บางคน สำคัญผิด เรื่อง การขออโหสิกรรม
การขออโหสิกรรม เป็นเรื่องของ การสำนึกผิด ในสิ่งที่ตนได้กระทำลงไป(สร้างเหตุนอกตัว)
ไม่ได้เป็นการถ่ายบาป หรือ เป็นการทำให้ กรรมที่ได้กระทำลงไปแล้ว ทำให้กรรมนั้นๆ ตกสิ้นไป คือ ไม่ส่งผล
กรรมหรือการกระทำทุกๆชนิด ไม่ว่าจะคิดเอาเองว่า บาป บุญ คุณ โทษ กุศล อกุศล ถูก ผิด ดี ชั่ว แม้กระทั่ง การกระทำที่คิดว่า เป็นการปรามาสกัน
สิ่งต่างๆ ที่เป็นคำเรียกเหล่านี้ ล้วนเกิดจาก ความถูกใจ ไม่ถูกใจ จากสังโยชน์กิเลส ที่มีอยู่
เมื่อกระทำลงไปแล้ว กรรมนั้นๆ ส่งผลกลับมาที่ผู้กระทำทั้งหมด ไม่มีข้อยกเว้น
ถ้ามีคำพูดทำนองว่า ต้องเป็นพระอรหันต์(หมดกิเลส) กรรมนั้นจะตกสิ้นไป
จงดูพระพุทธเจ้า ตลอดทั้งพระอัครสาวก เป็นตัวอย่าง พระโมคคัลลานะ ทำไมต้องยอมถูกทุบตี หลายครั้ง ทำไมไม่เหาะหนี
พระพุทธเจ้า ทำไมไม่หนี กับทุกๆกากรระทำ ที่พระเทวทัต ทำกับพระองค์
ฉะนั้น การกล่าวขออโหสิกรรม และ การกล่าวอดโทษ ไม่ล่วงเกินต่อกัน
เป็นการไม่ผูกพยาบาทต่อกัน ไม่ใช่เป็นการกระทำ แบบพิธีกรรม ตามความเชื่อ ที่บอกเล่าต่อๆกันมา
มีนะ บางคนมาขออโหสิกรรมต่อการกระทำ ที่เขาได้กระทำกับวลัยพร ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
วลัยพรจะบอกว่า คุณไม่ต้องมาขออโหสิกรรมหรอก เพราะ กรรมที่คุณได้กระทำลงไป เป็นกรรมที่สำเร็จแล้ว เหตุมี ผลย่อมมี
การกล่าวคำขอโหสิกรรม เป็นเรื่องของ การฝึกละความมีตัวตน ที่มีอยู่(ความยึดมั่นถือมั่น)
ฝึกที่จะไม่พยาบาท ที่เกิดจากการผูกใจเจ็บ ต่อการกระทำของอีกฝ่าย
หากมุ่งทำความเพียรต่อเนื่อง พยายามหยุดสร้างเหตุนอกตัว
เวลากรรมส่งผล(ทุกๆขณะที่ผัสสะเกิด) จะได้มีสติ มีสมาธิ มีสมัปชัญญะ(ความรู้สึกตัว)
จะได้ไม่ก้าวล่วงออกไปทางวจี ให้เป็นวจีกรรม
ไม่ก้าวล่วงออกไปทางกาย ไม่ให้เป็นให้เป็นกายกรรม
ให้กลายเป็นการสร้างกรรมใหม่มีเกิดขึ้นอีก
ส่วนความรู้สึกนึกคิด ห้ามไม่ได้ เพราะ ยังมีกิเลสอยู่ มโนกรรม ย่อมมีอยู่ แค่รู้ แค่ยอมรับ ต่อผัสสะนั้นๆ(ที่ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด) ไม่สร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น
ผลที่เกิดขึ้นอย่างมาก แค่ทุกข์ใจ ทุกข์กาย
ผลของการไม่สานต่อ(ไม่ตอบโต้) เป็นเหตุให้ เหตุของการเกิดภพชาติปัจจุบัน สั้นลง
และส่งผลให้ ภพชาติ การเวียนว่าย ตายเกิด ในวัฏกสงสาร สั้นลง
จึงไม่ควรมาพร่ำกล่าวคำขออโหสิกรรม แต่จงแก้ที่ตัวเอง ในสิ่งที่ยังมีอยู่และเป็นอยู่
โดยการทำความเพียรต่อเนื่อง(แบบไหนก็ได้) และ พยายามหยุดสร้างเหตุนอกตัว(เกิดจาก ผัสสะ เป็นเหตุปัจจัย)
จงรู้ไว้ว่า วลัยพร ไม่ได้รู้สึกโกรธ หรือเกลียด แต่ที่ไม่คิดข้องเกี่ยว
เพราะ มองเห็นเหตุของการเกิดภพชาติ ที่เกิดขึ้นเนืองๆหากยังเกี่ยวข้องอยู่ เลี่ยงได้ จึงเลี่ยง เลือกที่จะไม่เกี่ยวข้องด้วย
เหมือนการพูดคุย มักพูดคุยเกี่ยวกับการทำความเพียรเป็นหลัก ปัญหาทางโลก เหตุใคร เหตุมัน แก้กันเอาเอง
เมื่อก่อนเคยยุ่งเหมือนกัน ให้คำแนะนำว่า ต้องทำอย่างงัน้อย่างงี้( การทำความเพียร)
แต่คนที่ได้รับคำแนะนำ บางคนเชื่อ และนำไปปฏิบัติ ผลคือ ทุกข์มีอยู่ แต่น้อยลง(ยึดน้อยลง) อันนี้เขามาเล่าให้ฟังกัน
ผิดกับคน ที่แค่ต้องการมาระบาย แต่ไม่คิดทำความเพียร และไม่พยายามระงับตัวเอง ในเรื่องการสร้างเหตุนอกตัว
ผลคือ จมแช่อยู่กับความทุกข์ แล้วมาพูดทำนองว่า ทำไมทำความเพียรแล้ว เจอแต่ทุกข์
แทนที่จะกลับไย้อนทบทวนพฤติกรรมของตนเองว่า ทำไมชีวิตจึงเป็นแบบนี้
กลับมากล่าวโทษวลัยพรแทนว่า เป็นเพราะเชื่อวลัยพร ทำความเพียร จึงมีแต่ทุกข์
กับคนประภทนี้ วลัยพรจะตัดทิ้ง แรกๆ อาจยังให้คำแนะนำอยู่ ยังเปิดโอกาสให้อยู่
แต่ทุกๆครั้ง ที่เขาเจอทุกข์ กลับโยนมาที่วลัยพรทุกครั้ง ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่เจตนา
ที่เขาเป็นแบบนี้ เกิดจาก อวิชชา ที่หนาแน่น และ เขาสร้างเหตุร่วมกับวลัยพรมาน้อย
จึงทำให้ ไม่เกิดความศรัทธา ในการตั้งใจทำความเพียร และ หยุดตัวเอง ในการสร้างเหตุนอกตัว เพื่อเป็นการช่วยตัวเอง ให้อยู่กับทุกข์ ที่เกิดขึ้นได้
เมื่อเป็นแบบนี้ เกิดซ้ำซาก วลัยพรเห็นแต่เหตุ เห็นสิ่งที่ควรทำ จึงหันมามุ่งเน้น สำหรับผู้ที่คิดกระทำ
เพื่อ ดับเหตุของการเกิด(นิพาาน) จริงๆ มากกว่า ให้คำแนะนำแบบกระเรี่ยกระรราด(ไม่เลือก) เหมือนเมื่อก่อน
การที่ให้คำแนะนำต่อผู้อื่น ครั้งละ ๑ คน แนะนำหลายๆคน
เวลากรรมส่งผล ไม่ได้เจอแค่ครั้งละหนึ่ง มาแบบรวมมิตร เหมาเข่ง ต้นทุน สติ สมาธิ มีเท่าไหร่ พอรับมือได้ไหม พอรับมือได้ไหม หากรับมือไม่ไหว ใครทุกข์ล่ะ ตัวเองทั้งนั้น ไหนจะสภาวะขณะทำความเพียรอีก โดนนิวรณ์ต่างๆ เล่นงาน แล้วมันคุ้มไหมล่ะ
เลือกสร้างเหตุกับคนที่กระทำเพื่อดับเหตุของการเกิด
อย่างน้อยๆ คนกลุ่มนี้ ไม่ค่อยมีเรื่องคุย หรือ จะต้องแนะนำอะไรมากมาย คือ ช่วยตัวเองกันได้
ผิดกับกลุ่มตนอีกกลุ่ม ที่เอาแต่เรียกร้อง มีแต่การกล่าวโทษนอกตัว ที่สำคัญ ไม่พยายามทำความเพียรอีกต่างหาก
การพูดคุยแต่ละครั้ง มีแต่เรื่องทางโลก เรื่องเดิมๆ ซ้ำซาก พูดไปแล้ว เหมือนเข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา ไม่เคยจำ
พอพูดคุยอีก มีแต่เรื่องเดิมๆซ้ำซาก ไม่มีเรื่องของการทำความเพียร คนประเภทนี้ วลัยพรจะให้โอกาส ในระยะแรกๆ
จนกระทั่ง มีตัวแปรของสภาวะเข้ามาแรกแซง(เขาทำเอง เราไม่ต้องทำ) จะทำให้ คนๆนั้น กระเด็นออกไปเอง จากสภาพแวดล้อมของวลัยพร โดยที่วลัยพร ไม่ต้องคิดทำการสิ่งใด
สภาวะของวลัยพร จึงไปข้างหน้า มากกว่าถอยหลังเข้าคลอง(วังวนวัฏฏะ) เพราะ เหตุนี้