สบายใจ …
รอบแรก เดิน ๒ ๑/๒ ชม. นั่ง ๑ ๑/๒ ชม.
เรื่องชวนะจิตต่างๆที่มีการจดบันทึกไว้ของครูอาจารย์ต่างๆ
ขณะที่รู้แจ้งในสภาวะอริยสัจ ๔ ขณะที่รู้แจ้ง จะไม่มีคำเรียกใดๆ ชวนะจิตต่างๆที่ตำราเขียนไว้ เพียงสักแต่ว่า … ตามความรู้ของอาจารย์ท่านนั้นๆ แต่สภาวะที่กล่าวตรงกันคือ อาศัยวิปัสสนาญาณอันแก่กล้า คือ สังขารุเบกขาญาณ
ไตรลักษณ์
สภาวะไตรลักษณ์มี ๒ สภาวะ ได้แก่ แบบหยาบ ๑ แบบละเอียด ๑
แบบหยาบ ได้แก่ สภาวะไตรลักษณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเหตุให้จิตเกิดการปล่อยวาง (จากสังขาร ได้แก่ สภาวะอาการต่างๆที่เกิดขึ้นในจิตตั้งแต่อุทยัพพยญาณอย่างแก่ ตามลำดับ ก่อนจะเกิดสภาวะสังขารุฯ)
แบบละเอียด ได้แก่ สภาวะไตรลักษณ์ที่เกิดขึ้น จะเกิดขึ้นขณะจิตอยู่ในสภาวะสังขารุฯ ก่อนจะรู้แจ้งในสภาวะอริยสัจ ๔
หมายเหตุ ต้องแยกแยะสภาวะระหว่าง สภาวะจตุถฌาน กับสภาวะสังขารุเบกฯให้ออกด้วย บางคนหลงสภาวะเพราะเหตุนี้ก็มี การเกิดขึ้นของสภาวะจตุถฌาน เกิดจากกำลังของสติ, สัมปชัญญะและสมาธิเป็นหลัก จิตจึงเกิดสภาวะอุเบกขา
ส่วนสภาวะสังขารุฯ เกิดจากสภาวะไตรลักษณ์ คนละลักษณะและเหตุที่ทำให้ที่เกิดขึ้นคนละอย่างกัน ดูผิวเผินอาจจะทำให้คิดว่าทั้ง ๒ สภาวะนี้ เป็นสภาวะเดียวกัน
จุดเด่นโดยเนื้อแท้ของสภาวะสังขารุฯ คือ จะมีสภาวะทิศากากะ(จิตสัปหงก) เกิดขึ้นร่วมด้วยทุกครั้ง
จุดเด่นของสภาวะจตุถฌาน คือ สภาวะอุเบกขาที่เกิดขึ้น
ส่วนเรื่องไตรลักษณ์แบบหยาบนั้น เป็นเหตุของจิตเกิดการปล่อยวางจากสังขาร หรือ สภาวะต่างๆที่เกิดขึ้นในจิต ไม่ว่าจะเป็นสภาวะ ภยญาณ, นิพพิทาญาณ ฯลฯ จิตจะเกิดสภาวะต่างๆเหล่านี้ ซ้ำไปซ้ำมา จนกระทั่งจิตเกิดความเบื่อหน่ายในสภาวะที่เป็นอยู่
ปัญญาที่เกิดขึ้น จะเห็นแต่เหตุของการเกิด และผลที่ได้รับ คือ ภัยของการเกิด ทุกข์และโทษของการเกิด เป็นเหตุให้ จิตเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด เป็นเหตุให้ เกิดวิริยะ คือความเพียร มุ่งปฏิบัติต่อเนื่องไม่ท้อถอย
เกิดเป็นทุกข์เพราะเกาะเกี่ยวอารมณ์นั้นๆอยู่ ดูบ่อยๆ รู้ลงไปบ่อยๆ (ที่มาของคำว่า “ทุกข์มีไว้ให้กำหนดรู้”) แล้วจะเห็นความไม่เที่ยงของสภาวะที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง จนกระทั่งจิตเกิดการปล่อยวางในที่สุด
สภาวะสังขารุเบกฯจึงเกิดขึ้น สภาวะนี้จะเกิดขณะจิตเห็นตามความเป็นจริง โดยตัวของจิตเองเท่านั้น ไม่ใช่เกิดจากการน้อมเอา คิดพิจรณาเพื่อให้เกิดการปล่อยวางแต่อย่างใด
เมื่อสภาวะสังขารุเบกขาฯ เกิดขึ้น เมื่อพละ ๕ พร้อม สภาวะการเห็นแจ้งในอริยสัจ ๔ จะเกิดขึ้นเอง หากพละ ๕ ยังไม่มีกำลังมากพอ สภาวะจะวกกลับลงไปที่สภาวะอุทยัพพยญาณใหม่อีกครั้ง วกวน กลับวนไป วนมาอยู่แบบนี้ สภาวะที่เกิดขึ้นจะเดิมๆซ้ำๆ เหมือนย่ำอยู่กับที่
โดยเฉพาะ ความอยากรู้ อยากเห็น อยากมี อยากเป็น อยากได้ ความทะยานอยาก อยากพ้นทุกข์ ตลอดจนความยินดีพอใจที่เกิดขึ้น จะเป็นตัวปิดกั้นสภาวะการเห็นแจ้งไม่ให้เกิดขึ้น เรียกว่า สภาวะการเห็นแจ้ง จะเกิดขึ้นต่อเมื่อ จิตนี้ปราศจากกิเลสต่างๆ
การตรวจสอบ ทบทวนดูมรรค
การรู้ปริยัติ ก็มีความสำคัญ ไม่ใช่ไม่สำคัญ เมื่อมีคิดว่าตัวเองได้อะไร เป็นอะไร หรือคิดว่า รู้แจ้งในสภาวะอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง จำเป็นต้องอาศัยปริยัติ สำหรับผู้ไม่รู้ปริยัติ ก็ควรรับฟังจากผู้ที่เคยผ่านสภาวะนั้นๆมาแล้ว
ในการทบทวนที่สำคัญ ตัวสภาวะที่แท้จริงจะเป็นตัวบ่งบอกสภาวะเอง ว่าที่ผ่านมาได้นั้น จนกระทั่งเห็นแจ้งในสภาวะอริยสัจ ๔ ได้ ผ่านทางไหน เพราะสภาวะนี้จะเกิดเพียงชั่วเสี้ยววินาที รู้แล้วรู้เลย เปรียบประดุจสายฟ้าฟาดลงมา
การที่ครูอาจารย์ท่านบันทึกไว้ว่า บางคนผ่าน(เห็นแจ้ง) ทาง ทุกข์ขัง บางคนผ่านทางอนิจจัง บางคนผ่านทางอนัตตา สภาวะนี้หมายถึง ขณะที่สภาวะอริยัสจ ๔ กำลังจะเกิดขึ้น ในช่วงเศษเสี้ยววินาทีนั้น ไม่ใช่เกิดจากการคิดพิจรณา หรือเกิดจากการปล่อยวาง
สภาวะจะเกิดที่สภาวะยอดสังขารุฯ หรือที่ผู้เขียน ได้เขียนไว้ว่า เป็นสภาวะจิตสัปหงก เรียกว่า สภาวะทิศากากะ ที่เกิดขึ้นในสภาวะสังขารุฯ ที่สำคัญ จิตขณะนั้น ต้องปราศจากกิเลสต่างๆ โดยเนื้อแท้ของจิตเอง สภาวะนี้จะเกิดคั่นกันอยู่
ไม่ใช่การเห็นโดยนิมิตต่างๆ ไม่ว่า จะนิมิตรูป, แสง, สี, เสียงต่างๆ นิมิตเหล่านั้น ล้วนเกิดขึ้นจากตัณหาความทะยานอยากที่อยู่ในจิต ซึ่งแสดงออกมาในรูปของนิมิต ทำให้หลงสภาวะ คิดว่าได้อะไร เป็นอะไร
ในเมื่อเหตุมี ผลย่อมมี ย่อมมีวิธีตรวจสอบว่า ที่ผ่านนั้น ผ่านจริงหรือไม่ ที่ว่ารู้นั้น รู้จริงหรือไม่ เหตุเพราะบางทีมียึดแต่ไม่รู้ว่ายึด จึงต้องมีการตรวจสอบตัวเองเพราะเหตุนี้ หรือไม่ตรวจสอบ อันนี้ก็แล้วแต่เหตุปัจจัยที่มีอยู่
๑. สำรวจทบทวนดูมรรค
สำรวจทบทวนดูมรรค “ข้าพเจ้ามาด้วยมรรคนี้แน่นอน”
การตรวจสอบว่าผ่านทางไหน ผู้ที่ผ่าน จะจดจำสภาวะขณะที่เกิดขึ้นได้แม่นยำ เพราะจะเกิดเพียงครั้งเดียว เหมือนตายทันทีขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วเกิดมีชีวิตใหม่ทันที โดยที่ยังอาศัยอยู่ในเปลือกหรือร่างเดิมอยู่ แต่จิตที่เกิดขึ้นมาใหม่ เปลี่ยนไป
เช่นตัวผู้เขียน ผ่านทางทุกข์ขัง จดจำสภาวะได้แม่นยำ จำได้ทุกขณะที่เกิดสภาวะนั้น จะไม่มีคำเรียก ไม่มีคำว่าได้อะไร เป็นอะไร หรือเรียกว่าอะไร นั่นคือ ครั้งแรกของการได้รู้จักกับคำว่า “สภาวะ, รูปนาม และสมมุติ” โดยไม่ต้องรู้ปริยัติ คือจะรู้เอง แต่ไม่มีการบอกว่าได้อะไร เป็นอะไร นี่คือ การทบทวนดูมรรค ว่าผ่านทางไหน
๒. สำรวจทบทวนดูผล
สำรวจทบทวนดูผล “ข้าพเจ้าได้อานิสงส์นี้แล้ว”
การจะรู้แน่ชัดว่า ได้อานิสงส์นี้จริงหรือไม่ ให้ดูสภาวะสำรวจทบทวนพระนิพพาน นั่นคือสภาวะที่สำคัญที่สุด การรู้แจ้งในสภาวะพระนิพพานตามความเป็นจริง ที่สามารถนำมาอธิบายให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ ทำตามได้ เพียงแต่ใครจะเชื่อหรือ ไม่เชื่อ นั่นคือเหตุของแต่ละคน
ไม่ใช่พระนิพพานตามบัญญัติที่นำมากล่าวต่อๆกัน เช่น นิพพานเป็นวิมุติบ้าง นิพพานเป็นเมืองแก้วบ้าง นิพพานเป็นโน่นเป็นนี่บ้าง เรียกว่านำมาอธิบายตามบัญญัติ ลักษณะแบบนั้น ยังไม่ใช่การเห็นสภาวะพระนิพพานตามความเป็นจริง
แต่เป็นการเห็นโดยสัญญา ที่เกิดจากการอ่าน, ฟังเขาเล่าว่ามา หรือแม้กระทั่งจากการเรียนรู้
๓. สำรวจทบทวนดูกิเลสข้อนี้ๆ ได้แล้ว
สำรวจทบทวนดูกิเลสข้อนี้ๆ ได้แล้วว่า “ข้าพเจ้าละกิเลสชื่อนี้ๆ ได้แล้ว
เมื่อรู้แจ้งในสภาวะอรยิสัจ ๔ ย่อมรู้แจ้งในสภาวะอุปทานขันธ์ ๕ ที่เป็นสภาวะปรมัตถ์ เป็นเหตุให้ รู้ชัดว่า สภาวะผัสสะต่างๆที่เกิดขึ้น เกิดจากเหตุปัจจัยอะไรเป็นเหตุให้เกิดขึ้น จึงเป็นเหตุให้สภาวะ
สักกายทิฏฐิ ๑ วิจิกิจฉา ๑ สีลพตปรามาส ๑ อปายคมนียกามราคะ ๑ อปายคมนียปฏิฆะ ๑ ถูกประหานลงไป
๑. สักกายทิฏฐิสังโยชน์ คือ ความเห็นที่ว่ามีอัตตา ได้แก่ ความเห็นที่มีอัตตา เข้าไปเกี่ยวข้องกับสภาวะที่เกิดขึ้น ได้แก่ การเอาความมีตัวตนที่มีอยู่ เข้าไปเกี่ยวข้องกับสภาวะหรือผัสสะที่เกิดขึ้น
ลักษณะอาการที่เกิดขึ้นคือ เมื่อมีผัสสะต่างๆเกิดขึ้น เหตุจาก ไม่รู้ในเหตุปัจจัยของผัสสะต่างๆที่เกิดขึ้น เป็นเหตุให้ใช้ความรู้สึกนึกคิด ตัดสินลงไปในสิ่งที่เกิดขึ้นว่า ถูก, ผิด, ดี, ชั่วตามความรู้สึกชอบ,ชัง ที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยที่มีกับสิ่งๆนั้น
๒. วิจิกิจฉาสังโยชน์ คือ ความสงสัยลังเลใจ ได้แก่ ความสงสัยในคุณของพระรัตนตรัยว่าที่นำมากล่าวๆกัน หรือจากทีได้อ่าน ได้ฟัง ได้เรียนรู้มานั้น มีจริงไหม สงสัยในพระนิพพานว่ามีจริงไหม และมีลักษณะอย่างไร
๓. สีลัพตปรามาสสังโยชน์ สามารถแยกแยะสภาวะได้ว่า การปฏิบัติเช่นใด จึงเป็นเพียงสภาวะลูบคลำศิล
๔. อปายคมนียกามราคะ คือ ความกำหนัดในกาม ชนิดที่ทำให้ไปเกิดในอบาย (แบบหยาบ) ได้แก่ มีผัสสะภายนอกเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดขึ้น
เมื่อสามารถแยกแยะความรู้สึกนึกคิด และรู้ชัดในสภาวะกายกรรม วจีกรรมและมโนกรรม เป็นเหตุให้สามารถแยกแยะรายละเอียดของสภาวะต่างๆได้
เช่น เมื่อผัสสะเกิดขึ้น ตากระทบรูปฯลฯ ก่อให้เกิดความกำหนัดในกาม หรือกามราคะเกิดขึ้นในรูปนั้นๆ
เมื่อรู้ชัดตามความเป็นจริงของผัสสะได้ว่า เหตุของการเกิดความรู้สึกนึกคิดที่มีต่อผัสสะนั้นๆ เกิดขึ้นจากอะไร ความรู้สึกจะหยุดอยู่แค่นั้น เพียงมนสิการไว้ในใจ คือ ยอมรับตามความเป็นจริงของความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิต
ได้แก่ ยอมรับตามความเป็นจริงของความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิต แต่ไม่ปล่อยให้ล่วงละเมิดทั้งมโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม เช่น เมื่อผัสสะเกิดขึ้น ตากระทบรูปฯลฯ ก่อให้เกิดกามราคะหรือความความกำหนัดในกามขึ้นในรูปนั้นๆ
เหตุเพราะ เห็นแจ้งตามความเป็นจริงแล้วว่า เหตุของการเกิดผัสสะที่แท้จริงเกิดจากอะไร และรู้ว่า เหตุของการเกิดความรู้สึกนึกคิดที่มีต่อผัสสะนั้นๆ เกิดขึ้นจากอะไร ความรู้สึกจะหยุดอยู่แค่นั้น
เพียงมนสิการไว้ในใจ คือ ยอมรับตามความเป็นจริงของความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิต แต่ไม่ปล่อยให้ล่วงละเมิดทั้งมโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม
สภาวะที่เกิดขึ้น
ไม่ล่วงละเมิดทางมโนกรรม คือ ยอมรับตามความเป็นจริงของความรู้สึกที่เกิดขึ้นขณะนั้น ไม่ปล่อยให้ไหลไปตามความคิด จนกลายเป็นสร้างจินตนาการขึ้นมา ได้แก่ มนสิการไว้ในใจว่ามีกิเลสชนิดนี้เกิดขึ้น แต่ไม่จินตนาการต่อ
ไม่ล่วงละเมิดทางวจีกรรม คือ ไม่ปล่อยออกไปทางคำพูด ได้แก่ ใช้คำพูดในทางแทะโลม หรือใช้คำพูดเกี้ยวพาราสี พูดจาเชิงชู้สาว ฯลฯ
ไม่ล่วงละเมิดทางกายกรรม คือ ไม่ปล่อยออกไปทางกายกรรม ได้แก่ ถึงขั้นเสพกามร่วมกันกับผู้อื่นที่ไม่ใช่คู่ของตน หรือแม้กระทั่งบุคคลอื่นที่อยู่ภายใต้การดูแลของผู้ปกครองหรือแม้กระทั่งคู่ครองของผู้อื่น ฯลฯ
๕. อปายคมนียปฏิฆะ คือ ความโกรธเคืองขัดแค้น ชนิดที่ทำให้ไปเกิดในอบาย (แบบหยาบ) ได้แก่ ผัสสะภายนอก เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดขึ้น
เมื่อสามารถแยกแยะความรู้สึกนึกคิด และรู้ชัดในสภาวะกายกรรม วจีกรรมและมโนกรรม เป็นเหตุให้สามารถแยกแยะรายละเอียดของสภาวะต่างๆได้
เช่น เมื่อผัสสะเกิดขึ้น ตากระทบรูปฯลฯ ก่อให้เกิดความขัดเคืองใจให้เกิดขึ้น หรือโทสะเกิดขึ้นในรูปนั้นๆ
เมื่อรู้ชัดตามความเป็นจริงของผัสสะได้ว่า เหตุของการเกิดความรู้สึกนึกคิดที่มีต่อผัสสะนั้นๆ เกิดขึ้นจากอะไร ความรู้สึกจะหยุดอยู่แค่นั้น เพียงมนสิการไว้ในใจ คือ ยอมรับตามความเป็นจริงของความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิต
ได้แก่ ยอมรับตามความเป็นจริงของความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิต แต่ไม่ปล่อยให้ล่วงละเมิดทั้งมโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม เช่น เมื่อผัสสะเกิดขึ้น ตากระทบรูปฯลฯ ก่อให้เกิดกามราคะหรือความความกำหนัดในกามขึ้นในรูปนั้นๆ
เหตุเพราะ เห็นแจ้งตามความเป็นจริงแล้วว่า เหตุของการเกิดผัสสะที่แท้จริงเกิดจากอะไร และรู้ว่า เหตุของการเกิดความรู้สึกนึกคิดที่มีต่อผัสสะนั้นๆ เกิดขึ้นจากอะไร ความรู้สึกจะหยุดอยู่แค่นั้น
เพียงมนสิการไว้ในใจ คือ ยอมรับตามความเป็นจริงของความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิต แต่ไม่ปล่อยให้ล่วงละเมิดทั้งมโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม
สภาวะที่เกิดขึ้น
ไม่ล่วงละเมิดทางมโนกรรม คือ ยอมรับตามความเป็นจริงของความรู้สึกที่เกิดขึ้นขณะนั้น ไม่ปล่อยให้ไหลไปตามความคิด จนถึงขั้นคิดว่า อยากให้ผู้นั้นเป็นอย่างเช่นตนบ้าง อยากให้ผู้นั้น พบเจอเหตุการณ์อย่างเช่นตนบ้าง ฯลฯ
สภาวะเช่นนี้ เป็นสภาวะของความโกรธที่แฝงด้วยความพยาบาท
ไม่ล่วงละเมิดทางวจีกรรม คือ ยอมรับตามความเป็นจริงของความรู้สึกที่เกิดขึ้นขณะนั้น ไม่ปล่อยให้ไหลไปตามความคิด จนกระทั่งนำความรู้สึกนึกคิดนั้นๆก่อให้เกิดเป็นการกระทำออกมาทางวจีกรรม ได้แก่ การสาปแช่งอีกฝ่ายหนึ่ง
ขอให้เป็นไปต่างๆนานา หรือก่อให้เกิดการกระทำทางวาจาต่างๆนานา ขณะที่เกิดความคับแค้นใจ ฯลฯ
ไม่ล่วงละเมิดทางกายกรรม คือ ยอมรับตามความเป็นจริงของความรู้สึกที่เกิดขึ้นขณะนั้น ไม่ปล่อยให้ไหลไปตามความคิด จนกระทั่งนำความรู้สึกนั้นๆ ก่อให้เกิดเป็นการกระทำออกมาทางกายกรรม ได้แก่ การเขียนสาปแช่งอีกฝ่ายหนึ่ง
ขอให้มีอันเป็นไปต่างๆนานา ฯลฯ
๔. สำรวจดูกิเลสที่ต้องถูกฆ่าด้วยมรรคทั้ง ๓ เบื้องสูง
สำรวจดูกิเลสที่ต้องถูกฆ่าด้วยมรรคทั้ง ๓ เบื้องสูงว่า กิเลสข้อนี้ๆ ของข้าพเจ้ายังเหลืออยู่
เมื่อสภาวะสมุจเฉทประหานเกิดขึ้น สมาธิที่มีอยู่จะหายไปหมดสิ้น เป็นเหตุให้ เวลาผัสสะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ตาม จะเห็นกิเลสต่างๆหรือความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ที่เกิดขึ้นในจิตได้อย่างชัดเจน เหตุเพราะ ไม่มีสมาธิเหลืออยู่
จึงไม่มีอะไรมากดข่มกิเลสที่มีอยู่ มีแต่สติที่เหลืออยู่ตามความเป็นจริง
๕. สำรวจทบทวนดูพระอมตะนิพพาน
สำรวจทบทวนดูพระอมตะนิพพานว่า “ธรรมนี้ ข้าพเจ้าแทงทะลุโดยอารมณ์แล้ว”
สภาวะพระนิพพานนี้ จะหลอกตัวเองไม่ได้เลย เพราะผู้ที่รู้แล้ว จะรู้เหมือนๆกัน รู้โดยสภาวะ ไม่ใช่รู้โดยบัญญัติ หรือคำเรียกต่างๆ ถ้าบอกว่า “รู้” แต่ยังต้องนำสภาวะนิพพานเปรียบเทียบกับสิ่งโน้นสิ่งนี้ นั่นคือ รู้ตามสัญญา
รู้พระนิพพาน รู้แล้วต้องดับ ดับที่ต้นเหตุอันเป็นแดนเกิดของการเวียนว่ายในวัฏสงสาร ไม่ใช่บอกว่า “รู้” แต่ยังมีการสร้างเหตุที่เป็นเหตุของการเวียนว่ายในวัฏสงสาร นั่นคือ ยังรู้ไม่จริง
รู้จริงต้องแจ้งในสภาวะของพระนิพพานตามความเป็นจริง ส่วนเรื่องอภินิหารต่างๆนั้น การเห็นโน่น เห็นนี่ รู้โน่นรู้นี่ เป็นเรื่องของสมาธิ เมื่อรู้แล้ว จะรู้ว่าเป็นผลพลอยได้จากสมาธิ เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องวิเศษอะไร
ผิดกับสภาวะการละสักกายทิฏฐิและวิจิกิจฉา ผู้ที่รู้ปริยัติ จะโดนกิเลสหลอกได้แบบเนียนสนิท เกิดเนื่องจากวิปัสสนูกิเลสที่เกิดขึ้น เกิดจากความศัรทธาที่มีอยู่
เป็นเหตุให้หลงยึดสภาวะสัญญาที่เกิดขึ้น ปัญญาการเห็นตามความเป็นจริง หรือสภาวะการรู้แจ้งแทงตลอด จึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้เพราะเหตุนี้ รู้มากจึงยากนานเพราะเหตุนี้ เพราะยึดติดในรู้ที่มีอยู่
ในแนวทางการปฏิบัติ ตลอดเส้นทางเดินนี้ กับดักของกิเลสเกิดตลอดทาง เมื่อใดที่เกิดการยึดติดในสภาวะที่เกิดขึ้น จงรู้ไว้เถิดว่า นั่นคือ ตกหลุมกับดักกิเลสเข้าแล้ว ของจงมีสติ สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ในทุกๆสภาวะที่เกิดขึ้น รู้ได้ แต่อย่ายึด
ที่สำคัญที่สุด คือ เหตุนอกตัว ยิ่งสร้างเหตุนอกตัวมากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นตัวอุปสรรคในการเห็นแจ้งตามความเป็นจริงของสภาวะ ถึงแม้คิดว่า เป็นการกระทำด้วยความปรารถนาดีก็ตาม อย่าลืมว่า ตราบใดที่ยังไม่รู้แจ้งตามความเป็นจริง
ความปรารถนาดีเหล่านั้น ล้วนเกิดจากกิเลสในใจ เกิดจากอุปทานที่มีอยู่ ความปรารถนาดีต่างๆนั้น ล้วนเกิดจากความรู้สึกนึกคิด เกิดจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนที่มีอยู่ หนทางเนิ่นช้า ยืดยาวเพราะเหตุนี้ จงวางความปราถนาดีต่อผู้อื่น
หันกลับมาสร้างความปรารถนาดีให้กับตัวเองก่อน ไม่งั้น จะพากันจมน้ำตายทั้ง ๒ ฝ่าย ทั้งผู้ให้และผู้รับ แต่ทั้งนี้เหตุมี ผลย่อมมี ห้ามใครไม่ได้เลย เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต ล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยที่มีอยู่ และที่กำลังสร้างหรือทำขึ้นมาใหม่
……………………………………………………………………………………..
“ปัจจเวกขณะ คือ การสำรวจทบทวนของของอริยบุคคล มี ๕ ข้อ
ปัจจเวกขณญาณของพระโสดาบันเป็นอย่างใด แม้ปัจจเวกขณะของพระสกทาคามีและพระอนาคามี ก็เป็นอย่างนั้น แต่ของพระอรหันต์ ไม่มีการสำรวจทบทวนดูกิเลสที่เหลืออยู่ (เพราะ ท่านละกิเลสได้หมดแล้ว ไม่มีเหลือ)
เพราะฉะนั้น ที่เรียกว่า ปัจจเวกขณะ คือ การสำรวจทบทวนดู (ของพระอริยเจ้าทุกชั้น) และนี้เป็นการกำหนดอย่างสูง แม้พระเสขบุคคลทั้งหลายเอง
ท่านก็มีการสำรวจทบทวนดูกิเลสที่ท่านละได้แล้ว และกิเลสที่เหลืออยู่บ้าง ไม่มีการสำรวจทบทวนดูบ้าง
เช่น เจ้าศากยะ มหานาม (ซึ่งเป็นพระสกทาคามี อริยบุคคล) ได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
“ยังมีธรรมชื่ออะไรอีกหรือ ที่หม่อมฉันมิได้ละแล้วภายในตน ซึ่งเป็นเหตุให้สิ่งที่เรียกว่า โลภะทั้งหลาย ครอบงำจิต ของหม่อมฉันในกาลบางคราว?” ดังนี้
ม. มู. ๑๒/๑๗๙
ก็เพราะ เจ้าศากยะมหานามนั้น ไม่มีปัจจเวกขณะ คือ การสำรวจทบทวนดูนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ พึงทราบโดยพิศดารต่อไป”
จาก วิปัสสนานิยม นายธนิต อยู่โพธิ์ ป.ธ. ๙ ผู้เรียบเรียง
หมายเหตุ เรื่องเจ้าศายวงศ์ ทุกสิ่งล้วนมีเหตุปัจจัย เพราะเจ้าศายวงศ์ไม่รู้ปริยัติ แต่เชื่อในสิ่งที่พระผู้มีพระภาคสอน และทำตามทุกอย่าง เมื่อผ่านสภาวะนั้นๆมา จึงเล่าสภาวะให้พระผู้มีพระภาคฟัง และสอบถามถึงสภาวะกิเลสที่รู้ชัด ที่ยังมีอยู่
เพราะผู้ที่รู้แจ้งแทงตลอดในสภาวะนั้นๆแล้ว จะทบทวนกิเลสที่เหลืออยู่ทุกๆคน แม้กระทั่งไม่รู้ปริยัติก็ตาม เหตุจากสภาวะปัจจะเวกที่เกิดขึ้น คือมี แต่ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร จึงกล่าวว่าไม่มี
เมื่อสภาวะปัจจเวกขณะเกิดขึ้น เป็นเหตุให้ รู้ชัดในสภาวะกิเลสต่างๆที่เกิดขึ้นในจิต ตามความเป็นจริง ถ้าไม่ผ่าน จะไม่มีทางรู้ชัดในสภาวะกิเลสต่างๆทั้งหมดได้ เหตุเพราะ กำลังของสมาธิที่มีอยู่ กดข่มกิเลสเอาไว้ส่วนหนึ่ง และประกอบด้วยสติ ทีมีอยู่ รู้เท่าทันกิเลสที่เกิดขึ้นอีกส่วนหนึ่ง เป็นเหตุให้ ไม่สามารถรู้ชัดในสภาวะกิเลสที่มีอยู่ตามความเป็นจริง