29 สค.
จากที่เคยแค่เจ็บหัวใจเพียงอย่างเดียว
ตอนนี้จะเจ็บแน่นกลางหน้าอก
ไม่ได้ใช้วิธีกำหนดแต่อย่างใด
คือ ไม่ใช้กำหนดรู้หนอ สำทับลงไปในอาการที่มีเกิดขึ้น
จะใช้วิธีปล่อยให้ทุกสิ่งมีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง
อาการเจ็บแน่นกลางหน้าอก นานๆจะเกิด
จะไม่มีเกิดขึ้นบ่อยเหมือนเจ็บหัวใจ
ตั้งแต่กินยา อาการเจ็บหัวใจมีเกิดน้อยลง
.
ตอนที่รู้สึกเจ็บแน่นกลางหน้าอก จะนอนราบก็นอนไม่ได้
นั่งที่โซฟา ลองนั่งในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน
ยังคงรู้สึกเจ็บมาก หายใจลำบาก
สูดลม หายใจเข้าออกยาวๆลึกๆ หายใจช้าๆ
เอามือทาบไว้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องทำแบบนั้น
สักพักนำเสื่อโยคะมาปูนอน ลองนอนราบดูอีกครั้ง
ครั้งนี้นอนได้ นอนตะแคงขวา เอามือรองแก้ม
แขนข้างซ้าย มาวางบนข้อศอกที่รองแก้ม
รู้ชัดไปตามอาการที่มีเกิดขึ้น
สักพักจิตเป็นสมาธิ
ยังคงนอนในท่านั้น ไม่ขยับตัว
รู้ชัดอาการจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ แล้วคลายตัวลง
แล้วตั้งมั่นเป็นสมาธิใหม่ แล้วคลายตัว
มีเกิดขึ้นสลับกันไป
จนกระทั่งอาการเจ็บหายไป
นอนอยู่อย่างนั้นยังไม่ลุกขึ้น
ผ่านไปสักพักแบบอาการที่เป็นอยู่หายไปหมดแล้ว จึงลุกขึ้น
มองดูนาฬิกา ช่วงเวลาที่มีอาการเกิดขึ้นทั้งหมดเกือบ ๑ ชม.
.
ถ้าไม่ได้กรรมฐาน
ไม่รู้ว่าจะทนได้แบบนี้หรือเปล่า
6 กค.
เหมือนติดเครื่องกระตุ้น ให้เกิดความรู้สึกตัว
.
อาการเจ็บหัวใจ เป็นเหมือนเครื่องกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกตัว
เจ็บแป๊บเหมือนฟ้าแลบ เจ็บสั้นๆ แต่เจ็บบ่อย
ความรู้สึกเจ็บที่เกิดขึ้นทำให้เกิดการคิดพิจรณา
ทบทวนเรื่องราวของชีวิต สิ่งที่มีเกิดขึ้นในชีวิต
เกิดมานี่ ใช้ชีวิตคุ้มจริงๆ มีทั้งสูง ทั้งต่ำตม ขมขื่น หวานชื่น เปรี้ยวปริ๊ด ฯลฯ ได้ลิ้มลองทุกอย่าง ล้มลลงไป ก็ลุกขึ้นมาใหม่ ลุกไม่ไหว ก็คลานเอา
ผลของการเจริญสติที่ทำมาต่อเนื่อง ทำให้มีจิตใจที่เข้มแข็ง ไม่มีท้อถอย ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นในชีวิต มีแต่คิดพิจรณาถ่ายถอนอุปาทานที่มีอยู่
.
เมื่อคืนประมาณตี ๔ มีเสียงเคาะประตูเป็นระยะห่าง ประมาณ ๔ ครั้ง ตอนแรกที่ได้ยิน คิดว่าหูแว่ว ใครที่ไหนจะมาเคาะประตูเล่นในช่วงนั้น
มีภาพผุดขึ้นมา เคาะโลงเรียก
พอมีเสียงเคาะอีก เรานึกในใจว่า ยังไม่ตายโว๊ย ไม่ต้องมาเคาะ
เสียงเคาะก็เงียบหายไป
12 กค.
อ่านเจอเรื่องการถอนฟันกับไทรอยด์เป็นพิษ
ทำให้คิดพิจรณาว่า โรคทั้งหลายทั้งปวง
ไม่มีอะไรที่ยิ่งไปกว่า ใจหรือจิตดวงนี้
.
เราได้ถอนฟันไป ๒ ซี่ๆละปี ถอนตอนกลับบ้าน
ก่อนถอนฟัน ทางรพ.จะให้เซ็นเอกสาร การยอมรับการรักษา
หากมีเหตุอันทำให้ถึงแก่ชีวิต จะไม่เอาความกับรพ.
ตอนที่อ่านแล้วเซ็น ความรู้สึกตอนนั้น เฉยๆนะ
และก็ยังไม่รู้ว่า โรคที่เป็นอยู่ ห้ามถอนฟัน
เนื่องจากยาชาที่ใช้ ส่งผลกระทบกับหัวใจ
ตอนนั้น เรายังไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้
เพราะยังไม่รู้ว่าตัวเองป่วย จึงไม่ได้หาข้อมูลใดๆทั้งสิ้น
.
ปีก่อน ถอนฟันครั้งแรก
เป็นคนกลัวการถอนฟัน เพราะฝังใจในตอนเด็ก
ตอนนั้นเหงือกบวม แล้วหมอฉีดยาชา
เจ็บปวดยิ่งกว่าอะไร จึงทำให้กลัวการถอนฟัน
ครั้งนี้ ใช้วิธีกำหนดรู้หนอๆ กำหนดไปเรื่อยๆ
รู้ชัดทุกขณะที่หมอฉีดยาชาที่เหงือก ด้านนอกและด้านใน
ความรู้สึกเหมือนถูกมดกัด
หลังถอนฟันเสร็จ
ขอหมอดู เเหลือแค่รากฟันที่เป็นเศษเล็กๆ
หลังกลับมาจากรพ. นอนอย่างเดียว ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น
นอนจนตะวันตกดิน จึงลุกขึ้น ดึงผ้าก๊อซออก แล้วเอามาดม
กลิ่นเหมือนเนื้อเน่า มีเลือดสีคล้ำๆ ยังไม่กล้ากินอะไร ดื่มแต่น้ำ
อาการปวดฟันไม่มี
วันรุ่งขึ้นกินข้าวปกติ เคี้ยวอาหารด้านที่ไม่ได้ถอนฟัน
จำไม่ได้ว่ากี่วันเนื้อเหงือกจึงขึ้นเต็ม รู้แต่ว่าไม่นาน
.
ปีนี้ ถอนฟันครั้งที่ ๒
เป็นฟันกรามเช่นกัน สาเหตุจากเคี้ยวน้ำแข็ง ฟันแตกครึ่ง
ตอนที่หมอฉีดยาชา ไม่มีกำหนดรู้หนอ แต่รู้ตามความเป็นจริงของสิ่งที่เกิดขึ้น รู้ชัดทุกขณะที่หมอฉีดยาชา ด้านนอกเหงือก ด้านในเหงือก และในโพรงฟัน
ความรู้สึกเหมือนโดนมดกัด
วิธีถอนฟันครั้งนี้ ไม่เหมือนครั้งแรก หมอใช้คีมช่วยดึงฟัน
กว่าจะถอนออกได้ นานเหมือนกัน
พอถอนเสร็จ ขอฟันจากหมอ
กลับมาถึงบ้าน รู้สึกเหงือกระบม นอนอย่างเดียว
ตอนที่ดูฟัน รากฟันอยู่ครบ ฟันถึงได้ถอนยาก
ตกเย็น เอาผ้าก๊อซออก เลือดสีคล้ำๆ มีกลิ่นเหม็นเน่า
ไม่มีการใช้ผ้าก็อซอีก อมน้ำแล้วบ้วนทิ้ง
ต้องกินพารา รู้สึกระบมที่เหงือก
ตอนกินข้าว เคี้ยวข้างที่ไม่ได้ถอนฟัน
ครั้งนี้กินข้าวเร็วกว่าครั้งก่อน เพราะต้องกินยาแก้ปวด
.
แบบว่าอ่านแล้วแปลกใจ ที่มีคนมาแชร์เรื่องการดูแลหลังถอนฟัน ห้ามนอนราบ ควรเปลี่ยนผ้าก๊อซทุกคครึ่งชม.หรือ 45 นาที
เพื่อป้องกันเลือดแข็งตัวติดผ้าก๊อซ
2-3 วันแรกของการถอนฟัน ไม่ควรดื่มน้ำโดยใช้หลอดดูด
แต่เราไม่ได้ทำแบบนั้นเลย
ทั้งนอนราบ และไม่มีการเปลี่ยนผ้าก๊อซ
อาหารกินปกติ ดื่มน้ำก็ใช้หลอดดูด
หลังกินอาการเสร็จ จะกลั้วปากเบาๆ
หลังถอนฟัน ประมาณ ๒ อาทิตย์ เหงือกขึ้นเต็ม
แบบว่า แอบส่องดูทุกวัน
ทุกอย่างอยู่ที่ใจ
ความวิตกกังวล ทำให้ใจป่วย ส่งผลกระทบต่อร่าง
24 กค.
วันนี้หมอนัด ก่อนพบหมอ ตรวจคลื่นหัวใจ
การเต้นของหัวใจยังไม่ปกติ
หมอบบอกว่า ถ้าค่าไทรอยด์กลับมาปกติ จะมีอาการหนาว
เราบอกว่า งั้นชาตินี้คงไม่หาย
หมอบอกว่า แสดงว่าเป็นมานานมาก
เราบอกว่า เปล่าค่ะ โดยปกติเป็นคนชอบอากาศเย็น เป็นมาตั้งแต่เด็ก คำว่าหนาว คนทั่วไปอาจจะหนาว แต่เราไม่เป็น
(เรื่องนี้เคยคุยกับเจ้านายนะ ตอนไปแพร่ มีแต่คนถามว่า ไม่หนาวเหรอ ตอนนั้นหน้าหนาว แต่ละคนใส่เสื้อหนา บางคนหลายชั้น เราใส่เสื้อแขนยาวบางๆ เราบอกว่าไม่นะ อากาศกำลังสบาย เราบอกเจ้านายว่า อาจเป็นเพราะกสิณไฟที่เคยฝึกมา ทำให้ร่างกายจะอุ่นเกือบร้อน แต่เหงื่อไม่ค่อยมี)
หมอบอกว่า เพิ่มยาละลายลิ่มเลือด(orafarin สีฟ้า ๑ เม็ด หลังอาหารเช้า) อีกสองอาทิตย์เจาะเลือด
หมอถามว่า บอกเรื่องหัวใจโตแล้วใช่มั๊ย
เราบอกว่า ค่ะ
หมอบอกว่า ระวังเรื่องเส้นเลือดอุดตันที่หัวใจห้องบน ถ้ามีเศษลิ่มเลือดหลุดออกมาแล้วขึ้นสมอง เสี่ยงอัมพาต จึงต้องให้ยาละลายลิ่มเลือด
ตอนไปรับยา เภสัชถามว่า ได้เจาะเลือดหรือยัง
เราบอกว่า ยังค่ะ
เขาถามว่า หมอให้กินยาก่อนเจาะเลือดเหรอ
เราบอกว่า หมอให้กินยาก่อน อีกสองอาทิต์เจาะเลือด
เขาให้หนังสือคู่มือ ให้เราจดสีของยา และขนาดของยา
บอกว่า อ่านคู่มือให้ละเอียด ระวังการมีแผลหรือเลือดออก
ถ้าเลือดออกผิดปกติ ให้รีบมารพ.
ตอนเจ้านายกลับมา เราบอกเขาว่า ต้องระวังผักสีเขียว พอดีไม่ชอบกินผัก ก็เลยรอดตัวไป ถ้าเป็นเขาคงลำบากเพราะเขาชอบกินผัก
.
วันนี้หลังจากจ่ายค่ายา ก็คิดพิจรณาว่า เออหนอ.. นึกถึงคนที่ไม่มีเงินหรือมีรายได้น้อย แล้วป่วยแบบเรานี่ ทางรอดมีน้อยมาก ตายอย่างเดียวจริงๆ
7 สิงหาคม
วันนี้ไปตรวจตามที่หมอนัด ผลเลือดค่าไทรอยด์ลดลงปกติ แต่หมอยังให้กินยาต่อ
ยาสำหรับลดอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ ให้กินต่อ
ยาละลายลิ่มเลือด หลังจากเล่าอาการให้หมอฟัง หมอบอกว่า เพิ่งเจอเป็นเคสแรกที่มีอาการแบบนี้ คือ หลังกินยา จะมีความรู้สึกเหมือนกลิ่นบุหรี่อยู่ในคอ แล้วได้กลิ่นบุหรี่บ่อยมาก ทั้งๆที่อยู่คนเดียว ไม่มีใครสูบบุหรี่ และมีอาการเจ็บหัวใจบ่อยกว่าตอนที่ยังไม่กินยาตัวนี้ หมอจึงให้งดยาไว้ก่อน
ตอนแรก หมอถามก่อนว่า ขอหมอลองเปลี่ยนยาตัวใหม่มั๊ย แต่ยาตัวนี้เม็ดละ 10 บาท
เราบอกว่า ไม่ค่ะ
ดีที่หมอยังให้ตามที่เราบอก คือ ไม่ลองเปลี่ยนยาตัวใหม่
เหตุที่เราเราปฏิเสธ ไม่ใช่เรื่องราคา แต่เป็นเรื่องของผลกระทบต่อร่างกายที่มีเกิดขึ้นตามมา ซึ่งคิดว่า จะรักษาแบบที่เคยรักษามา อาจจะใช้เวลา แต่ดีกว่ามาลองยาตัวนั้น ตัวนี้
.
รอบนี้ผลเลือดเกี่ยวกับตับ จากที่โปรตีนในเลือดต่ำ ค่ากลับมาปกติ แต่ค่าตับอีกตัวจากที่เคยปกติ กลับมีค่าสูงมาก
sgpt จาก 16 กระโดดไปที่ 95
ส่วนค่าน้ำย่อยในตับที่เคยสูงนั้น ลดลง แต่ก็ยังสูงอยู่
หมอถามว่า เคยป่วยเป็นโรคตัวเหลือง(โรคตับมั๊ย)
เราบอกว่า ไม่เคยค่ะ เคยเจาะเลือด มีภูมิคุ้มกันอยู่
หมอถามว่า เคยดื่มสุราหรือของมึนเมามั๊ย
เราบอกว่า ตอนวัยรุ่นเคยดื่ม
หมอถามว่า ดื่มมากมั๊ย บ่อยมั๊ย
เราบอกว่า ไม่ 6 โมงเช้า ยังไม่กลับบ้าน
หมอถามว่า แล้วเลิกได้ยังไง
เราบอกว่า เพราะทำกรรมฐาน
หมอบอกว่า ดีจริงๆ
เราบอกว่า ขึ้นอยู่กับเพื่อนที่คบ คบเพื่อนเที่ยว ย่อมชอบเที่ยวเป็นเรื่องธรรมดาค่ะ แล้วถามหมอว่า เราเป็นคนที่ไม่รู้จักคำว่าหลับ ถามหมอว่า หมอเข้าใจคำว่าหลับใช่มั๊ยคะ?
หมอพยักหน้า
เราบอกว่า สิบกว่าปีแล้ว เราไม่เคยหลับ และไม่รู้จักคำว่าหลับ รู้จักแต่สมาธิ เวลานอน ถ้ากำลังสมาธิที่มีเกิดขึ้นมีน้อย จะรู้สึกตัวทั้งคืน ถ้ากำลังสมาธิมีมาก จะรู้สึกวูบลงไป แล้วสว่าง ต่อมามันจะดิ่ง แล้วทุกอย่างจะดับหายไป เป็นแบบนี้มาตลอด พร้อมกับถามหมอว่า แบบนี้ส่งผลต่อร่างกายมั๊ยคะ?
หมอบอกว่า ไม่ส่งผล
(ตอนที่หมอบอกว่าไม่ส่งผล ในใจเราก็ค้านนะ คือ ไม่เห็นด้วย เรามองว่า ถ้าร่างกายยังคงมีความรู้สึกตัว มันก็เหมือนคนที่ไม่นอน อวัยวะต่างๆของร่างกายย่อมทำงานอยู่ ไม่งั้นหัวใจเราคงไม่เป็นแบบนี้ คือ แค่คิด แต่ไม่พูดออกไป)
.
การตรวจครั้งต่อไป หมอขอตรวจเกี่ยวกับตับ และหัวใจยังคงต้องดูอาการต่อเนื่อง หมอนัด 1 เดือน