หลายครั้ง ที่ขีดเขียนเกี่ยวกับภาคปริยัติ
สิ่งที่วลัยพร ยังมีอยู่คือ การเปรียบเทียบ เปรียบเปรย เกี่ยวกับ ความไม่รู้ชัดในอาการที่เกิดขึ้น ของผู้อื่น
หมายถึงทั่วๆไป ไม่ได้เจาะจงถึงผู้ใด เป็นกรณีพิเศษ
แต่ก็ยังมีอยู่ บางครั้ง ที่มีภาพผุดขึ้นมา(บุคคลที่มีเหตุต่อกัน)
ที่เป็นแบบนี้ รู้ดีว่า ยังมีความไม่ชอบใจกับการทำสัทธรรมปฏิรูปของในแต่ละยุค ในแต่ละสมัย ที่กระทำการเผยแผ่ คำเรียกนั้นๆ จนแทบจะนำพระธรรมคำสอน มากระทำเพื่อดับเหตุแห่งทุกข์ กลายเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ในการหาคำแปลมากขึ้น
เหตุเพราะ คำที่นำมาพูดๆกันนั้น ไม่มีปรากฏในพระไตรปิฎก ไม่ว่าจะจากคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า และคำสอนของพระอัครสาวก
ก้รู้นะว่า เป็นเรื่องของเหตุปัจจัย จะกล่าวโทษกันไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องคิดแทนกัน แต่ก็ยังอดเขียนกระทบกระเทียบ(แขวะ) ยังไม่ได้
เพียงแต่ แค่เขียนทางตัวหนังสือ
ส่วนในชีวิตจริง ไม่เคยนำไปสร้างเหตุนอกตัวกับใครๆแบบตัวต่อตัว
ใครจะสอน ใครจะพูดอย่างไร
ฟังแล้ว ไม่ชอบใจ จะหลีกเลี่ยงออกไป
เช่น หากไปปฏิบัติที่วัด ช่วงมีการเทศน์
หากได้ยินผู้มาเทศน์ เทศน์ไม่ตรงกับสภาวะ
จะใช้วิธี ทำสมาธิซะ เมื่อจิตเป็นสมาธิ เสียงจะสักแต่ว่าเสียง บางครั้งเสียงที่ได้ยินดับหายไป รู้สึกตัวบ้าง ไม่รู้สึกตัวบ้าง จนหมดเวลาไปเอง
หากจิตไม่แนบแน่นพอ ได้ยินเสียงชัด ความไม่ชอบใจเกิดแรง
จะใช้วิธีลุกออกจากตรงนั้น ไปหาที่เดินจงกรม เพื่อละจากเหตุที่มีอยู่
ประมาณนี้แหละ การเขียนของวลัยพร ที่ยังมีอยู่
แกะรอยคำเรียก
ผู้ปฏิบัติ ที่จอสภาวะ ที่ตนอาจสงสัยว่า คืออะไร เรียกว่าอะไร และควรทำอย่างไรต่อไป
เมื่อนำไปสอบถามกับผู้ที่คิดว่า สามารถให้คำตอบกับตัวเองได้
มักเจอคำตอบแบบนี้เสมอๆ เช่น เป็นปัจจัจตัง หรือ ทำไปเดี๋ยวก็รู้เอง
เคยชิมเกลือไหม หรืออุมาอุปมัย เกี่ยวกับการทำอาหารบ้าง แกงบ้าง มะม่วงบ้าง
คือ สุดแต่จะหยิบยกมากัน แต่ไม่สามารถอธิบาย
หรือแนะนำ ตามคำสอน ที่พระพุทธเจ้า ทรงทิ้งเป็นแนวทางไว้ให้ได้
ไม่ก็ พอเจอผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนมา นำมาถาม
มักจะตอบว่า ปริยัติให้โยนทิ้งไปบ้าง ให้ตั้งใจทำความเพียรอย่างเดียวบ้าง รู้ต่างๆ ให้ทิ้งไปให้หมด
ไม่ก็ รู้มากจะยากนาน ไม่ก็ ไม่จำเป็นต้องใช้คำบาลีฯลฯ
แท้จริงแล้ว ตามสภาพตามความเป็นจริง ของผู้ให้คำตอบนั้น
คือ รู้แค่ไหน ย่อมใช้อุมาอุปมัย ไปตามนั้น
แต่ตัวผู้พูด ไม่ยอมรับสภาพตามความเป็นจริง ที่เป็นอยู่ของตนนั้นว่า
ตนรู้แค่ไหน ย่อมนำมาอธิบาย ได้แค่นั้น
เมื่อเกิดการไม่ยอมรับ ในสิ่งที่ตนเป็นอยู่
เหตุของตัณหา ความอยากสอน อยากแสดงว่าตนรู้ จึงมักชอบใช้สำนวนอุปมาอุปมัยแทน
ซึ่งคำแนะนำนั้นๆ ไม่สามารถ นำไปกระทำเพื่อ
ดับเหตุแห่งทุกข์ หรือ เหตุของความบังเกิดขึ้นแห่งภพได้
คำพูดยอดฮิต
คำที่มักได้ยินกันบ่อยๆ เช่น ปัจจุบัน ขณะ หรือ ปัจจุบันธรรม
หรือปัจจุบันอารมณ์ หรือรู้อยู่กับปัจจุบัน หรือ สภาวะ หรือ สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต
คำเหล่านี้ ล้วนเกิดการให้ค่า ให้ความหมาย สำทับลงไปในสิ่งที่เกิดขึ้น
ตามเหตุปัจจัยที่มีอยู่(อวิชชา) และที่ทำให้เกิดขึ้นใหม่ ของผู้นั้น(นำไปสร้างเหตุนอกตัว)
พอถูกถามย้อนกลับไปว่า คำเรียกเหล่านี้ คืออะไร ไม่เห็นมีในพระไตรปิฎก
ไม่ว่าจะเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือ จากอัครสาวก ก็ไม่มีปรากฏ
กลับได้รับคำตอบมาประมาณว่า ให้เรียนรู้ในกายและจิต ไม่ก็แค่ดู แค่รู้
เดี๋ยวรู้เอง คือ ตอบแบบขอไปที(รู้แค่ไหน อธิบายได้แค่นั้น)
ที่หากันไม่เจอ ไม่มีในพระไตรปิฎก ไม่ใช่อะไรหรอก
เพราะสำนวน หรือคำเหล่านี้ เป็นคำที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ตามเหตุปัจจัยของผู้นั้น
เหตุของอวิชชาที่มีอยู่ กิเลสบดบัง เป็นเหตุให้ ไม่รู้ชัดใน สิ่งที่เรียกว่า “ผัสสะ”
หุหุ อันนี้ ขณะที่เขียนอยู่ ในตอนนั้น เขียนด้วยอารมณ์ประมาณว่า มีภาพในอดีต ที่เคยถามผู้อื่น ภาพการสนทนากัน การเขียนจึงออกมาแบบนี้
ประมาณว่า ถ้ารู้แค่ไหน ควรจะบอกว่า รู้แบบนี้ ไม่รู้แบบอื่น ไม่ใช่พูดเพราะ กลัวขายขี้หน้าผู้มากับตน
เรื่องนี้ เกิดขึ้นนานมาหลายปีแล้ว
ตอนนั้น วลัยพรติดสภาวะบางอย่างอยู่ แล้วไปถามคนที่ถูกเรียกว่า อจ.(คำนี้ศักดิ์สิทธิ์ เพราะคนที่ถูกเรียกว่า อจ. มักจะรู้อะไรๆ ที่มากกว่า คนที่ไม่ถูกเรียกว่า อจ. ตอนนั้นคิดแบบนั้น เจอกันตอนวลัยพร ไปวัด)
ถามเขาว่า เมื่อเจอสภาวะนี้แล้ว ควรทำยังไงต่อ
หนอย ดันมาบอกว่า เคยกินต้มยำไหม ต้มยำใส่อะไรบ้าง มีรสชาติเป็นอย่างไร มันเป็นปัจจัตตังนะ อะไรประมาณนี้แหละ
ตอนนั้นจำได้ดี เราทำหน้ามึนใส่ อะไรวะ ถามเรื่องการปฏิบัติ มันบอกให้ไปกินต้มยำ แมร่งบ้าไปแล้ว(คิดแบบนั้นจริงๆนะ)
มีอีกนะ อันนี้กับพระที่เคยเคารพ ท่านจบเปรียญ ๙ ประโยค เคยไปขอรับหนังสือกับท่าน ถามท่านว่า พระอาจารย์ สังขาร ที่หมายถึงการปรุงแต่ง ทำไมจึงมีการนำมาอธิบายว่า สังขารขันธ์ คือ การปรุงแต่งทางคิด
ท่านตอบว่า ถามแบบนี้ วิจิกิจฉายังมีอยู่นะ ยังไม่ใช่โสดาบัน
เราก็คิด อ้าว ถามเรื่องหนึ่ง ไหงตอบอีกเรื่อง เราไปพูดตอนไหนว่า เป็นโสดาบัน พอฟังคำตอบท่าน เลิกคุยด้วยเลยนะ เดี๋ยวจะพาเราบ้าเรื่องโสดาบัน
นักอภิธัม
แวะไปที่สอนอภิธัม เจออจ.สอนอภิธัมมาอธิบาย เขาพูดประมาณว่า อยากรู้ต้องมาเรียนอภิธัม จะได้เห็นการเกิด ดับของจิต เป็นโสดาบันเลยนะ
เราบอกแค่ว่า ขอบคุณค่ะ ไม่คุยต่อ ก็มีคิดนะ นี่ก็บ้าโสดาอีก คิดเอาเรื่องโสดาบันมาหลอก เพื่อให้เรียนอภิธัม
เรื่องพวกนี้เกิดมานานหลายปีแล้ว ตอนนั้น วลัยพรตกหลุมพรางของสัญญา แต่ตอนนั้น ยังแยกแยะไม่ได้ว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้ เป็นเพียงสัญญา บางคนอาจจะเรียกว่า ความรู้ หรือ ปัญญา แล้วแต่เหตุปัจจัยนะ
เพราะสำหรับวลัยพร ปัญญามีเพียงหนึ่งเดียว คือ รู้นั้นๆ ต้องสามารถนำมากระทำเพื่อดับเหตุแห่งทุกข์ หรือการดับเหตุ ของการสร้างเหตุนอกตัวได้