เมื่อก่อนไม่รู้หรอกนะว่า ทำไมระหว่างวัน เวลาทำอะไรก็ตาม จะต้องมีจิตวิตก วิจารณ์ตลอด
กินก็คิด เดินก็คิด เข้าห้องน้ำก็คิด ทำงานบ้านก็คิด ซื้อของก็คิด แม้กระทั่งเวลานอนก็คิด ขนาดฝัน ก็ยังรู้ว่าฝัน ก็รู้ว่าคิด
พอรู้สึกตัวว่ากำลังฝัน จะมีสติบอกว่า กลับมาๆ นี่กำลังฝัน
จะกลับมารู้สึกตัวที่กายทันที
คือ ไม่ว่าจะทำกิจกรรมใด หรืออยู่ในอิริยาบทใด มักมีวิตกวิจารณ์(ครุ่นคิดของสิ่งที่กำลังทำอยู่)เกิดขึ้นเนืองๆ
เมื่อมีวิตกวิจารณ์เกิดขึ้น การทำกิจนั้นๆ ย่อมช้าลง การตัดสินใจที่จะกระทำสิ่งใด ย่อมช้าลง แม้กระทั่งเวลากิน
เมื่อก่อน เป็นคนกินข้าวหรือกินอะไรก็ตาม กินไวมาก
ตอนนี้เห็นความแตกต่าง ตอนที่ออกไปกินข้าวนอกบ้านกับน้องๆ จะเห็นว่า เป็นคนกินช้าลง ตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็ไม่รู้
ไม่ใช่กินนับคำ บด ขยี้อาหาร รู้ว่ามี แต่ไม่ต้องกำหนดนับอะไรทั้งสิ้น เหมือนกินเรื่อยๆ ภายในเหมือนจะเร็ว แต่ภายนอก กลับดูช้า
การทำงานต่างๆ มีความละเอียด มีรายละเอียดของเนื้องานที่ทำมากขึ้น
จะค่อยๆรู้ชัดในรายละเอียดเหล่านั้น ค่อยๆรู้ ไม่ใช่รู้ทันที
การทำความเพียร
ขณะทำความเพียร ก็เช่นกัน บางครั้ง นั่งลง จิตเข้าสู่ความสงบ มีสมาธิเกิดขึ้นทันที บางครั้ง จิตจะคิดๆๆๆ สารพัดคิด แค่รู้ว่าคิด ปล่อยให้คิดไป
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ตอนนั้นยังไม่รู้ว่า ความคิดที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องปกติของกิเลสที่มีอยู่
หากมีติดใจสิ่งใดอยู่ สติจะเป็นตัวจะขุดคุ้ยขึ้นมาคิด เมื่อไม่รู้ จึงทำให้เกิดความทุกข์ ทุกข์เพราะคิด อยากให้ความคิดที่เกิดขึ้นหายไป จะได้ทำสมาธิ
นี่หวังผล ทุกข์เพราะคิด จึงมีเกิดขึ้นเพราะเหตุนี้ เหตุจากความไม่รู้
พอรู้แล้ว ไม่ทุกข์ ไม่ต้องกำหนด คิดหนอ รู้หนอ เมื่อก่อนไม่รู้ กำหนดใหญ่เลย พอความคิดดับหายไป โอ๊ยดีใจ วิธีนี้ได้ผล
ที่ไหนได้ เดี๋ยวมีเกิดขึ้นอีกแล้ว เกิดอีก กำหนดอีก ใครเหนื่อยล่ะ ตัวเองแหละเหนื่อย เหนื่อยใจกับการที่ต้องกำหนดซ้ำซาก เพื่อให้ความคิดที่เกิดขึ้น หายไป
พอรู้แล้ว เลิกกำหนด ไม่สนใจ มันก็แค่ความคิด ที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องปกติของเหตุปัจจัยที่ยังมีอยู่
เมื่อไม่ใส่ใจ แล้วความคิดเหล่านั้น จะหายไปเอง ไม่ต้องไปทำอะไร จิตเป็นสมาธิเอง
เวทนา
เวทนา ที่มีเกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิ โดยเฉพาะความทุกข์กาย ความเจ็บปวด ความปวดเมื่อย อาการปวดขา ที่เกิดขึ้น
แรกๆที่ยังไม่รู้ ทุกข์มาก ยิ่งกำหนด ยิ่งปวด ปวดแทบจะขาดใจตาย น้ำตาเล็ด น้ำตาร่วง การปฏิบัติ ทำไมช่างยากลำบาก อย่างนี้หนอ
คิดๆๆ เจอทุกข์บ่อยๆ เลิกทำ ทำไปทำไม ยิ่งทำยิ่งปวด ไหนใครว่า ทำแล้วสบาย ทรมาณเป็นบ้า
พอเจอทุกข์(ในชีวิต) วิ่งหางจุดตูด ต้องเจอทุกข์ จนทนไม่ไหว นั่นแหละจึงหันกลับมา เริ่มต้นใหม่ ตายเป็นตาย ทุกข์ทางกายแค่นี้ ไม่ตายหรอก ทุกข์ทางโลก หนักยิ่งกว่า
พอลืมทุกข์(ทางโลก) เริ่มทำจ้ำจิ้ม กลับมาใช้ชีวิตปกติ ทุกข์มาก ทุกข์น้อย เริ่มเคยชิน
เพราะยังไม่เจอทุกข์ถึงที่สุด กรรมฐานจ้ำจิ้ม ย่อมมี เป็นเรื่องธรรมดาๆ ของสัตตานัง(ผู้ที่ยังมีเหตุให้ต้องเกิด) ที่ถูกอวิชชา ห่อหุ้มอยู่
ผลของทำความเพียรต่อเนื่อง ถึงจุดๆหนึ่ง สติ สัมปชัญญะ สมาธิ เกิดความสมดุลย์ การทำงานของจิต ขณะเป็นสมาธิอยู่
กระบวนการความรู้ชัด ย่อมเห็นได้ชัดเจนขึ้น รู้ชัดในแต่ละขณะของสิ่งที่เกิดขึ้น มากขึ้น
ทำให้เห็นการทำงาน กายส่วนกาย(สิ่งที่เกิดขึ้นกับกาย)
จิตส่วนจิต(กระบวนการรับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น) แยกออกจากกัน
กายส่วนกาย จิตส่วนจิต
จิตเป็นเพียงกระบวนการของการรับรู้ถึงสิ่งที่มีเกิดขึ้น การรู้ชัดในสิ่งที่เกิดขึ้น ในแต่ละขณะ เป็นกระบวนการของความรู้สึกตัวหรือสัมปชัญญะ
สติเหมือนเชือก ที่ผูกจิตไว้ ให้รู้อยู่กับกระบวนการที่กำลังเกิดขึ้นทั้งหมด ไม่มีซัดส่าย ไปหาอดีต ไปหาอนาคต ที่ยังไม่เกิด
มาถึงตรงนี้แล้ว การทำความเพียร เริ่มสบายขึ้น สามารถปรับเปลี่ยนอิริยาบทได้ตามใจชอบ ไม่ต้องสนใจอาการต่างๆที่เกิดขึ้น
เมื่อยก็เปลี่ยน ปวดก็เปลี่ยน ไม่ต้องนั่งทนทุกข์ทรมาณ ไม่ต้องนั่งทรมาณสังขาร โดยการถือเนสัชชิก(ไม่นอน หลังไม่แตะพื้น)
เรื่องอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหารย์ต่างๆ ยังมีอยู่ แต่ไม่เอามาเป็นอารมณ์ และไม่นำไปสร้างเหตุนอกตัว(คุยโม้ โอ้อวด)
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นต่างๆนี้ เป็นเรื่องปกติ เรื่องธรรด๊า ธรรมดา ที่มีเกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิ ไม่ใช่เรื่องคุณวิเศษอันใด
หากไม่รู้ ย่อมนำไปสร้างเหตุแห่งทุกข์ ให้เกิดขึ้นใหม่(คุยโม้ โอ้อวด เป็นที่มาของอามิสบูชา จากผู้ที่มีเหตุปัจจัยร่วม) จมแช่กับสังสารวัฏต่อไป
เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นการรู้นอกตัว ไม่สามารถนำมากระทำ เพื่อดับเหตุแห่งทุกข์ได้
หากรู้แล้ว มีบ้างที่ยังนึกถึง แต่ไม่ติดใจ ไม่มีทั้งอยากให้เกิดขึ้นและไม่อยากให้มีเกิดขึ้นอีก
อยู่ที่บ้าน ทำยังไงก็ได้ อยากนอนก็นอน อยากนั่งก็นั่ง อยากทำอะไรก็ทำ ไม่เคร่งเครียดแบบก่อนๆ
พยายามละเหตุนอกตัว ไม่คลุกคลีตีโมงกับใครๆ ไม่มีสังคม ทำตัวเหมือนเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง
การทำความเพียร จึงกลายเป็นเรื่องปกติ ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น หากมีสติรู้เท่าทัน ไม่สร้างเหตุออกไป ตามแรงผลักดันของกิเลส ก็เป็นการทำความเพียร ในรูปแบบหนึ่ง ที่ให้ผลไว เช่นกัน
การทำความเพียร ในรูปแบบ ยืน เดิน นั่ง นอน
ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานะไหน หากรู้แล้ว ทุกข์น้อยลง ไม่ยึดติดรูปแบบ
ไม่กระทำเพื่อเพิ่มตัณหา ทะยานอยาก ในความมี ความเป็น แม้กระทั่งสิ่งที่ถูกเรียกว่า เพื่อบรรลุธรรม เป็นเรื่องของกิเลส เรื่องของเหตุปัจจัย
ทั้งหมดนี้ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่มีอยู่(สิ่งที่เคยทำไว้และอวิชชา) ของแต่ละคน และที่กำลังกระทำให้เกิดขึ้นใหม่ ในแต่ละขณะๆๆๆ ของแต่ละคน
การดำเนินชีวิต และการทำความเพียร ของแต่ละคน จึงมีความแตกต่างกันไป เพราะเหตุนี้
ใช้ตัณหา เพื่อละตัณหา(ใช้ความอยากในสิ่งที่เรียกว่า บรรลุธรรม กระตุ้นให้เกิดการปฏิบัติ ใช้ความอยาก ในความอยากเป็น สิ่งที่เรียกว่า โสดา สกิทาคา อนาคามี อรหันต์) เป็นเรื่องของ อวิชชา หรือความไม่รู้ที่มีอยู่
เมื่อรู้ชัดในทุกข์ สุข ทั้งที่รู้ด้วยตนเอง และรู้จากคำบอกเล่า ว่าสิ่งที่มีเกิดขึ้นในชีวิตว่า เพราะอะไรเป็นเหตุปัจจัย ทำให้มีเกิดขึ้น
ความหลง การจมแช่(ความติดใจ) อยู่กับทุกข์ สุข ความลุ่มหลง ในความอยากมี อยากเป็น ที่เกิดขึ้น ย่อมเบาบางลงไปตามเหตุปัจจัย
แต่ก็ยังมีหลงสร้างเหตุแห่งทุกข์ ให้เกิดขึ้นใหม่
จนกว่ารู้ชัดว่า ทุกข์ที่แท้จริงแล้ว เป็นเรื่องของ การเกิด ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร ฐานะใด มีเงินมากมายมหาศาลแค่ไหน ล้วนเป็นทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น
การสำรวม สังวร ระวัง ในการสร้างเหตุทางกาย วาจา ย่อมระวังมากขึ้น ที่ระวัง เพราะ ไม่อยากทุกข์(ไม่อยากเกิด)
ความเพียร เพียรไม่พัก เพียรทุกขณะ เพียรแบบธรรมดา
ไม่เพียรแบบผิดปกติ หามรุ่งหามค่ำ ไม่หลับไม่นอน(ผู้ทำแบบนี้ ไม่ได้ผิดปกติอะไร เป็นเรื่องของความไม่รู้ที่มีอยู่)
เพียรไม่พัก คือ มีสติ เวลาจะทำอะไร จิตจะคิดพิจรณาก่อนลงมือทำ การตัดสินใจทำสิ่งใด ช้าลง
การเพียรตามรูปแบบ ปรับเปลี่ยนตามเหตุปัจจัยของตน ไม่เคร่งครัด ไม่มีกฏตายตัว
นั่งๆอยู่ นึกอยากจะนอน ก็นอน ไม่สนใจว่า คืออะไร เป็นอย่างไร ถือว่า เพียรเหมือนกัน
เวลานอน สมาธิที่เกิดขึ้น มีกำลังมาก โอภาสย่อมมีเกิดขึ้น เป็นเรื่องธรรมดา
แสงสว่างที่เกิดขึ้นมากน้อย แค่ไหน เป็นเรื่องของกำลังสมาธิ ที่มีเกิดขึ้น ขณะนั้นๆ ไม่ใช่คุณวิเศษอันใด
หากรู้ชัดเกี่ยวกับสภาวะขณะจิตเป็นสมาธิ อุปทาน การให้ค่าต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิ หรือความติดใจ อยากให้มีเกิดขึ้นอีก ย่อมไม่มี เพราะรู้แล้วว่า เป็นเรื่องปกติของสภาวะที่มีเกิดขึ้น
หากรู้ชัดในเรื่องของเหตุแะลปัจจัย จะไม่เสียเวลาไปกับการเที่ยวชักชวน โน้มน้าวใครๆ ว่าจะต้องทำแบบนั้น แบบนี้ หากมีเหตุปัจจัยต่อกัน อยู่สุดหล้าอีกฟากฟ้า ก็มาหากันเอง ที่ชวนกันแทบตาย แล้วไม่มา เพราะไม่ได้สร้างเหตุ ให้มาเชื่อกัน