สุทธาวาส
พระอนาคามี
๙. พาลปัณฑิตสูตร
[๕๗] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี …
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายกายนี้ของคนพาล
ผู้อันอวิชชาหุ้มห่อแล้ว ประกอบด้วยตัณหา เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้
กายนี้ด้วย นามรูปในภายนอกด้วย ย่อมมีด้วยประการดังนี้
เพราะอาศัยกายและนามรูปทั้งสองนี้ จึงเกิดผัสสะ สฬายตนะ
ซึ่งทั้งสองอย่างนั้นหรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ถูกต้องคนพาล
เป็นเหตุให้เสวยสุขและทุกข์
กายนี้ของบัณฑิตผู้อันอวิชชาหุ้มห่อแล้วประกอบด้วยตัณหา เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้
กายนี้ด้วย นามรูปในภายนอกด้วย ย่อมมีด้วยประการดังนี้
เพราะอาศัยกายและนามรูปทั้งสองนี้ จึงเกิดผัสสะสฬายตนะ
ซึ่งทั้งสองอย่างนั้นหรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ถูกต้องบัณฑิต
เป็นเหตุให้เสวยสุขและทุกข์ ฯ
[๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเรื่องนั้น จะแปลกกันอย่างไร
จะมีอธิบายอย่างไร จะต่างกันอย่างไร ระหว่างบัณฑิตกับพาล
พวกภิกษุกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า
ธรรมของพวกข้าพระองค์มีพระผู้มีพระภาคเป็นเดิม
มีพระผู้มีพระภาคเป็นผู้นำ มีพระผู้มีพระภาคเป็นที่พึ่งอาศัย
ขอประทานพระวโรกาส เนื้อความแห่งพระภาษิตนี้
แจ่มแจ้งแก่พระผู้มีพระภาคพระองค์เดียว
ภิกษุทั้งหลายได้ฟังแต่พระผู้มีพระภาคแล้ว จักทรงจำไว้ ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้าเช่นนั้นพวกเธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดีเถิด เราจักกล่าว
ภิกษุพวกนั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ
[๕๙] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
กายนี้ของคนพาล
ผู้ถูกอวิชชาใดหุ้มห่อแล้ว และประกอบแล้วด้วยตัณหาใด เกิดขึ้นแล้ว
อวิชชานั้น คนพาลยังละไม่ได้ และตัณหานั้นยังไม่สิ้นไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะคนพาลไม่ได้ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ
เหตุนั้น เมื่อตายไปคนพาลย่อมเข้าถึงกาย
เมื่อเขาเข้าถึงกาย
ชื่อว่ายังไม่พ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส
เรากล่าวว่า ยังไม่พ้นไปจากทุกข์
กายนี้ของบัณฑิต
ผู้ถูกอวิชชาใดหุ้มห่อแล้ว และประกอบด้วยตัณหาใด เกิดขึ้นแล้ว
อวิชชานั้น บัณฑิตละได้แล้วและตัณหานั้นสิ้นไปแล้ว ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะว่าบัณฑิตได้ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ
เหตุนั้น เมื่อตายไป บัณฑิตย่อมไม่เข้าถึงกาย
เมื่อเขาไม่เข้าถึงกาย
ชื่อว่าย่อมพ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส
เรากล่าวว่า ย่อมพ้นจากทุกข์
อันนี้เป็นความแปลกกัน อันนี้เป็นอธิบาย
อันนี้เป็นความต่างกันของบัณฑิตกับคนพาล
กล่าวคือการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ฯ
จบสูตรที่ ๙
อธิบาย
ในพระสูตรนี้
คำว่า คนพาล
ในที่นี้หมายถึงบุคคลที่ไม่ได้เคยสดับพระธรรม
จากพระอริยะ สัตบุรุษ สัปปุรุษ มาก่อน
ทำให้ไม่สามารถบรรเทาราคะ โทสะ โมหะ ที่มีเกิดขึ้น
มักกระทำตามตัณหาที่มีเกิดขึ้น
ที่เกิดจากอวิชชาที่มีอยู่
คำว่า บัณฑิต
ได้แก่ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ ตามลำดับ
คำว่า ไม่เข้าถึงกาย
ได้แก่ ไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
ไปเกิดบนสวรรค์ แล้วปรินิพพานบนนั้น
นิฏฐาสูตร
[๖๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง เชื่อมั่นในเรา
บุคคลเหล่านั้นทั้งหมดเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยทิฐิ
บุคคล ๕ จำพวกที่สมบูรณ์ด้วยทิฐิเชื่อมั่นในโลกนี้
อีก ๕ จำพวกละโลกนี้ไปแล้ว จึงเชื่อมั่น
บุคคล ๕ จำพวกเหล่าไหน เชื่อมั่นในโลกนี้ คือ
พระโสดาบันผู้สัตตักขัตตุปรมะ ๑
พระโสดาบันผู้โกลังโกละ ๑
พระโสดาบันผู้เอกพีชี ๑
พระสกทาคามี ๑
พระอรหันต์ในปัจจุบัน ๑
บุคคล ๕ จำพวกเหล่านี้เชื่อมั่นในโลกนี้ ฯ
บุคคล ๕ จำพวกเหล่าไหน ละโลกนี้ไปแล้วจึงเชื่อมั่น คือ
พระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี ๑
พระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี ๑
พระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี ๑
พระอนาคามีผู้สสังขารปรินิพพายี ๑
พระอนาคามีผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี ๑
บุคคล ๕ จำพวกเหล่านี้ละโลกนี้ไปแล้วจึงเชื่อมั่น
อธิบาย
คำว่า พระอรหันต์ในปัจจุบัน
อธิบายได้ ๒ แบบ
๑. สอุปาทิเสส
๒. อนุปาทิเสส
ประเภท สอุปาทิเสส
ได้อนาคามิผล
ปัจจุบันเป็นอรหันต์(อรหัตมรรค)
ยังไม่ได้อรหัตผลตามจริง
เวลาตาย จะเป็น
พระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี
พระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี
ประเภทอนุปาทิเสส
ได้แก่ อรหันต์(อรหัตผล)
ละตัณหา ๓ ละฉันทราคะในอุปาทานขันธ์ ๕ ละอุปาทาน ๔
ปฏิปทาวรรคที่ ๒
[๑๖๙] ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก
บุคคล ๔ จำพวกไหนบ้าง คือ
๑. บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นสสังขารปรินิพพายีในปัจจุบัน
๒. บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นสสังขารปรินิพพายีหลังจากตายแล้ว
๓. บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นอสังขารปรินิพพายีในปัจจุบัน
๔. บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นอสังขารปรินิพพายีหลังจากตายแล้ว
บุคคลเป็นสสังขารปรินิพพายีในปัจจุบัน เป็นอย่างไร
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้พิจารณาเห็นความไม่งามในกาย
มีสัญญาว่าปฏิกูลในอาหาร
มีสัญญาว่าไม่น่าเพลิดเพลินในโลกทั้งปวง
พิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในสงสารทั้งปวงอยู่
เธอมีมรณสัญญาที่ตั้งมั่นดีอยู่ภายใน
เธอเข้าไปอาศัยเสกขพละ ๕ ประการนี้อยู่ คือ
สัทธาพละ หิริพละ โอตตัปปพละ วิริยพละ ปัญญาพละ
และอินทรีย์ ๕ ประการนี้ของเธอ คือ
สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์
ย่อมปรากฏแก่กล้า
เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้ปรากฏแก่กล้า
เธอจึงเป็นสสังขารปรินิพพายีในปัจจุบัน
บุคคลเป็นสสังขารปรินิพพายีในปัจจุบัน เป็นอย่างนี้แล
บุคคลเป็นสสังขารปรินิพพายีหลังจากตายแล้ว เป็นอย่างไร
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้พิจารณาเห็นความไม่งามในกาย
มีสัญญาว่าปฏิกูลในอาหาร
มีสัญญาว่าไม่น่าเพลิดเพลินในโลกทั้งปวง
พิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในสงสารทั้งปวงอยู่
และเธอมีมรณสัญญาที่ตั้งมั่นดีภายใน
เธอเข้าไปอาศัยเสกขพละ ๕ ประการนี้อยู่ คือ
สัทธาพละ หิริพละ โอตตัปปพละ วิริยพละ ปัญญาพละ
แต่อินทรีย์ ๕ ประการนี้ของเธอ คือ
สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์
ย่อมปรากฏอ่อน
เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้ปรากฏอ่อน
เธอจึงเป็นสสังขารปรินิพพายีหลังจากตายแล้ว
บุคคลเป็นสสังขารปรินิพพายีหลังจากตายแล้วเป็นอย่างนี้แล
บุคคลเป็นอสังขารปรินิพพายีในปัจจุบัน เป็นอย่างไร
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว
บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ อยู่
เพราะวิตกวิจารสงบระงับไป
ภิกษุบรรลุทุติยฌาน ฯลฯ อยู่
เพราะปีติจางคลายไป
ภิกษมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย
บรรลุตติยฌาน ฯลฯ อยู่
เพราะละสุขและทุกข์ได้
เพราะโสมนัสและโทมนัสดับไปก่อนแล้ว
ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ อยู่
เธอเข้าไปอาศัยเสกขพละ ๕ ประการนี้อยู่ คือ
สัทธาพละ หิริพละ โอตตัปปพละ วิริยพละ ปัญญาพละ
ย่อมปรากฏแก่กล้า
เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้ปรากฏแก่กล้า
เธอจึงเป็นอสังขารปรินิพพายีในปัจจุบัน
บุคคลเป็นอสังขารปรินิพพายีในปัจจุบัน เป็นอย่างนี้แล
บุคคลเป็นอสังขารปรินิพพายีหลังจากตายแล้ว เป็นอย่างไร
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว
บรรลุปฐมฌานฯลฯ อยู่
เพราะวิตกวิจารสงบระงับไป
ภิกษุบรรลุทุติยฌาน ฯลฯ อยู่
เพราะปีติจางคลายไป
ภิกษุมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย
บรรลุตติยฌานฯลฯ อยู่
เพราะละสุขและทุกข์ได้
เพราะโสมนัสและโทมนัสดับไปก่อนแล้ว ภิกษุ
บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ อยู่
เธอเข้าไปอาศัยเสกขพละ ๕ ประการ นี้อยู่ คือ
สัทธาพละ หิริพละ โอตตัปปพละ วิริยพละ ปัญญาพละ
แต่อินทรีย์ ๕ ประการนี้ของเธอ คือ
สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์
ย่อมปรากฏอ่อน
เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้ปรากฏอ่อน
เธอจึงเป็นอสังขารปรินิพพายี หลังจากตายแล้ว
บุคคลเป็นอสังขารปรินิพพายีหลังจากตายแล้ว เป็นอย่างนี้แล
อธิบาย
ทุกขาปฏิปทา
บรรลุเร็ว(อนาคามิผล)
ปัจจุบันเป็นอรหันต์(อรหัตมรรค)
เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้ปรากฏแก่กล้า
เธอจึงเป็นสสังขารปรินิพพายีในปัจจุบัน
ทุกขาปฏิปทา
บรรลุช้า(อนาคามิผล)
เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้ปรากฏอ่อน
เธอจึงเป็นสสังขารปรินิพพายีหลังจากตายแล้ว
สุขาปฏิปทา
บรรลุเร็ว(อนาคามิผล)
ปัจจุบันเป็นอรหันต์(อรหัตมรรค)
เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้ปรากฏแก่กล้า
เธอจึงเป็นอสังขารปรินิพพายีในปัจจุบัน
สุขาปฏิปทา
บรรลุช้า(อนาคามิผล)
เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้ปรากฏอ่อน
เธอจึงเป็นอสังขารปรินิพพายี หลังจากตายแล้ว
–
พระอรหันต์(อรหัตมรรค)
ทุกขาปฏิปทา
บรรลุช้า(อรหัตผล)
เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้ปรากฏอ่อน
เธอจึงเป็นอุปหัจจปรินิพพายีหลังจากตายแล้ว
สุขาปฏิปทา
บรรลุช้า(อรหัตผล)
เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้ปรากฏอ่อน
เธอจึงเป็นอันตราปรินิพพายีหลังจากตายแล้ว
สีลสูตร
การหลีกออก ๒ วิธี
[๓๗๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่าใด
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสมาธิ
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิมุติ
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ
การได้เห็นภิกษุเหล่านั้นก็ดี
การได้ฟังภิกษุเหล่านั้นก็ดี
การเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้นก็ดี
การเข้าไปนั่งใกล้ภิกษุเหล่านั้นก็ดี
การระลึกถึงภิกษุเหล่านั้นก็ดี
การบวชตามภิกษุเหล่านั้นก็ดี
แต่ละอย่างๆเรากล่าวว่ามีอุปการะมาก ข้อนั้นเพราะเหตุไร?
เพราะว่าผู้ที่ได้ฟังธรรมของภิกษุเห็นปานนั้นแล้ว
ย่อมหลีกออกอยู่ด้วย ๒ วิธี คือ
หลีกออกด้วยกาย ๑
หลีกออกด้วยจิต ๑
เธอหลีกออกอยู่อย่างนั้นแล้ว
ย่อมระลึกถึง
ย่อมตรึกถึงธรรมนั้น.
[๓๗๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สมัยใด ภิกษุหลีกออกอยู่อย่างนั้นแล้ว
ย่อมระลึกถึงย่อมตรึกถึงธรรมนั้น
สมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ เป็นอันภิกษุปรารภแล้ว
ภิกษุย่อมชื่อว่าเจริญสติสัมโพชฌงค์
สติสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์
เธอมีสติอยู่อย่างนั้น ย่อมเลือกเฟ้น ตรวจตรา
ถึงความพินิจพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา.
[๓๗๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สมัยใด ภิกษุมีสติอยู่อย่างนั้น
ย่อมเลือกเฟ้น ตรวจตราถึงความพินิจพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา
สมัยนั้น ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ เป็นอันภิกษุปรารภแล้ว
ภิกษุย่อมชื่อว่าเจริญธรรมวิจยสัมโพชฌงค์
ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์
เมื่อภิกษุเลือกเฟ้น ตรวจตรา พินิจพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา
ความเพียรอันไม่ย่อหย่อนเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว.
[๓๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สมัยใด เมื่อภิกษุเลือกเฟ้น ตรวจตรา พินิจพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา
ความเพียรอันไม่ย่อหย่อน อันภิกษุปรารภแล้ว
สมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์เป็นอันภิกษุปรารภแล้ว
ภิกษุย่อมชื่อว่าเจริญวิริยสัมโพชฌงค์
วิริยสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์
ปีติที่ไม่มีอามิสย่อมเกิดแก่ภิกษุผู้ปรารภความเพียร.
[๓๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สมัยใด ปีติที่ไม่มีอามิสย่อมเกิดแก่ภิกษุผู้ปรารภความเพียร
สมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์เป็นอันภิกษุปรารภแล้ว
ภิกษุย่อมชื่อว่าเจริญปีติสัมโพชฌงค์
ปีติสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์
กายก็ดี จิตก็ดี ของภิกษุผู้มีใจกอปรด้วยปีติ ย่อมสงบระงับ.
[๓๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สมัยใด กายก็ดี จิตก็ดี ของภิกษุผู้มีใจกอปรด้วยปีติ ย่อมสงบระงับ
สมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์เป็นอันภิกษุปรารภแล้ว
ภิกษุย่อมชื่อว่าเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์
จิตของภิกษุผู้มีกายสงบแล้ว มีความสุข ย่อมตั้งมั่น.
[๓๗๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สมัยใด จิตของภิกษุผู้มีกายสงบแล้ว มีความสุข ย่อมตั้งมั่น
สมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์เป็นอันภิกษุปรารภแล้ว
ภิกษุย่อมชื่อว่าเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์
สมาธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์
เธอย่อมเป็นผู้เพ่งดูจิตที่ตั้งมั่นแล้วอย่างนั้นด้วยดี.
[๓๘๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สมัยใด ภิกษุย่อมเป็นผู้เพ่งดูจิตที่ตั้งมั่นแล้ว อย่างนั้นด้วยดี
สมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์เป็นอันภิกษุปรารภแล้ว
ภิกษุย่อมชื่อว่าเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์
อุเบกขาสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์.
อานิสงส์การเจริญโพชฌงค์
[๓๘๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อโพชฌงค์ ๗
อันภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ กระทำให้มากแล้วอย่างนี้
ผลานิสงส์ ๗ ประการ อันเธอพึงหวังได้
ผลานิสงส์ ๗ ประการเป็นไฉน?
[๓๘๒] คือ
(๑) ในปัจจุบัน จะได้บรรลุอรหัตผลโดยพลัน
(๒) ในปัจจุบันไม่ได้บรรลุ
ทีนั้นจะได้บรรลุในเวลาใกล้ตาย
(๓) ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ
ทีนั้นจะได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี
เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป
(๔)ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ
ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ
และไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี
เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป
ทีนั้น จะได้เป็นพระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี
เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป
(๕) ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ
ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ
ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี
และไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี
ทีนั้นจะได้เป็นพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี
เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป
(๖) ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ
ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ
ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี
ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี
และไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี
ทีนั้น จะได้เป็นพระอนาคามีผู้สสังขารปรินิพพายี
เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป
(๗) ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ
ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ
ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี
ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี
ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี
และไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้สสังขารปรินิพพายี
ทีนั้นจะได้เป็นพระอนาคามีผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี
เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อโพชฌงค์ ๗
อันภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ กระทำให้มากแล้วอย่างนี้
ผลานิสงส์ ๗ ประการเหล่านี้ อันเธอพึงหวังได้.
อธิบาย
” ในปัจจุบัน จะได้บรรลุอรหัตผลโดยพลัน
ในปัจจุบันไม่ได้บรรลุ
ทีนั้นจะได้บรรลุในเวลาใกล้ตาย “
ได้แก่ พระอรหันต์(อรหัตผล) วิชชา ๓
ประเภทสุขาปฏิปทาและทุกขาปฏิปทา
“ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ
ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ
ทีนั้นจะได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี
เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป”
ได้แก่ บุคคลที่ปฏิบัติในอรหัตมรรค
ประเภทสุขาปฏิปทา
แล้วกาละก่อนจะได้อรหัตผล
“ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ
ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ
และไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี
เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป
ทีนั้น จะได้เป็นพระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี
เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป”
ได้แก่ บุคคลที่ปฏิบัติในอรหัตมรรค
ประเภททุกขาปฏิปทา
แล้วกาละก่อนจะได้อรหัตผล
“ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ
ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ
ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี
ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี
ทีนั้นจะได้เป็นพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี
เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป”
ได้แก่ บุคคลปฏิบัติได้อนาคามิผล
ปัจจุบันเป็นพระอรหันต์(อรหัตมรรค)
ตัวสภาวะที่มีเกิดขึ้นตามจริง
ได้แก่ พระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี
ประเภทสุขาปฏิปทา
“ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ
ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ
ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี
ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี
และไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี
ทีนั้น จะได้เป็นพระอนาคามีผู้สสังขารปรินิพพายี
เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป”
ได้แก่ บุคคลปฏิบัติได้อนาคามิคามิผล
ปัจจุบันเป็นพระอรหันต์(อรหัตมรรค)
ตัวสภาวะที่มีเกิดขึ้นตามจริง
ได้แก่ พระอนาคามีผู้สสังขารปรินิพพายี
ประเภททุกขาปฏิปทา
“ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ
ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ
ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี
ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี
ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี
และไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้สสังขารปรินิพพายี
ทีนั้นจะได้เป็นพระอนาคามีผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี
เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป”
ได้แก่ บุคคลปฏิบัติได้โสดาปัตติผล
ปัจจุบันเป็นพระสกทาคามี(สกทาคามิมรรค)
ตัวสภาวะที่มีเกิดขึ้นตามจริง
ได้แก่ พระอนาคามีผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี
ประเภทสุขาปฏิปทาและทุกขาปฏิปทา
วิตถารสูตรที่ ๑
ความเป็นพระอริยบุคคลระดับต่างๆ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน?
คือ สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ อินทรีย์ ๕ ประการนี้แล.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นพระอรหันต์
เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้เต็ม บริบูรณ์
เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี
เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของพระอรหันต์
เป็นพระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี
เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี
เป็นพระอนาคามีผู้มีอสังขารปรินิพพายี
เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของพระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี
เป็นพระอนาคามีผู้สสังขารปรินิพพายี
เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อน กว่าอินทรีย์ของอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี
เป็นอนาคามีผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี
เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของพระอนาคามีผู้สสังขารปรินิพพายี
เป็นพระสกทาคามี
เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของพระอนาคามีผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี
เป็นพระโสดาบัน
เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของพระสกทาคามี
เป็นพระโสดาบันผู้ธัมมานุสารี
เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อน กว่าอินทรีย์ของพระโสดาบัน
เป็นพระโสดาบันผู้สัทธานุสารี
เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ ของพระโสดาบันผู้ธัมมานุสารี.
ปฏิปันนสูตร
ผู้ปฏิบัติอินทรีย์ ๕
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน?
คือ สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ อินทรีย์ ๕ ประการนี้แล.
[๘๘๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
บุคคลผู้เป็นพระอรหันต์ เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้เต็มบริบูรณ์
เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อทำอรหัตผลให้แจ้ง
เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของพระอรหันต์
เป็นพระอนาคามี
เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของผู้ปฏิบัติเพื่อทำอรหัตผลให้แจ้ง
เพราะอินทรีย์๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของพระอนาคามี
เป็นพระสกทาคามี
เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของผู้ปฏิบัติเพื่อทำอนาคามิผลให้แจ้ง
เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อทำสกทาคามิผลให้แจ้ง
เพราะอินทรีย์ ๕ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของพระสกทาคามี
เป็นพระโสดาบัน
เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของผู้ปฏิบัติเพื่อทำสกทาคามิผลให้แจ้ง
เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้ง
เพราะอินทรีย์ ๕ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของพระโสดาบัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๕ ประการนี้ ไม่มีแก่ผู้ใดเสียเลยโดยประการทั้งปวง
เราเรียกผู้นั้นว่า เป็นคนภายนอก ตั้งอยู่ในฝ่ายปุถุชน.
สังโยชนสูตร
[๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังโยชน์ ๗ ประการนี้
๗ ประการเป็นไฉน
คือ สังโยชน์ คือ
ความยินดี ๑
ความยินร้าย ๑
ความเห็นผิด ๑
ความสงสัย ๑
มานะ ๑
ความกำหนัดในภพ ๑
อวิชชา ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังโยชน์ ๗ ประการนี้แล ฯ
= อธิบาย =
ความยินดี ๑
ความยินร้าย ๑
ความเห็นผิด ๑
ความสงสัย ๑
เกิดจาก กามตัณหาที่มีอยู่
ละด้วยวิชชา ๑
คำว่า ความกำหนัดในภพ
เกิดจากภวตัณหาที่มีอยู่
ละด้วยวิชชา ๒
คำว่า อวิชชา
เกิดจากวิภวตัณหาที่มีอยู่
ละด้วยวิชชา ๓
.
.
ปหานสูตร
[๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุย่อมอยู่ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อละ
เพื่อตัดสังโยชน์ ๗ ประการ
๗ ประการเป็นไฉน
คือ สังโยชน์ คือ
ความยินดี ๑
ความยินร้าย ๑
ความเห็นผิด ๑
ความสงสัย ๑
มานะ ๑
ความกำหนัดในภพ ๑
อวิชชา ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมอยู่ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อละ
เพื่อตัดสังโยชน์ ๗ ประการนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแล ภิกษุละสังโยชน์ คือ
ความยินดีเสียได้ ตัดรากขาดแล้ว
ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน
ไม่ให้มีไม่ให้เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา
ละสังโยชน์ คือความยินร้าย ฯลฯ
สังโยชน์คือความเห็นผิด ฯลฯ
สังโยชน์คือความสงสัย ฯลฯ
สังโยชน์คือมานะ ฯลฯ
สังโยชน์คือความกำหนัดในภพ ฯลฯ
สังโยชน์คืออวิชชาเสียได้ ตัดรากขาดแล้ว
ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน
ไม่ให้มีไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา
เมื่อนั้น ภิกษุนี้ เรากล่าวว่า ตัดตัณหาได้ขาดแล้ว เพิกถอนสังโยชน์ได้แล้ว
กระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้แล้ว เพราะตรัสรู้คือละมานะเสียได้โดยชอบ ฯ
= อธิบาย =
คำว่า ความยินดี ความยินร้าย ความเห็นผิด
เป็นเรื่องของสภาวะเวทนา(๓)ที่มีเกิดขึ้น
สุขเวทนา ทุกขเวทนา และอทุกขมสุขเวทนา
ราคะ โทสะ โมหะ
ครั้งแรก ละด้วยการสดับพระธรรมจากพระอริยะ สัตบุรุษ สัปปุรุษ
ครั้งที่สอง เกิดจากการทำกรรมฐาน
ทำต่อเนื่อง จนกระทั่งจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ
ในรูปฌาน อรูปฌาน นิโรธ ที่เป็นสัมมาสมาธิ
ยถาภูตญาณทัสสนะ ปรากฏตามจริง
ทำให้รู้ชัดความเกิดและดับในรูปฌาน อรูปฌาน นิโรธ
ครั้งที่สาม เกิดจากการได้มรรคผลตามจริง
วิชชา ๑
วิชชา ๒
วิชชา ๓
การที่จะเข้าใจในตัวสภาวะที่มีเกิดขึ้น
ต้องอาศัยจากพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ (จากพระสูตร)
ต้องอาศัยจากสาวก ที่แทงตลอดตัวสภาวะที่มีเกิดขึ้นตามลำดับ คือ
วิชชา ๑
วิชชา ๒
วิชชา ๓
เมื่อวิชชา ๓ ปรากฏตามจริง
วิมุตติญาณทัสสนะจะปรากฏตามจริง
จะแทงสภาวะเหล่านี้ที่มีเกิดขึ้น
ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ ตามลำดับ
๖. วิมุตติสูตร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุแห่งวิมุตติ ๕ ประการนี้แล
ซึ่งเป็นเหตุให้จิตของภิกษุผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่
ที่ยังไม่หลุดพ้นย่อมหลุดพ้น อาสวะที่ยังไม่สิ้น ย่อมถึงความสิ้นไป
หรือเธอย่อมได้บรรลุธรรมอันเกษมจากโยคะชั้นเยี่ยม ที่ยังไม่ได้บรรลุ ฯ
.
มหาวรรคที่ ๕
ดูกรพยัคฆปัชชะทั้งหลาย
ก็องค์เป็นที่ตั้งแห่งความเพียร คือ วิมุตติปาริสุทธิเป็นไฉน
อริยสาวกนี้แล เป็นผู้ประกอบด้วยองค์เป็นที่ตั้งแห่งความเพียร คือ
สีลปาริสุทธิ…
จิตตปาริสุทธิ…
ทิฏฐิปาริสุทธิแล้ว
ย่อมคลายจิตในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด
ย่อมเปลื้องในธรรมที่ควรเปลื้อง
ครั้นแล้วย่อมถูกต้องสัมมาวิมุติ
นี้เรียกว่าวิมุตติปาริสุทธิ
ความพอใจ…สติและสัมปชัญญะในวิมุตติปาริสุทธินั้นว่า
เราจักยังวิมุตติปาริสุทธิเห็นปานนี้อันยังไม่บริบูรณ์ให้บริบูรณ์
จักใช้ปัญญาประคับประคองวิมุตติปาริสุทธิอันบริบูรณ์ไว้ในฐานะนั้นๆ
นี้เรียกว่า องค์เป็นที่ตั้งแห่งความเพียร คือ วิมุตติปาริสุทธิ
ดูกรพยัคฆปัชชะทั้งหลาย
องค์เป็นที่ตั้งแห่งความเพียรเพื่อความบริสุทธิ์ ๔ ประการนี้แล
อันพระผู้มีพระภาค ผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตรัสไว้ชอบแล้ว
เพื่อความหมดจดของสัตว์ทั้งหลาย
เพื่อก้าวล่วงความโศกและร่ำไร
เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส
เพื่อบรรลุญายธรรม
เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน ฯ
.
โยคสูตร
สัตว์ทั้งหลาย
ผู้ประกอบด้วยกามโยคะ ภวโยคะ ทิฏฐิโยคะและอวิชชาโยคะ
ย่อมเป็นผู้มีปรกติถึงชาติและมรณะ ไปสู่สงสาร
ส่วนสัตว์เหล่าใด
กำหนดรู้กามทั้งหลายและภวโยคะโดยประการทั้งปวง
ถอนขึ้นซึ่งทิฏฐิโยคะ และสำรอกอวิชชาเสียได้
สัตว์เหล่านั้นแล เป็นผู้พรากจากโยคะทั้งปวง
เป็นมุนีผู้ล่วงพ้นโยคะเสียได้ ฯ
แจ้งฉันทราคะในอุปาทานขันธ์ ๕ ตามจริง
ทำให้แจ้งอุปาทาน ๔ ตามจริง
อุปาทาน ๔
[๑๕๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุปาทาน ๔ อย่างเหล่านี้.
๔ อย่างเป็นไฉน?
คือ กามุปาทาน
ทิฏฐุปาทาน
สีลัพพัตตุปาทาน
อัตตวาทุปาทาน.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง
ปฏิญาณลัทธิว่ารอบรู้อุปาทานทุกอย่าง
แต่พวกเขา ไม่บัญญัติความรอบรู้อุปาทานทุกอย่างโดยชอบ
คือย่อมบัญญัติความรอบรู้กามุปาทาน
บัญญัติความรอบรู้ทิฏฐุปาทาน
บัญญัติความรอบรู้สีลัพพัตตุปาทาน
ไม่บัญญัติความรอบรู้อัตตวาทุปาทาน
ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร?
เพราะสมณพราหมณ์เหล่านั้น ไม่รู้ทั่วถึงฐานะอย่างหนึ่งนี้ตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงปฏิญาณลัทธิว่ารอบรู้อุปาทานทุกอย่าง
แต่พวกเขา ไม่บัญญัติความรอบรู้อุปาทานทุกอย่างโดยชอบ
คือย่อมบัญญัติความรอบรู้กามุปาทาน
บัญญัติความรอบรู้ทิฏฐุปาทาน
บัญญัติความรอบรู้สีลัพพัตตุปาทาน
ไม่บัญญัติความรอบรู้อัตตวาทุปาทาน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ความเลื่อมใสในศาสดาใด ความเลื่อมใสนั้น
เราไม่กล่าวว่า ไปแล้วโดยชอบ
ความเลื่อมใสในธรรมใด ความเลื่อมใสนั้น
เราไม่กล่าวว่า ไปแล้วโดยชอบ
ความกระทำให้บริบูรณ์ในศีลใด ข้อนั้น
เราไม่กล่าวว่า ไปแล้วโดยชอบ
ความเป็นที่รักและน่าพอใจในหมู่สหธรรมิกใด
ข้อนั้น เราไม่กล่าวว่าไปแล้วโดยชอบ
ในธรรมวินัยเห็นปานนี้แล ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะข้อนั้น เป็นความเลื่อมใสในธรรมวินัยที่ศาสดากล่าวชั่วแล้ว
ประกาศชั่วแล้ว มิใช่สภาพนำออกจากทุกข์ ไม่เป็นไปเพื่อความสงบ
มิใช่อันผู้รู้เองโดยชอบประกาศไว้.
ได้ที่ละนิด
จึงมาเป็นของคำว่า จิ๊กซอ
ค่อยๆเขียนมาเรื่อยๆ ไม่ต้องคิดว่าคืออะไร
เขียนตามสภาวะที่มีเกิดขึ้น
ที่ประจักษณ์ด้วยตน
พร้อมๆกับได้ทบทวนตัวสภาวะอะไรที่ได้พบกับตน
ที่มีเกิดขึ้นขณะดำเนินชีวิต
ขณะทำกรรมฐาน
ขณะจิตดวงสุดท้าย
ซึ่งพูดได้เต็มปากว่า
หากเรานอนเหมือนคนทั่วๆไป
เราคงไม่ได้มาเขียนเรื่องราวสภาวะต่างๆที่มีเกิดขึ้น
ที่ยังอยู่ได้เกิดจาก
๑. ยังไม่ถึงเวลา
๒. เกิดจากจิตที่ฝึกไว้ดีในสติปัฏฐาน ๔
และความรู้ความเห็นที่มีเกิดขึ้นจากผลของการปฏิบัติ
สุญญตา
มหาสุญญตา
อนิมิตตเจโตสมาธิ
อริยสัจ ๔ ๔ รอบ
นิพพาน ดับภพ ดับตัณหา ๓