบุตร
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
สัญเจตนิยวรรคที่ ๓
สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลกนี้
จุติจากกายนั้นแล้วเป็นอาคามีกลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้
อนึ่ง อะไรเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลกนี้
จุติจากกายนั้นแล้วเป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังละโอรัมภาคิยสังโยชน์ไม่ได้
แต่เขาบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะในปัจจุบัน
บุคคลนั้นชอบใจ ยินดีและถึงความปลื้มใจด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น
ยับยั้งอยู่ในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น น้อมใจไป
อยู่จนคุ้นในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ไม่เสื่อม
เมื่อทำกาละ
ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนภพ
เขาจุติจากชั้นนั้นแล้วย่อมเป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้
ดูกรสารีบุตร อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้แล้ว
เขาบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ ในปัจจุบัน
บุคคลนั้นชอบใจ ยินดี และถึงความปลื้มใจ ด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น
ยับยั้งในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น น้อมใจไป
อยู่จนคุ้นในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ไม่เสื่อม
เมื่อกระทำกาละ
ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนภพ
เขาจุติจากชั้นนั้นแล้ว ย่อมเป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้
ดูกรสารีบุตร นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลกนี้
จุติจากกายนั้นแล้วเป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้
อนึ่ง นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลกนี้
จุติจากกายนั้นแล้วเป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ
= อธิบาย =
เนวสัญญานาสัญญา มี ๒ ประเภท มิจฉาสมาธิและสัมมาสมาธิ
“บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังละโอรัมภาคิยสังโยชน์ไม่ได้
แต่เขาบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะในปัจจุบัน
บุคคลนั้นชอบใจ ยินดีและถึงความปลื้มใจด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น
ยับยั้งอยู่ในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น น้อมใจไป
อยู่จนคุ้นในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ไม่เสื่อม
เมื่อทำกาละ
ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนภพ
เขาจุติจากชั้นนั้นแล้วย่อมเป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้”
เนื้อความที่สำคัญอยู่ตรงนี้ “ยังละโอรัมภาคิยสังโยชน์ไม่ได้”
สมาธิในเนวสัญญานาสัญญายตนะ ที่เป็นมิจฉาสมาธิ
คำว่า กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้
ได้แก่ เกิดเป็นมนุษย์ มีของเก่าเนวสัญญายตนะติดตัวมา
ชาติปัจจุบันมีเหตุให้ทำกรรมฐาน จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิเนวสัญญาฯที่เป็นสัมมาสมาธิ
ย่อมเป็นอนาคามี ณ ปัจจุบัน
.
“บุคคลบางคนในโลกนี้ ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้แล้ว
เขาบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ ในปัจจุบัน
บุคคลนั้นชอบใจ ยินดี และถึงความปลื้มใจ ด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น
ยับยั้งในเนวสัญญานาสัญญานั้น น้อมใจไป
อยู่จนคุ้นในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ไม่เสื่อม
เมื่อกระทำกาละ
ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนภพ
เขาจุติจากชั้นนั้นแล้ว ย่อมเป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้”
เนื้อความที่สำคัญอยู่ตรงนี้ “ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้แล้ว”
สมาธิในเนวสัญญานาสัญญายตนะ ที่เป็นสัมมาสมาธิ สภาวะมีเกิดขึ้นปัจจุบัน
คำว่า ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้
ได้แก่ ไม่กลับมาเกิดเป็นนมนุษย์อีก
การศึกษาก็สำคัญ การเข้าถึงด้วยการปฏิบัติ ยิ่งสำคัญมากขึ้น
มิจฉาสมาธิและสัมมาสมาธิ
พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงเนวสัญญาฯที่เป็นมิจฉาสมาธิและสัมมาสมาธิ
ยังไม่ตรัสถึงเรื่องมรรคผล
ไปหาอ่านได้พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้เรื่องสัมมาสมาธิ
เพียงปฏิบัติเข้าถึงรูปฌาน ที่เป็นสัมมาสมาธิ ไม่เสื่อม
จนกระทั่งเสียชีวิต ไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
.
สิ่งที่เราเขียนเพื่อให้คนที่เข้าไปอ่าน สามารถจะทำให้เข้าใจมากขึ้น
ตัดทิ้งไปก่อนเรื่องพระอนาคามี
คนที่ติดพยัญชนะ จากที่เคยอ่านหรือฟังมา
จะไม่ยอมรับ เกิดจากยึดมั่นในตำราในบางส่วนที่เคยอ่าน เคยฟังมา
.
อธิบายสภาวะมิจฉาสมาธิกับสัมมาสมาธิ ผลที่ได้รับจะแตกต่างกัน
ผลของการทำกรรมฐาน
จะใช้สมถะ มีบัญญัติเป็นอารมณ์ ใช้คำบริกรรม
หรือใช้วิปัสสนา มีรูปนามเป็นอารมณ์
หรือสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันก็ตาม
ทำต่อเนื่อง ทำทุกวัน
จนกระทั่งจิตเป็นสมาธิ
ในที่นี้ตามพระสูตรที่นำมาแสดงนั้น
เป็นสภาวะของสัมมาสมาธิตามจริง
อยู่จนคุ้นด้วย สมาธิไม่เสื่อม
ฌานสูตรที่ ๑
[๑๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก
๔ จำพวกเป็นไฉน
คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม
บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่
บุคคลนั้นพอใจ ชอบใจปฐมฌานนั้น และถึงความปลื้มใจด้วยปฐมฌานนั้น
ตั้งอยู่ในปฐมฌานนั้น น้อมใจไปในปฐมฌานนั้น
อยู่จนคุ้นด้วยปฐมฌานนั้น ไม่เสื่อม
เมื่อกระทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่าพรหมกายิกา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กัปหนึ่งเป็นประมาณอายุของเทวดาเหล่าพรหมกายิกา
ปุถุชนดำรงอยู่ในชั้นพรหมกายิกานั้น ตราบเท่าตลอดอายุ
ยังประมาณอายุทั้งหมดของเทวดาเหล่านั้นให้สิ้นไปแล้ว
ย่อมเข้าถึงนรกบ้าง กำเนิดดิรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง
ส่วนสาวกของพระผู้มีพระภาค ดำรงอยู่ในชั้นพรหมนั้นตราบเท่าสิ้นอายุ
ยังประมาณอายุของเทวดาเหล่านั้นทั้งหมดให้สิ้นไปแล้ว
ย่อมปรินิพพานในภพนั้นเอง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นความพิเศษผิดแผกแตกต่างกัน
ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ คือ ในเมื่อคติ อุบัติมีอยู่ ฯ
อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้
บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน
เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร
เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่
บุคคลนั้นพอใจ ชอบใจทุติยฌานนั้นและถึงความปลื้มใจด้วยทุติยฌานนั้น
ตั้งอยู่ในทุติยฌานนั้น น้อมใจไปในทุติยฌานนั้น
อยู่จนคุ้นด้วยทุติยฌานนั้น ไม่เสื่อม
เมื่อกระทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาพวกอาภัสสระ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ๒ กัปเป็นประมาณอายุของเทวดาเหล่าอาภัสสระ
ปุถุชนดำรงอยู่ในชั้นอาภัสสระ ตราบเท่าตลอดอายุ
ยังประมาณอายุทั้งหมดของเทวดาเหล่านั้นให้สิ้นไปแล้ว
ย่อมเข้าถึงนรกบ้าง กำเนิดดิรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง
ส่วนสาวกของพระผู้มีพระภาค
ดำรงอยู่ในชั้นอาภัสสระนั้น ตราบเท่าตลอดอายุ
ยังประมาณอายุทั้งหมดของเทวดาเหล่านั้นให้สิ้นไปแล้ว
ย่อมปรินิพพานในภพนั้นเอง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นความพิเศษผิดแผกแตกต่างกัน
ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับคือในเมื่อคติ อุบัติมีอยู่ ฯ
อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้
มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป
บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้
เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข
บุคคลนั้นพอใจ ชอบใจตติยฌานนั้น และถึงความปลื้มใจด้วยตติยฌานนั้น
ตั้งอยู่ในตติยฌานนั้นน้อมใจไปในตติยฌานนั้น
อยู่จนคุ้นด้วยตติยฌานนั้น ไม่เสื่อม
เมื่อกระทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่าสุภกิณหะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ๔ กัปเป็นประมาณอายุของเทวดาเหล่าสุภกิณหะ
ปุถุชนดำรงอยู่ในชั้นสุภกิณหะนั้นตราบเท่าตลอดอายุ
ยังประมาณอายุทั้งหมดของเทวดาเหล่านั้นให้สิ้นไปแล้ว
ย่อมเข้าถึงนรกบ้าง กำเนิดดิรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง
ส่วนสาวกของพระผู้มีพระภาค
ดำรงอยู่ในชั้นสุภกิณหะนั้น ตราบเท่าตลอดอายุ
ยังประมาณอายุทั้งหมดของเทวดาเหล่านั้นให้สิ้นไปแล้ว
ย่อมปรินิพพานในภพนั้นเอง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นความพิเศษ ผิดแผกแตกต่างกัน
ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ คือ ในเมื่อคติ อุบัติมีอยู่ ฯ
อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้
บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข
เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้
มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
บุคคลนั้นพอใจ ชอบใจจตุตถฌานนั้น
และถึงความปลื้มใจด้วยจตุตถฌานนั้น ตั้งอยู่ในจตุตถฌานนั้น
น้อมใจไปในจตุตถฌานนั้น
อยู่จนคุ้นด้วยจตุตถฌานนั้น ไม่เสื่อม
เมื่อกระทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาเหล่าเวหัปผละ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ๕๐๐ กัปเป็นประมาณอายุของเทวดาเหล่าเวหัปผละ
ปุถุชนดำรงอยู่ในชั้นเวหัปผละนั้น ตราบเท่าตลอดอายุ
ยังประมาณอายุทั้งหมดของเทวดาเหล่านั้นให้สิ้นไปแล้ว
ย่อมเข้าถึงนรกบ้าง กำเนิดดิรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง
ส่วนสาวกของพระผู้มีพระภาค
ดำรงอยู่ในชั้นเวหัปผละนั้น ตราบเท่าตลอดอายุ
ยังประมาณอายุทั้งหมดของเทวดาเหล่านั้นให้สิ้นไปแล้ว
ย่อมปรินิพพานในภพนั้นเอง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นความพิเศษผิดแผกแตกต่างกัน
ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ คือ ในเมื่อคติ อุบัติมีอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวก มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
.
ตัวสภาวะตามพระสูตรนี้
ในที่นี้หมายถึง หากยังไม่ได้โสดาปัตติผลตามจริง ต้องปฏิบัติตลอดชีวิต
และกำลังสมาธิที่มีอยู่ไม่เสื่อม จนสิ้นชีวิต
อย่าลืมว่า ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่
กรรมและผลของกรรม เหตุมี ยังคงให้รับผลอยู่
ผัสสะมี เวทนาย่อมมี
ปฏิบัติจนรูปฌาน ก็สามารถเสื่อมได้
จะมีเหตุทำให้ปฏิบัติต่อไม่ได้ เช่นอุบัติหรือการเจ็บป่วย
และอะไรอีกมากมาย คาดเดาไม่ได้หรอก