อริยสัจ ๔ ประการ เป็นสภาวะที่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่ว่าจะเกิดขึ้น กับบุคคลที่อยู่ใน ยุคไหน สมัยไหนก็ตาม สภาวะนี้ไม่มีแปรเปลี่ยน ตามยุค ตามสมัย เพราะ ธรรมนี้ อกาลิโก คือ อยู่เหนือกาลเวลา
ทุกข์ ได้แก่ สิ่งที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน ขณะ
ลักษณะของ ทุกข์ รู้แบบหยาบๆ ได้แก่ ความรู้สึกถูกบีบคั้น การทนอยู่ได้ยาก
รู้ แบบละเอียดมากขึ้น ได้แก่ การเกิด ทุกๆการเกิด ล้วนเป็นทุกข์
เมื่อรู้ชัดในทุกข์ รู้ว่า ทุกข์ที่บีบคั้น ล้วนเป็นแดนเกิด ของการสร้างเหตุ ให้เกิดภพชาติใหม่เนืองๆ(ปัจจุบัน ขณะ) ย่อมแสวงหา วิธีดับทุกข์
ความศัรทธา เป็นเหตุให้ เกิดการทำความเพียรต่อเนื่อง เมื่อถึงเวลา เป็นเหตุให้ รู้วิธีการดับทุกข์ ที่เกิดจาก ปัจจุบัน ขณะ(ผัวสสะ) เป็นเหตุปัจจัย
สิ่งนอกตัว ล้วนตกอยู่ภายใต้กฏไตรลักษณ์ ไม่สามารถน้อมเอา คิดเอาเองได้ เมื่อรู้ได้ดังนี้ จึงเกิดการปล่อยวาง ลงไปเรื่อยๆ
จึงมุ่งดับเหตุที่ตนเอง มากกว่า คิดดับนอกตัว เพราะ ตราบใด ที่ยังมีลมหายใจอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้น ทุกๆขณะ ที่ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด นั่นแหละเหตุปัจจัยที่ยังมีอยู่
นี่แหละ วิธีตัดหรือการสร้างเหตุของการดับเหตุภพชาติปัจจุบัน ที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่ ด้วยการสร้างเหตุออกไป ด้วยความไม่รู้ที่มีอยู่ หรือ รู้แล้ว อดทนกดข่ม ไม่ไหว นั่นแหละ เหตุปัจจัย ที่มีเกิดขึ้นใหม่อีก
การเวียนว่ายในวัฏฏสงสาร
วิธีการ ต้องมีองค์ประกอบสองอย่างรวมกัน ไม่งั้น ได้ผลช้า
๑. หยุดสร้างเหตุนอกตัว ณ ปัจจุบัน ขณะ(ผัสสะเกิด) ที่เป็นเหตุให้ เกิดความรู้สึกนึกคิดใดๆก็ตาม มีสติรู้อยู่ ไม่สร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น
ซี่งเป็นการ สร้างเหตุของ การดับภพชาติปัจจุบัน ส่วนจะดับสนิทหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่มีอยู่ และที่กำลังสร้างอยู่
๒. ทำสมถะ ควรหาพี่เลี้ยง ที่รู้เรื่องสภาวะจิตเป็นสมาธิ บางคนนั่งแล้วหลับทุกครั้ง นั่นแหละ จิตเป็นสมาธิ แต่สติด้อยกว่า กำลังสมาธิมีมากกว่า สภาวะสัมปชัญญะ จึงเกิดขึ้นไม่ได้
เป็นเหตุให้ ขาดความรู้สึกตัว ขณะที่จิตเป็นสมาธิอยู่ วิธีแก้ คือ การปรับอินทรีย์ เดินมากกว่านั่ง สังเกตุสภาวะตัวเองไปเรื่อย จนปรับอินทรีย์เกิดความสมดุลย์
เป็นเหตุให้ สติกับสมาธิ มีกำลังไม่เหลื่อมล้ำมากน้อยไปกว่ากัน เมื่อสภาวะสัมปชัญญะเกิดขึ้นได้ เป็นเหตุให้ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่
เป็นเหตุให้ รู้ชัดอยู่ภายใน กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นเหตุสภาวะสัญญาเกิด สำหรับผู้ที่ไม่รู้ จะเรียกว่า ปัญญา ให้ใช้หลักโยนิโสมนสิการ กับทุกๆสภาวะที่เกิดขึ้น สงสัย สักแต่ว่า สงสัย ถึงเวลาเหตุปัจจัยพร้อม เดี๋ยวมีเหตุ ให้รู้เอง จะรู้ทีละนิดๆ รู้แบบหยาบๆ
สภาวะที่มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่ อาจมีโอภาสเกิดร่วมหรือไม่เกิดก็ได้ โอภาสจะเกิดตามกำลังของสมาธิ ยิ่งสมาธิมีกำลังแนบแน่นมากๆ โอภาสจะมีแสงสว่าง ตามกำลังของ สมาธิ ณ ขณะนั้นๆ
สภาวะที่เอ่ยมานี้ มีชื่อเรียกว่า สัมมาสมาธิ หมายถึง มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่ ตั้งแต่ ปฐมฌาน เป็นต้นไป
การจะรู้แจ้ง อริยสัจ ๔ ก็ตาม นิพพานก็ตาม จะเกิดจากการทำความเพียรต่อเนื่อง เกิดกับผู้ที่มีสภาวะ สัมมาสมาธิ เกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่เกิดจาก การน้อมเอา คิดเอาเอง จากตำราที่ได้ร่ำเรียนมา อันนั้นเป็นเพียง สภาวะอุปกิเลส ที่เกิดขึ้น
ส่วนขณิกสมาธิ ที่นำมาสอนกันแพร่หลาย ล้วนเป็นเพียงอุบาย ของท่านผู้รู้ เพื่อให้ทุกคนได้ปฏิบัติ ไม่ลำบากยากนัก จะได้ไม่ท้อถอยในการปฏิบัติ
ขณิกสมาธิ ทำได้เพียง ดับภพชาติปัจจุบัน เพราะ สังโยชน์ ยังไม่ถูกทำลายลงเป็น สมุจเฉทประหาน อนุสัย จึงเนืองนองอยู่ในขันธสันดาน อย่างมาก แค่เบาบางลงไป แต่ยังไม่ถูกทำลายหมดสิ้น จึงมีชื่อเรียกว่า มรรค มีองค์ ๘
สภาวะ สมุจเฉทประหาน ของสังโยชน์ต่างๆ ที่จะเกิด ในขณะที่เป็น สภาวะสัมมาสมาธิเท่านั้น จึงมีชื่อเรียกตามสภาวะที่เกิดขึ้นว่า อริยมรรค มีองค์ ๘