ทำตามสภาวะ
หลังจากเสร็จงาน เมื่อนั่งสมาธิต่อ จิตจะเป็นสมาธิอย่างง่ายดาย เนื่องจากการสะสมของกำลังสมาธิที่เกิดจากการทำงานต่อเนื่อง สมาธิที่เกิดขึ้นจะมีกำลังแนบแน่น เป็นเหตุให้สามารถรู้ชัดอยู่ในกายและจิตได้นาน
ปล่อยจิตเป็นอิสระ ดำเนินไปตามสภาวะ หรือที่เรียกว่า ญาณ ๑๖ ซึ่งจะเกิดเฉพาะในสภาวะสัมมาสมาธิเท่านั้น มิจฉาสมาธิจะเกิดไม่ได้เลย เนื่องจากเป็นสมาธิที่มีกำลังมากแต่ขาดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม อาจจะมีแค่โอภาส
หรือนิ่งหรือดับ ขาดความรู้สึกตัว
เรื่องสภาวะของญาณ ๑๖ เมื่อก่อนก็เข้าใจผิดเหมือนหลายๆคนที่เข้าใจผิด ไปยึดติดในสิ่งที่บอกต่อๆกันมาว่า ญาณ ๑๖ ต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ เป็นของวิเศษ ต้องหาครูบาอาจารย์สอบอารมณ์
เพื่อจะได้รู้ว่าปฏิบัติถูกทางหรือไม่ อยู่ญาณไหน เรียกว่าอะไร
ต้องโง่มาก่อนคือ ไม่รู้ก่อนที่จะรู้
แท้จริงแล้ว สภาวะของญาณ ๑๖ เป็นสภาวะที่เกิดเฉพาะในสัมมาสมาธิเท่านั้น เป็นเพียงสภาวะของจิตที่รู้ชัดอยู่ภายในกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ตามความเป็นจริง
ไม่ใช่เกิดจากการนำความมีตัวตนหรือทิฏฐิของตนที่มีอยู่เข้าไปแทรกแซงสภาวะ อันนั้นเรียกว่า จงใจหรือเจตนาทำให้เกิดขึ้น
การที่รอให้สมาธิคลายตัว จึงนำความรู้ที่เเกิดจากการฟัง หรือศึกษามา ยกธรรมหรือสิ่งที่รู้ นำมาคิดพิจรณาหาเหตุและผล อันนี้เรียกว่า จงใจหรือเจตนาทำให้เกิดขึ้น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับเหตุที่ทำมา ไม่ใช่เรื่องถูกหรือผิด
บางคน ด้วยเหตุที่ทำมา ผลจึงทำให้สภาวะเป็นเช่นนั้น บางครั้งเกิดการน้อมใจเชื่อในสิ่งที่เกิดจากความคิดพิจรณา ถ้านำไปสร้างเหตุนอกตัว เหตุเกิดจากคิดว่าสิ่งที่ถูกรู้หรือที่คิดพิจรณานั้นถูกต้อง นี่ทิฏฐิแทรกแต่ยังไม่รู้
นำสิ่งที่คิดว่ารู้ไปสร้างเหตุนอกตัว เป็นวิวาทะต่อผู้อื่น เพราะทิฏฐิหรือความคิดเห็นของผู้อื่นแตกต่างไปจากตนเอง เหตุมี ผลย่อมมี ไม่มีอะไรเหนือกฏแห่งกรรมหรือกฏแห่งการกระทำ
เมื่อสร้างเหตุแล้ว ผลย่อมมีอย่างแน่นอน เมื่อเกิดวิวาทะหรือมีความคิดแตกต่างจากผู้อื่น ย่อมนำรู้นั้นๆมาขบคิดหาเหตุหาผลเพื่อต้องการรู้ว่าถูกตามที่ตนเองคิดหรือไม่ ผลตามมา คือ ความฟุ้งซ่าน แต่ไม่รู้ว่าฟุ้งซ่าน
นี่คือเหตุของสภาวะนิวรณ์ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง
เมื่อยังมีความคิดค้างอยู่ พอไปนั่งสมาธิ จิตย่อมตั้งมั่นได้ยาก หรือจิตที่ถูกฝึกมาดีแล้ว เกิดความชำนาญในการเข้าออกสมาธิได้ดี เมื่อนั่งสมาธิ จิตอาจจะตั้งมั่นได้ปกติ เพียงแต่กำลังของสมาธิไม่แนบแน่น เป็นเหตุให้ตั้งมั่นอยู่ไม่ได้นาน
เป็นเหตุให้มีแต่ความคิด นี่แหละถึงได้บอกว่า การกระทำภายนอก ส่งผลกระทบต่อสภาวะภายใน ได้แก่ สภาวะสัมมาสมาธินี่เอง
เหตุเนื่องจาก หากกำลังสมาธิไม่มีกำลังมากพอ ความแนบแน่นของสมาธิย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ การรู้ชัดอยู่ภายในกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม จึงเกิดขึ้นไม่ได้ อย่างมากเพียงขณิกสมาธิสั้นๆเท่านั้นเอง
หยุดสร้างเหตุนอกตัว ไม่ว่าจะชอบหรือชัง ไม่ว่าจะเกิดความรู้สึกนึกคิดใดๆ แค่รู้ไป แต่อย่านำไปสร้างเหตุกับผู้อื่น จิตย่อมตั้งมั่นได้ง่าย สมาธิที่เกิดขึ้นย่อมมีกำลังมาก มีความแนบแน่นมาก ย่อมรู้ชัดในกายและจิตได้ต่อเนื่อง ภพชาติสั้นลง
เรามาปฏิบัติเพื่อการตัดภพตัดชาติ หรือที่เรียกตามบัญญัติว่า พระนิพพาน คือ ความดับภพ ดับภพชาติปัจจุบันและภพชาติของการเวียนว่ายในวัฏฏสงสาร
พระผู้มีพระภาค จึงทรงวางแนวทาง เริ่มต้นจากศิล รู้แบบชาวบ้าน คือ การทำความดี การรักษาศิล เมื่อศิลสะอาด สมาธิย่อมเกิด ซึ่งสภาวะแท้จริง คือ การสำรวม สังวร ระวังในเรื่องการสร้างเหตุ การไม่สร้างเหตุนอกตัว
เป็นเหตุให้จิตตั้งมั่นได้ง่าย
เมื่อสมาธิเกิดแล้ว ยังไม่ถูกขัดเกลา ยังเป็นมิจฉาสมาธิ ต้องปรับอินทรีย์ระหว่างสสมาธิกับสติให้สมดุลย์ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ซึ่งเป็นสภาวะสัมปชัญญะ คือตัวปัญญา เกิดขึ้นแล้วเป็นเหตุให้ จิตสามรถรู้ชัดอยู่ภายในกายในกาย
เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมตามความเป็นจริง
สภาวะที่เกิดขึ้นจากการรู้ชัดอยู่ภายในกายและจิตขณะจิตเป็นสมาธิ ที่เป็นสัมมาสมาธิ นี่แหละคือ ที่มาของสภาวะสมถะและวิปัสสนาในสติปัฏฐาน ๔ ที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงนำแนวทางทิ้งไว้ให้ ทางไปสู่พระนิพพาน ความดับภพ
ดับเหตุของการเกิดทั้งภพชาติปัจจุบันและการเกิดเวียนว่ายในวัฏฏสงสาร
มีทางนี้ทางเดียวเท่านั้น คือ สติปัฏฐาน ๔ ทำจริง คือ ทำต่อเนื่อง ย่อมได้ผลจริง ที่ไม่ได้ผล เพราะทำเหยาะแหยะ ทำไม่ต่อเนื่อง ทำแล้วชอบเปรียบเทียบ มีแต่วิจิกิจฉา นี่คืออะไร ใช่ญาณนั้นญาณนี้หรือเปล่า บรรลุแล้วหรือยัง เป็นโสดาหรือยัง
ทำเพราะความอยากรู้ อยากมี อยากได้ ออยากเป็นอะไรๆในบัญญัติ รู้มากจึงยากนานเพราะเหตุนี้
ถ้าแค่รู้ ยอมรับไปว่ายังมีการให้ค่า เป็นเรื่องปกติ ยังมีกิเลส ทำต่อเนื่อง ไปต้องไปให้ใครรับรองหรือยืนยันสภาวะ ไม่ต้องหาใครหรือครูอาจารย์ไหนมาสอบอารมณ์ ครูอาจารย์ไม่แตกต่างจากทุกๆคนหรอก รู้แค่ไหน ย่อมวิาพกย์วิจารณ์
หรือแนะนำเรื่องสภาวะได้แค่นั้น
เมื่อเกิดการน้อมใจเชื่อ เกิดจากความศรัทธา มีการนำสิ่งที่คิดว่าใช่ คิดเป็น ไปสร้างเหตุ ภพชาติถึงเกิดต่อเนื่อง แทนที่จะดับที่ต้นเหตุ ได้แก่ ใจทะยานอยากของตนเอง เหตุมี ผลย่อมมี อันนี้ไปว่ากันไม่ได้ มีเยอะแยะมากในปัจจุบัน
บางคนสร้างเหตุของการเกิด แต่ดูไม่ออก เพราะอวิชชาครอบงำอยู่ วิพากย์วิจารณ์เหตุของผู้อื่น ที่เกิดจากความยินดี ยินร้าย เหตุจากอุปทาน ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตนเองคิดว่ารู้ คิดว่าถูก เมื่อมีผู้อื่นกระทำในสิ่งที่ตนเองมองว่าผิด
มองว่าไม่ควรทำ ไปวิพากย์วิจารณ์
หารู้ไม่ว่า สิ่งที่มองเห็นหรือผัสสะที่เกิดขึ้น นั่นแหละเหตุของตนเองที่มีอยู่ ส่งมาให้ได้รับในรูปของผัสสะที่เกิดขึ้น เพราะความไม่รู้ที่มีอยู่ จึงไปวิพากย์วิจารณ์ว่า ถูกบ้าง ผิดบ้าง โดยการเอาความคิดของตนเองเป็นที่ตั้ง
เมื่อก่อน ผู้เขียนก็เคยเป็นเช่นนั้น จึงเข้าใจในสภาวะของบุคคลเหล่านั้น นั่นคือ เหตุของเขาที่ยังมีอยู่ เมื่อเขาไม่รู้ เขาจึงไม่หยุด ชีวิตเขาจึงเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในเปลือกแบบไหน สภาวะไม่แตกต่างกันหรอก
แนวทางการปฏิบัติในปัจจุบัน จึงมีคำว่า วิปัสสนา วิปัสสนาญาณ สติปัฏฐาน มหาสติปัฏฐาน จากการยึดสิ่งที่เรียกว่า สมถะ วิปัสสนา ยึดโดยบัญญัติ ไม่ใช่จากสภาวะตามความเป็นจริง
บ้างก็กล่าวตามทิฏฐิของตนว่า การทำสมาธิให้ได้ฌาน เป็นการปฏิบัติแบบฤาษี ไม่สามารถทำให้พ้นทุกข์ได้ เพียงแต่กดข่มกิเลสไว้ชั่วคราวตามกำลังของสมาธิ ต้องวิปัสสนาเท่านั้น หารู้ไม่ว่า วิปัสสนาที่นำมากล่าวกันในปัจจุบันนี้
ส่วนมากยังเป็นเพียงการทำสมาธิ ผลที่ได้รับก็คือ สมาธิ แต่ก็เป็นเหตุของสภาวะสัมมาสติให้เกิด
เพราะการทำสมาธิ ไม่ว่าจะเกิดจาก การเจริญอิทธิบาท ๔ ได้แก่
ฉันทสมาธิ เป็นสมาธิที่เกิดจากการทำตามเหตุปัจจัย(สัญญา) คือ ทำตามความถนัด ความสะดวก เป็นเหตุให้จิตเกิดความตั้งมั่น(สมาธิ) ได้แก่ เกิดจากสัปปายะที่ถูกจริต ไม่ว่าจะอากาศ บรรยากาศ สถานที่ อาหาร อิริยาบทฯลฯ
ทำแบบไหนๆก็ได้ ทำแล้วสะดวก เวลาสะดวก สถานที่สะดวก อากาศถูกใจ บรรยากาศถูกใจ ทำตามถนัด ไม่มีกฏเกณฑ์ตายตัวแน่นอน เป็นการทำตามลักษณะการดำรงชีวิต ตามเหตุปัจจัยของตนเอง
วิริยสมาธิ เป็นสมาธิ ที่เกิดจากความเพียร ความเพียรเป็นเหตุให้จิตเกิดความตั้งมั่น(สมาธิ) ได้แก่ กรรมฐาน ๔๐ กอง
จิตสมาธิ เป็นสมาธิ ที่เกิดจากจิต การกำหนดต้นจิตเป็นเหตุให้จิตเกิดความตั้งมั่น(สมาธิ) ได้แก่ การเจริญสติ ,การกำหนดต้นจิต เช่น การใช้หนอกำกับลงไปในสภาวะต่างๆที่เกิดขึ้น การดูจิต ,การนิ่งรู้ นิ่งดู นิ่งสังเกตุ ,การใช้รูปนามเป็นอารมณ์ (เป็นคำเรียกแทนกายและจิต) ฯลฯ สภาวะใดก็ตามที่จิตเป็นเหตุของการให้เกิดความรู้ชัด ล้วนเป็นสภาวะจิตสมาธิ
วิมังสาสมาธิ เป็นสมาธิ ที่เกิดจากการใช้ความคิดพิจรณา ขณะที่คิดพิจรณา เป็นเหตุให้จิตเกิดความตั้งมั่น(สมาธิ) เช่น คิดพิจรณาหาเหตุและผลของสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของตน การคิดพิจรณาเรื่องปฏิจจสมุปบาท
การคิดพิจรณาเรื่องขันธ์ ๕ หรือการยกธรรมะที่เกิดจากการอ่าน การฟัง แม้กระทั่งได้ศึกษา นำธรรมนั้นๆมาคิดพิจรณา
การเจริญอิทธบาท ๔ ทั้งหมดนี้ ไม่ว่าจะแบบไหนๆก็ตาม ผลที่ได้ คือ สมาธิหรือสมถะ แต่เป็นเหตุของการสร้างสติมีกำลังมากขึ้น เป็นการสะสมสติ
เมื่อปฏิบัติต่อเนื่อง สติมีกำลังมากขึ้น สภาวะสัมมาสติย่อมเกิด การที่เอาจิตจดจ่อรู้อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สมาธิย่อมเกิด
สติ ตัวระลึก ได้แก่ ความรู้ตัวก่อนทำกิจ
สัมปชัญญะ ความรู้สึกตัว ได้แก่ ความรู้สึกตัวขณะที่กำลังทำกิจนั้นๆอยู่
เมื่อวิตก (สติ) วิจาร (การเอาจิตจดจ่อหรือสัมปชัญญะ) สมาธิย่อมเกิด เป็นเหตุให้ เกิดสภาวะ ความรู้ชัดในสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนสมาธิที่เกิดขึ้นขณะนั้นๆ แล้วแต่เหตุปัจจัยที่มีอยู่(อดีต)และที่กำลังสร้างขึ้นมาใหม่(ปัจจุบัน)
ฌาน
แท้จริงแล้ว ทุกคนทำฌานให้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เกิด ตั้งแต่อยู่ในท้องของมาดา ได้ฌานกันมาตั้งแต่เริ่มมีจิตเกิดขึ้นในอัตภาพร่างกายนั้นแล้ว เมื่อเกิดมาแล้ว ยังไม่รู้ชัดในสภาวะสมาธิที่นำมาเรียกๆกัน
จึงมีคำอธิบายในสภาวะของจิตขณะเป็นสมาธิ มีหลากหลายรูปแบบ หลากหลายสภาวะ
เหมือนเวลาที่กำลังหลับ นั่นก็เป็นสมาธิอย่างหนึ่ง แต่ยังเป็นมิจฉาสมาธิ เวลานอนหมั่นรู้ลมหายใจเข้า หายใจออก จนกระทั่งหลับ นั่นเป็นการฝึกสติเหมือนกัน หมั่นรู้ลมหายใจเข้า หายใจออกทุกๆวัน สติจะมีกำลังมากขึ้นเอง
ต่อมา เมื่อสภาวะพร้อม สภาวะสัมปชัญญะย่อมเกิดขึ้น ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมจึงเกิด ฝึกได้นะ ไม่ใช่ฝึกไม่ได้ ที่ทำได้หรือไม่ได้ อยู่ที่สัปปายะของคนๆนั้น อยู่ที่เหตุที่ทำมา
วิปัสสนาหรือการเจริญสติปัฏฐาน ที่นำมาเรียกว่า วิปัสสนาในปัจจุบัน ล้วนเป็นสภาวะของการเจริญอิทธิบาท ๔ เป็นเหตุให้สภาวะอิทธิบาท ๔ สมาธิเกิด เป็นสภาวะจิตสมาธิ คือ มีจิตเป็นประธานของเหตุทำให้เกิดสมาธิ
ผลที่ได้รับ ได้แก่ สมถะในสติปัฏฐาน ๔ ที่มีปรากฏอยู่ในพุทธวจนะ ซึ่งปัจจุบันนำเรียกว่า วิปัสสนา หรือสติปัฏฐาน ๔
เมื่อสมาธิเกิด สมาธิในที่นี้ หมายถึงอัปปนาสมาธิ คือ สภาวะดับขณะสมาธิเกิด เนื่องจากกำลังของสมาธิที่เกิดขึ้นมีกำลังมากและแนบแน่น เป็นเหตุให้ขาดความรู้สึกตัวหรือที่เรียกว่า ดิ่งหรือดับ เป็นสภาวะของ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน
สมาธิที่เกิดขึ้น เป็นสมาธิที่ยังไม่ได้ขัดเกลา เป็นมิจฉาสมาธิ เหตุจาก มีสติ รู้ว่าสมาธิเกิดแล้ว รู้ว่าเกิดแล้วดับหายไป งุบลงไป ดิ่งลงไป เหมือนเวลาหายไป ขาดความรู้สึกตัวขณะที่จิตเป็นสมาธิ
คำเรียกของสภาวะฌานต่างๆ ให้ดูสภาวะที่เกิดขึ้นกับจิตเป็นหลัก เช่น ปีติ สุข อุเบกขา จริงๆแล้วก็แค่คำเรียก สิ่งที่สำคัญ คือ ความรู้สึกขณะจิตเป็นสมาธิ
ส่วนอุปจารสมาธิ มีนิมิตต่างๆเเกิด ได้แก่ นิมิตภาพ แสง สี เสียง กลิ่น หากสภาวะวสียังไม่เกิด คือ ความชำนาญในเข้าออกสมาธิ ยังทำไม่ได้ เป็นเหตุให้ ติดอยู่สภาวะนิมิต
วิธีปรับอินทรีย์ ทั้งที่มีนิมิต และที่ไม่มีนิมิต อาจจะดับ ดิ่ง นิ่งหรือว่าง แต่ขาดความรู้สึกตัว ให้เดินก่อนที่จะนั่ง เพิ่มเดินไปจนกว่านั่งแล้วนิมิตไม่เกิดในสมาธิ ยกเว้นโอภาส แสงสว่าง เป็นนิมิตหรือเครื่องหมายของสภาวะอัปปนาสมาธิ
แต่ถ้าเกิดโภาส รู้ได้แค่แสง ไม่สามารถรู้ชัดในสภาวะทั้งหมดได้ คือ ภายในกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ก็ต้องปรับอินทรีย์เช่นกัน จนกว่าสมาธิกับสติสมดุลย์ มีโอภาสเกิด และมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเกิดร่วมด้วย
เหตุนี้ จึงต้องปรับอินทรีย์ ระหว่าง สมาธิกับสติให้เกิดความสมดุลย์ ส่วนวิริยะ/ความเพียร ความศัรทธา ปัญญา เกิดจากเหตุปัจจัย ไม่ใช่การเจาะจงทำให้เกิดขึ้น
เมื่อสมาธิกับสติเกิดความสมดุลย์ เป็นเหตุให้สัมปชัญญะเกิด สภาวะที่เกิดขึ้น คือ ความรู้ตัวทั่วพร้อมขณะจิตเป็นสมาธิ นี่คือเหตุของการเกิดสภาวะสัมมาสมาธิ
สภาวะที่เกิดขึ้น ได้แก่ การรู้ชัดอยู่ภายในในกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม เป็นที่มาของวิปัสสนาในสติปัฏฐาน ๔ ที่มีปรากฏอยู่ในพุทธวจนะ ซึ่งปัจจุบันนำมาเรียกว่า วิปัสสนาญาณ(ญาณ ๑๖) หรือมหาสติปัฏฐาน
สิ่งที่สำคัญ ไม่ใช่คำเรียก อยากจะเรียกว่าอะไรก็เรียกได้ตามสบาย เพราะยังมีกิเลส เป็นเรื่องปกติ ที่สำคัญของสภาวะ คือ ความรู้สึกขณะจิตเป็นสมาธิ เมื่อสภาวะนี้เกิดแล้ว จะรู้ชัดในสภาวะอื่นๆตามความเป็นจริง รวมทั้งการสร้างเหตุใหม่ด้วย
สร้างเหตุภายนอก ย่อมมีผลกระทบกับสภาวะภายใน นิวรณ์ต่างๆเกิดขึ้นจากการสร้างเหตุ จึงเป็นที่มีของคำว่า นิวรณ์ เป็นเหตุของจิตไม่ตั้งมั่น หรือเป็นตัวปิดกั้นสมาธิไม่ให้เกิด
นี่แหละเหตุของการกล่าวโทษนอกตัว ไปโทษนิวรณ์ ที่เป็นเพียงสภาวะ เป็นผลของการสร้างเหตุภายนอก นั่นถูก นี่ผิด จริง ไม่จริง ทำได้ ไม่ได้ ฯลฯ มีแต่เหตุที่ทำกันขึ้นมาเองน่ะแหละ ไม่ใช่ใครที่ไหนทำให้เกิดขึ้นเลย
เรื่องสภาวะเป็นเรื่องละเอียด จะรู้แบบหยาบๆ จะค่อยๆรู้ชัดรายละเอียดของสภาวะมากขึ้นเรื่อยๆ แบบทะยอยรู้ ไม่ใช่รู้ทีเดียวแล้วจบ เหมือนเรื่องสภาวะต่างๆที่เขียนบันทึกไว้
สภาวะเหล่านี้ เป็นสภาวะของสัญญา ที่เกิดจากสติเป็นตัวขุดคุ้ยขึ้นมา เกิดขึ้นขณะที่จิตเป็นสมาธิ กำลังของสมาธิจึงสำคัญมาก ต้องมีกำลังมาก แนบแน่นมาก เป็นเหตุให้จิตตั้งมั่นอยู่ได้นาน เหตุของสัมปชัญญะเกิด
เป็นเหตุให้ สติสามารถขุดคุ้ยสัญญาต่างๆเหล่านั้นขึ้นมาได้ ทั้งๆที่ ผู้เขียนไม่เคยอ่านพระไตรปิฎกมาก่อน ไม่เคยรู้เรื่องปริยัติมาก่อน แต่มารู้ได้เพราะสภาวะ
การที่ได้มาศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับปริยัติ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งภายนอกและภายใน ล้วนเกิดจากสภาวะทั้งสิ้น ไม่ได้เกิดจากการคิดจะนำไปสอนใครหรืออะไรแต่อย่างใด
เหตุนี้ สภาวะจึงปรากฏตั้งแต่หยาบ เหมือนคนเขียน ก.ไก่ แรกๆฝึกเขียนโดยมีแค่ภาพ ไม่มีรอยปะ พอมีรอยปะในการเขียน เขียนได้ง่ายขึ้น พอเขียนชำนาญ เริ่มไม่ใช้รอยปะในการเขียน สภาวะรู้ที่เกิดจากขณะจิตเป็นสมาธิก็เช่นเดียว
ล้วนเกิดจากสัญญาที่มีอยู่ เพียงแต่ต้องอาศัยกำลังของสมาธิ สติ สัมปชัญญะ (สัมมาสมาธิ) เป็นหลัก จึงจะไปรู้สิ่งต่างๆเหล่านั้น
รู้ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ยังเป็นเพียงสัญญา สักแต่ว่ารู้ เขียนบันทึกไว้เรื่อยๆ เมื่อสัญญาปรากฏชัดเต็มที่ จึงจะเป็นปัญญา ไม่ใช่เกิดจากยึด คือให้ค่าในสิ่งที่เกิดขึ้น(ทิฏฐิ)
ปัญญาที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง มีแต่เหตุของการดับเหตุของการเกิด ไม่ใช่เกิดจาก คิดว่ารู้ ซึ่งเป็นเพียงสัญญา มีแต่การนำไปสร้างเหตุของการเกิด
เหตุนี้ ที่มาของคำกล่าวว่า ทุกข์มีไว้ให้กำหนดรู้ เหตุเพราะ ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ทั้งภายนอก(สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเกิดจากผัสสะเป็นเหตุ)และภายใน(เกิดจากการปฏิบัติเป็นเหตุ) ล้วนเกิดจากความยินดี ยินร้ายที่เกิดขึ้นในจิต ที่มีผัสสะทั้งรูปและอรูปเป็นเหตุปัจจัย