2 มกราคม
บางสิ่งบางอย่าง สามารถใช้เหตุผลในการปฏิเสธได้
แต่บางสิ่งบางอย่าง ไม่สามารถใช้เหตุผลในการปฏิเสธได้
แต่ธรรมมะ จัดสรรให้เอง คือ ส่งผลกระทบน้อยมาก
กรรมเป็นเรื่องละเอียด…
บางสิ่งหลีกเลี่ยงได้
บางสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ใช้ปราบความเห็นผิด
ความยึดมั่นถือมั่นในอุปทานขันธ์ ๕
ว่างจากอะไร ว่างจากความยึดมั่นถือมั่นใน
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
5 มกราคม
คาดเดาไม่ได้เลย
เพราะเป็นเพียงแค่ ความรู้สึกนึกคิด
ชีวิตดีมาก จนรู้สึกดีกับชีวิต
แต่กลับไม่ปรารถนาการมีชีวิตอยู่
…
ทุกครั้งที่รู้สึกดีกับชีวิตที่สงบ ราบเรียบ
จิตจะเกิดการคิดพิจรณา ดีแล้วยังไง
ภาพต่างๆ จะผุดขึ้นมาทันที “ภพชาติของการเกิด”
ทำให้ความเบื่อหน่ายมีเกิดขึ้นทันที
มีเกิดขึ้นแบบนี้เนืองๆ
เล่าเรื่องราวกับการเขียนออกมา ไม่เหมือนกัน มีรายละเอียด ข้อปลีกย่อย แตกต่างกัน
.
บอกเจ้านายว่า เวลาเล่าสภาวะให้ฟัง ให้กดบันทึกไว้ เพราะที่เขียนๆน่ะ ไม่ละเอียดเหมือนกับที่เล่าให้ฟัง
…
เขาบอกว่า กลัวเราพูดไม่ออก
เราบอกว่า เมื่อก่อนน่ะเคยเป็น เดี่ยวนี้ไม่ละ
และ ให้ทำ you tube ส่วนตัว
เขาบอกว่า เดี๋ยวลองดู
.
วันนี้เรื่องที่เล่าให้ฟัง เกิดจากคำถามของเขา ที่ถามเกี่ยวกับพระอรหันต์ ประเภทสอุปาทิเสนิพพานธาตุและอนุปาทานิพพานธาตุ ทำให้จิตเกิดการคิดพิจรณา ทบทวนสภาวะต่างๆ ไล่มาเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นจนจบที่สภาวะจิตดวงสุดท้าย ที่เคยมีเกิดขึ้น ๒ ครั้ง
ตอนที่จิตเสื่อม สมาธิเสื่อม เพราะรู้ชัดด้วยตนเองว่า ทำยังไงจิตจึงตั้งมั่นเป็นสมาธิ พยายามทำความเพียรต่อเนื่อง จนปัจจุบัน กำลังสมาธิเริ่มกลับมามีกำลังมากขึ้น ถึงไม่มากเท่าเมื่อก่อนก็ตาม
ทำให้รู้ชัดว่า ทำไมพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ไม่ต้องไปรู้ว่า ละกิเลสไปมากน้อยแค่ไหน แค่ให้รู้ว่าละไปแล้วเท่านั้นพอ
เพราะกำลังสมาธิที่มีเกิดขึ้น ช่วยกดข่มกิเลสไว้บางส่วน กิเลสที่มีเกิดขึ้น จึงไม่ใช่ตามความเป็นจริง
ทำให้รู้ว่า ทำไมพระพุทธเจ้าจึงแยกปถุชนกับอริยะ ไม่ใช่แค่เรื่องสังโยชน์ แต่เป็นเรื่องของ จิต ความรู้ชัดในจิต จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง บุคคลที่รู้ชัดดังนี้ จะให้หวนหลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมที่เคยเป็น ไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ เพราะจิตนั้นเปลี่ยนไปแล้ว ภายในเปลี่ยน ภายนอกกลับเป็นปกติ
จากที่กิน ด้วยความอยาก เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง พิจรณาก่อนที่จะกิน กินเพื่ออยู่ กินง่าย เลี้ยงง่าย กินตามสัปปายะ กินเพื่อหล่อเลี้ยงธาตุขันธ์ ไม่ได้กินเพื่อสนองกิเลส ตัณหาแต่อย่างใด
จากที่เคยขับถ่ายเพราะต้องขับถ่าย เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง พิจรณาทุกครั้งที่ขับถ่าย ขับถ่ายเพราะอะไร ทำไมถึงต้องขับถ่าย
สี่(เซ็กส์) จากในอดีตที่เคยมี กลับกลายเป็นละขาด ความเป็นสามีภรรยา ล้วนทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ นี่สามี นี่ภรรยา แสดงความเป็นเจ้าของ ผิดลูก ผิดเมีย ตามใจตัณหา
นอน จากที่เคยนอนแบบถูกโมหะครอบงำ กลับกลายเป็นนอนทุกครั้ง รู้ชัดจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ คำว่า หลับ จึงหายไปจากชีวิต
ที่สำคัญ การให้อภัย เริ่มเป็นอัตโนมัติ ให้อภัยได้อย่างง่ายดาย เพราะไม่รู้เขาจึงทำ ถ้าเขารู้ เขาจะไม่ทำ เราเขาล้วนไม่แตกต่างกัน แตกต่างกันตรงที่ รู้ กับ ไม่รู้
ความเป็นกลาง เริ่มมีมากขึ้น โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากแบบก่อนๆ
นอกตัว คนทุกคนแตกต่างกันไป ล้วนเกิดจากความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ เหตุปัจจัยจากความไม่รู้ที่มีอยู่ จึงกระทำตามโลภะ โทสะ โมหะ ได้อย่างง่ายดาย โดยมีตัณหาเป็นแรงขับเคลื่อน
สภาวะที่พบเจอ เป็นการสั่งสมประสพการณ์
สัญญาต่างๆที่มีเกิดขึ้น เป็นตัวถ่ายถอนความยึดมั่นถือมั่นที่มีอยู่
.
…
สำหรับผู้ที่เจริญสติปัฏฐาน
เรื่องราวของกิเลส แรกๆเป็นเรื่องที่ให้ความสนใจมาก
นิพพาน คือ ความสิ้นกิเลส อย่างงั้นรึ
พระอรหันต์ คือ ผู้ที่หมดกิเลส อย่างงั้นรึ
สุญญตา อย่างงั้นรึ
ล้วนเกิดจากความไม่รู้ที่มีอยู่
จึงตีความหมายตามความเห็นของตน
เป็นเหตุปัจจัยให้โฟกัสผิดจุด
เมื่อโฟกัสผิดจุด จึงติดกับดักความมี ความเป็นไปโดยไม่รู้ตัว
.
โสดาบัน
สกิทาคา
อนาคามี
โดยเฉพาะ อรหันต์
ก็สอุปาทิเสสนิพพานธาตุเป็นไฉน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำ
กิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว มีประโยชน์ของตนอันบรรลุแล้ว มีสังโยชน์ในภพนี้สิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ
ภิกษุนั้นย่อมเสวยอารมณ์ทั้งที่พึงใจและไม่พึงใจ ยังเสวยสุขและทุกข์อยู่ เพราะความที่อินทรีย์ ๕ เหล่าใดเป็นธรรมชาติไม่บุบสลาย อินทรีย์ ๕ เหล่านั้นของเธอยังตั้งอยู่นั่นเทียว
และ
ก็อนุปาทิเสสนิพพานธาตุเป็นไฉน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันตขีณาสพอยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว มีประโยชน์ของตนอันบรรลุแล้ว มีสังโยชน์ในภพสิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ
เวทนาทั้งปวงในอัตภาพนี้แหละของภิกษุนั้น เป็นธรรมชาติอันกิเลสทั้งหลายมีตัณหาเป็นต้นให้เพลิดเพลินมิได้แล้ว จัก (ดับ) เย็น
.
อ่านแล้วแปลกใจมั๊ย ทำไมอรหันต์ จึงยังมีความยินดี ยินร้าย
และมีตัณหาเป็นต้นให้เพลิดเพลินมิได้แล้ว จัก (ดับ) เย็น
.
เพราะที่กล่าวมานี้ ล้วนเป็น ปัจจุบันธรรม
8 มกราคม
วันก่อนเขียนเรื่อง โสดา สกิทาคา อนาคามี อรหันต์ ว่าเป็นเรื่องของปัจจุบันธรรม แต่ยังขาดรายละเอียดที่จะนำมาอ้างอิงได้ ถึงแม้จะมีพระธรรมคำสอนบางพระธรรมคำสอน ที่ทรงตรัสไว้ก็ตาม
วันนี้อ่านเจอในหนังสือ อังคีรสปุตฺโต เกี่ยวกับสัจจกนิครนถ์ทูลถามปัญหากับพระพุทธเจ้า
.
นำมาหาในพระไตรปิฎก ในกูเกิ้ล
.
๕. จูฬสัจจกสูตร
เรื่องสัจจกนิครนถ์สนทนากับพระอัสสชิเถระ
เหตุที่พระสาวกเป็นผู้ทำตามคำสอนและเป็นพระอรหันต์
.
[๔๐๑] สัจจกนิครนถ์ ทูลถามว่า ด้วยเหตุเท่าไร สาวกของพระโคดม จึงชื่อว่าเป็นผู้ทำตามคำสั่งสอน ทำถูกตามโอวาท ข้ามความสงสัยเสียได้ ปราศจากความแคลงใจอันเป็นเหตุให้กล่าวว่าข้อนี้เป็นอย่างไร ถึงความแกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น อยู่ในคำสอนของศาสดาตน?
พ. ดูกรอัคคิเวสสนะ สาวกของเราในธรรมวินัยนี้
ย่อมเห็นเบญจขันธ์นั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันใดอันหนึ่ง
ทั้งที่ล่วงไปแล้ว ทั้งที่ยังไม่มาถึง ทั้งเกิดขึ้นเฉพาะในบัดนี้
ที่เป็นภายในก็ดี ที่เป็นภายนอกก็ดี หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี
เลวก็ดี ประณีตก็ดี ในที่ไกลก็ดี ในที่ใกล้ก็ดี
ทั้งหมดก็เป็นแต่รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่ได้เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตนของเรา ดังนี้.
ดูกรอัคคิเวสสนะ ด้วยเหตุเท่านี้แหละ
สาวกของเราจึงชื่อว่าเป็นผู้ทำตามคำสั่งสอน ทำถูกตามโอวาท
ข้ามความสงสัยเสียได้ ปราศจากความแคลงใจ
อันเป็นเหตุให้กล่าวว่าข้อนี้เป็นอย่างไร
ถึงความแกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น
อยู่ในคำสอนของศาสดาตน.
.
[๔๐๒] ส. ข้าแต่พระโคดม ด้วยเหตุเท่าไร ภิกษุชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว มีกิจที่ควรทำได้สำเร็จแล้ว ปลงภาระเสียแล้ว มีประโยชน์ตนถึงแล้วโดยลำดับ มีสัญโญชน์อันจะนำไปสู่ภพสิ้นแล้ว พ้นวิเศษแล้ว เพราะรู้ชอบ?
พ. ดูกรอัคคิเวสสนะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เห็นเบญจขันธ์ด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า
รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ อันใดอันหนึ่ง
ทั้งที่ล่วงไปแล้ว ทั้งที่ยังไม่มาถึง ทั้งเกิดขึ้นเฉพาะในบัดนี้
ที่เป็นภายในก็ดี ที่เป็นภายนอกก็ดี หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี
เลวก็ดี ประณีตก็ดี ในที่ไกลก็ดี ในที่ใกล้ก็ดี
ทั้งหมดก็เป็นแต่รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่ได้เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตนของเรา ดังนี้
จึงพ้นแล้วเพราะไม่ถือมั่น.
ดูกรอัคคิเวสสนะ ด้วยเหตุเท่านี้แหละ ภิกษุชื่อว่าเป็นพระอรหันต์
มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว มีกิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว
ปลงภาระเสียแล้ว มีประโยชน์ตนถึงแล้วโดยลำดับ
มีสัญโญชน์อันจะนำไปสู่ภพสิ้นแล้ว พ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ.
ดูกรอัคคิเวสสนะ ภิกษุที่รู้พ้นวิเศษแล้วอย่างนี้แหละ
ประกอบด้วยคุณอันยอดเยี่ยม ๓ ประการ คือ
ความเห็นอันยอดเยี่ยม ๑
ความปฏิบัติอันยอดเยี่ยม ๑
ความพ้นวิเศษอันยอดเยี่ยม ๑.
เมื่อมีจิตพ้นกิเลสแล้วอย่างนี้
ย่อมสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ตถาคตว่า
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ตรัสรู้แล้ว
ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อให้ตรัสรู้
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงฝึกพระองค์แล้ว
ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อฝึก
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงสงบได้แล้ว
ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อสงบ
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงข้ามพ้นแล้ว
ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อข้ามพ้น
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงดับสนิทแล้ว
ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อความดับสนิท.
.
หมายเหตุ;
ปัจจุบันธรรม
“สาวกของพระโคดม จึงชื่อว่าเป็นผู้ทำตามคำสั่งสอน”
พ. ดูกรอัคคิเวสสนะ สาวกของเราในธรรมวินัยนี้
ย่อมเห็นเบญจขันธ์นั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันใดอันหนึ่ง
ทั้งที่ล่วงไปแล้ว ทั้งที่ยังไม่มาถึง ทั้งเกิดขึ้นเฉพาะในบัดนี้
ที่เป็นภายในก็ดี ที่เป็นภายนอกก็ดี หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี
เลวก็ดี ประณีตก็ดี ในที่ไกลก็ดี ในที่ใกล้ก็ดี
ทั้งหมด ก็เป็นแต่รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่ได้เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตนของเรา ดังนี้.
.
ขณะทำกาละ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นเบญจขันธ์
ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า
รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ อันใดอันหนึ่ง
ทั้งที่ล่วงไปแล้ว ทั้งที่ยังไม่มาถึง ทั้งเกิดขึ้นเฉพาะในบัดนี้
ที่เป็นภายในก็ดี ที่เป็นภายนอกก็ดี หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี
เลวก็ดี ประณีตก็ดี ในที่ไกลก็ดี ในที่ใกล้ก็ดี
ทั้งหมด ก็เป็นแต่รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ
นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่ได้เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตนของเรา ดังนี้
จึงพ้นแล้วเพราะไม่ถือมั่น.
.
หากยังไม่ทำกาละ เป็นลักษณะอาการที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง
ของสภาวะ อนุโลมญาณ มรรคญาณ ผลญาณ