4 เมษายน
“ภิกษุนั้นย่อมเสวยอารมณ์ทั้งที่พึงใจและไม่พึงใจ ยังเสวยสุขและทุกข์อยู่
เพราะความที่อินทรีย์ ๕ เหล่าใดเป็นธรรมชาติไม่บุบสลาย
อินทรีย์ ๕ เหล่านั้นของเธอยังตั้งอยู่นั่นเทียว”
คำว่า ความที่อินทรีย์ ๕ เหล่าใดเป็นธรรมชาติไม่บุบสลาย
ได้แก่ เวทนา
๓. มหาเวทัลลสูตร
การสนทนาธรรมที่ทำให้เกิดปีติ
เรื่องเวทนาสัญญาและวิญญาณ
[๔๙๕] ก. ดูกรท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เวทนาๆ ดังนี้
ด้วยเหตุเพียงไรหนอ จึงตรัสว่า เวทนา?
สา. ดูกรท่านผู้มีอายุ ธรรมชาติที่รู้ๆ
เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า เวทนารู้อะไร
รู้สุขบ้าง รู้ทุกข์บ้าง รู้สิ่งที่มิใช่ทุกข์มิใช่สุขบ้าง
ธรรมชาติย่อมรู้ๆ ฉะนั้น จึงตรัสว่า เวทนา.
๒. วิภังคสูตร
[๑๑] ก็เวทนาเป็นไฉน
เวทนา ๖ หมวดเหล่านี้คือ
จักขุสัมผัสสชาเวทนา โสตสัมผัสสชาเวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา
ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา
นี้เรียกว่าเวทนา ฯ
มีเรื่องของอินทรีย์ ๕
สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์
มาเกี่ยวข้อง
หากสมาธิทรีย์ในอรูปฌาน
กำลังสมาธิบดบังผัสสะ เวทนา
เหมือนไม่มีกิเลส
ผัสสะที่มีกระทบ สักแต่สภาวะมีเกิดขึ้น
หากสมาธิทรีย์ในรูปฌาน
จะรู้ชัดผัสสะ เวทนา ที่มีเกิดขึ้นตามจริง
อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
คำว่า มีสังโยชน์ในภพสิ้นรอบแล้ว
ได้แก่ ดับสนิทแห่งภพทั้งหลายโดยประการทั้งปวง
วิชชา ๓
ละตัณหา ๓ (กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา)
ดับกามภพ รูปภพ อรูปภพ
ดับฉันทราคะในอุปาทานขันธ์ ๕
ดับอุปาทาน ๔
“เวทนาทั้งปวงในอัตภาพนี้แหละของภิกษุนั้น
เป็นธรรมชาติอันกิเลสทั้งหลาย มีตัณหาเป็นต้นให้เพลิดเพลินมิได้แล้ว จักเย็น”
ได้แก่
ละกามตัณหา
ละภวตัณหา
ละวิภวตัณหา
–
สาวกและพระสงฆ์ ไม่มียกเว้น
จะรู้ว่าตนเข้าถึงอรหันต์
จะเป็นอรหัตมรรค หรืออรหัตผล
ต้องฟังพระพุทธเจ้าและศึกษา
ในศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ
๑๐. สุสิมสูตร
[๒๘๙] สุ. ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
คำตอบนี้ และการไม่เข้าถึงธรรมเหล่านี้ มีอยู่ในเรื่องนี้ในบัดนี้
อาวุโส เรื่องนี้ เป็นอย่างไรแน่ ฯ
ภิ. ท่านสุสิมะ ผมทั้งหลายหลุดพ้นได้ด้วยปัญญา ฯ
สุ. ผมไม่เข้าใจเนื้อความแห่งคำที่ท่านทั้งหลายกล่าวโดยย่อนี้โดยพิสดารได้
ขอท่านทั้งหลายจงกล่าวแก่ผม
เท่าที่ผมจะพึงเข้าใจเนื้อความแห่งคำที่ท่านทั้งหลายกล่าวโดยย่อนี้ โดยพิสดารเถิด ฯ
ภิ. ท่านสุสิมะ ท่านพึงเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม
แต่ผมทั้งหลายก็หลุดพ้นได้ด้วยปัญญา ฯ
–
แล้วมีอีกอย่างหนึ่ง
เรื่องของอินทรีย์ ๕ โดยเฉพาะสมาธินทรีย์ ๕ มาเกี่ยวข้อง
คือสมาธินทรีย์เสื่อม
อันนี้จะยิ่งกว่าสภาวะที่มีเกิดขึ้นในได้รูปฌาน
จะรู้ชัดผัสสะ เวทนา ตามจริง ยิ่งกว่า
หากยังไม่ได้มรรคผลตามจริง
จะเหมือนเรื่องราวขอพระมหาเทวะ ที่เข้าใจผิดว่าตนเข้าถึงอรหัตผล
๔. ปัญญาสูตร
[๒๑๙] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว
พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว
เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สัตว์ทั้งหลายผู้เสื่อมจากอริยปัญญา ชื่อว่าเสื่อมสุด
สัตว์เหล่านั้นย่อมอยู่เป็นทุกข์ มีความเดือดร้อน
มีความคับแค้น มีความเร่าร้อน ในปัจจุบันทีเดียว
เมื่อตายไปแล้วพึงหวังได้ทุคติ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สัตว์ทั้งหลายผู้ไม่เสื่อมจากอริยปัญญา ชื่อว่าไม่เสื่อม
สัตว์เหล่านั้นย่อมอยู่เป็นสุข ไม่มีความเดือดร้อน
ไม่มีความคับแค้น ไม่มีความเร่าร้อน ในปัจจุบันเทียวแล
เมื่อตายไปพึงหวังได้สุคติ ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว
ในพระสูตรนั้นพระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า ฯ
จงดูโลกพร้อมด้วยเทวโลก
ผู้ตั้งมั่นลงแล้วในนามรูป
เพราะความเสื่อมไปจากปัญญา
โลกพร้อมด้วยเทวโลก
ย่อมสำคัญว่า นามรูปนี้เป็นของจริง
ปัญญาอันให้ถึงความชำแรกกิเลสนี้แล ประเสริฐที่สุดในโลก
ด้วยว่าปัญญานั้นย่อมรู้ชัดโดยชอบ
ซึ่งความสิ้นไปแห่งชาติและภพ
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ย่อมรักใคร่ต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น
ผู้มีสติ มีปัญญาร่าเริง ผู้ทรงไว้ซึ่งสรีระอันมีในที่สุด ฯ
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว
เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล ฯ
อธิบาย
คำว่า ย่อมสำคัญว่า นามรูปนี้เป็นของจริง
เกิดจากยังละฉันทราคะในอุปาทานขันธ์ ๕ ไม่ได้
คำว่า ปัญญาอันให้ถึงความชำแรกกิเลสนี้แล ประเสริฐที่สุดในโลก
ด้วยว่าปัญญานั้นย่อมรู้ชัดโดยชอบ ซึ่งความสิ้นไปแห่งชาติและภพ
ได้แก่ การแจ้งอริยสัจ ๔ ตามจริง
ถึงแม้สมาธินทรีย์เสื่อหายไปหมดสิ้น
ความรู้ความเห็นการแจ้งอริยสัจ ๔ ที่แจ้งด้วยตน
จะไม่มีวันเสื่อมหายไปหมดสิ้น คือ รู้แล้ว รู้เลย