ผู้ดู ผู้รู้ ตัวผู้รู้ คือใคร

                      มีคนอีกจำนวนมากที่พยายามหาว่า ” ผู้รู้ ”  ครูบาฯกล่าวถึงนี่คือใคร  .. บ้างก็นำมาถกเถียงกัน  บ้างก็นำมาเอ่ยอ้างกัน  แต่ไม่มีใครขยายใจความเลยสักคนเดียว  แล้วผู้รู้คือใครกันล่ะ  ผู้รู้นี่ก็คือ จิตเรานี่เอง  แต่มีหลายสถานะ  ลองไล่ดูว่าจริงไหม

                      ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมา จนกระทั่งปิดเปลือกตาลง

จะมีสองสิ่งที่เกิดขึ้น … ลองดูกันว่าจริงไหมคะ?

เมื่อเราลืมตาขึ้น .. จะมี ผู้ดู เกิดขึ้น … และ สิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งมันมี

มันเป็นของมันแบบนั้นอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีผู้ดูหรือไม่มีผู้ดูก็ตาม

พอลืมตาได้สักพัก … เริ่มมองเห็นสภาพรอบๆตัวชัดเจน ตอนนี้เริ่มมี ผู้รู้ เกิดขึ้น

กับ สิ่งที่ถูกรู้ ทำไมถึงเรียกว่าผู้รู้ เพราะเขารู้ว่า สิ่งที่เขาเห็นมันเรียกว่าอะไร

และ สิ่งที่เขาเห็นแล้วเรียกนั้น เป็น สิ่งที่ถูกรู้

 

ต่อมา มี ตัวผู้รู้ เกิดขึ้น .. ตัวผู้รู้ เกิดขึ้นจากอะไร เกิดจากเอาตัวตน

ที่ตัวเองคิดว่าตัวเองมีตัวตน เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ถูกเห็น

แล้วสิ่งที่ถูกรู้จะเปลี่ยนสภาพเป็น ใช่ และ ไม่ใช่ ถูก และ ผิด พอใจ และ ไม่พอใจ ..

เลยเป็นการก่อภพก่อชาติ ก่อเหตุขึ้นมาใหม่ ไม่รู้จักจบจักสิ้น

เมื่อคนๆนี้ ได้เจริญสติปัฏฐาน 4 ย่อมมีสติ สัมปชัญญะมากขึ้น …

ตัวผู้รู้  ที่มีอยู่ ย่อมลดน้อยลงไป สุดท้ายเหลือเป็นเพียงแค่  ผู้ดู

 

ส่วนสิ่งที่มีคำว่า ใช่ และ ไม่ใช่ ถูก และ ผิด พอใจ

และ ไม่พอใจ ย่อมแปรสภาพกลับมา เป็น   สิ่งที่ถูกรู้

ต่อมาเมื่อ  มีสติ สัมปชัญญะมากขึ้น   ผู้รู้  ย่อมหายไป จะเปลี่ยนเป็น  ผู้ดู

และ สิ่งที่ถูกรู้จะเปลี่ยนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น

และสิ่งที่เกิดขึ้นจะแสดงเป็นไตรลักษณ์ให้เห็น ซึ่งมันมีของมันอยู่แล้ว

เพียงแต่เรายังมองไม่เห็นเท่านั้นเอง เพราะตราบใด ที่ยังมีเราเขา( ตัวผู้รู้ )

เข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่สามารถมองเห็นตามความเป็นจริงได้เลย

ผู้ดู … สิ่งที่เกิดขึ้น .. ไม่มีเหตุ ย่อมไม่มีผล

ผู้รู้ … สิ่งที่ถูกรู้ … มีเหตุนิดๆคือความคิด ผลย่อมมีแน่นอน

(กรรมคือการกระทำ   วิบากคือผล  ถึงจะเป็นเพียงความคิด  ก็ต้องรับผลแน่นอน  มากน้อยอยู่ที่คิด)

ตัวผู้รู้ … สภาวะเปลี่ยนไป เป็น ชอบใจ ไม่ชอบใจ ถูก ผิด ทุกข์ สุข ตามความคิดของตัวเอง

ตัวนี้แหละสำคัญก่อภพก่อชาติไม่รู้จบ

 

                     

เมื่อมีเราน้อยลง

 
                          เมื่อเช้า  อยากลองนอนยาว  ตอนนั้นลืมตาขึ้นมาแล้ว  เลยไปนอนที่โซฟา  หมอนทำไมมันนุ่มแบบนี้หนอ  หลายอาทิตย์เลย  ไม่เคยได้นอนแบบนี้  นอนในท่าตะแคง คู้เข่า  หลับสนิมทันทีเลยเรา   เราเป็นคนหลับง่าย  นั่งตรงไหนเงียบๆไม่ได้  หลับทันที  เป้นความสามารถเฉพาะตัวจริงๆ
 
                          เคยกลับบ้าน  ขึ้นรถได้ หลังพิงเบาะ  หลับตั้งแต่บางนาถึงสัตหีบ  มีอยู่ครั้งขึ้นรถระยองแล้วไปรถทัวร์เที่ยวสุดท้าย  เราดันหลับไปตื่นอีกทีถึงระยอง  ก็ดึกมากๆ  ไม่มีคนเลยตรงจุดที่เราลง  เสี่ยงเป็นเสี่ยง  เราโบกรถสิบล้อ  ไม่กลัวอะไรแล้ว  ดีกว่ายืนข้างทางคนเดียว  มีแต่เสาไฟฟ้า   พอขึ้นรถได้  ดีใจสุดๆ  รถขนส่งของเพื่อนเราเอง  เพื่อนบอกว่า แกนี่จริงๆกล้าโคดๆไม่มีเปลี่ยนเลย  ถ้าไม่ใช่ช้านแล้วแกจะทำยังไง  เราบอกว่า ก็ไม่ทำยังไง  ก็ขึ้นรถนี่แหละ  อะไรมันจะเกิดก็เกิด  เพื่อนมันว่าเราเพี้ยน  ก็กลับบ้านพร้อมเพื่อน บ้านอยู่ใกล้ๆกัน  เราเดินเข้าไปในซอยนิดเดียว   นี่แหละ  อานิสงส์  ช่วยใครๆที่หลงทางไว้เยอะ  ใครมาขอค่ารถก้ให้เขา  โดยไม่มาคิดว่าเขาหลอกหรือเปล่า  เรียกว่าถ้ามาขอเราให้ทันที ไม่หวง
 
 
                          ตอนนี้ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ เราจะกินมังสะ  ขอคืนชีวิตให้สรรพสัตว์  เราอาศัยเลือดเนื้อของเขาหล่อเลี้ยงชีพมานานแล้ว  ตอนนี้พอแล้ว  ไม่คิดจะเบียดเบียนเขาอีกแล้ว  แล้วเราก็อาการเหมือนเวลากินเจ  ถ่ายท่องจนเกลี้ยง  ไม่มีเหลืออะไรในท้องเลย
 
                          กุศลนี่เรื่องจริงนะ  สร้างเหตุดี  ผลย่อมดีอย่างแน่นอน    เรื่องอาหารการกิน  เราไม่เคยลำบาก  ที่พักได้อยู่ใกล้ชุมชน  วัดมหาธาตุที่ไปหาครูบาฯก็อยู่ต้นสายได้นั่งยาวเลย จนสุดท่าราชวังหลวงโน่น  ขากลับก็สบาย  ดึกแค่ไหนก็ได้ เพราะรถสายนี้มีวิ่งถึงสว่าง  เรียกว่า 24 ชม.  ขึ้นรถปั๊บ  หลับสบาย  ตื่นอีกที ถึงป้ายที่จะต้องลง ..
 
                           นี่จะทานมังสวิรัติ  เครื่องประกอบก็หาง่าย  เต้าหู้อ่อนนี่สบายมาก  ตลาดอยู่ไม่ไกลนัก  ผักก็เพียบ   หน้าบ้านก็ร้านค้า  ผักกำละ 5 บาท ทำทานคนเดียวยังไม่หมดเลย   เต้าหู้อ่อนนี่ทำอะไรก็อร่อยนะ  ทำได้ทั้งของคาวและของหวาน  ขอเพียงรู้จักทำเท่านั้นเอง
 
 
มีเราน้อยลง
                          เมื่อเริ่มมีเราเข้าไปข้องเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นน้อยลง  เราพบความสุขใจมากขึ้น  เริมอยู่ในท่ามกลางของความพอใจและความไม่พอใจได้มากขึ้น  เวลาอะไรมากระทบ  จิตกระเพื่อมน้อยลง  เรามีหน้าที่เพียงเฝ้าดู  ทำหน้าที่เป็นผู้ดูที่ดี  สบายใจขึ้นเยอะมากๆ  มากกว่าเมื่อก่อน 
 
                           เมื่อก่อนนี่  อะไรมากระทบล่ะก็ต่อมน้ำตาแตก  เดี๋ยวนี้ไม่เลย  แค่ทำหน้าที่ผู้ดูที่ดี มองแค่ว่า อะไรจะเกิดมันก็เรื่องของสิ่งที่เกิดขึ้น  เดี๋ยวมันก็ดับไปเอง  เพียงแต่เราต้องใช้ความอดทนที่จะต้องอยู่กับมัน  แล้วเราก็จะผ่านมันไปได้โดยไม่ต้องเสียน้ำตาหรือเสียใจอีกต่อไป
 
                            เดี๋ยวนี้เราไม่รู้สึกโดดเดี่ยวแล้ว   พอเราเริ่มอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ความรู้สึกโดเดี่ยวที่มีอยู่ มันค่อยๆจางหายไป  มองไปรอบๆตัวด้วยความสดชื่น  ช่วยใครได้ช่วยทันที  ไม่ต้องมาคิดว่าควรช่วยหรือไม่  ไม่เลือกว่าเป็นใคร 
 
                            เราเองเริ่มชินกับเสียงแปลกๆในห้องทำงานของเรา  เหมือนมีเพื่อนนะ  เขารอเราแผ่เมตตา   กรวดน้ำให้กัน  พอเราให้เขาจบ  เขาก็เงียบเสียงไปกันเอง   ห้องทำงานนี่เราไม่เคยล็อกนะเวลาไม่อยู่ห้อง  เพราะพนักงานไม่กล้าเข้าห้องเราคนเดียว  เขากลัวเจ้าของเสียงประหลาด
 
                            ที่บ้านก็เหมือนกัน  แค่ล็อกประตูบ้านอย่างเดียว  ลูกบิดธรรมดาๆนี่แหละ  ไม่มีการล็อกแม่กุญแจ  น้องที่อยู่ด้วยกันก็ไม่สนใจ  คือ  เรามองกันว่า ถ้าเป็นของๆเราต้องอยู่กับเรา  ถ้าเราเคยเอาของเขามา  เขาก็มาเอากลับไป   เราอโหสิกรรมให้  แม้แต่เวลาพนักงานมาฉีดปลวก  เจ้าของบ้านเช่าเขาส่งมาเอง ไม่เกี่ยวกับเรา  เราได้แต่ยืนแผ่เมตตาให้ปลวก  เขาขึ้นไปบนห้องพระ  เราไม่เคยตามไปดู  ปล่อยเขาตามสบาย พระเราน่ะเยอะมากๆ  เวลาเขาลงมา เขาจะคุยกันเรื่องพระในห้องพระของเรา  เราคิดว่า ถ้าเขาขอก็จะให้  แต่พอดีเขาไม่ขอ  เราเลยเฉยๆ
 
                             นับวันด้านจิตใจเราก้าวหน้าขึ้น  จิตเริ่มปล่อยวางมากขึ้น  แบบที่เราไม่คาดคิด  มันเฝ้าดูอย่างเดียว  .. เลยไม่ต้องมานั่งเสียใจอะไรอีกต่อไป   สบายใจมากขึ้น  …
                    
 
                         

เหมือนเติบโตมากขึ้น

23 มิย.52
 
เช้าวันนี้  ความคิดของเราเปลี่ยนไป  ความฟุ้งต่างๆรอบตัวน้อยลง  
เริ่มเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น  สนใจในตัวเองน้อยลง  หมายถึงว่า  คิดจะให้คนอื่นมาเข้าใจเราเองน้อยลง 
มันไม่ใส่ใจมากมายว่าใครจะคิดยังไงกับเรา    วางในสิ่งที่มองดูแล้วทำให้เกิดปัญหา
 
คิดจะพูดอะไรก็พูด  แล้วดูสิ่งที่สะท้อนกลับมา  เมื่อเห็นมันเริ่มทันมากขึ้น   
ในบางครั้งความชอบหรือชังมันไม่มี   มันแค่ดูอะไรสักอย่างหนึ่ง  โดยที่ไม่มีเราไปเกี่ยวข้อง  
ตอนนี้รู้สึกถึงความเบากาย เบาใจ  มันรู้สึกโล่งๆบอกไม่ถูก  มันโล่งไปหมด
 
  เท่าที่สังเกตุมาตลอด   ตั้งแต่ทำอย่างต่อเนื่อง 
มันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา  นับวันมันจะเห็นรายละเอียดยิบๆ  
 แล้วใครจะเป็นอะไรอย่างไร    เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยจะสนใจ  หากคุยแล้ว  เขายึดมั่นถือมั่น 
เชื่อว่าวิธีแนวทางของตัวเองถูกที่สุด  เราเลิกคุยด้วย   ไม่คุยนะ  เสียเวลา  
 
31 พค.52
 
 บางคน อ่านแล้วอาจจะไหลไปตามความคิดของตัวเอง 

แล้วมานั่งคิดกันเอาเองว่า ทำไมถึงไม่ทำแบบนั้นแบบนี้ 
นั่นเป็นเพียงแค่ความคิดของแต่ละคนเท่านั้นเอง .. ไม่ว่ากันนะ 
เราไม่มาว่ากัน  เพราะเมื่อเข้าใจแล้ว  เราไม่มีการมาว่ากัน  …
 
ใครเขาจะอะไรยังไงหรืออย่างไร นั่นคือเขา 
เราจะอะไรยังไงหรืออย่างไร นี่คือเรา  ต่างอาจจะมีเรื่องราวที่แตกต่างกันไป 
แต่ดูให้ดีๆ  ในความแตกต่างนั้นมีความคล้ายคลึงกัน   ที่ว่าแตกต่างนั้นเพียงตัวละครที่เล่น 
และฉากที่ถูกจัดขึ้นโดยกิเลสของแต่ละคนเท่านั้นเอง  …
 
เรื่องราวต่างๆ  ไม่ว่าจะความสุข  ไม่ว่าจะความทุกข์  หรือความรู้สึกเฉยๆในเรื่องราวต่างๆ 
 นั่นสุดแต่ว่าคนๆนั้นจะให้ค่านิยามมันไปตามความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง  
คนไหนศึกษามามากหน่อย  ก็จะอิงเรื่องราวเข้ากับวิชาที่ตัวเองได้ศึกษามา

รู้สึกสดชื่น อิ่มเอิบใจยิ่งนัก

  13 มิ.ย. 2009
เช้าวันนี้แป่กเลย .. ดีฟตลอด ไม่รู้เรื่อง รู้อีกทีเสียงนาฬิกาดัง ตั้งไว้ที่ 12.50 น.
ช่วงบ่าย ขณะที่ทำสมาธิ สมาธิเกิดต่อเนื่องตลอดเวลา แผ่วลง แรงขึ้น สลับอยู่อย่างนั้น
ช่วงนี้สมาธิจะเกิดต่อเนื่องตลอด แม้กระทั่งลุกไปเข้าห้องน้ำ พอมานั่งก็เข้าสู่สมาธิได้ทันที
เราเฝ้าดูอย่างเดียว ดูกาย ดูจิต ดูสิ่งที่เกิดขึ้น สลับกันไปมา เฝ้าดู และรู้อยู่อย่างนั้น ไม่ไปสงสัยใดๆ

รู้สึกสดชื่น … หอมกลิ่นดอกหญ้า ..

 
 
                 
 
 
 
                              
ชอบภาพนี้เป็นพิเศษ  .. หมายถึงอารมณ์ของเราในยามนี้  .. รู้สึกสดชื่น   หอมกรุ่นๆกับกลิ่นดอกหญ้า  ..
 คิดถึงวัยเด็กที่วิ่งเล่นในกลางท้องทุ่ง   ที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา   ชวนให้ค้นหาว่า  มันกว้างมากแค่ไหน 
มีอะไรซุกซ่อนอยู่บ้างในทุ่งหญ้านี้   เสียดายไม่มีควาย   คิดถึงควายแถวๆบ้าน    ทุ่งหญ้าย่อมอยู่คู่กับควาย   เดินเคี้ยวเอื้องไปมา  … 
แบบว่ากำลังคิดถึงบ้าน  ไม่ได้กลับบ้านมานานแล้ว  คิดถึงเพื่อนๆ  ..
 
                             
เมื่อคืนรู้ตัวถึงตี 4 กว่าๆ ที่เหลือดับสนิท  …  เดี๋ยวนี้ยอมรับว่าติดสมาธิ ..
มันรู้สึกถึงความสงบที่เกิดขึ้นอยู่ภายในใจ   ไม่ไปวุ่นวายกับใครๆภายนอก  มันจะรู้อยู่ในตัว 
ทำให้เริ่มมีโลกส่วนตัวมากขึ้น  ไม่อยากไปคบค้าสมาคมกับใคร  ชอบอยู่เงียบๆคนเดียว   เดินมั่ง  นั่งมั่ง  มีความสุขในโลกของตัวเอง   
 
                                   

ห่วยแตกโคดๆ

 
                           ด่านนี้ชีวิตช่างห่วยแตกโคดๆเลย  …  บอกตามตรง  อะไรกันนักกันหนา   นี่เราไม่มีสิทธิที่จะเป็นตัวของตัวเองเลยหรือ   มีแต่เปลือก    เปลือก  แล้วก็เปลือก    ..  อะไรคือความจริง   อะไรคือเปลือก   …

 
                             พูดตามความจริงไม่ได้   .. นี่แหละมนุษย์  … อีกไม่นาน .. คงพ้นจากวงจรนี้ไปเสียที   เหนื่อยมากๆด่านนี้   .. ผ่านมาสองด่าน    ยังไม่เคยเจออะไรที่มันหนักหนาขนาดนี้เลย  … ตอนนี้เกิดอาการเบื่อมากๆ  … เหนื่อยใจมากๆ  …
 
                             ยิ่งประกาศว่า ยอมชดใช้ทุกอย่าง   ยิ่งโดนกระหน่ำทุกทางเลย   ..  เราคงเคยสร้างเหตุไว้ที่ไม่ดีไว้เยอะมากๆ  ผลจึงมีชีวิตที่ห่วยแตกมากๆในช่วงนี้   กะจะเอาให้เราหมอบเลยหรือไง   .. กิเลสหนอกิเลส  …..
 
                             ตอนนี้ได้แต่รอเวลา   รอความพร้อมของสมาธิ   … เราอาจจะไม่ต้องผ่านตามที่ครูบาฯพูดก็ได้   อาจจะผ่านครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายก็ได้   จะได้จบๆเสียที   .. เหนื่อยเหลือเกินช่วงนี้  …  ไม่สนใจแล้วว่าจะได้กลับมาหรือไม่ได้กลับมา   … ถ้ากลับมาแล้วเหมือนหุ่นยนต์ก็ยังดีกว่ามารับรู้เรื่องราวต่างๆอีก    เราไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว   … เบื่อจนอยากจะอ้วกออกมาให้หมดไส้หมดพุง  …
                         
                            มีคาถาเดียวเท่านั้นแหละเรา  ที่เอาเราอยู่ทุกวันนี้   จงอดทน  อดกลั้น  เฝ้าดูตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น  ได้แต่ดู  แต่อย่ามีเราเข้าไปยุ่ง   …  ใครไม่คิดจะสู้  ใครที่คิดหนีท่าเดียว  ก็ตามใจ  .. เราน่ะเดินทางคนเดียวจนชาชินแล้ว  ..
 
                            แต่ละคนก็เฝ้าถากถางทางของตัวเอง  มีอาวุธอยู่ในมือก็คือ สติ สัมปชัญญะ   แล้วแต่ว่าใครจะมีมากมีน้อยกว่ากัน   .. ใครมีมาก   คนนั้นก็ขัดเกลากิเลสออกไปได้มากขึ้น  คนไหนมีน้อยก็เสร็จกิเลสไป   … ถ้าทันก็ไม่เสร็จ

ทำความเพียรมากเท่าไหร่ .. ผิวพรรณยิ่งผ่องใส

 
 
                                                 0d01d01-2.jpg
 
 
                         เมื่อคืนยังคงพักจิตในสมาธิเหมือนเดิม   ความที่ว่าจิตฟุ้งไปภายนอก .. จิตจึงรวมตัวยาก   จับพองยุบได้ 10 ครั้ง  จึงเข้าสู่สมาธิ   แรกๆรู้ตัวดี  พอสักพักการรับรู้เริ่มขาดๆหายๆ   แล้วก็ดับสนิท   มารู้ตัวอีกทีเสียงนาฬิกาดัง ตี 5  ….  ลืมตาขึ้นมา  จิตที่ฟุ้งเมื่อคืน เริ่มดีขึ้น   สงบลง   ตะกอนที่มีอยู่เริ่มจางลง   .. นั่งทบทวนสภาวะว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง   สติยังไม่มากพอ  มีเท่านี้เอง  ไม่คิดโทษใคร  ดูที่จิตตัวเอง  ยังยอมรับสิ่งที่เกิดตามความเป็นจริงไม่ได้เต็ม 100  แต่ก็ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน   เรื่องทั้งเรื่องคือไปทดสอบจิตอีก  ไปอ่านเรื่องฝนตก  ด้วยความอยากจะรู้ว่า  ยังรู้สึกอะไรกับตรงนั้นไหม  ผลคือ     ฝนตกทันที …. บอกตัวเองว่า  อ้อ … ยังมี   ก็นั่งดูฝนเหมือนเดิม  เฝ้าดู  …  ถ้าไม่ได้สมาธิรักษาจิตเอาไว้ก็คงแย่เหมือนกัน …

 
                             เช้ามาขณะที่อาบน้ำ  มองแขนตัวเองตอนถูสบู่  ว่าเอ … แขนเรา ผิวเรา .. ทำไมวันนี้มันแปลกๆ   รู้สึกเหมือนกับมันขาวขึ้นกว่าเดิม   ก็ไม่ได้ใส่ใจ ..  เมื่อเช้าระหว่างขับมอไซค์ไปทำงาน  สงสัยเอาจิตไปจดจ่อกับทางมากเกินไป จิตดันรวมตัวเป็นสมาธิ   ดีที่ว่าพยุงตัวไว้ทัน   ไม่งั้นรถล้มแน่นอน   .. เดี๋ยวนี้ สมาธิเริ่มเกิดไม่เลือกเวลาแล้ว  นึกจะเกิดก็เกิด  …
 
                            ไปถึงที่ทำงาน   แหม่มเข้ามาหาในห้อง    คำแรกที่ทักเราคือ  วันนี้ทำไมหน้าผ่องจัง ผิวผ่องไปทั้งตัว  .. เราก็เลยขอให้เขาเอาแขนมาทาบผิวกับเรา  แหม่มเป็นคนน่าน  ผิวจะขาวมากๆ  .. พอเทียบกัน  ผิวเรากลับขาวกว่าเขา   ขาวมากๆ   .. ในใจเราพอจะได้คำตอบละว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรา  ..  ตอนบ่ายไปคิวเอ  .. ก็มีคนทักว่าทำไมผ่องจังวันนี้  .. เราบอกว่า  อารมณ์ดีมั๊ง  … ( เห็นภาพเซ็กซี่ดีค่ะ เลยนำมาฝาก )
 
                              เริ่มจับจุดบางอย่างได้   คงเนื่องจากเราทำสมาธิทั้งวันทั้งคืน  ผิวเราจึงเป็นเช่นนี้  เพราะถ้าคนอดนอน หน้าตาจะโทรม ขอบตาจะคล้ำดำ  แต่เราไม่เป็น  เช้ามารู้สึกสดชื่นนิดๆ    ก็เลยคิดว่า  คงเพราะสมาธิน่ะแหละ  ไม่มีอะไร  …
 
วันนี้เกือบไป
 
                      เนื่องจากสมาธิได้รับการสะสมมาอย่างต่อเนื่อง  วันนี้สมาธิมีกำลังมาก  เริ่มเข้าสู่เส้นทางเดินทางอีกครั้ง   เหมือนโดนไฟฟ้าดูด  กระแสมันจะไปทั้งตัว   เราดูอย่างเดียว  บอกตัวเองว่า อย่าดีใจ  อย่าสนใจ  ให้ดูอย่างเดียว  หายใจยาวๆ  … สมาธิขึ้นลงหมุนๆอย่างต่อเนื่อง   เรารู้สึกเหมือนกำลงจะได้เดินทางแบบครั้งที่แล้วอีกครั้งหนึ่ง  ….
 
                           แต่ .. เสียงโทรฯศัพท์ดังขึ้น  … วิบากกรรม  .. ใจคิดแค่นี้  เพราะมัน 17 นาฬิกากว่าแล้ว คนกลับบ้านหมดแล้ว  เราพลาดเอง  ไม่คิดว่าจะมีคนโทรฯมาอีก  มือถือปิดแล้ว  แต่ดันลืมยกโทรฯออกจากแป้น  … เราเอื้อมมือไปรับสาย  พงษ์โทรฯมา  เราบอกว่า กำลังนั่งสมาธิอยู่  … เราต้องเริ่มใหม่หมดเลย  สมาธิมีกำลังไม่พอ  จบเลย   … ก็แค่รู้นะ  ทุกอย่างมันมีเหตุปัจจัยให้เกิดขึ้น  ..
 
                           เดี่ยวนี้สมาธิมีกำลังมากกว่าเมื่อก่อน  ชม.หนึ่งนี่ไม่พอ  สมาธิไม่ยอมคลายตัว  ต้อง 2 ชม หรือ เกินไปกว่านี้   ช่วงเย็นจะไม่ตั้งนาฬิกา  ปล่อยให้สมาธิเกิดอย่างเต็มที่  .. เราเดินไปหาพงษ์ที่ห้อง     พงษ์ขอโทษ .. เราอโหสิกรรมให้เขา  บอกพงษ์ว่า วิบากกรรมน่ะ   เมื่อก่อนเคยไปทำเสียงดังใกล้คนนั่งสมาธิ   ด้วยความไม่รู้  …  เลยโดนหลายครั้ง   … กุศลคงยังไม่มากพอ  เลยไปต่ออีกไม่ได้  แต่ไม่เป็นไร สะสมกำลังไปเรื่อยๆ  ..
 
                            พงษ์เล่าให้ฟังว่า  เป็นอะไรก็ไม่รู้  .. ระหว่างนั่งคุยกับญาติๆ   จู่ๆเสียงรอบตัวหายไปหมด    แต่เห็นนะเห็นว่าทุกคนกำลังคุยกัน   เราบอกว่า ไม่มีอะไรหรอก  จิตมันเป็นสมาธิน่ะ  คราวต่อไปให้หายใจยาวๆ  …  กำหนดรู้หนอๆๆๆๆ   เอาสติจับ   เดี่ยวอาการนั้นจะหายไปเอง  .. ขาของเขาไม่ดีนะ  เลยหันมานั่งสมาธิบนเก้าอี้   เขาบอกว่า  เดี๋ยวนี้สมาธิเกิดได้ง่ายกว่านั่งกับพื้น   เราบอกว่า ทำไปเถอะ  การทำสมาธิน่ะ  ไม่มีรูปแบบที่ตายตัวหรอก   จะยืน จะเดิน  จะนั่ง  จะนั่งกับพื้น  หรือจะนั่งบนเก้าอี้  บนโซฟาได้ทั้งนั้น  จะนอน  ทำได้หมด  … ถนัดแบบไหนทำไป   .. 
 
                            เขาถามเราว่า  เรายังนั่งทั้งคืนหรือเปล่า   เราบอกว่านั่งทั้งคืน  ไม่เคยนอน  .. เดี๋ยวนี้ไม่มีการนอนแล้ว  … มันเฉยๆไปเสียแล้ว   เขาถามต่อว่า  แล้วมาทำงานไม่ง่วงหรือ  เราบอกว่า ไม่ง่วงนะ  ปกติดี   …
 
นี่คือ อารมณ์เมื่อเช้าที่ยังมีการแปรปรวนอยู่ ก่อนทำสมาธิ
 
                     เราไม่สนใจใครอีกแล้วว่า ผลของการทำสมาธินั้นจะไปกดข่มกิเลสเอาไว้ .. ก็ช่าง ..  เราไม่ได้ปฏิเสธความทุกข์    แต่เราเบื่อ  เบื่อมากๆกับสภาวะแปรปรวนที่เกิดขึ้น   ประสาทการรับรู้ต่างๆแปรปรวนตลอดเวลา   ใครจะว่ายังไงก็ไม่สน  ใครจะพูดอะไรก็ไม่สน  เพราะนี่คือตัวเรา   นี่คือ ชีวิตของเรา     เราจะใช้วิธีเข้าสมาธินี่แหละรักษาจิตเราเอาไว้   เพราะจิตเราสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด    รู้ไม่ใช่ไม่รู้ว่าผลของสมาธิจะไปกดทับอารมณ์ต่างๆเอาไว้   แต่ไม่สนใจ  จะทำยังไงก็ได้   ที่ทำให้เราสงบลงได้   ถึงแม้ว่า พอหมดอำนาจสมาธิ  มันจะแปรปรวนอีกก็ตาม   ไม่ไปคิด  ไม่ไปคาดเดา ..
 
                         เดี๋ยวนี้ปล่อยหมด  ไม่ฝืนแล้ว  จิตเขาอยากเข้าสมาธิ  เราก็ปล่อยเลย  เข้าก็เข้าไป  จะกี่ชั่วโมงก็ช่าง    ถ้าจิตเขายังไม่ยอมคลายตัว   เราก็ดูไปเรื่อยๆ   ปล่อยไปเรื่อยๆ  ไม่ฝืนแล้ว  เมื่อก่อนไม่รู้ว่าทำไมง่วงบ่อยจัง  … จริงๆแล้ว   ไม่ได้ง่วง  เพราะพอหลับตาลง  โอภาสจะสว่างขึ้นมาทันที  จิตเขาเป็นสมาธินั่นเอง    เลยดูเหมือนว่าจะง่วงนอน  ..
 
                         เมื่อก่อนเรามองว่า  การที่จิตเป็นสมาธิบ่อยๆ  ทำให้เราขี้เกียจมากๆ  วันๆจิตจะเข้าแต่สมาธิ  เราพยายามฝืน  ไม่ยอมเข้าสมาธิ   แต่ตอนนี้เบื่อมากๆ   เบื่อความอ่อนแอของตัวเองด้วย  ก็เลยคิดว่า  ปล่อยเลย  อะไรจะเกิดก็เกิด  อย่างน้อยจิตเรายังสงบลงไปบ้าง  ดีกว่าให้เป็นแบบนี้    มีแต่ฟุ้งซ่านเอาไม่อยู่เลย   อ่านปั๊บ กระทบปุ๊บ  ฝนตกกระหน่ำทันตา  เบื่อมากๆ  …
 
                         ผลของการทำสมาธิทั้งกลางวันและกลางคืน   สมาธิจะมีกำลังมากกว่าเมื่อก่อน  จะดิ่งอยู่เรื่อย   สติเลยไม่ค่อยทัน   อาศัยเดินมากกว่านั่ง    เดินจงกรม   เดินไปโน่นมานี่  เดินให้เยอะ   ไม่นั่งคุย  แต่ยืนคุย   ..
 
 
เนี่ย … มาย้อนอ่านอารมณ์ของตัวเองเมื่อเช้า  … ก็ขำๆตัวเอง  ยังกับคนบ้าเลยแฮะ  … แต่ก็ดีกว่าเก็บกดไว้ไม่ใช่หรือ  …

ยังคงค้างคาใจอยู่

 
                         ยังคงนั่งอยู่ .. ไม่ได้นอนยาว .. เมื่อคืนนั่งดูความรู้สึกของตัวเองที่เกิดขึ้น  มีคนเคยพูดให้ฟังไว้ว่า  จิตมันเหมือนม้าพยศ   จิตเรานั้นมันชอบพยศ  เราเฝ้าดูอย่างเดียว จนกระทั่ง ตี 5 ถึงได้เห็นว่า จิตนั้นค่อยๆสงบลง  แต่ไม่ทั้งหมดเลยทีเดียว  ยังมีการค้างคาใจอยู่   .. แค่ดู แค่รู้ อยู่กับมัน ..
 
                         เวลามาอย่างกับพายุฝน  รุนแรงมากๆ   กว่าจะสงบลงได้  นี่ถ้าเป็นบ้านเรือนคงพังไปเป็นแถบๆ   …  กระทบไม่ได้เลย  แค่แว่บเดียวเองนะเมื่อวานน่ะ   ไม่ได้นานอะไรเลย  บ่งบอกถึง ตะกอนยังมีค้างอยู่ภายในใจเยอะมากๆ  แต่ถูกเก็บกดเอาไว้ด้วยอำนาจของสมาธิ …
 
                         พอสมาธิเริ่มเบาบางลง  ฝนเลยกระหน่าซะ  ตั้งรับไม่ทัน   ..  อื่มมม  … คงต้องค่อยๆขุดออกมา  ขุดออกมาเรื่อยๆ   จนกว่าจะยอมรับความจริงได้เต็มอกเต็มใจ  ไม่ใช่ไปกดทับเอาไว้แบบนี้   … นี่ถ้าไม่ได้ฝึกสติปัฏฐานมา คงจะแย่เหมือนกัน .. จิตภายในของเรา  เขาเงียบอย่างเดียว   ทุกทีเขาจะต้องออกมาให้คำตอบอะไรบ้าง  นี่เงียบสนิท  … คงเข้าใจเราแล้วมั๊ง   ว่าควรให้เราเรียนรู้ด้วยตัวเอง  อย่าให้กลวงๆเกิด  ให้เรามีเรา มีตัวตนแบบนี้  จะได้เรียนรู้ตามความเป็นจริงได้  จะได้เห็นส่วนลึกว่ายังมีการค้างคาใจอยู่  ไม่ได้สงบแบบที่คิดเอาไว้ …
 
                         บอกแล้ว  หลอกใครหลอกได้  หลอกตัวเองไม่ได้หรอก  เราถึงบอกไง  ไม่เคยคิดจะโกหก  แม้แต่ตัวเอง  ก็ไม่คิดโกหก   เรายอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงทุกอย่าง   เรากำลังเรียนรู้  อยู่กับสิ่งที่เรามองว่ามันคือความล้มเหลวที่เกิดขึ้นในชีวิตของตัวเอง   เรียนรู้ตามความเป็นจริงโดยไม่ปฏิเสธ  ยอมรับมัน  หนักแค่ไหนก็ไม่คิดหนี   เฝ้าดู   ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็เฝ้าดู  ไม่คิดแก้ไข  ดูไปจนกว่ามันจะสงบลงไปเอง …
 
                         สงบแล้ว ยังมีการค้างคาอยู่  นี่คือเพียงชั่วคราว  เราก็เฝ้าดูอย่างเดียว  ไม่หนีหน้า  ตรงไหนกระทบชัดเจน ดูตรงนั้นไป  ทนได้ไหม  ที่จะต้องเจอการกระทบอีก  ครูกิเลสมาสอน  หนีไม่ได้  ไม่เคยคิดที่จะหนี  เอาสิ … จะแสดงอะไรอีก  เราจะเฝ้าดูมันอยู่อย่างนี้  ฝนตกไม่เป็นไร  เปียกช่างหัวมัน  เปียกได้ ก็แห้งได้   ฝนตกยังมีวันหยุด  แต่กิเลสนี่สิ  มันไม่มีวันหยุดแสดง    ถ้าเรายังยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงไม่ได้  ยังอยู่กับสิ่งๆนั้นไม่ได้   เราจะขุดๆๆๆๆ ลงไปเรื่อยๆ  ให้กิเลสมันแสดงออกมาเรื่อยๆ   ให้รู้ไปว่า  เราจะต้องเป็นผู้แพ้กิเลสในตั้วเอง   ถ้าแพ้เรามันก็แค่หมาตัวหนึ่ง  ที่ไม่มีราคาค่างวดอะไร   …  เราจะเฝ้าดู  … เล่นมาเลย   ตอนนี้พร้อมแล้ว  เพราะรู้แล้วว่า ถูกเก็บกดเอาไว้นั่นเอง …

จิตพิการ

 
                           ไม่ไหวเลย .. คิดว่าดีขึ้นแล้ว  เจอฝนกระหน่ำ … แบบไม่มีสาเหตุ  แค่จิตมันแว่บไปแป๊บเดียวเอง  … ฝนตกยังไม่หยุดสักที   ได้แต่นั่งดูสายฝน  ทำอะไรไม่ได้เลย      เฮ้ออออ  …  ดูมาตั้งแต่เย็นละ  รอดูอยู่ว่า  เมื่อไหร่จะหยุดสักที …
 
                            มันไม่น่าจะเกิด .. ก็ยังเกิดขึ้นมาได้    อ่อนใจจริงๆ   รู้สึกเหนื่อยใจมากๆเลย   … ปรับตัวไม่ทัน  .. ได้แต่เฝ้าดู     มีคำถาม  แต่เที่ยวนี้ไม่มีคำตอบจากจิต   มีแต่ความเงียบงัน  … 
 
                            สภาวะแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา   ยังไม่นิ่งเลย    …  ได้แต่เฝ้าดู   รู้ลงไป  อยู่กับสายฝน …  ไม่ไปคิดแก้ไข  หรือ จัดการใดๆทั้งสิ้น   เข็ดแล้ว  เข็ดจริงๆ  การแทรกแซงสภาวะ   เหมือนคนพิการ  ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้   …
 
                             สภาวะจิตพิการ … ฝนตกหนักแค่ไหน  เดี๋ยวมันก็หยุดไปเอง   รอเวลา  …  ชีวิตทำไมต้องเป็นเช่นนี้หนอ   … ชีวติที่หมดสิทธิ์เลือก    …  บางทีก็มีด้านมืดมันแว่บขึ้นมา   ว่าน่าจะตายๆไปตอนนี้ซะ  ทิ้งเปลือกอันนี้ไปซะ  แล้วเกิดใหม่   เริ่มต้นใหม่  ..
 
                             แต่พอนึกถึงผู้คนอีกมากมาย   ใจมันบอกว่า  ทำไมเห็นแก่ตัวแบบนี้    อดทนสิ  อดทนไม่ได้เชียวหรือ   มันก็แค่ฝน   ตกได้   มันก็หยุดได้   ขนาดจิตตก  เรายังเอากลับมาปกติได้  นับประสาอะไรกับสายฝน   จะเปียกก็ให้มันเปียกไป  เปียกแค่ไหน  มันก็แห้งได้ ..
 
                             รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนพิการเลยช่วงนี้      ลิ้นก็ยังแย่   ต่อมรับรู้รสยังเหมือนเดิม  ทำกับข้าวไม่ได้  ปรุงอาหารไม่รู้เรื่อง   ถ้าหวานก็ต้องหวานอย่างเดียว  ถ้าเค็มก็ต้องเค็มอย่างเดียว     ถ้าเปรี้ยวก็ต้องเปรี้ยวอย่างเดียว   … เซงงงงงง  ……..
 
                             วิลัย .. อุตส่าห์ซื้อมะนาวมาให้เพียบเลย  จะให้เราตำน้ำพริกกะปิ   เก็บไว้    เราบอกว่า  ยังทำอะไรไม่ได้   ชิมอาหารไม่รู้เรื่อง   ต่อมรู้รสยังไม่ปกติ   ..  ช่วงนี้เป็นอะไรที่น่าเบื่อหน่ายมากๆ  ตั้งแต่หลุดออกมา  เหมือนชีวิตมันพิการไปหมด  สภาวะแปรปรวนไปหมด …
 
                             ช่วงนี้คงต้องเก็บตัว  … ยอมรับว่า ไม่ไหวอีกแล้ว  มันแปรปรวนมากๆ  ..  เมื่อกี้เข้าไปเว็บบอร์ดมา    ไปวีนเขาอีก   ทั้งๆที่ปกติแล้ว      เราไม่ใช่คนขี้วีนขนาดนั้น     อ่านแล้วก็สะท้อนใจตัวเอง  …  เหนื่อยใจมากๆ  … คงยังคุยอะไรกับใครๆไม่ได้เลย  …
 
                             นี่.. ถ้ามีคนแทนเวรได้  ไปเลยนะเนี่ย  ไปอยู่ป่าที่กาญจน์สักอาทิตย์  .. ตัดขาดจากโลกภายนอกสักพัก  อะไรๆมันอาจจะดีขึ้น   คุณสมจิตชวนตั้งแต่ครั้งที่แล้ว  ไม่ได้ไปด้วย ติดเวร  .. เห็นว่า อยู่ในป่าจริงๆ ลึกมากๆ  ไฟฟ้าไม่มี  ใช้ตะเกียง ..  อยากไปให้ไกลๆเลยช่วงนี้ .. รู้สึกสมเพชตัวเองเสียเหลือเกิน  .. ช่วยเหลืออะไรตัวเองไม่ได้เลย  .. แม้แต่จะปลอบใจตัวเอง  ยังไม่มีปัญญาเลย  .. ได้แต่เฝ้าดูอยู่อย่างเดียว  ทำอะไรไม่ได้  …  นี่หรือชีวิตของเรา  …
 
                              

สดชื่นขึ้นมาบ้าง

 
                     ชีวิตต้องเดินต่อไป … เมื่อคืน   ไม่ได้ใส่หูฟัง  เริ่มหันมาจับพองยุบ  จับได้ 3 ครั้ง  จิตวูบดับสนิท  รู้สึกตัวตอนเสียงนาฬิกาดัง   แว่บแรกที่ลืมตาขึ้นมา  รู้สึกสดชื่นขึ้น   คงจะด้วยปัจจัยอะไรหลายๆเหตุ  เมื่อคืนจิตเลยดับสนิท  เหมือนได้นอนเต็มอิ่มหลายๆชม.
 
                      เดี๋ยวนี้  .. นับวันสมาธิเราพัฒนามากขึ้นไปเรื่อยๆ  แค่คิดอยากจะพัก มันจะดับได้ทันที  ไวกว่าเมื่อก่อนมากๆ  จะไปยืนหรือนั่งที่ตรงไหน เราสามารถกำหนดเข้าสมาธิได้ตลอดเวลา   นี่คือผลของความต่อเนื่อง  ..
 
                      บางทีมันก็ยังแว่บ  .. รู้สึกถึงอาการเคว้งคว้างอยู่ในใจแบบบอกไม่ถูก  การหายใจยาวๆหลายๆครั้งนี่ช่วยให้เรากลับมาอยู่ที่ปัจจุบนได้ทัน   ช่วงนี้อยากเก็บตัว  บางทีมองอะไรๆมันรู้สึกเหนื่อยพิกล  เห็นหน้าตาผู้คนที่เข้ามาหาเราแล้ว   ฟังเขาเล่าเรื่องราวของเขากันแล้ว  เราก็อดเฮ้อออ .. ไม่ได้   เพราะอาชีพเรามันเหมือนกระโถน  ใครทุกข์อะไรยังไง ก็หย่อนใส่ลงมาที่เรา  เวลาสุขไม่เห็นมาส่งข่าวกันบ้างเลย ..
 
                      เลยทำให้เรารู้สึกเก็บกดลึกๆไปด้วย  บางทีอยู่ในห้องทำงาน  เราก็เดินๆมันอยู่อย่างนั้นแหละ  เดินไปคิดไป  ชีวิตมนุษย์มีแค่นี้เองหรือ  … ฟังเพลงตัวอิจฉา  จิตมันแว่บไปนึกถึงใครบางคนทันที  เราก็ดึงกลับมาอยู่กับปัจจุบัน  ใจบอกแค่เพียงว่า ช่างเถอะ … มีแต่เรา  เราตัวคนเดียวนี่แหละ  คนเดียวโดดๆ  ต้องพยายามทำตัวให้เข้มแข็ง  มั่นคงเข้าไว้ อย่าเผลอทำให้ตัวเองอ่อนแออย่างเด็ด  อ่อนแอเมื่อไหร่  คนที่แย่คือเรา  ไม่ใช่คนอื่น   …
 
                      ฝนตกแต่เช้า .. สงสารพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่  พวกขายผักอีก ..  เมื่อคืนเห็นช้างแล้วสงสารมากๆ  ใจนิ่งคิด  ควรซื้ออาหารให้ไม๊  ถ้าซื้อให้ คนพวกนี้ก็หากินกับช้างไม่รู้จบ  อีกใจก็บอกว่า    ซื้อเถอะ .. ขนาดคนเมาไม่มีค่ารถกลับบ้าน เรายังให้ตังค์ค่ารถเขาได้เลย  ช้างกับคนก็ไม่ต่างกัน    อ้อยมีแค่ไม่กี่ท่อน  ถุงละ 20 บาท  กลิ่นเหล้าหึ่งเลย คนที่มากับช้าง   เราบอกเขาว่า เหล้าน่ะกินให้มันน้อยๆหน่อย  ใช้งานช้างให้มันน้อยๆหน่อย  เห็นแล้วสงสารช้างมากๆเลย   นี่แหละ กรรม  … ฤามีให้หนีกรรมได้  ..
               

Previous Older Entries

มิถุนายน 2009
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930  

คลังเก็บ