สภาวะเดิม แต่ลืมไปแล้ว
30 เม.ย. 2010 ใส่ความเห็น
in บันทึก
ธรรมะคือ ธรรมชาติ
22 เม.ย. 2010 ใส่ความเห็น
in การถ่ายถอนอุปทาน, การเจริญสติ, บันทึก
โอกาส
22 เม.ย. 2010 ใส่ความเห็น
in บันทึก
บัญญัติ
21 เม.ย. 2010 ใส่ความเห็น
in การถ่ายถอนอุปทาน, การเจริญสติ, การเดินจงกรม, บันทึก
ทบทวนสภาวะ
20 เม.ย. 2010 ใส่ความเห็น
in การถ่ายถอนอุปทาน, การเจริญสติ, การเดินจงกรม, บันทึก, อุทยัพพยญาณ ที่ ๔
แมลงตัวเล็ก ตัวน้อย
19 เม.ย. 2010 2 ความเห็น
in บันทึก
ทุกๆสภาวะคือ การเรียนรู้
19 เม.ย. 2010 ใส่ความเห็น
in การถ่ายถอนอุปทาน, การเจริญสติ, การเดินจงกรม, บันทึก
ทุกๆการกระทบ คือ หนึ่งความรู้ เราจะได้ความรู้ทุกๆครั้งที่มีการกระทบ
และเมื่อเรามีสติรู้เท่าทันสภาวะมากขึ้น นั่นก็ได้อีกหนึ่งความรู้
แต่หนึ่งความรู้นั้น เลือกที่จะก่อภพชาติ หรือ ทำให้ภพชาติน้อยลง อันนี้ก็อยู่ที่สติ สัมปชัญญะนะ
รู้ทันไหม ถ้าไม่ทัน ก็ไปตามกิเลส ถ้าทันก็หยุดได้ ไม่ตอบโต้ใดๆ
ให้กลับมามองในตัวเรา ทุกอย่างล้วนเกิดจากการปรุงแต่งของจิตเราเอง
เกิดจากอุปทานของตัวเราเอง ความยึดมั่นถือมั่น ทำให้มีตัวตนเกิดขึ้นมา
ทั้งๆที่มีแต่กิเลส มีแต่บัญญัติ
แต่ความไม่รู้ของเรา ทำให้มันมีตัวตน มีค่า มีความหมายขึ้นมาเอง
เจริญสติต่อไป วันนี้อาจจะต้องนับหนึ่งใหม่ แต่ยังดีที่มีโอกาสได้นับ
นับว่ากุศลยังมี ยังดีกว่าขาดโอกาสที่จะนับต่อไปหรือ ไม่เคยนับเลยในชีวิตที่เกิดมา
เราเอง นับหนึ่งไม่รู้เท่าไหร่แล้ว แต่ไม่เคยท้อ เพราะตราบใดที่ยังมีลมหายใจ
ยังดีกว่าหมดสิ้นลมหายใจ แล้วหมดโอกาสที่จะนับ วันนี้ยังคงนับอยู่
แต่การนับ เริ่มหายไปเรื่อยๆ เหลือแค่รู้มากขึ้น เหลือแค่ดูในบางครั้ง
การจากกัน เราทุกคนต้องจากกัน ไม่วันนี้หรือวันไหนๆ เราก้ต้องจากกัน
จากกันตอนเป็นหรือตอนตาย ยังไงเราก็ต้องจากกัน ฝึกไว้ตั้งแต่ตอนนี้
เพราะเมื่อถึงเวลาจริงๆ จะได้ไม่ต้องมาเสียใจแบบที่เราเห็นเขาเสียใจยามที่ต้องจากกัน
ฝึกใจให้แกร่งดุจดังหิน เมื่อถึงเวลา จะได้ไม่มีการมาอาลัยอาวรณ์หรือคร่ำครวญโศกาอาดรูแต่อย่างใด
ฝึกใจให้แน่นดุจแผ่นดิน ใครจะเหยียบ ใครจะย่ำยังไง ปล่อยไป เพราะนั่นคือ การปรุงแต่งของจิตเราเอง
ไม่ใช่เกิดจากคนอื่นๆนะ เกิดจากความที่ยังมีเราอยู่ทั้งนั้น
ไม่มีเราเมื่อไหร่ ไม่ว่าที่ไหนๆ ก็จะไม่มีเราออกมาเพ่นพ่านแสดงตัวอีกต่อไป
คงอยู่กับรูป,นาม มากกว่าจะออกมาแสดงตัว
ตราบใดที่ยังมีการแสดงตัว นั่นคือ ยังมีเรา
สมมุติ บัญญัติ ดูทันไหม?
18 เม.ย. 2010 ใส่ความเห็น
in การเห็นตามความเป็นจริง, บันทึก, เหตุเกิดของตัวปัญญา
การชี้สภาวะ
18 เม.ย. 2010 ใส่ความเห็น
in การสอบอารมณ์, ปฏิบัติ
นี่คือ สิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งของผู้สอบอารมณ์ เพราะจะเป็นอันตรายแก่สภาวะของผู้ปฏิบัติ
ในเรื่องการเกิดการปรุงแต่งขึ้นมา แล้วสภาวะจะผิดเพี้ยนไปจากความจริง ทำให้ผู้ปฏิบัติหลงสภาวะได้โดยเฉพาะ ผู้ที่สอบอารมณ์นั้น สอบอารมณ์ด้วยการกางตำราสอบ อันตรายอย่างยิ่ง
ผู้ที่จะสอบอารมณ์ได้นั้น จะต้องอ่านสภาวะของกิเลส และ สภาวะของ สติ สัมปชัญญะได้
เพราะตัวสภาวะของกิเลสและสติ สัมปชัญญะนั้น จะบ่งบอกว่า สภาวะของผู้ปฏิบัตินั้น อยู่ตรงไหน
และควรแนะนำให้ผู้ปฏิบัติ ปรับเปลี่ยนสภาวะตามอินทรีย์ได้หรือยัง
สภาวะที่ผู้สอบอารมณ์ไม่ควรนำมาใช้กับผู้สอบอารมณ์คือ
1. ปฏิบัติถูกทางแล้ว
คำว่า ถูกทาง คือ ถูกในรูปแบบของผู้สอบอารมณ์
2. ปฏิบัติถูกต้องแล้ว
ถูกต้องคือ เป็นเรื่องของความเห็นว่าถูกหรือผิด ในความคิดของผู้สอบอารมณ์
3. ภาวนาดีแล้ว
ดีหรือไม่ดี เป็นเรื่องของความคิดผู้สอบอารมณ์
4. ทำดีแล้วนะ ก้าวหน้ามากๆเลยนะ
คำสรรเสริญ เยินยอ ไม่ควรนำมาใช้กับผู้ปฏิบัติ เพราะเท่ากับไปเพิ่มกิเลสต่างๆ
เพิ่มมานะกิเลสให้กับผู้ปฏิบัติ ทำให้ยิ่งปฏิบัติ สภาวะยิ่งแย่ลง เพราะไปยึดติดกับคำชม
5. มีที่พึ่งแล้วนะ
ตรงนี้สำคัญมากๆเลย มีหลายๆคน นำสภาวะ ” มีที่พึ่งแล้วนะ เพราะมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแล้วนะ ”
นี่เป็นการนำสภาวะไปใช้แบบผิดๆ
สิ่งเหล่านี้ที่นำมากล่าว ล้วนก่อให้เกิดความทะยานอยากให้แก่ผู้ปฏิบัติมากกว่าเดิม
ทำให้บดบังปัญญา ไม่สามารถเห็นสภาวะที่แท้จริงได้
คือ มีแต่เป็นเหตุไปเพิ่มกิเลส แทนที่จะปฏิบัติแล้ว ลด ละ กิเลสได้
ผิดอย่างไร
คำว่า ” มีที่พึ่งแห่งตน ” มาจากคำว่า คำเต็มๆว่า
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ.
ขุ. ธ. ๒๕/๓๖.ตนแล เป็นที่พึ่งของตน คนอื่น ใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
ก็บุคคลมีตนฝึกฝนดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้ยาก.
ทีนี้ ครูบาฯรุ่นเก่าๆ ท่านได้ขุดหลุมพรางดักกิเลสผู้ปฏิบัติเอาไว้
ท่านเลยใช้คำว่า ผู้ที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งนั้น คือ เป็นคนที่มีที่พึ่งแล้วนะ
นี่คือ หลุมพรางกับดักกิเลสชั้นยอด สำหรับผู้ที่อยากเป็นโสดาบัน
ท่านไว้ใช้ในการสอบอารมณ์ เวลาใครนำไปสนทนา ท่านจะจับได้ทันที
เพียงแต่ ท่านจะบอกหรือไม่บอกแก่คนนั้นเท่านั้นเอง
มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ตรงนี้หมายถึง แม้ตกตายไป ย่อมได้สวรรค์สมบัติและมนุษย์สมบัติอย่างแน่นอน
พระรัตนตรัย เรามีไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเรา เพื่อมุ่งมั่นกระทำแต่ความความดี
ตัวอย่างที่ดีมีให้เห็น ยิ่งทำให้มุ่งมั่นทำความเพียรต่อเนื่อง ไม่ท้อถอยแต่อย่างใด
ส่วนที่กล่าวว่า ตนแล เป็นที่พึ่งแห่งตนนั้น หมายถึง ผู้นั้นได้มี สติ สัมปชัญญะ เป็นที่พึ่งแล้ว
สติ สัมปชัญญะที่นำมากล่าวนี้ เกิดจากการเจริญสติ และเป็น สัมมาสติ
คือ มีทั้ง สติ และสัมปชัญญะ ประกอบอยู่ด้วยกัน จะขาดตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้
แนวทางการปฏิบัติ เหตุไฉนแนวสติปัฏฐานหรือการเจริญสติ จึงเป็นทางสายกลาง
เพราะเหตุว่า ไม่ว่าผู้ปฏิบัติ จะมีพื้นฐานของสมาธิหรือไม่มีเลยก็ตาม สามรถปฏิบัติได้
และไม่มีรูปแบบที่ตายตัว แต่ผู้ปฏิบัติสามารถเลือกปฏิบัติได้ ตามความถนัดของแต่ละคน
คือตามแต่เหตุที่แต่ละคนกระทำมา
ส่วนด้านกรรมฐาน ๔๐ กองนั้น อันนั้นก็เกิดจากเหตุที่แต่ละคนกระทำมา
บางคนเคยทำกรรมฐานกองไหนมา ไม่ต้องมีครูบาฯสอน ก็สามารถอ่านหนังสือและทำตามเองได้
แล้วเมื่อผลบุญกุศลหนุนนำ สามารถเจริญสติหรือยกสมถะขึ้นสู่วิปัสสนาได้
อรุณสวัสดิ์
18 เม.ย. 2010 ใส่ความเห็น
in บันทึก
อิอิ …. เพิ่งตื่นนอนค่ะ หลับยาวเป็น 10 กว่าชม.เลย
วันอาทิตย์นี่เป็นวันที่ชอบมากๆ เพราะได้หลับยาว เหมือนคนอดหลับอดอดนอนมาจากไหน
แต่เพราะเป็นพฤติกรรมปกติมากกว่า เคยหลับตั้งแต่ 2 ทุ่มอีกวัน แล้วมาตื่น 2 ทุ่มอีกวัน
ไม่เคยเข้าห้องน้ำ ไม่กินข้าวกินปลา หลับแบบหลับลึก
น้องที่บ้านถามว่า หลับได้ไง เขาเองยังต้องตื่นมาเข้าห้องน้ำเป็นพักๆ
การนอนหลับแบบนี้เป็นปกติมากๆ เพราะเป็นมาตั้งแต่เด็กๆ แม่บอกว่า ถ้าไม่ปลุก ไม่มีตื่น
มีผู้รู้ท่านหนึ่งบอกไว้ว่า คุณน้ำนี่สงสัยเป็นฤาษีมาแล้วหลายๆชาติ ถึงได้มีพฤติกรรมการหลับแบบนี้
หลับแบบเข้าฌาน คือ ดับสนิท ไม่มีการรับรู้ใดๆทั้งสิ้น เสียงดังแค่ไหนก็ไม่ตื่น
ฟังเขาพูดแล้วก็เฉยๆนะ ไม่มีตื่นเต้น ไม่มีดีใจ เพราะนี่เป็นพฤติกรรมส่วนตัว
เป็นมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะมาเป็น ถ้าวันหยุด น้องจะรู้กัน จะไม่มีการปลุก เขาจะปล่อยให้นอน
ฉะนั้นอย่าแปลกใจนะคะเวลาเขียนบันทึก เรื่องการเล่นสมาธิ
เพราะทำแบบนั้นจนชิน เมื่อเวลาที่เกิดความเบื่อ