ธรรมะจาเกเปลือกถั่ว
24 เม.ย. 2008 ใส่ความเห็น
in บันทึก
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
13 เม.ย. 2008 1 ความเห็น
in บันทึก
เวียนวนอยู่อย่างนั้น ดูไปดูมา เหมือนมันวูบหายไป
สักพักเราก็คิดว่าน่าจะพอละ เลยหยิบนาฬิกามาดู วางไว้ข้างตัว
ไม่ได้ตั้งจับเวลา ทุกทีจะตั้งเวลา ที่ไหนได้ ตี 3
ทำไมมันไวอย่างนี้ สรุปก็คือ จิตมันไว มันไปเข้าอยู่ในสมาธิ เพราะเรารู้สึกว่ามีช่วงเวลาที่หายไป
นี่ขนาดพิจรณาเวทนาที่เกิดนะ ว่ามีสติรู้ตัวดีแล้วนา สุดท้ายก็เสียท่าสมาธิอีก มันช่างไม่เที่ยงจริงๆเลย
เมื่อคืน คิดว่าจะลงโทษตัวเองซะให้เข็ดที่สติยังไม่มากพอ เพราะไปวุ่นวายเรื่องนอกตัว ก็คิดว่า ให้ลงโทษตัวเองโดยเวทนานี่แหละดีที่สุด
เป็นการเจริญสติ สติจะได้รู้เท่าทันจิตในขณะที่เกิดเวทนา ถ้ายังรู้ไม่ทันก็ให้มันปวดซะ ที่ไหนได้ เลยกลายเป็นว่า ขณะที่เกิดเวทนาจริงๆมันกลับพิจรณาเห็นเวทนาตั้งแต่เกิด ขณะที่เกิด และดับลงไป เวียนวนอยู่อย่างนั้น ดูไปดูมา เหมือนมันวูบหายไป
สักพักเราก็คิดว่าน่าจะพอละ เลยหยิบนาฬิกามาดู วางไว้ข้างตัว ไม่ได้ตั้งจับเวลา ทุกทีจะตั้งเวลา ที่ไหนได้ ตี 3 ในใจก็ร้องโอ้โห ….. ทำไมมันไวอย่างนี้ สรุปก็คือ จิตมันไว เพราะเรารู้สึกว่ามีช่วงเวลาที่หายไป นี่ขนาดพิจรณาเวทนาที่เกิดนะว่า
มีสติรู้ตัวดีแล้วนา สุดท้ายก็เสียท่าสมาธิอีก มันช่างไม่เที่ยงจริงๆเลย
เช้านี้ได้สร้างกุศลแต่เช้า ข้าวที่บ้านแมงช้าง (ตัวมอด) มันขึ้นข้าว ถ้าเป็นเมื่อก่อน เราจะซาวน้ำทิ้งไปเลย
เคยอ่านเจอ มีคนที่เขาเจอแมงช้าง เขาจะทิ้งข้าวนั้นไปเลย เราทำไม่ได้หรอก เราเสียดาย กว่าชาวนาจะปลูกข้าวแต่ละเม็ดได้ ลำบากยากเย็นแสนเข็ญ
เช้านี้ เราก็เลย นั่งเลือกเอาแมงช้างออกทีละตัว แยกข้าวใส่ถ้วย แล้วมันจะคลานขึ้นมาที่ขอบถ้วย เราก็จับมันออก ไม่ฆ่ามันโดยการซาวน้ำทิ้ง
อาหารที่นำเนื้อสัตว์มาทำ เราก็มีกรรมร่วมกับคนที่ฆ่าด้วย ถึงแม้เราจะไม่ได้ฆ่าด้วยตัวเอง ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในการฆ่า
เราก็มีกรรมร่วมตรงนั้นกับเขา เพราะเรานำเนื้อทีผ่านการฆ่าแล้วมาบริโภค
ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่ข้าพเจ้าได้อาศัยเนื้อหนังมังสาของท่านทั้งหลายที่นำมาประกอบอาหารในการหล่อเลี้ยงชีวิต
ขอผลบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้สร้างสั่งสมมาทุกภพทุกชาติจงสำเร็จแด่สรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง
หากแม้นสรรพสัตว์ทั้งหลายได้มาเสวยชาติเป็นคน ขอให้กุศลนี้เป็นผลปัจจัยแด่ท่านทั้งหลาย
ขอให้ท่านทั้งหลายมีดวงตาเห็นธรรม ได้ปฏิบัติธรรม ได้เกิดปัญญาญาณ ได้บรรลุมรรคผล ล่วงพ้นบ่วงมาร เห็นแจ้งในพระนิพพานด้วยเทอญ
สาธุ สาธุ สาธุ
ศิล
12 เม.ย. 2008 ใส่ความเห็น
การเดิน
10 เม.ย. 2008 ใส่ความเห็น
in บันทึก
รู้ตามความเป็นจริง
07 เม.ย. 2008 ใส่ความเห็น
in บันทึก
07 เม.ย. 2008
ตั้งแต่ผ่านเวทนาครั้งหลังสุดมานี่ สติชัดเจนมากกว่าเดิม จะทำอะไร หรือจะเกิดอะไร มันจะรู้เท่าทันอารมณ์ที่จะเกิดเสมอ จิตนิ่งลงมากกว่าเดิมมากๆ สิ่งที่ผ่านมาเป็นบทเรียนที่ดี ในเรื่องของความอยากรู้ อยากเห็นในสภาวะต่อๆไป
(เพราะไปอ่านตำรา เลยทำให้อยากรู้ อยากเห็น) ทั้งๆที่สภาวะเกิดขึ้นซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ตัวเองก็ยังไม่รู้ เพราะไปมองนอกตัว ไปค้นหาคำตอบนอกตัว
ตั้งแต่กลับมาจากวัดมหาธาตุเที่ยวหลังสุด ที่พระอาจารย์ท่านบอกว่าให้หยุดความคิด ก็ยังไปหาวิธีการอีกว่าหยุดความคิดนี่ทำยังไง
เมื่อหาคำตอบที่ต้องการไม่ได้ ก็เลยหยุดค้นหา หยุดคิดในสิ่งที่ค้นหาว่าจะเป็นอย่างไร ยังโชคดีที่มีกัลยาณมิตรที่ดี คุณนุ บอกว่า ไปอ่านซะที่หลวงพ่อภัททันตะท่านเขียนไว้ สภาวะทั้งหมดที่เราผ่านมานั้น มีเขียนไว้หมดแล้ว (เล่าซ้ำอีกครั้ง)
แต่ตอนที่ยังไม่ผ่านเวทนาครั้งหลังสุดนี่ เราก็แปลกใจนะ ทำไมตอนนั้นอ่าน ทำไมถึงไม่เข้าใจ แต่ทำไมตอนนี้อ่านแล้วเข้าใจหมดเลย
จริงๆแล้วการปฏิบัตินี่ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก มีหน้าที่ทำก็ทำอย่างเดียว ไม่ต้องไปสนใจในสิ่งที่พบหรือเห็น ให้ดูไปตามความเป็นจริงที่เกิดอย่างเดียว
เมื่อผ่านมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็มีหน้าที่ทำอย่างเดียว มันไม่สงสัยอะไรอีกแล้ว ธรรมมาแสดงให้เห็นอยู่ตรงหน้า แต่ไม่เห็น เพราะมัวไปส่งจิตออกนอก
พอกลับมาดูที่กาย ตามความเป็นจริงที่เกิด ไม่ต้องไปพิจรณาอะไรให้มันมากมายเลย เพียงมีสติรู้ตัวตลอดเวลา ขณะที่สภาวะต่างๆมาแสดงให้เห็น
เพราะเราไม่เคยพิจรณาอะไรเลยจริงๆ เมื่อถึงเวลาสภาวะนั้นเกิดเต็มที่แล้ว เดี๋ยวรู้เอง พิจรณามากไป เดี๋ยวจะกลายเป็นวิปัสสนึก ก็จะกลายเป็นมานะกิเลสเกิดโดยไม่รู้ตัว (พูดแบบคนรู้ปริยัติน้อยมาก แทบไม่รู้ปริยัติเลย)
ช่วงนี้จิตมันนิ่งมากๆ เข้าออกสมาธิได้คล่อง มีสติรู้ตัวอย่างต่อเนื่อง วันนี้ไปทำงาน จะทำสมาธิช่วงพักเที่ยงประจำ ไม่ได้ทำมาหลายวันละ ทำแบบเต็มที่
เดินจงกรมชั่วงเวลางาน แล้วนั่งสมาธิตอนเที่ยงจนถึงบ่ายโมง ได้แต่เก็บหน่วยกิตเอา
เพราะช่วงนี้มีน.ศ.จากม.จุฬา มาฝึกงานที่โรงงานที่เราทำอยู่ เขามาขอพักรับแอร์ที่ห้อง
เพราะตรงที่ทำงานเขาไม่มีแอร์กัน เราก็เลยทำแบบที่เคยทำไม่ได้
แล้ววันนี้ก็แปลก เราอ่านหนังสือหลวงปู่เทสก์
อ่านก็ตั้งจิตอ่านลงไปด้วย ไม่ได้สักแต่ว่าอ่านเหมือนอ่านหนังสือทั่วไป มันเหมือนว่าเราง่วง ง่วงแบบบอกไม่ถูก เราก็คิดว่า เราคงง่วงนอนธรรมดา
เราก็เลยนั่งหลังพิงเก้าอี้ ตอนแรกนั่งตัวตรงๆธรรมดา แต่ตอนอ่านหนังสือ ท้องพองขึ้น ยุบลง เรารู้อาการของกายตลอดถึงแม้จะอ่านหนังสือก็ตาม
พอเอาหลังพิง แล้วหลับตาลง กะว่าจะนั่งพักสายตาเฉยๆ ที่ไหนได้ มันเกิดแสงสว่างขึ้นมามากๆ สว่างแบบบอกไม่ถูก เราก็รู้หนอๆๆๆ แล้วก็รู้ลงไปตามสิ่งที่เกิดขึ้น สักพักหนึ่งแสงสว่างนั้นก็หายไป
เราก็ร้องอ้าวในใจว่า ไหงเป็นแบบนี้ไปได้ เราคิดว่าเราง่วง ที่แท้สมาธิมันเกิดมากไป ลืมตามา หายง่วงเป็นปริดทิ้ง ก็เลยลุกขึ้นเดินจงกรม
พระอาจารย์ยิ่งบอกว่า ให้เราเดินให้มาก นั่งให้น้อย นี่แค่นั่งอ่านหนังสือเองนะ จิตมันไวกว่าเมื่อก่อนมาก
เดี่ยวนี้ ถ้าเรากำลังทำอะไรอยู่ แล้วเรารู้สึกเหมือนว่าเราง่วง เราจะลุกเดินจงกรมทันที เพราะเท่าที่สังเกตุมาพักหลังนี่ ถ้ามีอาการง่วง แล้วนั่งหลับตาทีไร มันเป็นสมาธิทุกที บางทีสติไม่ทันก็ดิ่งนิ่งไปเลย
เวลาเดินจงกรมก็เหมือนกัน พอถึงตอนยืนทีไร จะเป็นสมาธิทันทีเหมือนกัน ก็เอาสติเป็นตัวรู้ตลอด เคยมีหลายครั้ง เกิดสมาธิขณะที่เดินจงกรม หัวทิ่มเลย สติมันไม่ทัน เราก็ขำๆตัวเอง เผลอไม่ได้เลย ต้องให้ทันตลอด
นั่งเฉยๆไม่ได้ทำอะไร ก็รู้ที่กายตลอด ดูอาการท้องพองยุบตลอด ถ้าเผลอจะเป็นสมาธิทันที อะไรที่มันมากเกินไปมันก็ไม่ดี
ความอยาก
05 เม.ย. 2008 ใส่ความเห็น
in บันทึก
ความอยาก
เพราะความอยากรู้ตัวเดียวแท้ๆ จึงเที่ยวหาหนทางด้วยความอยากรู้ จริงๆแล้ว ปรมัตถสภาวะล้วนๆนี่
เราเกิดมาตั้งนานแล้ว เราได้แต่รู้หนอๆมาตลอด ขนาดมีหนังสือเรื่องสภาวะต่างๆอยู่ในมือแท้ๆ
ก็เคยเปิดอ่านอยู่ แต่ทำไมตอนนั้นถึงอ่านแล้วยังไม่รู้เรื่อง หรือไม่ได้สนใจที่จะอ่าน จนคุณนุ บอกว่า
ที่คุณพูดมาทั้งหมดนั้น หลวงพ่อภัททันตระ ท่านเขียนไว้ในหนังสือ ให้ไปอ่านดีๆ
ที่แท้การปฏิบัติเราก้าวหน้า แต่เราไม่รู้ว่าก้าวหน้า มันผ่านแต่ละสภาวะผ่านไปไวมากๆ
เคยท้อเหมือนกัน มันน่าเบื่อ แต่ถึงจะเบื่อยังไงให้เราเลิกปฏิบัติ เราก็เลิกไม่ได้ มีเวลาเมื่อไหร่
ต้องเก็บเล็กผสมน้อยตลอดเวลา ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
เพิ่งมาถึงบางอ้อ ว่าที่แท้ อาการที่เกิดนั้นมันเป็นเพียงสภาวะเมื่อถึงจุดๆหนึ่งที่จะต้องเจอ
เรื่องเกี่ยวกับสภาวะญาณต่างๆที่เกิด เมื่อก่อนเคยรู้สึกนะ รู้สึกปลื้มปีติกับผลที่ได้รับจากการปฏิบัติ
แต่เดี่ยวนี้ มันแปลกๆ เราเองยังแปลกใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไม เดี๋ยวนี้ถึงไม่ใส่ใจในคำเรียก
หรือสมมุติบัญญัติที่มีไว้ให้รู้ เพียรหาวิธีแก้สิ่งที่ติดอยู่ตั้งนาน
ที่แท้ติดอยู่ที่คิดแค่นั้นเอง แต่ดีอย่างที่เรายังมีวาสนามีครูบาอาจารย์ที่เมตตาต่อเรามากๆ
เดี๋ยวนี้อยู่ต่อหน้าท่าน คิดอะไรไม่ได้เลย ( ใช้คิดหนอๆ อย่างเดียว เวลาอยุ่ต่อหน้าท่าน ) กลัวผิดศิล
เดี๋ยวนี้ก็แปลกอีกอย่างเรื่องศิลนี่ ทั้งๆที่เราไม่ได้สมาทานอะไร แต่ทำไมต้องระวังไม่ให้ตัวเองผิดศิล
ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าถ้าศิลเราพร่องการปฏิบัติเราจะไม่ก้าวหน้า
เราไม่อยากเกิดอีกแล้ว ตั้งแต่ผ่านเวทนาหนที่สองนี่ เรามองเห็นความกลัวที่เรามีอยู่
ไม่เคยกลัวเท่าครั้งไหนๆเลย ครั้งนี้กลัวมากๆ เหมือนความกลัวอันนี้ที่แท้มันมีอยู่แล้ว
เพียงแต่มันถูกซ่อนเอาไว้ แล้วถ้าเกิดต้องตายจริงๆมิขาดสติไปหรือนี่ รู้แต่ว่า ประมาทไม่ได้แล้ว
ความสงสัยต่างๆที่เคยมีมากมาย เดี๋ยวนี้แทบจะไม่มีเลย มันสงบมากๆจนตัวเราเองก็ยังแปลกใจเลย
เรื่องพิเศษแห่งบัญญัติและปรมัตถ์
05 เม.ย. 2008 ใส่ความเห็น
in หนังสือ
นนุ จ ตชฺชา ปญฺญตฺติวเสน สภาวธมฺโม คณฺหายตีติ สจฺจํ คณฺหายตีติ
ปุพฺพภาเค ภานาย ปน วฒฺฑมานาย ปญฺญตฺตี สมติกฺกมิตฺวา สภาเวเยว จิตฺตํ ติฏฺฐตีติ
ถามว่า ท่านเอาปรมัตถธรรมโดยอำนาจบัญญัติที่เกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆมิใช่หรือ
ตอบว่า ใช่ ถือเอาแต่ตอนต้นๆเท่านั้น แต่เมื่อเจริญวิปัสสนาภาวนานานเข้าๆ
จิตจะก้าวล่วงบัญญัติเสีย ตั้งอยู่ในปรมัตถสภาวะล้วนๆดังนี้
ซ้ายย่างหนอ,ขวาย่างหนอ,ยกหนอ,เหยียบหนอเป็นต้น คนทั้งหลายก็อาจสงสัยในวิธีการว่า การกำหนด
อย่างนี้เป็นการกำหนดบัญญัติ เมื่อกำหนดบัญญัติอยู่จะจัดเป็นการเจริญวิปัสสนาได้อย่างไร
ทำการกำหนดอารมณ์บัญญัติไปก่อน มิฉะนั้นจิตจะไม่มีที่กำหนด
จะหายไป เหลือแต่ปรมัตถสภาวะล้วนๆ
ยังไม่เข้าถึงปรมัตถสภาวะ แต่พอเจริญวิปัสสนามาเรื่อยๆ ปัญญาภาวนาแก่กล้าเข้า จนถึง
อุทยัพพยญาณอย่างแก่ อารมณ์บัญญัติก็จะหายไปตามลำดับ อารมณ์ปรมัตถ์จะปรากฏขึ้นแทน
และเมื่อถึงญาณที่ ๕ คือภังคญาณแล้ว ก็จะมีแต่อารมณ์ปรมัตถ์ล้วนๆ
ออกจากที่เก็บ ก็จะต้องเอามาใส่กระด้ง,ตะแกรง ค่อยๆร่อน ค่อยๆฝัดอยู่หลายๆครั้ง เพื่อเลือกเก็บ
เอาสิ่งสกปรกที่ปะปนอยู่ในข้าวสาร เช่น ขี้หนูหรือยากเยื่อออกให้หมดแล้ว จึงจะได้ข้าวสารบริสุทธิ์
ที่ตนต้องการ
โดยการพยายามปฏิบัติไปเรื่อยๆ ปัญญาภาวนาแก่กล้าเข้า ก็จะได้ปรมัตถสภาวะล้วนๆ
จะเห็นได้ในขณะที่กำหนดพอง,ยุบ,นั่ง,ถูกไม่มีคือหายไปหมด และการกำหนดอยู่ว่ารู้หนอๆนั้นแหละ
เป็นปรมัตถสภาวะล้วนๆที่เดียว เพราะไม่มีอะไร คือหายไปหมด อันเป็นลักษณะของ ภังคญาณ
สรุปได้ความว่า ในขั้นต้นๆการกำหนดอารมณ์ยังเป็นบัญญัติอยู่ อัตตาก็ปรากฏ อนัตตาก็หายไป
ต่อมาปัญญาภาวนาแก่กล้าเข้า อารมณ์บัญญัติก็หายไป อารมณ์ปรมัตถ์เกิดขึ้นแทน
ระยะอารมณ์ปรมัตถ์เกิดขึ้นนี้แหละ อนัตตาก็ปรากฏอัตตาก็หายไปฉะนี้
จากหนังสือ วิปัสสนาทีปนีฎีกา รจนาโดย ดร.ภัททันตะ อาสภมหาเถระ อัคคมหกัมมัฏฐาน ธัมมาจริยะ
เป็นปรมัตถสภาวะล้วนๆที่เดียว เพราะไม่มีอะไร คือหายไปหมด”
เวทนา ครั้งที่ 2
02 เม.ย. 2008 1 ความเห็น
in บันทึก