ฉันทราคะกับกามฉันทะ
คนละตัวกัน คนละสภาวะกัน
ความมีเกิดขึ้นก็แตกต่างกัน
เดิมเขียนไว้แบบนี้ คือเขียนมาเรื่อยๆเรื่องขันธ์ ๕ อุปาทานขันธ์ ๕
ตั้งแต่ปีที่แล้ว เขียนมาเรื่อยๆ
“กามฉันทนิวรณ์ ความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕
มีเกิดขึ้นขณะดำเนินชีวิต ขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ และสภาวะจิตดวงสุดท้ายปรากฏ”
เขียนผิด เพราะเข้าใจผิดว่ากามฉันทะ
เป็นการความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ มีเกิดขึ้นผัสสะ
พอมาได้พระสูตรใหม่มาเพิ่ม
ทำให้รู้ว่า ฉันทราคะกับกามฉันทะ
สภาวะที่มีเกิดขึ้น เป็นคนละตัวกัน
ฉันทราคะ มีเกิดขึ้นก่อน
ฉันทราคะ ความยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕
จากอุปาทานขันธ์ ๕ มาเป็นอุปาทาน ๔
กามฉันทะ เกิดที่หลัง
ความพอใจรักใคร่ในอารมณ์ที่ชอบใจมีรูปเป็นต้น,
ความพอใจในกามคุณทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
ปฏิฆะ ความไม่พอในในกามคุณ ๕
ผัสสะมากระทบ เวทนาจึงมี
ผัสสะมากระทบ ทำให้เกิดความชอบใจ ไม่ชอบใจ เฉยๆ
๒. นีวรณปหานวรรค
หมวดว่าด้วยธรรมเป็นเหตุละนิวรณ์
[๑๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะเป็นเหตุให้กามฉันทะที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น หรือกามฉันทะที่เกิดขึ้นแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ เหมือนศุภนิมิต
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลใส่ใจศุภนิมิตโดยไม่แยบคาย
กามฉันทะที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น
และกามฉันทะที่เกิดขึ้นแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ ฯ
[๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะเป็นเหตุให้พยาบาทที่ยังไม่เกิดขึ้น ให้เกิดขึ้น หรือพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ เหมือนปฏิฆนิมิต
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลใส่ใจปฏิฆนิมิตโดยไม่แยบคาย
พยาบาทที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้น
และพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ ฯ
[๑๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะเป็นเหตุให้ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น หรือถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ เหมือนความไม่ยินดี
ความเกียจคร้าน ความบิดขี้เกียจ ความเมาอาหาร และความที่จิตหดหู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลมีจิตหดหู่
ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น
และถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ ฯ
[๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะเป็นเหตุให้อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น หรืออุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ เหมือนความไม่สงบแห่งใจ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลมีจิตไม่สงบแล้ว
อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น
และอุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ ฯ
[๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะเป็นเหตุให้วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น หรือวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ เหมือนการใส่ใจโดยไม่แยบคาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลใส่ใจโดยไม่แยบคาย
วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น
และวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ ฯ
[๑๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะเป็นเหตุให้กามฉันทะที่ยังไม่เกิด ไม่เกิดขึ้น
หรือกามฉันทะที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคลย่อมละได้ เหมือนอศุภนิมิต
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลใส่ใจอศุภนิมิตโดยแยบคาย
กามฉันทะที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้น
และกามฉันทะที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคลย่อมละได้ ฯ
[๑๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะเป็นเหตุให้พยาบาทที่ยังไม่เกิด ไม่เกิดขึ้น หรือพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้ว
อันบุคคลย่อมละได้ เหมือนเมตตาเจโตวิมุติ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลใส่ใจเมตตาเจโตวิมุติโดยแยบคาย
พยาบาทที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้น
และพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคลย่อมละได้ ฯ
[๑๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะเป็นเหตุให้ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด ไม่เกิดขึ้น
หรือถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคลย่อมละได้
เหมือนความริเริ่ม ความพากเพียร ความบากบั่น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลปรารภความเพียรแล้ว
ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้น
และถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคลย่อมละได้ ฯ
[๒๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะเป็นเหตุให้อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด ไม่เกิดขึ้น
หรืออุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคลย่อมละได้ เหมือนความสงบแห่งใจ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลมีจิตสงบแล้ว
อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้น
และอุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคลย่อมละได้ ฯ
[๒๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะเป็นเหตุให้วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด ไม่เกิดขึ้น
หรือวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้วอันบุคคลย่อมละได้ เหมือนการใส่ใจโดยแยบคาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลใส่ใจโดยแยบคาย
วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้น
และวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว อันบุคคลย่อมละได้ ฯ
พูดตามความเป็นจริง เรื่องการปฏิบัติ เมื่อรู้แล้วไม่ยากเลย
แต่การเขียนอธิบายรายละเอียดในคำเรียกที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้
ที่ว่าทำได้ยากกว่า คือต้องเขียนออกมาเรื่อยๆ
แม้จะคิดว่าจบแล้วนะในคำเรียกนี้ๆ ที่ไหนล่ะ ยังไม่จบ
จนกว่าจะมีเหตุให้เจอพระสูตรมาขยายใจความ
ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมไว้
เราจึงบอกว่ามันยากนะ ปฏิบัติง่ายกว่า รู้แล้วรู้เลย จบแค่นั้น
ที่บอกว่ายาก เพราะเวลาจิตวิตกวิจารณ์
แบบจิตมันจะพิจรณาของมันเอง มาในรูปเสียงมาบอกเล่า
เราจะอยากฟังหรือไม่อยากฟัง เสียงเล่านั้นยังคงดำเนินต่อเนื่อง
จิตจะเป็นสมาธิเพียงอุปจารสมาธิ ไม่ยอมดิ่ง
ด้วยเหตุนี้ กลางดึกจะมีอุปจารสมาธิมีเกิดขึ้นสลับกับรูปฌาน
บางคืนไม่หลับไม่นอน อาการเหมือนคนฝัน
แต่เช้ามาไม่มีอาการเหมือนคนอดนอน
ด้วยเหตุนี้แรกๆจึงทำไมเรารำคาญ
ทีนี่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จึงฟังไปเรื่อยๆ
พอมีเกิดขึ้นบ่อยๆ ต่อมเริ่มเอ๊ะมีเกิดขึ้น
ก็นำคำที่ได้ยินไปเสริชในกูเกิ้ล คำเรียกในพระไตรปิฎก
ทำให้เจอพระสูตรมาขยายใจความของคำเรียกนั้นๆ
แบบแค่เพียงบางส่วน ไม่ใช่สภาวะเต็มๆ
เราจึงบอกว่าเหมือนจิ๊กซอ แค่เขียนออกมาเรื่อยๆ
สาเหตุนี่ทำไมสภาวะนี้จึงมีเกิดขึ้นบ่อยๆ
เกิดจากกำลังสมาธิที่มีอยู่นั้น มีแค่รูปฌาน น้อยครั้งที่มีเกิดขึ้นอรูปฌาน
แต่เราไม่สนใจเรื่องสมาธิมานานแล้ว
จะมีแค่ไหนก็แล้วแต่ไม่เอามาเป็นสาระ
ดังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า มีวิมุตติเป็นสาระ
คือการดับภพชาติของการเกิดเป็นหลัก
หากมีกำลังสมาธิในอรูปฌาน สิ่งเหล่านี้จะไม่มีเกิดขึ้น(เสียงเล่า)
หากมีกำลังสมาธิในอรูปฌาน สิ่งเหล่านี้จะไม่มีเกิดขึ้น(เสียงเล่า)
สรุป อุปาทานขันธ์ ๕ และอุปาทาน ๔ ต้องเขียนใหม่
ของเก่าที่เคยเขียนไว้ เรื่องกามุปาทาน ต้องแก้ใหม่ในส่วนที่เขียนไว้ผิด
หมวดอื่นๆไม่ต้องแก้ใหม่ ถูกตรงตัวสภาวะแล้ว
ความยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕
ฉันทราคะ
ผัสสะ
มีเกิดขึ้นขณะดำเนินชีวิต
มีเกิดขึ้นขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ
และมีเกิดขึ้นสภาวะจิตดวงสุดท้ายปรากฏ
กามุปาทาน
คำว่า กามุปาทาน
เกิดจากฉันทราคะในอุปาทานขันธ์ ๕(ความยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕) ได้แก่
กามตัณหา (สกาทาคามิผล ละได้)
ปัจจุบันเป็นพระอนาคามี(อนาคามิมรรค)
ภวตัณหา (อนาคามิผล ละได้)
ปัจจุบันเป็นพระอรหันต์(อรหัตมรรค)
สอุปาทิเสส สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ
วิภวตัณหา (อรหัตผล ละได้)
ปัจจุบันเป็นพระอรหันต์ที่ได้วิชชา ๓(อรหัตผล)
อนุปาทิเสส อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
เฉพาะกามุปาทาน แก้ไขใหม่ 26 กย. 65
ไปค้นหาในบล็อกเรื่องเกี่ยวกับคำว่า กาม
ที่เคยเขียนไว้ เจอเรื่องกามคุณ ๕
10 ต.ค. 2021
กามคุณ ๕
คือ รูปที่รู้แจ้งด้วยจักษุ
อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ น่ารัก
ประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดและความรัก
เสียงที่รู้แจ้งด้วยโสต …
กลิ่นที่รู้แจ้งด้วยฆานะ …
รสที่รู้แจ้งด้วยลิ้น …
โผฏฐัพพะที่รู้แจ้งด้วยกาย
อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ น่ารัก
ประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดและความรัก
๕. สุนักขัตตสูตร (๑๐๕)
[๗๐] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรสุนักขัตตะ กามคุณนี้มี ๕ อย่างแล
๕ อย่างเป็นไฉน คือ
(๑) รูปที่รู้ได้ด้วยจักษุ
อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นที่รัก
ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด
(๒) เสียงที่รู้ได้ด้วยโสต
อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นที่รัก
ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด
(๓) กลิ่นที่รู้ได้ด้วยฆานะ
อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นที่รัก
ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด
(๔) รสที่รู้ได้ด้วยชิวหา
อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นที่รัก
ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด
(๕) โผฏฐัพพะที่รู้ได้ด้วยกาย
อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นที่รัก
ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด
ดูกรสุนักขัตตะ นี้แลกามคุณ ๕ อย่าง ฯ
นึกถึงอุปาทานขันธ์ ๕ ในพระสูตร
๑๐. ปุณณมสูตร
ว่าด้วยอุปาทานขันธ์ ๕
มาเจอพระสูตรนี้
๘. มหาตัณหาสังขยสูตร
ว่าด้วยสาติภิกษุมีทิฏฐิลามก
นึกถึงพระสูตรนี้
เวทนา ๓
ปฏิปทาวรรคที่ ๒
นึกถึงตอนหัวใจวาย
นึกถึงป่วยเข้ารพ.ไทรอยด์เป็นพิษ
หัวใจเต้นๆหยุดๆ
กำหนดตามความเป็นจริง
แน่นหน้าอก แล้วหมดสติ
ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าคืออะไร
๗. จูฬตัณหาสังขยสูตร
ว่าด้วยข้อปฏิบัติธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา
ต่อมามีสิ่งที่ทำให้เกิดความประหลาดใจ
มีเกิดขึ้นขณะจิตเป็นสมาธิ เรื่องห้องสมุด หนังสือมีเสียงได้
ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร
ต่อมากำลังสมาธิที่มีอยู่เสื่อมหายไปหมดสิ้น อีกครั้ง
ความรู้สึกแปลกๆเกิดขึ้น
ต่อมาเจอพระสูตรนี้
๖. วิมุตติสูตร
หลังจากนั้นมีอาการหัวใจเต้นๆหยุดๆบ่อย
ไม่ยึดมั่นถือมั่น อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้เกิดตามความเป็นจริง
อาการแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก
กำหนดตามความเป็นจริง
ทุกครั้งที่มีอาการหัวใจเต้นๆหยุดๆ
มักจะมีพระสูตรผุดขึ้นมา
จิตพิจรณาเนืองๆ
เหมือนได้ทบทวนสภาวะต่างๆที่เคยผ่านมา
ก็เขียนมาเรื่อยๆ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่รู้ที่เห็น
ต่อมาเจอพระสูตรนี้
ทำให้เข้าใจมากขึ้นว่าสภาวะมาบอกอะไร
ซึ่งก็รู้อยู่แล้ว รู้สึกเฉยๆ
เพราะรู้ว่า หากหัวจใจหยุดอีก ไม่ต้องเกิดอีกแล้ว
เกิดจากไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕
๗. จูฬตัณหาสังขยสูตร
ว่าด้วยข้อปฏิบัติธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา
ฯลฯ
ตรงนี้สนใจแต่เรื่องการดับภพ
ยังไม่ได้เขียนเรื่องกามฉันทราคะ
และยังแยกเรื่องกามคุณ ๕ ออกมาจากกันยังไม่ได้
ตอนนั้นยังเข้าใจผิดว่ากามฉันทะกับฉันทราคะเป็นสภาวะเดียวกัน
สิ่งที่เขียนไว้ ตอนนั้นยังไม่เจอพระสูตรเต็มเรื่องกามคุณ ๕
วันนี้เจอละ
๓. มหาทุกขักขันธสูตร
ว่าด้วยกองทุกข์ใหญ่
เรื่องอัญญเดียรถีย์
กามคุณ ๕ เกิดจากฉันทราคะในอุปาทานขันธ์ ๕
ตอนนนั้นถึงเจอพระสูตร ก็ยังคงยังไม่เข้าใจหรอก
เพราะยังเข้าใจผิดอยู่ว่ากามฉันทะกับฉันทราคะเป็นสภาวะตัวเดียวกัน
ตอนนี้สามารถแยกแยะสภาวะกามฉันทะกับฉันทราคะออกจากกันได้
ทำให้รู้ชัดว่า กามคุณ ๕ คืออะไร
และอะไรที่ทำให้เกิดกามคุณ ๕ มีเกิดขึ้น
ทุกชีวิตเมื่อมีเกิดขึ้นตั้งแต่แรกเกิด ยังมีอวิชชาติดตัวมา
เมื่อมีสิ่งมากระทบ(ผัสสะ) ทำให้อุปาทานขันธ์ ๕ มีเกิดขึ้น
เมื่ออุปาทานขันธ์ ๕ มีเกิดขึ้น
ทำให้กามคุณ ๕ มีเกิดขึ้น
เขียนแล้ว ทำให้นึกถึงการสิกขา ๓
ศิล สมาธิ ปัญญา
ปัญญาในที่นี้ไม่ได้หมายถึงอริยสัจ ๔
แต่หมายถึงไตรลักษณ์ มีเกิดขึ้นขณะทำกรรมฐาน เวทนากล้าที่มีเกิดขึ้น
จึงมาเป็น
ศิล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ
คำว่าวิมุตติญาณทัสสนะ
ไม่ได้หมายถึงแจ้งอริยสัจ ๔ เพียงอย่างเดียว
แต่หมายถึงการแจ้งขันธ์ ๕และอุปาทานขันธ์ ๕ ที่มีเกิดขึ้นตามจริง
สรุปแล้ว เข้าใจมากขึ้น
ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า ปฏิจจสมุปบาท เป็นสิ่งที่รู้ได้ยาก
ตอนนั้นจำได้ว่า เราบอกว่ากับคนอื่นว่า หากแจ้งอริยสัจ ๔ ตามจริง
ปฏิจจสมุปบาท จึงไม่ใช่เรื่องยาก
เพราะมีเรื่องการได้มรรคผลเข้ามาเกี่ยวข้อง ต้องปฏิบัติให้ได้วิโมกข์ ๘
เวลาได้มรรคผลตามจริง จะตรงกับพระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระะรรมไว้เรื่องโสดาปัตติผลตามจริง
เป็นบันไดแรก ที่เหลือ 2 3 4
หากปฏิบัติต่อเนื่อง 2 3 4 จะมีเกิดขึ้นเอง ไม่ต้องอยาก
ส่วนมากติดเรื่องโอภาสกับไตรลักษณ์ และความอยากเป็นพระอรหันต์
ความอยากมีเกิดขึ้น แต่ไม่รู้ว่าอยากเป็น เพราะตัณหาครอบงำไว้
อวิชชาที่มีอยู่ บดบังไม่ให้เห็นความอยากที่มีเกิดขึ้น
ที่ยากจริงๆที่สุดคือเรื่องขันธ์ ๕และอุปาทานขันธ์ ๕
กว่าจะเจอพระสูตรต่างๆ ยากกว่านะ แบบต้องรอเวลา ใช่ว่าจะเจอทันที
คือต้องรู้สภาวะที่มีเกิดขึ้นก่อน จึงจะเข้าใจในพระสูตรต่างๆ
ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระะรรมคำเรียกนั้นๆไว้
นี่แหละที่เราบอกว่ายาก
–
แล้วไปเจอก็อปบทความในอภิธรรมเรื่องกามราคะสังโยชน์
24 ต.ค. 2011
นั่งอ่านแล้ว จึงลบทิ้ง
ที่ลบทิ้งจะทำให้การตีความผิดเรื่องกามฉันทะ และพยาบาท
แก้ไขใหม่ 26 กันยายน 65