มันมาอีกแล้ว

12 ส.ค. 2008

มันมาอีกแล้ว เป็นอีกแล้วเจ้าโอภาส  เห็นหายไปแล้ว นานๆถึงจะโผล่มาสักที นี่อะไรมาเป็นเหมือนเดิม ตอนนี้เราก็ว่าสติเราดีกว่าเดิมนะ แต่ไฉนมันถึงกลับมาเป็นได้อีก  ยังไงๆเราก็ไม่ตกหลุมพรางโอภาสหรอก
แต่ตอนแรกเราก็ว่ามันน่าเบื่อนะ ขนาดเราว่าเราหลับไปแล้ว ประมาณว่านอนแล้ว  เผอิญในคิดอะไรก็ไม่รู้จำไม่ได้  มันเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น จู่ๆมันก็สว่างพรึบขึ้นมา เราก็งง นี่ฉันว่าฉันหลับแล้วนะนี่ คิดอะไรหรือทำอะไรที่จดจ่อไม่ได้เลย

กลางวันก็เหมือนกัน ถ้านั่งบนโซฟา คงสบายมั๊ง สว่างพรึบๆอยู่อย่างนั้น จะนั่งกี่ช.ม.ก็ชั่ง จะพิจรณาหรือไม่พิจรณาก็ช่าง มันจะส่วางอยู่อย่างนั้น สว่างมากๆ ดีนะที่เราไม่หลงไปกับมัน ถูกกิเลสมาทดสอบ ดูไปดูมาจนมันเบื่อที่จะดู

บางทีไม่อยากนั่งเลยสมาธิเพราะไม่นั่งก็เป็นสมาธิอยู่เรื่อย สมาธิมากไป สติยังไม่มากพอ ยังไม่ทันมัน เราก็เลยไม่อยากนั่ง พอดีเวลาจะคิดอะไร จะทำอะไร ชอบนึกถึงคำสอนของครูบาฯท่านทุกครั้งว่า
อย่าให้เกิดความชอบหรือความชัง ให้ดูมันไป อย่าไปให้ค่าความหมายแก่สิ่งที่เกิดขึ้น พอคิดปั๊บ สดุดกึกเลย ” ความเบื่อ ” หน้าที่เราคืออะไร ไม่ชอบก็ต้องทำ เบื่อก็ต้องทำ สติต้องทันจิตเสมอ

ทีนี้ก็เอาเลย ในเมื่อมันเกิดบ่อยนักโอภาส ก็ดูมัน คราวนี้ดูอย่างเดียว แล้วให้กำลังใจตัวเองว่า คิดว่าชาร์ทแบตเตอรี่เก็บพลังสะสมไว้ก็แล้วกัน  แผนที่มีให้เดินแล้ว จงก้าวเดินต่อไป

ทุกวันนี้เราพยายามปฏิบัติ พยายามหาวิธีการเพื่อจะให้ตัวเองเกิดความเพียรอย่างต่อเนื่อง เรารู้แล้วว่าสิ่งใดๆทั้งหลายทั้งปวงเราไม่ได้ต้องการอะไรเลย ไม่ได้อยากได้อะไร ” แม้แต่พระนิพพาน ”

สติ สัมปชัญญะนี่สำคัญที่สุด การมีสติ สัมปชัญญะรู้ตัวตลอดเวลาก่อนที่ความตายจะมาเยือนต่างหาก
ส่วนพระนิพพาน  ถ้าจิตเราปราศจากความอยากหรือความต้องการถึงซึ่งพระนิพพานนี่ต่างหากที่สำคัญ เพราะสิ่งใดๆที่มีความอยากเข้าไปแทรกมันจะกลายเป็นกิเลสตัณหาทันที

ตราบใดที่เราปฏิบัติอยู่ยังไงเสียสักวันเราก็ต้องไปถึงจุดสุดท้ายเหมือนๆกัน ไม่ต้องไปคาดหวังใดๆทั้งสิ้น  แต่ปัจจุบันธรรมนี่สำคัญมากๆ ขาดสติเสียอย่างเดียว เสร็จกิเลสมันเลย

มิน่า … เมื่อก่อนเวลาเขาพูดถึงการปรารถนาพระนิพพาน ทำไมเราถึงรู้สึกเฉยๆ “สัญญาเก่าเรามันแรงในหลายๆเรื่อง สัญาเก่าคือไม่เอานั่นเอง”
รู้แล้วว่าทำไมเราไม่ได้รู้สึกมีความอยากไปพระนิพพานเหมือนที่เขาพูดๆกัน

วันนี้เองที่เราเพิ่งเข้าใจในจิตของเรา เพิ่งรู้ตัววันนี้เอง ได้คำตอบวันนี้เอง  ตราบใดที่ยังมี ” ความอยาก ”  เส้นทางก็ยิ่ง ….  ไม่ต้องไปคาดเดาเลย  ที่เป็นเช่นนั้น เป็นไปตามวิบากของแต่ละคนนั่นเอง

 

สารพัดวิธีการ

2 ส.ค.
วันนี้ เราก็เดินไปด้วย อ่านหนังสือไปด้วย อ่านออกเสียง
มันก็แปลกดีนะ เท้ากระทบพื้น ทุกย่างก้าวมันรู้ตัวตลอด
อ่านก็รู้ตัวว่ากำลังอ่าน เหมือนประสาทมันแยกต่อมกันทำงาน
แล้วก็ไม่คิดด้วยว่าจะทำให้เกิดสมาธิได้และเกิดปีติได้ขนาดนี้

ขณะที่เดิน ปากก็อ่านออกเสียงดัง จิตมันก็จดจ่ออยู่กับตัวหนังสือ
มีสติ สัมปชัญญะรู้ทุกย่างก้าวที่เดิน
เรารู้สึกว่าสติดีมากกว่าเมื่อก่อนมากๆ ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนเดินไปด้วย อ่านไปด้วย
เราจะไม่มีสมาธิแบบนี้ จะไม่รู้ตัวขณะที่ย่างก้าวเดิน
นี่มันรู้ไปหมด ทุกย่างก้าวมันขาดอกจากกัน
ย่างปั๊บ ดับปุ๊บ ขาดออกจากกันทันที

สติ สัมปชัญญะดี มันเป็นอย่างนี้เองหนอ ตอนนี้เราคิดว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
ทำให้เราไม่รู้สึกซ้ำซากจำเจรู้อยู่กับการเดินอย่างเดียว

นี่มันทำงานทั้งระบบเลยนะ
ทั้งตา ปาก เท้า กล้ามเนื้อ ทั้งกายและจิตเลย

ช่วงที่เกิดสมาธิมันจะสงบมากๆ
เสียงแอร์ เสียงตู้เย็นทำงาน เสียงเครื่องจักรกลทำงาน มันจะเงียบหายไปทันที
แต่เรารู้สึกตัวตลอดทั้งๆที่กำลังเดินและกำลังอ่านนี่แหละ

5ส.ค.
ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งมีสติ ยิ่งเห็นจิตที่ละเอียด จิตเรานี่มันละเอียดมากๆเลยนะ
เพียงแต่เมื่อก่อนสติยังไม่มากพอ จะเห็นแต่หยาบๆ จิตเราสามารถบันทึกเรื่องราวได้มากมาย

หลายวันนี้ สมาธิมันมากเหลือเกิน ยิ่งพิจรณาธรรมมากเท่าไร
สมาธิยิ่งแรงมากๆ บางทีสติไม่ทัน ระหว่างกำลังพิจรณามันก็ดิ่งไปทันที
เข้าใจแล้วที่ครูบาฯกล่าวไว้ว่า ยิ่งสมาธิมากเท่าไหร่ สติมากเท่าไหร่
มันจะไม่ยอมหลับยอมนอนเลยนะ มันจะเอาแต่พิจรณาธรรมอย่างเดียว มันไม่ง่วงเลย

     
  
  

สมาธิมากเกินสติ

31 ก.ค.’51
เป็นมา 2 วันแล้ว สมาธิมันมากเกิน นอนไม่หลับเลย
พอหลับตาลง สว่างวาบทันที โอภาสเต็มๆ
ลุกขึ้นเดินจงกรม แล้วก็นั่งสมาธิต่อ นั่งจนถึงตี 2
ถึงกำหนดนอนได้ ไม่งั้นทำยังไงก็ไม่หลับ ไม่กำหนดก็ไม่หลับ

เมื่อคืนก็เป็นอีก ก็ทำแบบเดิมถึงตี 2 สมาธิแบบนี้ไม่ดีเลย
เพราะพอนั่งมันจะดิ่งขาดวั๊บไปเลย สติไม่ทัน
จริงๆแล้วครูบาฯส่วนมากท่านจะบอกว่า
ถ้าสมาธิมากเกินไปมันไม่ง่วง ไม่ให้นังแต่ให้หาอะไรทำเพื่อเจริญสติ
แต่มันดึกแล้วจะไปทำอะไรได้ เกรงใจคนอื่นเขาเสียงดังก๊อกๆแก๊กๆ งานบ้านน่ะเยอะถ้าจะทำ
คิดแล้วก็ขำ เหมือนขโมยทำ ค่อยๆยก ค่อยๆหยิบ เสียงจะได้ไม่ดัง นึกภาพออกเลย แมวขโมย

3 วันเต็มๆแล้ว มันไม่หลับไม่นอน
เมื่อคืนก็นั่งพิจรณาถึงเรื่องการทำงานของขันธ์ 5
คิดเพื่อไม่ให้สมองมันไปคิดในเรื่องไร้สาระ

แล้วเราก็คิดว่าการทำงานของขันธ์ 5 มันไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย
แต่สิ่งที่สำคัญคือจิตต่างหากที่เกิดอุปทานไปยึดมั่นถือมั่นเอง
ตรงนี้ต่างหากที่ควรจะแก้ไข
วิธีการแก้ไขก็คือการเจริญสติให้มากขึ้นเท่านั้น

เมื่อมีสติ สัมปชัญญะมากขึ้น ความยึดมั่นถือมั่นในสมมติบัญญัตินั้นๆก็ยิ่งน้อยลง
จากยึดมากก็ยึดน้อยลง สุดท้ายก็จะไม่ยึดมั่นในสิ่งใดๆเลย
จะกลายเป็นเห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินเสียงสักแต่ว่าได้ยินเสียงฯลฯ
ความคิดที่เกิดขึ้นก็จะรู้ทันว่าเป็นกุศลหรืออกุศลมันจะแยกแยะได้ทัน

สติ สัมปชัญญะ

30 ก.ค.’51
 
     มันเป็นขั้นเป็นตอนของมันเองนะการปฏิบัตินี่ ยิ่งมีสติ สัมปชัญญะมากเท่าไหร่ จิตยิ่งพัฒนามากขึ้นไปเรื่อยๆ วันก่อน ปฏิบัติช่วงเย็น ขณะที่นั่งจิตรวมตัวเป็นสมาธิ ทุกทีจะจับไม่ได้เลยเวลามันดับ  จะได้ไม่หลงไปกับสิ่งที่ แต่ตั้งแต่สติดี มันจับได้ทันทีตอนมันดับ มันดับหมดเลย ไม่รับรู้อะไรเลย เหมือนหนังกำลังฉายแล้วดับไปเดี๋ยวนั้น สติมันจับได้ทัน ซึ่งเกิดดับกับตัวเราหลายครั้ง เพียงแต่เมื่อก่อนสติมันยังด้อย มันเลยจับไม่ทัน ดับไปตอนไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ตอนที่กำลังคลายตัวออกมา เที่ยวนี้จับได้เลย ดับปั๊บ สติจับไทนทีว่ามันดับ ขาดวั๊บไปเลย

สิงหาคม 2008
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031

คลังเก็บ