สิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมี
เรื่องราวทางโลก เรียนเท่าไหร่ ยิ่งเรียน ยิ่งออกจากฝั่งไปไกล(มีแต่เหตุของการเกิด) เรียนไม่จบสักที ตัวนี้ไป ตัวนั้นมา เวียนวนอยู่อย่างนี้(ผัสสะ)
สิ่งนี้ไม่มี สิ่งนั้นย่อมไม่มี
เรื่องราวภายในกายและจิต ยิ่งเรียน ยิ่งจบ(ดับเหตุของการเกิด-ดับผัสสะ)
ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่เรียนหรือจะรู้ ถึงจะมามีชีวิต เช่นวันนี้ได้
ต้องผิดพลาดมาก่อน ที่จะรู้
รู้แล้ว การทำผิดพลาดย่อมลดน้อยลงไป
ภพชาติย่อมสั้นลง ตามเหตุปัจจัย
หยุดสร้างเหตุนอกตัว
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! สิ่งใด ไม่ใช่ของเธอ, สิ่งนั้น จงละมันเสีย;
สิ่งนั้น อันเธอละเสียแล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขแก่เธอ.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! อะไรเล่า ที่ไม่ใช่ของเธอ ?
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! จักษุ ไม่ใช่ของเธอ เธอจงละมันเสีย;
จักษุนั้น อันเธอละเสียแล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์ และความสุขแก่เธอ
(ในกรณีแห่ง โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และ มโน ก็ได้ตรัสต่อไป ด้วยข้อความอย่างเดียวกัน).
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เปรียบเหมือน อะไร ๆ ในแคว้นนี้
ที่เป็นหญ้า เป็นไม้ เป็นกิ่งไม้ เป็นใบไม้
ที่คนเขาขนไปทิ้ง หรือ เผาเสีย หรือทำตามปัจจัย;
พวกเธอรู้สึก อย่างนี้บ้างหรือไม่ว่า คนเขาขนเราไป
หรือเผาเรา หรือ ทำแก่เราตามปัจจัยของเขา ?
“ไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย พระเจ้าข้า !”
เพราะเหตุไรเล่า ?
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! เพราะเหตุว่า ความรู้สึกว่า
ตัวตน (อตฺตา)
ของตน (อตฺตนิยา)
ของข้าพระองค์ ไม่มีในสิ่งเหล่านั้น พระเจ้าข้า !”
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ฉันใดก็ฉันนั้น :
จักษุ…โสตะ…ฆานะ…ชิวหา…กายะ…มโน
ไม่ใช่ของเธอ เธอจงละมันเสีย
สิ่งเหล่านั้น อันเธอละเสียแล้ว
จักเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขแก่เธอ แล.
สฬา. สํ. ๑๘/๑๖๑/๒๑๙.
หมายเหตุ:
ตัวตน (อตฺตา) หมายถึง ความมีตัวตน ได้แก่ สักกายทิฏฐิ คือ ความยึดมั่นถือมั่น ในความมีตัวตน ที่มีอยู่(ตัวกู)
เช่น เมื่อผัสสะเกิด เสียงด่ากระทบหู อุปทาน/ความยึดมั่นถือมั่นในตัวกู เกิดขึ้นทันที
มันด่ากู กูต้องด่าตอบกลับมัน เพราะ กูไม่ผิด เหตุจาก อวิชชา ที่มีอยู่
ของตน (อตฺตนิยา) หมายถึง ความมี ความเป็น ได้แก่ มานะ คือ ความยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งที่ตนคิดว่ามี คิดว่าเป็นเป็น(ของตน/ของกู)
มานะ เป็นกิเลสในใจตน, กิเลสอย่างละเอียด. กิเลสในชั้นนี้ ไม่เกี่ยวกับผู้อื่น
ถ้ามีตัวเรา มีตัวเขา, สิ่งนั้นไม่ใช่มานะ แต่มันคือ สักกายทิฎฐิ
ทันทีที่เรารู้สึกว่า เราเก่งกว่าเขา, เรามีฌาณวิเศษกว่าเขา หรืออะไรๆ ที่ มากกว่าเขา น้อยกว่าเขา, สิ่งนั้นไม่ใช่มานะ แต่เป็น สักกายทิฎฐิ
มานะ คือการเห็นว่า เราเป็นนั่นเป็นนี่, เราเป็นพระ, เราเป็นอุบาสก อุบาสิกา, เราเป็นผู้ชาย ผู้หญิง ฯลฯ
สังโยชน์เบื้องสูง 5 ประการ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และอวิชชา
ทั้ง 5 ประการ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในใจตน, ไม่เกี่ยวกับผู้อื่น
ทุกบุคคลตัวตน เขา, เรา ที่มองเห็น ล้วนเป็นเพียงเปลือกที่เกิดจากเหตุที่ทำไว้ เป็นเปลือกที่ใช้อาศัยชั่วคราว ตามเหตุปัจจัยที่ยังมีอยู่ และที่กำลังสร้างขึ้นมาใหม่ เปลือกจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหยุดสร้างเหตุของการเกิด
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของแต่ละคน ล้วนเกิดจากเหตุที่ทำมาทั้งสิ้น เมื่อยังมีการสร้างภพชาติอยู่ เปลือกหรือร่างที่ใช้อาศัยชั่วคราว ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยที่ทำไว้
เพราะไม่รู้ตามความเป็นจริงของเรื่องเหตุการกระทำและผลที่ได้รับ เป็นเหตุให้เกิดการให้ค่าต่อสิ่งที่เกิดขึ้นว่า สิ่งนั้นเลวบ้าง สิ่งนั้นดีบ้าง สิ่งนั้นเสมอตนบ้างฯลฯ
ทุกรูปทุกนามล้วนไม่มีความแตกต่างกัน ล้วนเป็นเพียงรูปนามที่เสื่อมสลายไปตามเหตุปัจจัย
ได้แก่ การยึดติดกับสิ่งที่คิดว่าตนมีและตนเป็น แล้วนำสภาวะที่ตนเองมีและเป็นอยู่ไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น แล้วคิดเอาเองว่าตนดีกว่าเขาบ้าง ตนเลวกว่าเขาบ้าง ตนเสมอกับเขาบ้าง
เหตุเนื่องจากอวิชชาที่มีอยู่ เป็นเหตุให้ ไม่รู้ชัดในเรื่องของเหตุที่กระทำและผลที่ได้รับ
เป็นเหตุให้เกิดการสร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น เป็นให้ค่า ตามเหตุปัจจัย ที่มีอยู่ กับสิ่งที่เกิดขึ้น (ต่อเปลือกหรือสิ่งที่มองเห็น)
ตลอดจนการใช้ชีวิต และสภาวะแวดล้อมแตกต่างกันไป ตามเหตุปัจจัย ที่มีอยู่และที่กระทำให้เกิดขึ้นใหม่ ณ ปัจจุบัน
เพราะไม่รู้ขัดตรงนี้ จึงยึดติดกับสิ่งที่ตนมีและที่คิดว่าตนเป็น เป็นเหตุให้ เกิดการสร้างเหตุของการเกิด ภพชาติใหม่ให้ เกิดขึ้นเนืองๆ