วันนี้ทำสมาธิ ๕ ชม.
ทบทวนตัวเอง
จิตมีคิดพิจรณาเนืองๆ
การดำเนินชีวิตในตอนนี้ เป็นแบบเรียบง่าย
ไม่แต่งตัว หากอยู่ห้อง ใส่เสื้อกล้ามกับกางเกงยีนส์ขาสั้น
หากไปตลาดหรือเดินห้าง ใส่เสื้อยีนส์ กับกางเกงยีนส์
หากพบะปะกับน้องๆ ใส่เสื้อเชิตลินิน กับกางเกงยีนส์
หากไปแพร่ เสื้อยีนส์ กางเกงยีนส์
เหตุที่ใช้กางเกงยีนส์เป็นหลัก เพราะ ไม่ต้องกังวลเรื่องความเลอะเทอะของเนื้อผ้า
ไม่แต่งหน้า ไม่ใช้เครื่องสำอางค์ ไม่เข้าร้านทำผม ผมตัดเอง
อาหารการกิน กินไม่เกิน ๔๐ บาท กินเฉพาะเวลาออกนอกบ้าน(บางครั้ง) และเวลาที่เกิดการเบื่ออาหาร(บางครั้ง)
ส่วนมาก กินแบบง่ายๆ มีอะไรในห้อง ก็กิน ชอบกินข้าวไข่เจียว(ทำเอง ใส่ต้นหอม หัวหอม ผักชี ใช้น้ำมันมะกอกเล็กน้อย ใช้หม้อเทปล่อนทอดไข่ กับผัดกระเพราปลาทูน่า/ซื้อแบบซองของโรซ่า)
มีแกงไตปลาแบบแห้ง น้ำพริกต่างๆแนมเป็นบางครั้ง คือ มีอะไรก็กินไปตามนั้น ยกเว้นเวลาเบื่อ จะไปกินข้างตึก ๓๕ บาท
การทำความเพียร ส่วนมากเป็นอิริยาบาทนอน(บนโซฟา)
นานๆถึงจะทำในอิริยาบท ยืน เดิน นั่ง
ถึงแม้จะนานๆนั่ง สภาวะยังคงที่ รู้ชัดอยู่ภายในกาย(ทุกขเวทนาทางกาย อาการที่เกิดขึ้นกับกาย)
เวทนา(ความชอบใจ ไม่ชอบใจ)
จิต(กิเลส)
ธรรม(ความนึกคิด มีบางครั้งฟุ้งซ่าน)
ยังคงมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเกิดขึ้นร่วม ขณะจิตเป็นสมาธิ มีโอภาสเกิดเป็นระยะๆ
บางครั้งจิตวางเฉยต่อสภาวะที่เกิดขึ้น เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของทุกขเวทนาทางกายที่เกิดขึ้น
บางครั้งจิตมีเกาะเกี่ยวกับทุกขเวทนาทางกาย ที่เกิดขึ้น
การนั่งไม่แน่นอน บางครั้งชม.กว่า บางครั้งไม่กี่นาที
สิ่งที่เกิดขึ้น มาสอนตลอดเวลา
เมื่อรู้ชัดในผัสสะต่างๆที่เกิดขึ้นแล้ว
จึงทำให้ไม่เกิดความทุกข์ใจ ต่อสภาวะที่เกิดขึ้น
ทั้งหมดนี้ เป็นความปกติของสิ่งที่เกิดขึ้น ที่เรียกว่า ผัสสะ
ความเนียน ละเอียดของกิเลส
กิเลสมีสภาพหยาบ ละเอียด อยู่ที่อวิชชาที่มีอยู่
หากรู้ชัดในผัสสะต่างๆที่เกิดขึ้น ความยึดมั่นถือมั่น สภาวะต่างๆที่เกิดขึ้น ลดน้อยลงไป ตามเหตุปัจจัย
จิตวางเฉยต่อผัสสะที่เกิดขึ้น แค่รู้ว่ามี
เป็นเหตุปัจจัยให้ มีสติ รู้ทันต่อสิ่งที่ยังมีอยู่ และเป็นอยู่ของตัวเอง
ใจเป็นทุกข์ เกิดจาก การนำตัวตนเข้าไปเกี่ยวข้องกับผัสสะที่เกิดขึ้น
หากสติไม่ทัน หลงสร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิด
เมื่อการกระทำนั้นๆ ส่งผลกลับมา ให้เจอทุกข์
เจอทุกข์ตอกย้ำ ใจไม่อยากทุกข์ เป็นเหตุให้ เกิดการอดทน อดกลั้น กดข่มการกระทำไว้ได้
เมื่อเจอผัสสะต่างๆ เกิดขึ้น เดิมๆซ้ำๆ (แตกต่างแค่เรื่องราว แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้น ยังคงมีอยู่)
เจอทุกข์บ่อยๆ เริ่มหยุดที่ตัวเองมากขึ้น
เมื่อไม่สร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น แค่ดู แค่รู้ มากขึ้น
จะทำให้เห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนตลอดเวลา
เดี่ยวดี เดี๋ยวไม่ดี ล้วนเกิดจาก การให้ค่าต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
เมื่อหยุดการกระทำลงไปได้เนืองๆ(หยุดสร้างเหตุนอกตัว)
เป็นเหตุให้ เห็นความไม่เที่ยงของสิ่งที่เกิดขึ้น บังคับให้เป็นไปตามใจคิด ก็ไมได้
จิตเกิดการปล่อยวางมากขึ้น เป็นเหตุปัจจัย เกิดความเบื่อหน่าย
เมื่อเกิดความเบื่อหน่าย จิตจะเกิดการคิดพิจราณา ดิ้นๆหาทางออกให้กับสภาวะที่ตนเป็นอยู่
ส่วนจะเกิดการลงมือทำเมื่อไหร่นั้น อยู่กับเหตุปัจจัยที่ตนมีอยู่และที่ทำให้เกิดขึ้นใหม่
แค่รู้ไปเรื่อยๆ หากยังไม่ถึงเวลา ต่อให้อยากทำแทบตาย พยายามทำแทบตาย
จะเจอการขัดขวาง จากเหตุปัจจัยที่มีอยู่ จึงมีหน้าที่เพียง แค่รู้ว่า รู้สึกนึกคิดอย่างไร รู้ไปตามนั้น
หากทำตามความอยาก เจอทุกข์อีก ใจก็จะไม่เอาอีก
พอเริ่มอีก เจอทุกข์อีก ใจไม่เอาอีก จะทำตามสัปปายะ ตามเหตุของตนแทน
จิตจะเกิดการคิดพิจรณาเนืองๆ เมื่อถึงเวลา เหตุปัจจัยพร้อม เริ่มจัดสรรเวลา ให้กับตัวเอง
อันนี้ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยของแต่ละคนด้วย ใช่ว่า จะทำเหมือนกันหมด
สำหรับผู้ที่มีเป้าหมายชัดเจน ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลอน ต่อความคิด ไม่อยากเกิดอีกต่อไป
บุคลลเหล่านี้ ถึงแม้บางคน ไม่รู้ชัดสภาพธรรม ตามความเป็นจริง ของสิ่งที่เกิดขึ้น ที่เรียกว่า ผัสสะ
แต่อาศัยการมีกัลยาณมิตร แนะแนวทางให้ เหตุปัจจัยจาก เคยสร้างเหตุร่วมกันมา ให้มาเชื่อกัน จึงเชื่อในคำแนะนำนั้นๆ
เกิดความศรัทธา เห็นผลของการทำความเพียร และหยุดสร้างเหตุนอกตัว
บุคคลจำพวกนี้ จะมีความอดทน อดกลั้น กดข่มตัวเอง มากกว่า ผู้ที่ยังไม่มีเป้าหมายชัดเจน หรือ พวกที่ไม่รู้ชัดในสิ่งที่เรียกว่า ผัสสะ
ยังมีอยู่
การทำความเพียร ที่กระท่อนกระแท่น ใช้อิริยาบทนอนมากกว่า อิริยาบทอื่นๆ วลัยพรถือว่า กระท่อนกระแท่น
หากทำในอิริยาบทยืน เดิน นั่ง กำลังสมาธิที่เกิดขึ้น จะมีการพัมนาอย่างต่อเนื่อง
ผสมผสานกับ การทำความเพียร ในรูปแบบของ การหยุดสร้างเหตุนอกตัว เหตุของการพยายามไม่สร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น
แค่ดู แค่รู้ ตามความเป็นจริงของสิ่งที่เกิดขึ้น(ผัสสะ) จิตเกิดการปล่อยวางมากขึ้น และกำลังสติ มีความกล้าแข็งมากขึ้น
เวลาก็ผ่านมาเนิ่นนาน(ในความรู้สึกของตัวเอง) รู้สึกนึกคิดอย่างไร รู้ไปตามนั้น แต่น้อยครั้ง ที่จะทำความต้องการของตัวเอง
เพราะรู้ว่า ทำแล้ว เดี่ยวก็เจอทุกข์อีก จะทำไปทำไม สู้ทำไปตามสภาวะของตนเอง ไปเรื่อยๆแบบนี้ ถึงเวลา เหตุปัจจัยพร้อม เดี่ยวมีเหตุให้ทำเอง
วันนี้ จิตทบทวนสภาวะที่ตนเอง ติดขัดอยู่ ติดกับความคิดตัวเอง
ประมาณว่า หากสภาวะนั้น เกิดขึ้นอีก คือ มีเกิดขึ้นแน่นอน แต่ไม่รู้ว่า จะเกิดขึ้นเมื่อใด
ถ้ามีสภาวะนั้นเกิดขึ้น(สภาวะความตาย) หากผ่านเข้าไปในอุโมงค์ของเวลา(ความตาย) แล้วถ้าไม่ได้กลับมาอีกล่ะ(ทั้งๆที่ รู้ว่า ได้กลับมา แต่คาดเดาไม่ได้ ว่าจะได้กลับมาแบบคั้รงก่อนหรือไม่)
คือ มีห่วง ห่วงผู้ที่รับคำแนะนำจากเราอยู่ ห่วงว่า หากไม่มีเรา คนเหล่านั้น จะเป็นยังไง ทั้งๆที่ก็รู้ว่า เป้นเรื่องเหตุของใครของคนนั้น ก็ตาม ก็มีห่วง
การทำความเพียร ในรูปแบบ ยืน เดิน นั่ง จึงย่อหย่อนลงไป ความคิดตรงนี้ มีส่วนด้วย ไม่ใช่แค่ขาดความต่อเนื่อง ในการทำเต็มรูปแบบ
ตอนนี้ เห็นความเบื่อหน่ายต่อชีวิต ที่มีมากกว่า ความห่วงต่อผู้อื่น จิตกลับมาทบทวนสภาวะตนเองมากขึ้น
เริ่มแบ่งเวลา ให้กับการทำเต็มรูปแบบ คือ ครึ่งวันเช้า ถึง บ่าย ทำงานบ้าน ทำตามใจกิเลส(เข้าเนต)
ครึ่งวันบ่าย ทำความเพียร เต็มรูปแบบ ยืน เดิน นั่ง ถึง ๕ โมงเย็น
หลัง ๕ โมงเย็น ไปวัดเทพลีลา เปลี่ยนสัปปายะให้กับตัวเอง จะได้ไม่เบื่อ
ค่อยๆเริ่มปรับเปลี่ยน แต่อะไรๆ ก็ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้หรอก แค่รู้ว่า ตอนนี้ คิดจะทำแบบนี้
๒๙ พค.๕๗
ออกนอกบ้าน ซื้อของใช้ภายในบ้าน กลับมาถึงห้อง เกือบบ่ายสาม
ไม่ขาดกิจวัตรประจำวัน ทำสมาธิ ๓ ชม.