ตอนที่ ๑
เกี่ยวกับ พระอรหันต์ สุกขวิปัสสิโกนั้น ไม่มีอยู่จริง
แต่เป็นคำเรียกที่ตั้งขึ้นมาใหม่ ตามทิฏฐิของผู้นั้น
…
พอจะสรุปได้ว่า ผู้ที่อธิบายความนั้น
ไม่รู้ชัดในเรื่องสมถะ ที่เป็นสัมมาสมาธิ
ไม่รู้ว่า เจโตวิมุติ หมายถึง สมถะ
มีเกิดขึ้นได้ ก็เสื่อมได้ และสามารถกระทำให้มีเกิดขึ้นอีกได้
จะอธิบายทีละส่วน คิดว่า น่าจะชัดเจนกว่านะ
ตอนที่ ๒
จากที่เคยสัมผัสวิโมกข์ ๘ หลังจากเกิดสภาวะจิตดวงสุดท้ายครั้งที่ ๑ แล้วมีเหตุปัจจัยให้กำลังสมาธิที่มีอยู่ เสื่อมหายไปหมดสิ้น
เมื่ออยากให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม จึงทำความเพียรหนัก ตอนเริ่มต้นใหม่ การทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ทำได้ยากมาก แต่ไม่ท้อถอย
เดินจงกรม ๔ ชม. จิตเป็นสมาธิแค่แว๊บเดียว ดีใจมาก
ทำให้เกิดกำลังใจในการทำความเพียร
ช่วงนั้นเพียรหนักมาก
เพราะอยากให้สภาวะกลับมาเหมือนเดิม
การที่ไม่มีสมาธิหล่อเลี้ยงจิต
จึงทำให้ รู้ชัดในกิเลสที่เกิดขึ้นแบบคมชัดมาก
เหมือนมีเข็มแหลมคม ทิ้มแทงเนื้อทุกครั้งที่มีเกิดขึ้น
ช่วงนั้น เป็นทุกข์มาก
.
สภาวะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ เริ่มกลับมาเกือบจะเหมือนเดิม นั่งทุกครั้ง มีโอภาสเกิดขึ้นทุกครั้ง แต่กำลังสมาธิที่มีอยู่ ไม่มากเท่าเมื่อก่อน
–
ตอนที่เกิดสภาวะจิตดวงสุดท้ายครั้งที่ ๒
เหมือนตอกย้ำอุปทานขันธ์ ๕ ที่มีเกิดขึ้นในสภาวะจิตดวงสุดท้ายครั้งที่ ๑ เพียงแต่การรู้เห็นครั้งนี้ แตกต่างจากครั้งแรก
–
ครั้งที่ ๑ ขณะเกิดความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕
ความรู้สึกเหมือนกำลังจมน้ำตาย ขาดอากศหายใจ แรกๆดิ้นรน พยายามสูดอากาศหายใจ ก่อนขาดใจ ใจคิดว่า ตายก็ดีเหมือนกัน ปล่อยไปเลย
ครั้งแรกนี่ ยังไม่รู้หรอกนะว่าคืออะไร
และก็มีคำเรียกด้วย
สภาวะตรงนี้มีชื่อเรียกว่า อัปณิหิตวิโมกข์
หลุดพ้นจากอาสวะบางส่วน ได้แก่ อุปทานขันธ์ ๕
เพราะเห็นด้วยปัญญา ได้แก่ อัปณิหิตวิโมกข์
ขณะเกิดเกิดสภาวะนี้ ก่อนเกิด ภายนอกยังรู้อยู่
พอมีเกิดขึ้น ภายนอกดับหมด จะรู้ชัดอยู่ภายใน
–
ครั้งที่ ๒ ขณะเกิดความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕
จู่ๆ รู้สึกเจ็บหัวใจ เจ็บมาก จึงล้มตัวลงนอนราบ หายใจยาวๆลึกๆ ความรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง ปลายเท้าสั่นระริก ตอนนั้นใจก็คิดว่า ตายก็ดีเหมือนกัน ปล่อยไปเลย
มีสภาวะที่เกิดขึ้นเด่นชัด กายและจิต แยกขาดออกจากกัน คือ สิ่งที่เกิดขึ้นกับกาย กับใจที่รู้อยู่
รู้ชัดในทุกขัง(ก่อนขาดใจ) ก็จริงอยู่
แต่มีสภาวะหนึ่งปรากฏขึ้นเด่นชัดกว่า
เป็นลักษณะอาการที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริงของอนัตตา
ที่เรียกว่า สุญญตวิโมกข์
กล่าวคือ กายและจิต แยกขาดออกจากกัน
มีแค่สองสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับใจที่รู้อยู่
หลุดพ้นจากอาสวะบางส่วน ได้แก่ อุปทานขันธ์ ๕
เพราะเห็นด้วยปัญญา ได้แก่ สุญญตวิโมกข์
ขณะเกิดเกิดสภาวะนี้ ก่อนเกิด ภายนอกยังรู้อยู่
พอมีเกิดขึ้น ภายนอกดับหมด จะรู้ชัดอยู่ภายใน
–
จึงสรุปได้ว่า
อนุโลมญาณ มรรคญาณ ผลญาณ
จะมีเกิดขึ้นได้ ต้องมีทั้งสมถะและวิปัสสนา
ทีนี้ไม่สามารถคาดเดาได้ว่า จะมีเกิดขึ้นตอนไหน
ทำความเพียรต่อเนื่องไปนี่แหละ
บทจะเกิด ก็เกิดขึ้นทันที แบบไม่ทันตั้งตัว
กว่าจะรู้ตัว ก็หลังจากผ่านสภาวะนั้นมาแล้ว
สภาวะนี้ เป็นเรื่องของ จิตใต้สำนึก
ได้แก่ สังโยชน์กิเลสที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง
และจากสภาวะจิตดวงสุดท้ายที่มีเกิดขึ้น
รูปแบบหรือลักษณะอาการที่มีเกิดขึ้น อาจเปลี่ยนไป
ไม่จำเป็นต้องมีเกิดขึ้น ขณะกำลังนั่งสมาธิอยู่
อาจมีเกิดขึ้น ขณะกำลังดำเนินชีวิตอยู่ก็ได้
จึงบอกว่า ไม่สามารถคาดเดาได้เพราะเหตุนี้
–
[๒๗๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างเป็นไปในส่วนแห่งวิชชา
ธรรม ๒ อย่างเป็นไฉน คือ สมถะ ๑ วิปัสสนา ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมถะ ที่ภิกษุเจริญแล้ว
ย่อมเสวยประโยชน์อะไร
ย่อมอบรมจิต
จิตที่อบรมแล้ว ย่อมเสวยประโยชน์อะไร
ย่อมละราคะได้
วิปัสสนา ที่อบรมแล้วย่อมเสวย ประโยชน์อะไร
ย่อมอบรมปัญญา
ปัญญา ที่อบรมแล้ว ย่อมเสวยประโยชน์อะไร
ย่อมละอวิชชาได้ ฯ
ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย เพราะสำรอกราคะได้
จึงชื่อว่าเจโตวิมุตติ
เพราะสำรอกอวิชชาได้
จึงชื่อว่าปัญญาวิมุตติ ฯ
ตอนที่ ๓ จบ
ที่มาของพระอรหันต์ทั้งหมด
พระอรหันต์ แบ่งออกเป็น ๓ ประเภท(รวมพระพุทธเจ้าอีก ๑)
๑. บุคคลเป็นสมณะบุณฑริกเป็นอย่างไร ?
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เพราะสิ้นอาสวะทั้งหลาย
ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้
ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง สำเร็จอยู่ในปัจจุบันนี่
แต่ว่าไม่ได้ถูกต้องวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย
อย่างนี้แล บุคคลเป็นสมณะบุณฑริก
.
๒. บุคคลเป็นสมณะปทุมเป็นอย่างไร ?
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เพราะสิ้นอาสวะทั้งหลาย
ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้
ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง สำเร็จอยู่ในปัจจุบันนี่
ทั้งได้ถูกต้องวิโมกข์ ๘ ด้วย (นาม) กายด้วย
อย่างนี้แล บุคคลเป็นสมณะปทุม
.
๓. บุคคลเป็นสมณะสุขุมาลในหมู่สมณะเป็นอย่างไร ?
อนึ่ง เราได้ตามต้องการ ได้ไม่ยาก ได้ไม่ลำบาก ซึ่งฌาน ๔ อัน เป็นธรรมเป็นไปในจิตอันยิ่ง เป็นธรรมเครื่องพักผ่อนอยู่สบายในอัตภาพปัจจุบัน เพราะสิ้นอาสวะทั้งหลาย เราทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองสำเร็จอยู่ในปัจจุบันนี่ ภิกษุทั้งหลาย
เมื่อจะเรียกโดยชอบ จะพึงเรียกบุคคลใดว่าเป็นสมณะสุขุมาลในหมู่สมณะ ก็พึงเรียกเรานี้แหละโดยชอบว่าเป็นสมณะสุขุมาลในหมู่สมณะ
.
.
หมายเหตุ;
พระอรหันต์ สมณะบุณฑริก เริ่มต้นมาจาก
สกทาคามี ผู้เป็นสัทธาวิมุติ และ ทิฎฐิปัตตะ
โสดาบัน ผู้เป็น สัทธาวิมุติ และ ทิฎฐิปัตตะ
.
กรณีกายสักขี มีข้อยกเว้น หากไม่มีเหตุปัจจัยให้สมาธิเสื่อมจนกว่าทำกาละ
จะเป็นอุภโตภาควิมุตบุคคล โดยอัตโนมัติ
กรณีที่ วิโมกข์ ๘ เสื่อมหายไปหมดสิ้น
เริ่มต้นทำความเพียรใหม่ จนกระทั่งได้รูปสมาบัติ
เมื่อ อนุโลมญาณ มรรคญาณ ผลญาณ มีเกิดขึ้นครั้งที่ ๒
จึงเรียกว่า สกทาคามี เป็นสมณะบุณฑริก
และผลของการทำความเพียรต่อเนื่อง
ทำให้วิโมกข์ ๘ มีเกิดขึ้นได้อีก
เมื่อ อนุโลมญาณ มรรค ญาณ ผลญาณมีเกิดขึ้น
จะเป็นสมณะปทุม(พระอรหันต์)
.
กรณีอนาคามี ในข้อนี้ สรุปไม่ได้จริงๆ
เพราะบางพระสุตร ทรงตรัสไว้ว่า
เป็นผู้ทำได้เต็มที่ในส่วนศีล ทำได้เต็มที่ในส่วนสมาธิ
บางพระสูตร ทรงตรัสไว้ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นสมณะปทุมอย่างไร
ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ ฯลฯ
มีสัมมาญาณะ มีสัมมาวิมุติ และถูกต้องวิโมกข์ ๘ด้วยนามกายอยู่
บุคคลเป็นสมณะปทุมอย่างนี้แล ฯ
สังโยชนสูตร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นสมณะปทุมอย่างไร
ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นอุปปาติกะ เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ประการสิ้นไป
จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
บุคคลเป็นสมณะปทุมอย่างนี้แล ฯ
.
.
ก็ดูจะไปขัดกับพระอรหันต์ประเภท สมณะบุณฑริก
ถ้าให้คาดเดา พอจะคาดเดาได้ว่า อนาคามี มี ๒ ชนิด
คือ ได้วิโมกข์ ๘ หมายถึง ได้สมาบัติ ๘ และเข้านิโรธสมาบัติได้
กับอนาคามี ที่ไม่ได้วิโมกข์ ๘
แต่ได้รูปสมาบัติ และได้อรูปฌานด้วย แต่ไม่ได้อรูปสมาบัติ
คือ ทำเต็มที่ในส่วนสมาธิ(อันนี้ตามความเข้าใจในตอนนี้นะ)
.
.
เมื่อเป็นดังที่่พระสูตรต่างๆ ที่นำมาอธิบาย
พระอรหันต์ จึงมี ๒ ประเภท ตรงตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้
๑. สมณณะบุณฑริก ไม่ได้วิโมกข์ ๘ แต่ได้รูปสมาบัติ
๒. สมณะปทุม ได้วิโมกข์ ๘
.
ก็พอจะอธิบายได้ว่า พระอรหันต์ประเภทสุกขวิปัสสิโก ที่หมายถึง บุคคลที่ทำวิปัสสนาเพียงอย่างเดียว พอจะบรรลุมรรค ผล จึงจะได้ฌาน อธิบายแบบนี้ ข้อนี้ตกไปได้
เพราะอนุโลมญาณ มรรคญาณ ผลญาณ
จะมีเกิดขึ้นได้ ต้องมีทั้งสมถะและวิปัสสนา
วิปัสสนาเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถมีเกิดขึ้นได้
.
.
ด้วยเหตุและปัจจัยทั้งหมดนี้ พอจะอธิบายได้ว่า คำที่เรียกว่า พระอรหันต์สุกขวิปัสสิโก นั้นไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงคำของสาวก ที่บัญญัติขึ้นมาใหม่ ตั้งแต่ยุคสมัยใด ข้อนี้ไม่อาจรู้ได้