ผู้ดู ผู้รู้ ตัวผู้รู้ คือใคร

มีคนอีกจำนวนมากที่พยายามหาว่า ” ผู้รู้ ”  ครูบาฯกล่าวถึงนี่คือใคร  .. บ้างก็นำมาถกเถียงกัน 
บ้างก็นำมาเอ่ยอ้างกัน  แต่ไม่มีใครขยายใจความเลยสักคนเดียว  แล้วผู้รู้คือใครกันล่ะ  ผู้รู้นี่ก็คือ จิตเรานี่เอง 
 แต่มีหลายสถานะ  ตามกำลังของสติ สัมปชัญญะ  ลองไล่ดูว่าจริงไหม
                      
ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมา จนกระทั่งปิดเปลือกตาลงจะมีสองสิ่งที่เกิดขึ้น … ลองดูกันว่าจริงไหมคะ?

เมื่อเราลืมตาขึ้น .. จะมี ผู้ดู เกิดขึ้น … และ สิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งมันมี

มันเป็นของมันแบบนั้นอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีผู้ดูหรือไม่มีผู้ดูก็ตาม

พอลืมตาได้สักพัก … เริ่มมองเห็นสภาพรอบๆตัวชัดเจน ตอนนี้เริ่มมี ผู้รู้ เกิดขึ้น

กับ สิ่งที่ถูกรู้ ทำไมถึงเรียกว่าผู้รู้ เพราะเขารู้ว่า สิ่งที่เขาเห็นมันเรียกว่าอะไร

และ สิ่งที่เขาเห็นแล้วเรียกนั้น เป็น สิ่งที่ถูกรู้

 

ต่อมา มี ตัวผู้รู้ เกิดขึ้น .. ตัวผู้รู้ เกิดขึ้นจากอะไร เกิดจากเอาตัวตน

ที่ตัวเองคิดว่าตัวเองมีตัวตน เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ถูกเห็น

แล้วสิ่งที่ถูกรู้จะเปลี่ยนสภาพเป็น ใช่ และ ไม่ใช่ ถูก และ ผิด พอใจ และ ไม่พอใจ ..

เลยเป็นการก่อภพก่อชาติ ก่อเหตุขึ้นมาใหม่ ไม่รู้จักจบจักสิ้น

เมื่อคนๆนี้ ได้เจริญสติปัฏฐาน 4 ย่อมมีสติ สัมปชัญญะมากขึ้น …

ตัวผู้รู้  ที่มีอยู่ ย่อมลดน้อยลงไป สุดท้ายเหลือเป็นเพียงแค่  ผู้รู้

ส่วนสิ่งที่มีคำว่า ใช่ และ ไม่ใช่ ถูก และ ผิด พอใจ

และ ไม่พอใจ ย่อมแปรสภาพกลับมา เป็น   สิ่งที่ถูกรู้

ต่อมาเมื่อ  มีสติ สัมปชัญญะมากขึ้น   ผู้รู้  ย่อมหายไป จะเปลี่ยนเป็น  ผู้ดู

และ สิ่งที่ถูกรู้จะเปลี่ยนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น

และสิ่งที่เกิดขึ้นจะแสดงเป็นไตรลักษณ์ให้เห็น ซึ่งมันมีของมันอยู่แล้ว

เพียงแต่เรายังมองไม่เห็นเท่านั้นเอง เพราะตราบใด ที่ยังมีเราเขา( ตัวผู้รู้ )

เข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่สามารถมองเห็นตามความเป็นจริงได้เลย

ผู้ดู … สิ่งที่เกิดขึ้น .. ไม่มีเหตุ ย่อมไม่มีผล

ผู้รู้ … สิ่งที่ถูกรู้ … มีเหตุนิดๆคือความคิด ผลย่อมมีแน่นอน

( กรรมคือการกระทำ   วิบากคือผล  ถึงจะเป็นเพียงความคิด  ก็ต้องรับผลแน่นอน  มากน้อยอยู่ที่คิด )

ตัวผู้รู้ … สภาวะเปลี่ยนไป เป็น ชอบใจ ไม่ชอบใจ ถูก ผิด ทุกข์ สุข ตามความคิดของตัวเอง

ตัวนี้แหละสำคัญก่อภพก่อชาติไม่รู้จบ

 

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

 
       
 
 
 
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม สร้างเหตุอย่างไร ย่อมรับผลเช่นนั้น ใครกระทำอย่างไร ผลไปรอแล้ว
แต่เดี่ยวนี้กรรมติดจรวดไวมากๆเลย  เรียกว่ากรรมส่งผลทันตาเลย  …
 
โกหกเขา เขาก็โกหกเรา ทำอะไรไว้ยังไง ก็ได้รับผลตามที่กระทำเช่นนั้น เพียงแต่ผู้ที่เคยสร้างเหตุร่วมกันมา ลงมือกระทำแทน
ก็ดูตามความเป็นจริงอย่างเดียว ไม่พูด  วิบากกรรมของใครของมัน ….
 
ระวังให้ดีนะ  การกระทำทุกอย่าง ล้วนส่งผลทั้งชีวิตและการปฏิบัติ  ประมาทไม่ได้เลยนะกรรมเนี่ย
ได้แต่บอกแค่นี้ พูดอะไรมากไม่ได้ เพราะรู้ดีว่า พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ และจริงๆแล้วก็ไม่เคยคิดจะพูดเลยด้วย
 
กรรมนี้ไม่รู้จักจบจักสิ้น  เพราะต่างยังมองไม่เห็นตามความเป็นจริง  ผลคือ อย่างที่มองเห็น  พาหลงทาง
โกหกโดยที่ไม่ได้คิดว่าโกหก เพราะไม่สามารถแยกแยะตามความเป็นจริงได้ …
 
เมื่อยังไม่สามารถมองเห็นตามความเป็นจริงได้  ก็ไม่มีการอโหสิกรรมต่อกัน ภพชาติย่อมยืดยาวออกไปเรื่อยๆ
แต่เป็นไร  อาจจะหลายกัปป์หลายกัลป์  ยังไงสักวันก็ต้องถึงจุดหมายปลายทาง
 
ฉะนั้นเราเลยเป็นผู้ดูมากขึ้น  โดยไม่ต้องไปมีวิบากกรรมร่วมกับใครๆเขาอีก  ผลกรรมเริ่มแสดงผลแล้ว
เราเพียงมีสติรู้อยู่กับกายและจิตของเราพอ  ใครทำอย่างไร รับไปถ้วนๆหน้า  แล้วจะไม่ให้พูดว่า
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมได้ยังไงก็มองเห็นอยู่แจ่มแจ้งชัดเจน ว่ากรรมนั้นๆ กำลังส่งผล
 

ทิฏฐิ ๓

ทิฏฐิ ๓
๑. อกิริยทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่เป็นอันทำ
๒. อเหตุกทิฏฐิ ความเห็นว่าหาเหตุมิได้
๓. นัตถิกทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่มี.
ล้วนเกิดจากความไม่รู้ชัดในผัสสะ ที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง
(ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ)

ว่าด้วย อกิริยาทิฏฐิ-ลัทธิเดียรถีย์ ๓ อย่าง

[๕๐๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลัทธิของเดียรถีย์ ๓ อย่างนี้ ถูกบัณฑิตไต่ถาม ซักไซ้ไล่เลียงเข้า

ย่อมอ้างลัทธิสืบ ๆ มา ตั้งอยู่ในอกิริยาทิฏฐิ ๓ อย่าง ทิฏฐิ ๓ อย่างเป็นไฉน  คือ

๑. มีสมณพราหมณ์พวกหนื่งมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า
สุข ทุกข์ หรือ อทุกขมสุขอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่บุคคลเสวยนั้น ล้วนแต่มีกรรมที่ได้ทำไว้แต่ก่อน เป็นเหตุ

๒. มีสมณพราหมณ์พวกหนื่งมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า
สุข ทุกข์ หรือ อทุกขมสุขอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่บุคคลเสวยนั้น ล้วนแต่มีการสร้างสรรค์ของอิสรชน[อิศวร]เป็นเหตุ

๓. มีสมณพราหมณ์พวกหนื่งมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า
สุข ทุกข์ หรือ อทุกขมสุขอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่บุคคลเสวยนั้น ล้วนแต่หาเหตุหาปัจจัยมิได้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์ทั้ง ๓ พวกนั้น
พวกที่มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า
สุข ทุกข์ หรืออทุกขมสุขอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่บุคคลเสวยนั้น

ล้วนแต่มีกรรมที่ได้ทำไว้แต่ก่อนเป็นเหตุ

เราเข้าไปหาสมณพราหมณ์พวกนั้น แล้วถามอย่างนี้ว่า

ได้ยินว่าพวกท่านทั้งหลายมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า
สุข ทุกข์ หรืออทุกขมสุขอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่บุคคลเสวยนั้น

ล้วนแต่มีกรรมที่ได้ทำไว้แต่ก่อนเป็นเหตุจริงหรือ

ถ้าสมณพราหม์พวกนั้น ถูกเราถามอย่างนี้แล้ว ปฏิญญาว่าจริง
เราก็กล่าวกะเขาว่า  ถ้าเช่นนั้น เพราะกรรมที่ได้ทำไว้แต่ก่อนเป็นเหตุ ท่านทั้งหลายจักต้องฆ่าส้ตว์ จักต้องลักทรัพย์
จักต้องประพฤติธรรมเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ จักต้องพูดเท็จ จักต้องพูดคำส่อเสียด จักต้องพูดคำหยาบ
จักต้องพูดคำเพ้อเจ้อ จักต้องมากไปด้วยอภิชฌา จักต้องมีจิตพยาบาท จักต้องมีความเห็นผิด

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลยึดถือกรรมที่ได้ทำไว้แต่ก่อน

โดยความเป็นแก่นสาร  ความพอใจหรือความพยายามว่า
กิจนี้ควรทำหรือว่ากิจนี้ไม่ควรทำ ย่อมจะมีไม่ได้
ก็เมื่อไม่ได้กรณียกิจและอกรณียกิจโดยจริงจังมั่นคงดังนี้
สมณวาที ที่ชอบธรรมเฉพาะตัว
ย่อมจะสำเร็จไม่ได้แก่ผู้มีสติฟั่นเฟือนไร้เครื่องป้องกัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรามีวาทะสำหรับข่มขี่ที่ชอบธรรมในสมณพราหมณ์พวกนั้น
ผู้มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ อย่างนี้แล เป็นข้อแรก
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์ทั้ง ๓
พวกนั้น พวกที่มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า
สุข ทุกข์ หรืออทุกขมสุขอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่บุคคลเสวยนั้น
ล้วนแต่มีการสร้างสรรค์ของอิสรชน[อิศวร]เป็นเหตุ
เราเข้าไปหาสมณพราหมณ์ แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า
ได้ยินว่า ท่านทั้งหลายมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า
สุข ทุกข์ หรืออทุกขมสุขอย่างใด อย่างหนึ่ง
ที่บุคคลเสวยนั้น ล้วนแต่มีการสร้างสรรค์ของอิสรชน[อิศวร]เป็นเหตุ จริงหรือ
ถ้าสมณพราหม์พวกนั้นถูกเราถามอย่างนี้แล้ว ปฏิญญาว่าจริง
เราก็กล่าวกะเขาว่า ถ้าเช่นนั้นเพราะการสร้างสรรค์ของอิสรชน[อิศวร]เป็นเหตุ
ท่านทั้งหลายจักต้องฆ่าส้ตว์ ฯลฯ จักต้องมีความเห็นผิด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลยึดถือการสร้างสรรค์ของอิสรชน[อิศวร]ไว้
โดยความเป็นแก่นสาร ความพอใจหรือความพยายามว่า
กิจนี้ควรทำหรือว่ากิจนี้ไม่ควรทำ ย่อมจะมีไม่ได้
ก็เมื่อไม่ได้กรณียกิจ และอกรณียกิจโดยจริงจังมั่นคงดังนี้
สมณวาทีที่ชอบธรรมเฉพาะตน ย่อมจะสำเร็จไม่ได้แก่ผู้มีสติฟั่นเฟือน ไร้เครื่องป้องกัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรามีวาทะสำหรับข่มขี่ที่ชอบธรรม ในสมณพราหมณ์พวกนั้น
ผู้มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ อย่างนี้แล เป็นข้อที่ ๒
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์ทั้ง ๓
พวกนั้นพวกที่มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่าสุข ทุกข์ หรืออทุกขมสุขอย่างใดอย่างหนึ่ง
ที่บุคคลเสวยนั้น ล้วนแต่หาเหตุหาปัจจัยมิได้เราเข้าไปหาสมณพราหมณ์ แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า
ได้ยินว่า ท่านทั้งหลายมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่าสุข ทุกข์ หรืออทุกขมสุขอย่างใดอย่างหนึ่ง
ที่บุคคลเสวยนั้น ล้วนแต่หาเหตุหาปัจจัยมิได้จริงหรือ

ถ้าสมณพราหม์พวกนั้นถูกเราถามอย่างนี้แล้ว ปฏิญญาว่าจริง
เราก็กล่าวกะเขาว่า ถ้าเช่นนั้น เพราะหาเหตุหาปัจจัยมิได้
ท่านทั้งหลายจักต้องฆ่าส้ตว์ ฯลฯ จักต้องมีความเห็นผิด

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลยึดถือความไม่มีเหตุไว้
โดยความเป็นแก่นสาร ความพอใจหรือความพยายามว่า

กิจนี้ควรทำหรือว่ากิจนี้ไม่ควรทำ ย่อมจะมีไม่ได้
ก็เมื่อไม่ได้กรณียกิจ และอกรณียกิจโดยจริงจังมั่นคงดังนี้
สมณวาทีที่ชอบธรรมเฉพาะตน ย่อมจะสำเร็จไม่ได้แก่ผู้มีสติฟั่นเฟือน ไร้เครื่องป้องกัน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรามีวาทะสำหรับข่มขี่ที่ชอบธรรมในสมณพราหมณ์พวกนั้น
ผู้มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ อย่างนี้แล เป็นข้อที่ ๓

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลัทธิของเดียรถีย์ ๓ อย่างนี้ ถูกบัณฑิตไต่ถามซักไซ้ไล่เลียงเข้า
ย่อมอ้างถึงลัทธิสืบ ๆ มา ตั้งอยู่ในอกิริยาทิฏฐิ

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=20&A=4571&Z=4686

จุดพักผ่อน

 
          
 
 
 
สถาวะตอนนี้ น่าจะเรียกว่า จุดพักผ่อนนะ  เพราะตอนนี้เรารู้สึกแบบนี้จริงๆ  ยิ่งเข้าใจเรื่องกรรม เรื่องวิบากกรรม
เรื่องของเหตุและผลมากเท่าไหร่  จิตมันยิ่งสงบจากภายนอกมากขึ้นเท่านั้น  ใครจะพูดอะไรยังไง เราแค่รู้
รู้แล้วก็นั่งมอง  มองว่า เพราะอวิชชาปิดบังดวงตาเอาไว้ ยังมีผู้คนอีกมากมาย ที่กระทำทุกสิ่งตามกิเลสของตัวเอง
 
 
เวลาสำหรับเราตอนนี้ เรารู้สึกมันผ่านไปไวมากๆเลย  นี่อะไรเพิ่งวันอาทิตย์ผ่านไปไม่กี่วัน พรุ่งนี้วันอาทิตย์อีกแล้ว
ตอนนี้ทำอะไร ต้องระวังจิตตัวเองนะ ไม่ได้คิดไประวังคนอื่นๆ ใครสร้างเหตุอย่างไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้น
ฉะนั้นเราจึงต้องระวังจิตตัวเอง และหมั่นทบทวนสภาวะตลอดเวลา จนมันเริ่มจะจำได้แล้วว่า สภาวะนี้ๆคืออะไรในบัญญัติ
 
มีคนถามมาเหมือนกัน จะตรวจสอบสภาวะได้ยังไง  ก็เลยจะลงแบบเป็นรูปธรรมให้ 
นำมาจากหนังสือวิปัสสนากรรมฐานของหลวงพ่อโชดกน่ะแหละ  ท่านได้เมตตาอธิบายตรงนี้ไว้ได้ละเอียดดีมากๆเลย
แต่เรื่องของสภาวะ จะไม่ลงให้  ….

โซฟาบรมสุข

 
      
 
 
 
ตั้งแต่ที่เกิดสภาวะสมาธิหายไปหมด  เราอาศัยโซฟานี้ในการนั่งเจริญสติมาตลอด ช่วงที่สมาธิไม่มีนั้น
ความฟุ้งซ่านจะเยอะมากๆ นั่งสมาธิไม่ได้เลย  ก็หาอุบายสร้างสมาธิให้เกิด สะสมมาอย่างต่อเนื่อง
โซฟาตัวนี้ ตั้งอยู่ในห้องทำงาน  พนักจะสูงเลยหัวเราไป ข้างๆทั้งสองฝั่ง จะมีขอบยื่นออกมา เหมือนคนแขนด้วน
คือ จะมีปุ่มใหญ่ๆยื่นมาข้างละปุ่ม เวลาเราเอาหัวพิงลงไป จะเหมือนนั่งพิงแขน อะไรประมาณนั้น
ลักษณะแขนเหมือนในภาพนี้  แต่ตัวน่ะเป็นโซฟาเดี่ยวตัวใหญ่ มีที่พักแขนด้านล่างด้วย ส่วนด้านบนจะมีแขนยื่นออกมาแบบนี้
 
เวลาไปทำงานของเรานั้นก็คือ การปฏิบัติ  ช่วงเช้า จะเดินจงกรมก่อน 2 ชม. นั่ง 50 นาที – 1 ชม.
เดี๋ยวนี้สมาธิดีขึ้น จิตรวมตัวไปด้ไวขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากๆ  คือ พอนั่งลง จิตรวมตัวเข้าสู่สมาธิได้ทันที
เพียงแต่ กำลังของสมาธินั้น ไม่แรงเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ถือได้ว่า เป็นสมาธิที่เหมาะแก่การพิจรณา
 
เหตุที่สมาธิดีขึ้น เรานั้นใช้วินั่งจับพองยุบเวลาว่างนี่แหละ พอว่าง เราจะนั่งที่โซฟาตัวนี้ มันนั่งแล้วรู้สึกสบายน่ะ
พับเพียบก็ได้ จะหย่อนขาก็ได้  มันพอดีสำหรับตัวเรา  …
 
บางทีมันก็ดิ่ง แล้วดับไปหลายชม. เราก็เฉยๆนะ เพราะชินแล้ว  แต่ส่วนมากจะรู้ตัวไวขึ้น
คือรู้อยู่กับพองยุบ รู้อยู่กับลมหายใจเข้าออก  ตรงนี้ด้วยที่เป็นเหตุให้สภาวะเราไปได้ดีมากขึ้น

กิเลสในใจ ( ของเก่า )

มองชีวิตของตัวเอง เออ … คนเราส่วนมากชอบสนใจเรื่องชาวบ้านนะ ใครจะเป็นอะไรยังไง
ต้องคอยตามเฝ้าดู " ละครชีวิต " แต่ผู้คนกลับลืมที่จะดูละครชีวิตของตัวเอง ทุกวันนี้
ในครอบครัวของตัวเองนั้น สุขสบายดีกันไหม อยู่ดีมีสุขไหม มีใครเจ็บป่วยกันบ้างไหม
เงินทองที่หามาได้ล่ะ พอเลี้ยงคนในครอบครัวกันบ้างไหม
วันนี้จะดูแลคนในครอบครัวให้เขาเหล่านั้นมีความสุขยังไงบ้าง ฯลฯ …..

เท่าที่เราฟังๆเขาคุยกันมา มีแต่คุยอวดความร่ำรวย อวดความยากจน อวดความพอมีพอกิน
ที่คิดว่าพอ แต่แปลกนะ พอถามถึงคนในครอบครัวว่า รู้บ้างไหมว่าคนในครอบครัวนั้น
เขาต้องการอะไรกันบ้าง เกือบจะเหมือนกันหมดนะ ตอบว่า ไม่เห็นมีอะไรนี่ ถ้ามีอะไร
เขาก็จะพูดกันเอง เรานั่งนิ่งๆแล้วมองเขาเหล่านั้น ก่อนที่เราจะเมตตาต่อคนอื่นๆได้
คนในบ้านน่ะ เมตตาทั่วถึงหรือยัง ไม่ใช่เมตตาแค่ตัวเองไปวันๆ หรือวิ่งไปทำบุญ
ไปสร้างกุศลนอกบ้าน คนในบ้านน่ะเคยนึกเขากันบ้างไหม จะตักข้าวใส่ปาก
เคยหันมองบ้างไหมว่า คนไหนตักกับข้าวถึงไหม …..

นี่แหละชีวิตคน คนจริงๆคนๆวนๆแต่เรื่องชาวบ้าน ส่งจิตออกนอก แต่ไม่เคยดูคนในบ้านให้ทั่วถึง
เวลาไปทำบุญ โอ้โห!!!! …. ปราณีตสวยงาม อาหารต้องเลิศรส คนในบ้านก็คนนะ
เขาก็ต้องกินเหมือนๆกัน คุณค่าของความเป็นคนเท่าๆกัน ไม่แตกต่างกันเลย หมั่นทำบุญ
เมตตาให้กับในบ้านให้ทั่วถึงก่อนนะ จึงค่อยไปเผื่อแผ่คนนอกบ้าน กิเลสชาวบ้านน่ะ
อย่าไปใส่ใจกันนักเลย มันก็แค่ละครที่เขาเล่นไปตามวิบากกรรมของเขาแต่ละคน

 
เมื่อก่อนเวลาเกิดการกระทบ  อารมณ์หยาบๆจะเกิดขึ้นก่อน คือ  โกรธ  จากความโกรธ
มันจะกลายเป็นเกลียดคนๆนั้น  พอโดนกระทบมากขึ้นเรื่อยๆ  สภาวะจะเปลี่ยนไปตลอดเวลา 
จากความเกลียดหายไป  เหลือแค่ความโกรธ  จากความโกรธหายไป เหลือแค่ความไม่ชอบใจ  
จากกความไม่ชอบใจ  เหลือรู้ว่า มันเกิดการกระทบอีกแล้ว  ความไม่ชอบใจผุดขึ้นมาแว๊บหนึ่ง
 แล้วสงบลงไป เหลือ แค่รู้  รู้ว่าอารมณ์ประมาณนี้มีอยู่  แต่ไม่มากเท่าเมื่อก่อน 
มันดับได้ไวขึ้น  ปฏิกิริยาที่เกิดขณะที่กระทบ มันเลยไม่เกิดขึ้นมากมายเหมือนก่อนๆ ….
 
                        
เราทุกรูปทุกนาม  ย่อมก่อเหตุทุกๆการกระทำ เพราะ ความไม่รู้  เพราะเราถูกครอบงำด้วยกิเลส 
ความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง  เราจึงต้องมาเจริญสติปัฏฐานกันเพราะเหตุนี้ 
เพื่อให้เห็นตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น  ความเป็นจริงนั้นคืออะไร  คือกิเลสในใจของเรานั่นเอง 
 เมื่อเรารู้จักกิเลสในใจของเรา  เราย่อมมองเห็นกิเลสของชาวบ้านชัดเจนมากขึ้น 
แล้วเราอยากจะลงไปเล่นกับกิเลสชาวบ้านเขาไหม  ไม่มีเลยนะ  มันไม่ลงไปเล่น 
จากที่เคยลงไปเล่น มันจะลงไปเล่นน้อยลง จนกระทั่งมันเลิกลงไปเล่นในที่สุด  ….
 
                      
กิเลสชาวบ้านเขา  สิ่งที่เขาแสดงออกมา  นั่นคือกิเลสของเขาเหล่านั้น 
แต่เพราะความไม่รู้ของตัณหาความทะยานอยากทั้งหลาย ที่มันครอบงำเราไว้ 
เราเลยไปเก็บเกี่ยวกิเลสชาวบ้านเขามาเป็นกิเลสเรา  เอามันมาปรุงแต่งตามจริตนิสัย
หรือสันดานของตัวเราเอง   สันดานดิบที่ยังมีอยู่ในใจของตัวเราเอง  สันดานใครสันดานมัน 
กิเลสมันจะแสดงตามสันดานของเจ้าของ  ความหยาบคายมากน้อยของจิตใจของแต่ละคน  ….
 
                     
เมื่อเรามาเจริญสติปักฐาน  จิตเราจะเห็นตามความเป็นจริงมากขึ้น  ยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น
หรือทุกๆที่ก่อให้เกิดการกระทบมากขึ้น  ยอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้ง  แรกๆยากนะ ยากมาก 
ยอมรับว่าทำใจได้ยากมากที่จะปล่อยให้คนอื่นๆมารังแกหรือทำร้ายเรา   แม้จะเป็นทางด้านของจิตใจ
ก็ตาม  จิตมันจะดิ้นรนขัดขืน  ทุกข์ใจ ทรมาณใจ ขมขื่นใจมากๆนะกับสิ่งที่เราต้องเป็นฝ่ายปล่อยให้เขา
กระทำกับเราเพียงฝ่ายเดียว  โดยที่เราต้องนิ่งไม่ตอบโต้ใดๆทั้งสิ้น  สภาพเหมือนถูกมัดมือชก 
ช่วงนั้นสภาพของจิตใจจะแย่มากๆ  ทรมาณสุดๆเลย  ทำไมต้องมาทำร้ายกันขนาดนี้ด้วย 
เราไปทำอะไรให้หรือ   ทุกๆสภาวะที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆจะให้คำตอบแก่เรา  ว่าทำไมเราต้องยอมเขา
 ทำไมเราต้องอดทน  ถ้าไม่มาเจริญสติ ไม่มีทางรู้ได้หรอกนะ  หรือถ้ารู้ก็อาจจะรู้ได้เพียงผิวเผิน 
แต่ไม่สามารถรู้ลึกลงไปถึงเหตุที่แท้จริง  …..
 
                    
ทุกๆสภาวะเปลี่ยนไป เราจะได้รับความรู้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ  ทุกๆการกระทบนั่นคือการเรียนรู้ 
เหมือนเราเรียนหนังสือ การกระทบก็คือ ครู  แต่เรียนครั้งนี้  เราเรียนชีวิตของเรา  เรียนโดยจิต 
ความรู้ที่ได้รับมันจะมีแต่เรื่องของเหตุที่กระทำ และเรื่องของผลที่มารองรับเหตุที่กระทำนั้นๆ  
มันจะเป็นข้อคิดเตือนใจให้กับเรา  เลือกเอานะ เลือกเอา ชีวิตนี้เป็นของทุกๆคน 
ทุกคนมีสิทธิที่จะเลือก  เลือกเอานะ  ก่อภพก่อชาติให้เกิดใหม่ไปเรื่อยๆ 
หรือ กระทำเพื่อให้ภพชาติสั้นลง จงตัดสินใจเอาเอง  …
 
                    
คนเราน่ะ  ก่อนจะเอาดีได้  มันก็เลวมาก่อนกันทั้งนั้นแหละ  สุดแต่ว่าจะเลวมากหรือน้อย 
ตามเหตุที่กระทำกันมา  อุปมาอุปไม  ดูเอาง่ายๆนะ  ใครที่โดนคนอื่นๆกระทำให้เจ็บช้ำน้ำใจมากที่สุด
  หรือ โดนผู้อื่นด่าว่ามากที่สุด  จงรู้ไว้  นั่นแหละคือ ตัวคุณเองในอดีต   หรือจะเถียงว่าไม่จริงล่ะ 
ทำไมสามีมีเมียน้อย  ทำไมภรรยามีชู้  ทำไม??????   …….
 
                   
ทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนๆนั้น  นั่นคือ เหตุที่เขาเคยกระทำกับคนอื่นๆมาก่อนทั้งนั้น 
ทำไว้ในอดีต  ซึ่งเราอาจจะระลึกได้และระลึกไม่ได้  ผลที่ได้รับในปัจจุบันเลยเป็นเช่นนี้ 
ทำกับเขาไว้  เขาย่อมมาทวงถาม ทวงคืนเอามั่ง   เราจึงต้องมาเจริญสติ  เพื่อให้มีสติรู้อยู่กับทุกๆสิ่ง
ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา  ไม่ไปกล่าวโทษใครหรืออะไรทั้งสิ้น  เราน่ะมันเคยโง่มาก่อน  ทำกับเขาไป
เพราะความโง่  เรามาเจริญสติ ทำให้เราฉลาดขึ้น  ทำให้เรามีสติ ทำให้เรารู้ว่า  ชดใช้เขาไปนะ
 อดทนไว้  อย่าไปตอบโต้เขา  การตอบโต้คือการก่อภพก่อชาติใหม่ให้เกิดขึ้นอีก  1 คน ต่อ 1 ชาติ
เอาไหม  คนมีสติดี เขาไม่เอาหรอกนะ  มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะตอบว่าเอา  เพราะการเกิดน่ะ
มันมีแต่อะไร  มีแต่การสร้างเหตุใหม่ไม่รู้จักจบสิ้น  …..
 
                 
 ฤามีให้หนีกรรม  กรรมก็คือการกระทำ  ใครทำคนนั้นย่อมรับผล  ตัวเองทำแล้วไปโยน
ให้คนอื่นรับงั้นหรือ  ต้องโทษตัวเองนะ  โทษความไม่รู้ของตัวเองที่ก่อเหตุใหม่ไม่รู้จักจบจักสิ้น 
ให้หมั่นเจริญสติ  จิตจะได้ฉลาดในการสร้างเหตุ  จะสร้างแต่กุศลนะ  อกุศลมันจะไม่แตะ 
มันเหมือนของร้อน  แค่คิดก็ร้อนแล้ว  ร้อนอกร้อนใจด้วยไฟพยาบาท  เมื่อไม่ได้ดั่งใจที่ต้องการ 
นี่เห็นไหม อกุศล  ยังไม่ทันลงมือกระทำ ผลแสดงทันที  ….

ไฟไหนจะร้อนเร่าเท่าไฟพยาบาท

  
สิ่งที่เราเขียนๆนี่  ใครอ่านแล้ว จะคิดอะไร ยังไง นั่นคือ ความคิด
ของแต่ละคน ล้วนปรุงแต่งไปตามกิเลสของแต่ละคน มากน้อย
แตกต่างกันไป ตามเหตุตามปัจจัยที่เคยทำร่วมกันมา
 
ส่วนผลนั้นเขาเป็นคนรับ แม้แค่ความคิดก็เป็นมโนกรรม และส่งผล
ให้เกิดขึ้นได้  นี่เจอมากับตัวเองหมดแล้วนะ ถึงกล้ายืนยันแบบนี้
  
เคยได้ยินคำกล่าวไว้ว่า ” ไฟไหนจะร้อนเร่าเท่าไฟนรก
” นรกนี่พิสูจน์กันไม่ได้ ยกมาอ้างอิงให้เห็นเป็นรูปธรรมไม่ได้ 
แต่ถ้าไฟพยาบาท ไฟไหนจะร้อนเร่าเท่าไฟพยาบาท นี่มองเห็นภาพเลยนะ
 
คนที่มีจิตพยาบาทต่อผู้อื่น จะมีแต่ความรุ่มร้อน คอยวางแผนจ้องทำร้าย
 ใส่ร้ายผู้อื่น เท่ากับก่อภพก่อชาติไม่มีที่สิ้นสุด  แล้วจะหาความสุข
ได้จากที่ตรงไหนกัน ในเมื่อไฟพยาบาทมันเผาผลาญจิตใจให้ร้อนรุ่ม
  
อุปสสรคไม่ใช่อุปสรรค ปัญหาไม่ใช่ปัญหา
  
ทางเดินของเราตอนนี้โล่งแล้ว อุปสสรคไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อไป
ปัญหาที่เราเคยมองว่ามันเป็นปัญหา ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
 
เราเพียงแค่ดู แค่รู้มากขึ้น ไม่เอาความเป็นเรา ตัวของเรา เข้าไปเกี่ยวข้องแบบก่อนๆ
ทางก็เลยโล่งสะดวกมากขึ้น ขับเคลื่อนไปได้เรื่อยๆ
 
ไม่ต้องเร่งรีบ เพราะมันไม่ต้องการอะไรๆอีกต่อไปแล้ว เพราะรู้แล้วว่า
 ทำแล้ว ต้องได้ผลอย่างไร มันมีเหตุและผลรองรับอยู่ทุกๆสภาวะ
 
ฉะนั้นเราจึงไม่ไปให้ค่าให้ความหมายต่อสิ่งใดๆที่เกิดขึ้นอีกต่อไป
มองแค่ว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามเหตุที่เคยกระทำร่วมกันมานั่นเอง
  
เราไม่สามารถไปฝืนกรรมของใครๆเขาได้ ช่วยได้แค่แนะนำให้แก่คนนั้นๆเจริญสติ
เพราะกรรมสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบได้ 
 
ถ้าเราไปคิดเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไข  เพราะยังไงๆผลที่ได้รับยังคง
เหมือนเดิม คือ ต้องชดใช้  วิธีแก้มีวิเดียวเท่านั้นคือ เจริญสติ
เพื่อจะได้มีสติ สัมปชัญญะ เอาไว้รับมือ กับสิ่งที่เกิดขึ้น จะได้ไม่ขาดสติ
ก่อภพก่อชาติขึ้นมาอีก  ยินดีชดใช้เขาไป ไม่มีเกี่ยงงอนใดๆ
 
ถ้าเราไม่เจอด้วยตัวเอง ไม่ผ่านทุกอย่างมาด้วยตัวเอง เราจะไม่มีวันเชื่อ
เรื่องพวกนี้แบบเต็ม 100 เลย  เมื่อก่อนก็เชื่อ แต่ไม่เชื่อทั้งหมด
 
แม้แต่ความคิด เมื่อก่อนไม่เชื่อว่าจะส่งผลได้ แต่ตอนนี้เชื่อหมดหัวใจเลย
เชื่อเรื่องกรรมทั้งหมดว่า ไม่ว่า จะทาง มโนกรรม วจีกรรม กายกรรม
ล้วนส่งผลทุกอย่าง เพียงแต่จะช้าหรือเร็ว ตามเหตุที่สร้างขึ้นมาใหม่
 และเหตุเก่าที่เคยทำเอาไว้นั่นเอง 
 
ยังไงๆก็ต้องได้รับผลจากการกระทำนั้นๆอย่างแน่นอน 
ฤามีให้หนีกรรมได้ล่ะ 
 
เราจึงต้องมาเจริญสติปัฏฐานกันเพราะเหตุนี้  เพื่อจะได้เห็น
ตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ตัดสินทุกอย่างตามความคิดของเราเอง
 
เมื่อเห็นตามความเป็นจริงมากขึ้น ทำให้เราเข้าใจอุปสรรคต่างๆ
และปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น ว่าทุกสิ่งนั้นล้วนเกิดจากอะไร
 
เมื่อเจริญสติได้อย่างต่อเนื่อง สติ สัมปชัญญะย่อมมีมากขึ้นตามลำดับ 
สมาธิย่อมเกิด ปัญญาย่อมเกิด  …
 
เมื่อปฏิบัติถึงจุดๆหนึ่ง เราสามารถเลือกเกิดได้ เลือกเป็นได้ เลือกตายได้ 
นี่นะประโยชน์และคุณค่ามหาศาลของการเจริญสติ

คุณได้บอกสิ่งดีๆแก่กันหรือยัง

” ลาก่อนที่รัก ลาก่อนที่รักของฉัน
ลาก่อนที่รัก วันใดจะได้พบกันอีกมิอาจรู้
ฉันให้เธอหมดแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง
หวังว่าเธอจะทะนุถนอมมันอย่างดี อย่าทำลายความรักของฉัน
ลาก่อนที่รัก ลาก่อนที่รักของฉัน
ลาก่อนที่รัก จากนี้ต่อไปต้องแยกจากเธอไป
ฉันจะรักเธอตลอดไปในส่วนลึกของใจฉัน
หวังว่าเธอคงจะไม่ลืมฉัน
ฉันจะระลึกถึงอ้อมกอดแห่งรักที่นุ่มนวลของเธอตลอดไป

ระลึกถึงดวงใจที่อบอุ่นของเธอ
ระลึกถึงเสียงเพลงที่แสนเคลิบเคลิ้มของเธอ
จะลืมช่วงเวลานี้ลงได้อย่างไร ลาก่อนที่รัก

ไม่รู้ว่าวันไหนจะได้เจอกันอีก
ลาก่อนที่รักของฉัน ฉันจะไม่มีวันลืมเธอ
แล้วก็หวังว่าเธอก็จะไม่ลืมฉัน
บางทีเราอาจจะมีวันที่ได้กลับมาพบกันอีก ไม่ใช่เหรอ
ที่รักฉันเชื่อว่าต้องมีวันที่เราได้กลับมาเจอกันอีกสักวันหนึ่ง ”

ยามมีชีวิตอยู่  คุณได้จัดการทำสิ่งที่คุณคิดว่า คุณต้องการทำหรือยัง สำหรับเราถือว่าเราได้ทำจบสิ้นแล้ว  ได้บอกสิ่งดีๆให้แก่กัน
บอกความรู้สึกดีๆที่มีอยู่ต่อกันนั้น  ได้บอกกล่าวกันเรียบร้อย  เขาและเรา คิดเหมือนๆกัน ไม่ว่าเราจะเขาจะเป็นอย่างไร เราทั้งสอง
ต่างเก็บเราและเขาไว้ในใจตลอดไป  เราต่างคนต่างมีเส้นทางที่เดิน ต่างมีภาระหน้าที่ที่จะต้องทำ  …
อจจะดูเหมือนเขาและเราทะเลาะกันหรือขัดแย้งกันตลอดเวลาในตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา แต่สิ่งหนึ่งที่เราต่างรู้ซึ่งกันและกันคือ
ความผูกพันที่เราสองคนมีต่อกัน  มันไม่ใช่ความรักคาวโลกีย์แบบทางโลกๆ  ไม่ใช่ความรักแบบที่มีข้อแม้  มันเป็นความรักที่สะอาดจริงๆ
เขาชอบเป็นห่วงคนอื่นๆ  ซึ่งเราเคยถามไม่ใช่ไม่เคยถาม ห่วงแล้วได้อะไรขึ้นมา ในเมื่อคนบางคนเขาไม่เคยสร้างเหตุตรงนี้ร่วมมากับเรา
เราทั้งสองคนได้กล่าวอโหสิกรรมต่อกันและกัน ด้วยความเต็มใจทั้งสองฝ่าย ไม่มีอะไรค้างคาใจอีกต่อไป 
ไม่ต้องเกิดมาเพื่อผลัดกันทำร้ายกันและกันอีกต่อไป  นี่แหละสิ่งเราตั้งใจว่าจะทำให้สำเร็จ  และขอให้ผ่านไปได้ด้วยดี
เราเองก็ไม่อยากให้เขาไปสร้างเหตุใหม่ ซึ่งเป็นวิบากกรรมร่วมกับใครๆอีกต่อไป  อยากให้เขามุ่งหน้าเดินทางต่อไป
ใช้เวลานานมากเลยนะ กว่าเขาจะเข้าใจในสิ่งที่เราพยายามบอกกับเราตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา  เรารักเขานะ  เราเองก็ดีใจที่เขาเองก็รักเรา
เพราะเหตุที่เราเคยได้กระทำร่วมกันมา  เราต่างคนจึงเหมือนคู่ฟัดกันตลอดเวลา  ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เหตุมี ผลย่อมมี เรายินดียอมรับผลที่เกิดขึ้น
เราปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นตามความเป็นจริง ใครจะด่า จะว่า จะใส่ร้าย สร้างเรื่องโกหกป้ายร้ายเราอย่างไร เราแค่รู้มากขึ้น ไม่ไปตอบโต้ใดๆ
เขาเองก็รู้ ถามว่าเราเป็นไรมั๊ย  เราบอกไม่เป็นไร  เดี่ยวนี้สติ สัมปชัญญะเราดีกว่าเมื่อก่อนมากๆ เราสงบ ใครจะเต้นอะไรยังไง เราสงบรู้อยู่
ชดใช้เขาไปนะ  ในอดีต เพราะอวิชชาครอบงำไว้ เราเลยสร้างเหตุด้วยความไม่รู้มากมาย ซึ่งเราไม่สามารถระลึกอะไรได้เลย
สิ่งที่เราระลึกได้ คือ เรื่องระหว่างเรากับเขา  ซึ่งที่ผ่านๆมาทั้งหมด เขาได้ขออโหสิกรรมต่อเรา  เราบอกว่า วิบากกรรมของเราทั้งสองคนนั้นจบสิ้นแล้ว
เรารู้สึกดีใจ ที่สุดท้าย สิ่งที่เราต้องการทำนั้น คือ ต่างคนต่างให้การอโหสิกรรมด้วยความเต็มใจทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่เราไปบังคับเขาแบบเมื่อก่อน
เราบอกลากันแล้ว  วันนี้ พรุ่งนี้ เราไม่รู้ว่า เราจะต้องจากกันเมื่อไหร่  ยังไงเราก้ต้องจากกัน ไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตาย  สุดท้ายต้องจากกัน
เราได้บอกลากันล่วงหน้า  ได้เตรียมตัวกันล่วงหน้า  ฝึกไว้ล่วงหน้า เพื่อว่า เมื่อถึงวันนั้นจริงๆ จะได้ไม่มาอาลัยกัน แต่จะมีความระลึกถึงสิ่งดีๆที่มีให้กัน
เราบอกว่า เราเองไม่มีอะไรให้กับเขา มีเพียงสติปัฏฐาน 4 ที่เราบอกกับเขาตลอดเวลา ขอให้เขาทำต่อเนื่อง  แล้วเขาจะพบสุขที่แท้จริง
ตอนนี้เขายังคงสนุกในหลายๆสิ่งที่เขายังสนุกกับมันอยู่  เราไม่ว่ากัน มันเป็นวิบากกรรมของแต่ละคน ต่างคนต่างมีโลกของตัวเอง
แต่จุดหมายปลายทางนั้นทางเดียวกัน  มันไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดใดๆเลย  ที่เราและเขาดูเหมือนจะแตกต่างกัน อาจจะแตกต่าง
ก็เพียงแค่ภายนอก  แต่สิ่งที่เราเห็นนั้น ต่างมีความเห็นเหมือนๆกัน  ..
คุณล่ะ ได้บอกลากับคนที่คุณรักแล้วหรือยัง ควรบอกลากันเสียแต่เนิ่นๆนะ ทุกสรรพสิ่งมันไม่เที่ยง วันนี้พรุ่งนี้ไม่อาจจะรู้ได้
ได้กล่าวคำขออโหสิกรรมซึ่งกันและกันหรือยังล่ะ  ไม่ใช่แค่บอกลาหรือบอกรักกันแค่นั้น  เวลาต่างคนต่างโกรธ อาจจะมีพลั้งเผลอละเมิดกัน
หรืออาจจะมีอาฆาตไปบ้างด้วยความไม่รู้ เช่น เธอไม่มาเป็นช้านนบ้างก็แล้วไป  นี่อาฆาตนะ  เป็นความพยาบาทแฝงอยู่
ขอบคุณตัวเองที่มีความอดทน ทำความเพียรอย่างต่อเนื่อง ขอบคุณทุกๆปัญหา ทุกๆอุปสรรคที่เกิดขึ้น ที่ทำให้เราสองคนต่างเข้าใจกันมากขึ้น
ทำให้เราสองคนได้มาบอกลากัน และให้การอโหสิกรรมต่อกัน  ได้บอกกล่าวความรู้สึกดีๆที่มีให้แก่กันและกัน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านๆมา
ที่อาจจะมองดูเหมือนทะเลาะกันตลอดเวลา แต่เบื้องหลังคราบน้ำตาคือ ความเข้าใจต่อกันและกันมากขึ้น เพราะความเข้าใจผิด
เพราะวิบากกรรมที่เคยทำกับคนอื่นๆไว้ด้วยความไม่รู้ กรรมนั้นจึงต้องชดใช้เขาเหล่านั้นไป   ….

ช่วงถูกทดสอบ

 
เช้านี้ไปทำบุญที่วัด คนน้อยมาก อาจจะเพราะไม่ใช่วันพระใหญ่ หลังจากทำบุญแล้ว เห็นเวลาเหลือ เลยแวะไปร้านก๋วยเตี่ยวที่เคยทานประจำ
แม่ค้าคุ้นเคยกันดี พอรู้ว่าไปทำบุญมา เขาก็เล่าเรื่องของเขาให้ฟัง เขาเกลียดพระ 
คนส่วนมากไม่เชื่อเรื่องกรรม ( การกระทำ ) และผลที่ได้รับจากการกระทำ ( วิบากกรรม )  เขาคงมีวิบากกับพระมานานแล้ว
 
เขาบอกว่า เวลาเขาพูดถึงพระนี่ เขาจิกเลยนะ ด่าทุกคำ ก็เข้าใจเขานะ เมื่อฟังจากสิ่งที่เขาเล่ามา ช่วงนั้นลูกชายเขาบวชเณร
แล้วเขาไม่มีตังค์ไปทำบุญใส่บาตรกับลูกชาย เขาเลยตั้งจิตเสี่ยงโชค ว่า ขอให้ถูกล็อตตอรี่ แล้วเขาจะแบ่งให้วัดครึ่งหนึ่ง
เขาถูกนะ ได้เงินมา สี่พันบาท เขาแบ่งทำบุญน้ำไฟวัดไปสองพันบาท  ปกติแล้ว ไม่ว่าใครจะทำบุญเท่าไหร่ จะต้องมีชื่อขึ้นกระดาน
แต่ของเขาไม่มี เขาเลยสงสัย ก็เดินตามหาพระที่ท่านรับซองปัจจัยที่เขาทำบุญ ปรากฏว่าหาไม่เจอ  เขาโกรธพระองค์นั้นมาก
เราบอกว่า บุญไปหมดเลย ไปด่าพระแบบนั้น เขาบอกว่า เขาได้บุญ นั่นเงินของเขา เราก็เลยเงียบ ไม่อธิบายให้ฟังว่าทำไมเราพูดแบบนั้น
 
ต่อมาลูกชายไปเรียนวาดภาพที่วัด วันนั้นฝนมามืด เขาห่วงลูก เลยเอาร่มไปรับ ทีนี้ผ่านกลุ่มพระที่นั่งอยู่  ก็โดนพระนินทาอีก
ทำนองว่ามาหาพระเวลามืดค่ำทำไม เขาก็เลยหันกลับไปด่าพระแทน  ยังไม่จบนะ  …
ต่อมาเขาต้องไปตลาดตีสี่ ก้มีข่าวมาว่ามีพระองค์หนึ่ง กลางวันเป็นพระ กลางคืนแต่งชุดธรรมดา ออกจากวัดทุกคืน จะกลับมาตอนเช้ามืด
เป็นอันให้เขาได้เจออีก  เวรกรรมจริงๆ  เขาก็ด่าพระอีก …
แล้วมีวันนึง พระท่านต้องเดินผ่านหน้าบ้านเขา เป็นหลวงตาแก่ๆ  เวลาผ่านบ้านเขา จะต้องขากเสลดทิ้งหน้าบ้านเขาทุกครั้ง เขาก็เลยด่าให้อีก
 
พี่สาวเขาพิการ ทีนี้เวลาใส่บาตร พระชอบหัวเราะพี่สาวเขา  พี่เขาก็ทนนะแรกๆ วันหนึ่งทนไม่ไหว เขาก็เอาทัพพีที่ตักข้าวน่ะ เคาะกับบาตรพระ
แล้วถามพระว่า มันน่าขำนักเหรอกับคนพิการน่ะ  พระเงียบสนิท ตั้งแต่นั้นมา ไม่มีใครหัวเราะพี่สาวเขา
 
เขาจะมีอคติกับพระมากๆเลย ทั้งพี่และน้อง  เราฟังเขาเล่าแล้วก็เข้าใจเขานะ  นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อน ไม่ได้มาเจริญสติ เราคงร่วมวงนินทาพระกับเขาแน่ๆ
แต่นี่เราแค่ฟัง แล้วบอกกับเขาแค่ว่า เขามีวิบากกับพระนะ  คือ พูดมากกว่านี้ไม่ได้ ไปอธิบายอะไรก็ไม่ได้
 
ถึงบอกว่า ช่วงนี้ถูกทดสอบทุกวัน เมื่อวานก็โดนใส่ร้าย โดนเขาด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย มันมีมากกว่านั้นนะ แต่เราไม่ได้นำมา
มาวันนี้ก็เรื่องพระอีก  นับว่า เราสร้างเหตุมาดี คือ เราไม่คิดจะสร้างเหตุกับใครๆอีก ใครอยากด่าก็ด่าไป เพราะผลเขาเป้นคนได้รับ
เขาโกหก เขาก็ได้รับผลนั้น  เราแค่รู้ ทุกอย่างมันมีเหตุ  เราจบแล้ว เขาสร้างต่อก็เรื่องของเขาเหล่านั้น

มันคืออะไร?

 
หลายวันมานี่  เรานั่งเฝ้ามองมัน มันเหมือนความว่างเปล่า  เราเรียกมันแบบนั้น เพราะไม่รู้ว่ามันคืออะไร
มันไม่มี มันไม่ไป มันอยู่นิ่งๆ  แต่เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร
 
มองผู้คนผ่านไปมา เหมือนมองอะไรสักอย่างหนึ่ง ที่ผ่านๆไปมา มันไม่ไปรู้สึกอะไรกับคนเหล่านั้น
จะให้พิมพ์อะไร มันก็ไม่อยากจะพิมพ์ มันนั่งนิ่งๆ นั่งนิ่งๆ ได้เป็นชม.แล้ว ชม.เล่า  มันไม่รู้จะไปคิดอะไร มันแค่รู้
 
เรานั่งยิงบอลสีๆ ยิงมันอยู่อย่างนั้น เผื่อว่าจะมีความคิดอะไรดีๆเกิดขึ้นมาบ้าง
จริงๆแล้ว อยากจะไปเดินจงกรม  ไปเจริญสติมากกว่าที่จะมานั่งอยู่อย่างนี้  พอดีกำลังรอน้องสองคน
อีกคนก็ไม่รู้ว่าจะทำหรือไม่ ส่วนอีกคนลืมถามเวลา ว่าเขาทำรอบละกี่ชม. 
 
ตอนนี้ไม่อยากพิมพ์อะไรเลยนะ  เอาแต่นั่งนิ่งๆ อย่างเดียว
ที่ทำงานก็เหมือนกัน เราก็นั่งนิ่งๆแบบนั้น ดูท้องพองยุบ  บางครั้งสติไม่ทัน มันก็ดิ่งแล้วดับไป
เราก็ไม่สนใจมัน มันจะดิ่งหรือจะดับ เราก็แค่ดูมัน ไม่มีพอใจ ไม่มีความรู้สึกใดๆ
 
แต่ทุกๆวัน เราต้องทำอย่างน้อย 5 ชม. ทุกวัน ไม่เคยขาด 
วันนี้มีคนที่ทำงาน เสียชีวิตอีก 1 คน อายุ 50 กว่าๆ มะเร็งตับ เขาไม่รู้ตัว พอรู้ตัวเลยหมดกำลังใจ ตายทันที
 
เราก็ย้อนมองกลับมาที่ตัวเรานะ ถามตัวเองว่า ยังต้องการอะไรอีกไหมในชีวิต  มันก็มีคำตอบมาทันที ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
ไม่อยากมี ไม่อยากได้ ไม่อยากเป็นอะไรๆทั้งสิ้น  นี่ก็รอน้องสาวว่าง จะให้มาขนของที่บ้านนี้ไป ไม่งั้นเราแจกเขาหมด
น้องบอกว่า อย่าให้ใครๆอีก ให้เก็บไว้ก่อน แล้วจะเอารถมาขนไป
 
มองอะไรๆมันก็เหมือนๆกันไปหมด ไม่มีความแตกต่างกันเลย แม้แต่สักนิดเดียว
ทีวีเราไม่ได้ดูมาตั้งแต่เข้าพรรษาแล้ว หนังสือพิมพ์ก็ไม่เคยอ่านมาตั้งแต่เข้าพรรษาเหมือนกัน
ชีวิตสงบดีนะ  มีแต่การเจริญสติทุกลมหายใจเข้าออก  พอจิตมันว่าง มันจะจับพองยุบโดยอัตโนมัติ
 
อะไรที่เคยรู้สึกว่ามันร้ายๆในชีวิต  เดี๋ยวนี้มองมันมากขึ้น จิตไม่ไปข้องแบบเมื่อก่อน จิตมันไม่เอาแล้วนะ มันแค่ดู
ชีวิตคนเรามีแค่นี้เอง  กิเลสที่พอกหนาอยู่ในจิตใจ เพราะอวิชชาครอบงำไว้ จึงทำให้สร้างเหตุไปด้วยความไม่รู้อยู่ตลอดเวลา
ภพชาติจึงไม่รู้จักจบจักสิ้น เพราะตัณหา ความทะยานอยาก มีเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ มีแล้ว ยังตะเกียกตะกายทำให้มีมากขึ้นไปเรื่อยๆ
 
พอตายโครม!!!!!  …
หมดกันเลย จบสิ้นทันที เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่างเดียว  มีแต่เหตุที่เคยสร้างเอาไว้ ดีและชั่ว ตามความเป็นจริง ที่ถูกบันทึกลงไว้ในจิต
ชีวิตคนเรามีแค่นี้เองนะ  ยังดีนะ กุศลของเรายังมีที่ได้มาเจริญสติปัฏฐาน 4 ไม่งั้นก็ไม่รู้ว่า ป่านนี้ชีวิตของเราจะเป็นยังไงบ้าง
 
อาจจะสนุกสนาน ใช้ชีวิตไปแบบในสิ่งที่ตัวเองต้องการทำ  และ มีแต่ความอยากมี อยากได้  ต่อไปเรื่อยๆ
ตอนนี้ไม่อยากมี ไม่อยากได้อะไรทั้งสิ้น  ก็จะเจริญสติแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดลมหายใจ
 
เหมือนมีความคิด แต่มันแผ่วๆ  มันไม่มีความหมายในความคิด  เราก็แค่รู้มันไป  มันก็แค่ความคิด ไม่มีกุศลและไม่มีอกุศล
เหมือนต่างคนต่างอยู่ ไม่มาเกี่ยวข้องใดๆกัน  ก็ดีนะ ไม่วุ่นวายดี 
 
 

Previous Older Entries

ธันวาคม 2009
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031  

คลังเก็บ