สัพพโลเกอนภิรตสัญญา
ความไม่น่าเพลิดเพลินในโลกทั้งปวง
ละฉันทราคะในอุปาทานขันธ์
ดับตัณหา ๓
ผัสสะ
โลกามิส
ผัสสะ
ฉันทราคะในอุปาทานขันธ์ ๕
โลกสันนิวาส
กามคุณ ๕
อายตนสูตรที่ ๗
[๔๖๔] ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่
ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน เขตเมืองเวสาลี ฯ
ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงยังภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง
ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาเกี่ยวด้วยผัสสายตนะ ๖ ฯ
ก็ภิกษุเหล่านั้นทำในใจให้สำเร็จประโยชน์
น้อมนึกมาด้วยความเต็มใจ เงี่ยโสตลงสดับธรรมอยู่ ฯ
ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปได้
มีความคิดว่า พระสมณโคดมนี้แล ยังภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง
ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาเกี่ยวด้วยผัสสายตนะ ๖
และภิกษุเหล่านั้นทำในใจให้สำเร็จประโยชน์
น้อมนึกมาด้วยความเต็มใจ เงี่ยโสตลงสดับธรรมอยู่
ถ้ากระไร เราพึงเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมถึงที่ประทับ
เพื่อการกำบังตาเถิด ฯ
[๔๖๕] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปเข้าไปใกล้พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ครั้นแล้ว ได้ร้องเสียงดังพิลึกพึงกลัว
ประดุจแผ่นดินจะถล่ม ในที่ใกล้พระผู้มีพระภาค ฯ
ลำดับนั้น ภิกษุรูปหนึ่งจึงกล่าวกะภิกษุอีกรูปหนึ่งอย่างนี้ว่า ภิกษุ ภิกษุ
แผ่นดินนี้เห็นจะถล่มเสียละกระมัง ฯ
เมื่อภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสกะภิกษุนั้นว่า ดูกรภิกษุ แผ่นดินนี้ย่อมไม่ถล่ม
ดูกรภิกษุ นั่นมารผู้มีบาปมาแล้ว เพื่อกำบังตาพวกเธอ ฯ
[๔๖๖] ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงทราบว่า นี้เป็นมาร ผู้มีบาป
จึงตรัสกะมารผู้มีบาปด้วยพระคาถาว่า
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ทั้งสิ้น
นี้เป็นโลกามิสอัน แรงกล้า
โลกหมกมุ่นอยู่ในอารมณ์ เหล่านี้
ส่วนสาวกของพระพุทธเจ้า มีสติก้าวล่วง โลกามิสนั้น
และก้าวล่วงบ่วงมารแล้ว รุ่งเรื่องอยู่ดุจพระอาทิตย์ ฉะนั้น
ลำดับนั้น มารผู้มีบาป เป็นทุกข์
เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา
พระสุคตทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้หายไปในที่นั้นนั่นเอง ฯ
สัพพโลเกอนภิรตสัญญา
ความไม่น่าเพลิดเพลินในโลกทั้งปวง
สัญญาสูตรที่ ๒
ดูกรอานนท์ สัพพโลเกอนภิรตสัญญาเป็นไฉน
ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ละอุบาย และอุปาทานในโลก
อันเป็นเหตุตั้งมั่น ถือมั่น และเป็นอนุสัยแห่งจิต ย่อมงดเว้น ไม่ถือมั่น
ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าสัพพโลเกอนภิรตสัญญา ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัพพโลเกอนภิรตสัญญา อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
ย่อมมีผลมาก อานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด
เรากล่าวแล้ว เพราะอาศัยอะไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมีใจ อันอบรมแล้วด้วยสัพพโลเกอนภิรตสัญญาอยู่โดยมาก
จิตย่อมหวนกลับ งอกลับ ถอยกลับจากความวิจิตรแห่งโลก ไม่ยื่นไปรับความวิจิตรแห่งโลก
อุเบกขาหรือความเป็นของปฏิกูลย่อมตั้งอยู่
เปรียบเหมือนขนไก่หรือเส้นเอ็นที่เขาใส่ลงในไฟ
ย่อมหดงอเข้าหากัน ไม่คลี่ออก ฉะนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อภิกษุมีใจอันไม่อบรมแล้วด้วยสัพพโลเกอนภิรตสัญญาอยู่โดยมาก
จิตย่อมไหลไปในความวิจิตรแห่งโลก หรือความเป็นของไม่ปฏิกูลย่อมตั้งอยู่ไซร้
ภิกษุพึงทราบข้อนั้นดังนี้ว่า สัพพโลเกอนภิรตสัญญา อันเราไม่เจริญแล้ว
คุณวิเศษทั้งเบื้องต้นและเบื้องปลายของเราก็ไม่มี ผลแห่งภาวนาของเรายังไม่ถึงที่
เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นจึงต้องเป็นผู้รู้ทั่วถึงในสัพพโลเกอนภิรตสัญญานั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าหากว่าเมื่อภิกษุมีใจอันอบรมแล้วด้วยสัพพโลเกอนภิรตสัญญาอยู่โดยมาก
จิตย่อมหวนกลับ งอกลับ ถอยกลับจากความวิจิตรแห่งโลก ไม่ยื่นไปรับความวิจิตรแห่งโลก
อุเบกขาหรือความเป็นของปฏิกูลย่อมตั้งอยู่ไซร้
ภิกษุพึงทราบข้อนั้นดังนี้ว่า สัพพโลเกอนภิรตสัญญาอันเราเจริญแล้ว
คุณวิเศษทั้งเบื้องต้นและเบื้องปลายของเรามีอยู่ ผลแห่งภาวนาของเราถึงที่แล้ว
เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นจึงเป็นผู้รู้ทั่วถึงในสัพพโลเกอนภิรตสัญญานั้น
ข้อที่กล่าวดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัพพโลเกอนภิรตสัญญาอันภิกษุเจริญแล้ว
กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด
เรากล่าวแล้ว เพราะอาศัยข้อนี้ ฯ
อธิบาย
“ละอุบาย และอุปาทานในโลก”
คำว่า ละอุบาย
ได้แก่ การสดับธรรมจากพระอริยะ สัตบุรุษ สัปบุรุษ ปุริสบุคคล
“อุปาทานในโลก”
คำว่า อุปาทาน
ได้แก่ ฉันทราคะในอุปทานขันธ์ ๕
คำว่า โลก
ได้แก่ โลกสันนิวาส
คำว่า ความวิจิตรแห่งโลก
ได้แก่ กามคุณ ๕
อายตนสูตร
ว่าด้วยอริยสัจ ๔
[๑๖๘๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสัจ ๔ เหล่านี้ อริยสัจ ๔ เป็นไฉน?
คือ ทุกขอริยสัจ ทุกขสมุทยอริยสัจ ทุกขนิโรธอริยสัจ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ.
[๑๖๘๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขอริยสัจเป็นไฉน?
ควรจะกล่าวว่า อายตนะภายใน ๖ อายตนะภายใน ๖ เป็นไฉน?
คือ อายตนะคือตา ฯลฯ อายตนะคือใจ
นี้เรียกว่า ทุกขอริยสัจ.
[๑๖๘๖] ก็ทุกขสมุทยอริยสัจเป็นไฉน?
ตัณหาอันทำให้มีภพใหม่
ประกอบด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ
เพลิดเพลินยิ่งนักในอารมณ์นั้นๆ
ได้แก่กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
นี้เรียกว่า ทุกขสมุทยอริยสัจ.
[๑๖๘๗] ก็ทุกขนิโรธอริยสัจเป็นไฉน?
ความดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือแห่งตัณหานั้นแหละ
ความสละ ความวาง ความปล่อย ความไม่อาลัยตัณหานั้น
นี้เรียกว่า ทุกขนิโรธอริยสัจ.
[๑๖๘๘] ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจเป็นไฉน?
อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แหละ
คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ นี้เรียกว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ.
[๑๖๘๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสัจ ๔ เหล่านี้แล
เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียร
เพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.
สังคัยหสูตรที่ ๑
[๑๒๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผัสสายตนะ ๖ ประการนี้ ที่บุคคลไม่ฝึกฝน
ไม่คุ้มครอง ไม่รักษา ไม่สำรวมระวังแล้ว ย่อมนำทุกข์หนักมาให้
ผัสสายตนะ ๖ ประการเป็นไฉน
คือ จักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย ใจ ที่บุคคลไม่ฝึกฝน
ไม่คุ้มครอง ไม่รักษา ไม่สำรวมระวังแล้ว ย่อมนำทุกข์หนักมาให้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผัสสายตนะ ๖ ประการนี้แล ที่บุคคลไม่ฝึกฝน
ไม่คุ้มครอง ไม่รักษา ไม่สำรวมระวังแล้ว ย่อมนำทุกข์หนักมาให้ ฯ
[๑๒๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผัสสายตนะ ๖ ประการนี้ ที่บุคคลฝึกฝนดี
คุ้มครองดี รักษาดี สำรวมระวังดีแล้ว ย่อมนำสุขมากมาให้
ผัสสายตนะ ๖ เป็นไฉน
คือ จักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย ใจ ที่บุคคลฝึกฝนดี
คุ้มครองดี รักษาดี สำรวมระวังดีแล้ว ย่อมนำสุขมากมาให้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผัสสายตนะ ๖ ประการนี้แล ที่บุคคลฝึกฝนดี
คุ้มครองดี รักษาดี สำรวมระวังดีแล้ว ย่อมนำสุขมากมาให้
พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว
จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า ฯ
[๑๓๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลไม่สำรวมผัสสายตนะ ๖ นั่นแหละ
เว้นการสำรวมในอายตนะใด ย่อมเข้าถึงทุกข์
บุคคลเหล่าใด ได้สำรวมระวังอายตนะเหล่านั้น
บุคคลเหล่านั้น มีศรัทธาเป็นเพื่อนสอง ย่อมเป็นผู้อันราคะไม่ชุ่มอยู่
บุคคลเห็นรูปที่ชอบใจและเห็นรูปที่ไม่ชอบใจแล้ว
พึงบรรเทาราคะในรูปที่ชอบใจ และไม่พึงเสียใจว่า รูปไม่น่ารักของเรา
ได้ยินเสียงที่น่ารักและเสียงที่ไม่น่ารัก พึงสงบใจในเสียงที่น่ารัก
และพึงบรรเทาโทสะในเสียงที่ไม่น่ารัก และไม่พึงเสียใจว่า เสียงไม่น่ารักของเรา
ได้ดมกลิ่นที่ชอบใจอันน่ายินดี และได้ดมกลิ่นที่ไม่สะอาด ไม่น่ารักใคร่
พึงบรรเทาความหงุดหงิดในกลิ่นที่ไม่น่าใคร่ และไม่พึงพอใจในกลิ่นที่น่าใคร่
ได้ลิ้มรสที่อร่อยเล็กน้อย และลิ้มรสที่ไม่อร่อยในบางคราว
ไม่พึงลิ้มรสที่อร่อยด้วยความติดใจ และไม่ควรยินร้ายในเมื่อลิ้มรสที่ไม่อร่อย
ถูกสัมผัสที่เป็นสุขกระทบเข้าแล้ว และถูกผัสสะที่เป็นทุกข์กระทบเข้าแล้ว
ไม่พึงหวั่นไหวในระหว่างๆ ควรวางเฉยผัสสะทั้งที่เป็นสุข ทั้งที่เป็นทุกข์ทั้งสอง ไม่ควรยินดี ไม่ควรยินร้าย
เพราะผัสสะอะไรๆ นรชนทั้งหลายที่ทรามปัญญา มีความสำคัญในกิเลสเป็นเหตุให้เนิ่นช้า
ยินดีอยู่ด้วยกิเลสเป็นเหตุให้เนิ่นช้า เป็นสัตว์ที่มีสัญญา ย่อมวกเวียนอยู่
ก็บุคคลบรรเทาใจ ที่ประกอบด้วยปัญจกามคุณทั้งปวงแล้ว
ย่อมรักษาใจให้ประกอบด้วยเนกขัมมะ
ใจที่บุคคลเจริญดีแล้วในอารมณ์ ๖ อย่างนี้ ในกาลใด ในกาลนั้น
จิตของบุคคลนั้น อันสุขสัมผัสกระทบเข้าแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหวในที่ไหนๆ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายปราบราคะและโทสะเสียแล้ว
ย่อมเป็นผู้ถึงนิพพานซึ่งเป็นฝั่งข้างโน้นแห่งชาติและมรณะ ฯ
อธิบาย
“บุคคลเหล่านั้น มีศรัทธาเป็นเพื่อนสอง”
สดับธรรมจากพระอริยะ สัตบุรุษ สัปบุรุษ
กล่าวคือ มีความศรัทธาในพระธรรมคำสอนและปฏิบัติตาม
ผัสสะ เวทนา
สิ่งที่มีเกิดขึ้นในชีวิต ทำให้เกิดความชอบใจ ไม่ชอบใจ
โยนิโสมนสิการ กระทำไว้ในใจโดยแยบคาย
ย่อมได้ความวางเฉยว่า
ถ้ากรรมในอดีตไม่ได้มีแล้วไซร้
อัตตภาพในปัจจุบันก็ไม่พึงมีแก่เรา
ถ้ากรรมในปัจจุบันย่อมไม่มีไซร้
อัตตภาพในอนาคตก็จักไม่มีแก่เรา
เบญจขันธ์ที่กำลังเป็นอยู่ ที่เป็นมาแล้วเราย่อมละได้
เธอย่อมไม่กำหนัดในเบญจขันธ์อันเป็นอดีต
ไม่ข้องอยู่ในเบญจขันธ์อันเป็นอนาคต
คำว่า ราคะ
ได้แก่ ความกำหนัดในผัสสายตนะ ๖
มหาวรรคที่ ๕
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็คำที่เรากล่าวว่า กำลังใจพึงรู้ได้ในอันตราย…
คนมีปัญญาทรามหารู้ไม่ ดังนี้
นี้เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยอะไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ กระทบความเสื่อมญาติ
กระทบความเสื่อมโภคทรัพย์
หรือกระทบความเสื่อมเพราะโรค
ย่อมไม่พิจารณาอย่างนี้ว่า โลกสันนิวาสนี้เป็นอย่างนั้นเอง
การได้อัตภาพเป็นอย่างนั้น
ในโลกสันนิวาสตามที่เป็นแล้ว
ในการได้อัตภาพตามที่เป็นแล้ว
โลกธรรม ๘ คือ
ลาภ ๑
ความเสื่อมลาภ ๑
ยศ ๑
ความเสื่อมยศ ๑
นินทา ๑
สรรเสริญ ๑
สุข ๑
ทุกข์ ๑
ย่อมหมุนเวียนไปตามโลก
และโลกย่อมหมุนไปตามโลกธรรม ๘ ดังนี้
บุคคลนั้นกระทบความเสื่อมญาติ
กระทบความเสื่อมโภคทรัพย์
หรือกระทบความเสื่อมเพราะโรค
ย่อมเศร้าโศก ลำบากใจ ร่ำไร ทุบอกคร่ำครวญ
ถึงความหลงใหล
ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ กระทบความเสื่อมญาติ
กระทบความเสื่อมโภคทรัพย์
หรือกระทบความเสื่อมเพราะโรค
ย่อมพิจารณาอย่างนี้ว่าโลกสันนิวาสนี้เป็นอย่างนั้นเอง
การได้อัตภาพเป็นอย่างนั้น
ในโลกสันนิวาสตามที่เป็นแล้ว
ในการได้อัตภาพตามที่เป็นแล้ว
โลกธรรม ๘ คือ
ลาภ ๑ ความเสื่อมลาภ ๑
ยศ ๑ ความเสื่อมยศ ๑
นินทา ๑ สรรเสริญ ๑
สุข ๑ ทุกข์ ๑
หมุนเวียน ไปตามโลก
และโลกย่อมหมุนเวียนตามโลกธรรม ๘ ดังนี้
บุคคลนั้นกระทบความเสื่อมญาติ
กระทบความเสื่อมโภคทรัพย์
หรือกระทบความเสื่อมเพราะโรค
ย่อมไม่เศร้าโศก ไม่ลำบากใจ ไม่ร่ำไร ไม่ทุบอกคร่ำครวญ
ไม่ถึงความหลงใหล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
คำที่เรากล่าวว่า กำลังใจพึงรู้ได้ในอันตราย…
คนมีปัญญาทรามหารู้ไม่ ดังนี้
นี้เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยข้อนี้ ฯ
๗๑. มหากรุณาญาณนิทเทส
แสดงญาณในมหากรุณาสมาบัติ
[๒๘๕] มหากรุณาสมาปัตติญาณของพระตถาคตเป็นไฉน ฯ
พระผู้มีพระภาคทั้งหลายผู้ตรัสรู้แล้ว ทรงพิจารณาเห็นอยู่ด้วยอาการ
เป็นอันมาก จึงทรงแผ่พระมหากรุณาไปในหมู่สัตว์ คือพระผู้มีพระภาคทั้งหลาย
ผู้ตรัสรู้แล้ว ทรงเห็นอยู่ว่า โลกสันนิวาสอันไฟติดโชนแล้ว จึงทรงแผ่พระมหากรุณาไปในหมู่สัตว์
พระผู้มีพระภาคผู้ตรัสรู้แล้ว ทรงเห็นอยู่ว่า โลกสันนิวาส
ยกพลแล้ว … โลกสันนิวาสเคลื่อนพลแล้ว … โลกสันนิวาสเดินทางผิดแล้ว …
โลกอันชรานำเข้าไป มิได้ยั่งยืน … โลกไม่มีที่ต้านทาน ไม่เป็นใหญ่ … โลกไม่มี
อะไรเป็นของตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป … โลกพร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม
เป็นทาสแห่งตัณหา … โลกสันนิวาสไม่มีที่ต้านทาน … โลกสันนิวาสไม่มีที่เร้น …
โลกสันนิวาสไม่มีที่พึ่ง … โลกสันนิวาสไม่เป็นที่พึ่งของใคร … โลกสันนิวาส
ฟุ้งซ่าน ไม่สงบ … โลกสันนิวาสมีลูกศร ถูกลูกศรเป็นจำนวนมากเสียบแทงแล้ว
ใครอื่นนอกจากเราผู้จะถอนลูกศรทั้งหลายของโลกสันนิวาสนั้น เป็นไม่มี … โลก-
*สันนิวาสมีความมืดตื้อคืออวิชชาปิดกั้นไว้ ถูกใส่เข้าไปยังกรงกิเลส ใครอื่นนอกจาก
เราซึ่งจะแสดงธรรมเป็นแสงสว่างแก่โลกสันนิวาสนั้น เป็นไม่มี … โลกสันนิวาส
ตกอยู่ในอำนาจอวิชชา เป็นผู้มืด อันอวิชชาหุ้มห่อไว้ ยุ่งดังเส้นด้าย พันกันเป็น
กลุ่มก้อน นุงนังดังหญ้าปล้อง หญ้ามุงกระต่าย ไม่ล่วงพ้นสงสาร คือ อบาย
ทุคติและวินิบาต … โลกสันนิวาสถูกอวิชชามีโทษเป็นพิษแทงติดอยู่แล้ว มีกิเลส
เป็นโทษ … โลกสันนิวาสรกชัฏด้วยราคะโทสะและโมหะ ใครอื่นนอกจากเรา
ผู้จะช่วยสางรกชัฏให้แก่โลกสันนิวาสนั้น เป็นไม่มี … โลกสันนิวาสถูกกองตัณหา
สวมไว้ … โลกสันนิวาสถูกข่ายตัณหาครอบไว้ … โลกสันนิวาสถูกกระแสตัณหา
พัดไป … โลกสันนิวาสถูกตัณหาเป็นเครื่องคล้องไว้ … โลกสันนิวาสซ่านไป
เพราะตัณหานุสัย … โลกสันนิวาสเดือดร้อนด้วยความเดือดร้อนเพราะตัณหา …
โลกสันนิวาสเร่าร้อนด้วยความเร่าร้อนเพราะตัณหา … โลกสันนิวาสถูกกองทิฐิ
สวมไว้ … โลกสันนิวาสถูกข่ายทิฐิครอบไว้ … โลกสันนิวาสถูกกระแสทิฐิพัดไป
… โลกสันนิวาสถูกทิฐิเป็นเครื่องคล้อง คล้องไว้ … โลกสันนิวาสซ่านไปเพราะ
ทิฏฐานุสัย … โลกสันนิวาสเดือดร้อนด้วยความเดือดร้อนเพราะทิฏฐิ … โลก-
*สันนิวาสเร่าร้อนด้วยความเร่าร้อนเพราะทิฏฐิ … โลกสันนิวาสไปตามชาติ …
โลกสันนิวาสซมซานไปเพราะชรา … โลกสันนิวาสถูกพยาธิครอบงำ …
โลกสันนิวาสถูกมรณะห้ำหั่น … โลกสันนิวาสตกอยู่ในกองทุกข์ … โลกสันนิวาส
ถูกตัณหาซัดไป โลกสันนิวาสถูกกำแพงคือชราแวดล้อมไว้ … โลกสันนิวาส
ถูกบ่วงมัจจุคล้องไว้ … โลกสันนิวาสถูกผูกไว้ด้วยเครื่องผูกเป็นอันมาก คือ
เครื่องผูกคือราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฐิ กิเลส ทุจริต ใครอื่น
นอกจากเราผู้จะช่วยแก้เครื่องผูกให้แก่โลกสันนิวาสนั้น เป็นไม่มี … โลก-
*สันนิวาสเดินไปตามทางแคบมาก ใครอื่นนอกจากเราผู้จะช่วยชี้ทางสว่างให้แก่
โลกสันนิวาสนั้น เป็นไม่มี … โลกสันนิวาสถูกความกังวลเป็นอันมากพัวพันไว้
ใครอื่นนอกจากเราผู้จะช่วยตัดความกังวลให้แก่โลกสันนิวาสนั้น เป็นไม่มี …
โลกสันนิวาสตกลงไปในเหวใหญ่ ใครอื่นนอกจากเราผู้จะช่วยฉุดโลกสันนิวาสนั้น
ให้ขึ้นพ้นจากเหว เป็นไม่มี … โลกสันนิวาสเดินทางกันดารมาก ใครอื่นนอกจาก
เราผู้จะช่วยให้โลกสันนิวาสนั้นข้ามพ้นทางกันดารได้ เป็นไม่มี … โลกสันนิวาส
เดินทางไปในสังสารวัฏใหญ่ ใครอื่นนอกจากเราผู้จะช่วยให้โลกสันนิวาสนั้นพ้น
จากสังสารวัฏได้ เป็นไม่มี … โลกสันนิวาสกลิ้งเกลือกอยู่ในหล่มใหญ่ ใครอื่น
นอกจากเราผู้จะช่วยฉุดโลกสันนิวาสนั้น ให้พ้นจากหล่มได้ เป็นไม่มี …
โลกสันนิวาสร้อนอยู่บนเครื่องร้อนเป็นอันมากถูกไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟ
คือโมหะ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
ครอบงำไว้ ใครอื่นนอกจากเราผู้จะช่วยดับไฟเหล่านั้นให้แก่โลกสันนิวาสนั้นได้
เป็นไม่มี … โลกสันนิวาสทุรนทุราย เดือดร้อนเป็นนิตย์ ไม่มีอะไรต้านทาน
ต้องรับอาชญา ต้องทำตามอาชญา … โลกสันนิวาสถูกผูกด้วยเครื่องผูกในวัฏฏะ
ปรากฏอยู่ที่ตะแลงแกง ใครอื่นนอกจากเราผู้จะช่วยโลกสันนิวาสนั้นให้หลุดพ้นได้
เป็นไม่มี … โลกสันนิวาสไม่มีที่พึ่ง ควรได้รับความกรุณาอย่างยิ่ง ใครอื่นนอกจาก
เราผู้จะช่วยต้านทานให้แก่โลกสันนิวาสนั้น เป็นไม่มี … โลกสันนิวาสถูกทุกข์
เสียบแทงบีบคั้นมานาน … โลกสันนิวาสติดใจกระหายอยู่เป็นนิตย์ … โลก
สันนิวาสเป็นโลกบอด ไม่มีจักษุ … โลกสันนิวาสมีนัยน์ตาเสื่อมไป ไม่มีผู้นำ
… โลกสันนิวาสแล่นไปสู่ทางผิด หลงทางแล้ว ใครอื่นนอกจากเราผู้จะช่วยพาโลก
สันนิวาสนั้นมาสู่ทางอริยะ เป็นไม่มี … โลกสันนิวาสแล่นไปสู่ห้วงโมหะ
ใครอื่นนอกจากเราผู้จะช่วยฉุดโลกสันนิวาสนั้นให้ขึ้นจากห้วงโมหะ เป็นไม่มี …
โลกสันนิวาสถูกทิฐิ ๒ อย่างกลุ้มรุม … โลกสันนิวาสปฏิบัติผิดด้วยทุจริต ๓ อย่าง …
โลกสันนิวาสเต็มไปด้วยกิเลสเครื่องประกอบ ถูกกิเลสเครื่องประกอบ ๔ อย่าง
ประกอบไว้ … โลกสันนิวาสถูกกิเลสเครื่องร้อยกรอง ๔ อย่างร้อยไว้ …
โลกสันนิวาสถือมั่นด้วยอุปาทาน ๔ … โลกสันนิวาสขึ้นสู่คติ ๕ … โลกสันนิวาส
กำหนัดอยู่ด้วยกามคุณ ๕ … โลกสันนิวาสถูกนิวรณ์ ๕ ทับไว้ … โลกสันนิวาสวิวาท
กันอยู่ด้วยมูลเหตุวิวาท ๖ อย่าง … โลกสันนิวาสกำหนัดอยู่ด้วยกองตัณหา ๖ …
โลกสันนิวาสถูกทิฐิ ๖ กลุ้มรุมแล้ว … โลกสันนิวาสซ่านไปเพราะอนุสัย ๗ …
โลกสันนิวาสถูกสังโยชน์ ๗ เกี่ยวคล้องไว้ … โลกสันนิวาสฟูขึ้นเพราะมานะ ๗
… โลกสันนิวาสเวียนอยู่เพราะโลกธรรม ๘ … โลกสันนิวาสเป็นผู้ดิ่งลงเพราะ
มิจฉัตตะ ๘ … โลกสันนิวาสประทุษร้ายกันเพราะบุรุษโทษ ๘ … โลกสันนิวาส
มุ่งร้ายกันเพราะอาฆาตวัตถุ ๙ … โลกสันนิวาสพองขึ้นเพราะมานะ ๙ อย่าง …
โลกสันนิวาสกำหนัดอยู่เพราะธรรมอันมีตัณหาเป็นมูล ๙ … โลกสันนิวาสย่อม
เศร้าหมองเพราะกิเลสวัตถุ ๑๐ … โลกสันนิวาสมุ่งร้ายกันเพราะอาฆาตวัตถุ ๑๐ …
โลกสันนิวาสประกอบด้วยอกุศลกรรมบถ ๑๐ … โลกสันนิวาสถูกสังโยชน์ ๑๐
เกี่ยวคล้องไว้ … โลกสันนิวาสเป็นผู้ดิ่งลงเพราะมิจฉัตตะ ๑๐ … โลกสันนิวาส
ประกอบด้วยมิจฉาทิฐิมีวัตถุ ๑๐ … โลกสันนิวาสประกอบด้วยสักกายทิฐิมีวัตถุ ๑๐
… โลกสันนิวาสต้องเนิ่นช้าเพราะตัณหาเครื่องให้เนิ่นช้า ๑๐๘ พระผู้มีพระภาค
ทั้งหลายผู้ตรัสรู้แล้ว ทรงพิจารณาเห็นว่า โลกสันนิวาสถูกทิฐิ ๖๒ กลุ้มรุม
จึงทรงแผ่พระมหากรุณาไปให้หมู่สัตว์ว่า ส่วนเราเป็นผู้ข้ามได้แล้ว แต่สัตว์โลก
ยังข้ามไม่ได้ ส่วนเราเป็นผู้พ้นไปแล้ว แต่สัตว์โลกยังไม่พ้นไป ส่วนเราทรมาน
ได้แล้ว แต่สัตว์โลกยังทรมานไม่ได้ ส่วนเราสงบแล้ว แต่สัตว์โลกยังไม่สงบ
ส่วนเราเป็นผู้เบาใจแล้ว แต่สัตว์โลกยังไม่เบาใจ ส่วนเราเป็นผู้ดับรอบแล้ว
แต่สัตว์โลกยังไม่ดับรอบ ก็เราเป็นผู้ข้ามได้แล้ว จะช่วยให้สัตว์โลกข้ามได้ด้วย
เราเป็นผู้พ้นไปแล้ว จะช่วยให้สัตว์โลกพ้นไปด้วย เราทรมานได้แล้ว จะช่วย
ให้สัตว์โลกทรมานได้ด้วย เราเป็นผู้สงบแล้ว จะช่วยให้สัตว์โลกสงบด้วย
เราเป็นผู้เบาใจแล้ว จะช่วยให้สัตว์โลกเบาใจด้วย เราเป็นผู้ดับรอบแล้ว จะช่วย
ให้สัตว์โลกดับรอบด้วย พระผู้มีพระภาคทั้งหลายผู้ตรัสรู้แล้ว ทรงพิจารณาเห็นดังนี้
จึงทรงแผ่พระมหากรุณาไปในหมู่สัตว์ นี้เป็นมหากรุณาสมาปัตติญาณของพระตถาคต ฯ