โดนทดสอบความโลภ
23 มิ.ย. 2010 ใส่ความเห็น
in ชีวิตประจำวัน, บันทึก
โดนทำข้อสอบ
22 มิ.ย. 2010 ใส่ความเห็น
in ชีวิตประจำวัน, บันทึก, หนังสือ
พอไปถึงที่ทำงาน กินข้าวเสร็จ มันก็รู้สึกเพลียๆง่วงๆ เราก็ว่าเอ เพราะกินข้าวมากไปหรือเปล่า
จิตก็เป็นสมาธิแต่เบาๆไม่หน่วง ไม่แนบแน่นแบบทุกครั้ง
เราก็ร้องเอ๊ในใจว่าทำไมไม่เข้ามา สงสัยจะใช้ประตูแบบนี้ไม่เป็น ก็เลยลุกขึ้น จะไปเปิดประตูให้
พอลุกขึ้นไป ือกำลังจะจับที่เปิดประตู ก้มองผ่านกระจกไป อ้าวหัวใครหว่าผมหยิกๆ มันทำไมสูงขนาดนี้
ก็เลยรู้ว่าไม่ใช่คนแน่นอน ก็เดินกลับมาที่โซฟาจะนั่งต่อ
ที่ไหนได้ เข้าไม่ได้ พยายามทำตามแบบหนังที่เคยดู ทาบกับร่างตัวเองก็เข้าไม่ได้
ก็เลยเอามือแตะที่ร่างตัวเอง แล้วยืนสำรวมเหมือนกำหนดยืนหนอ แต่ใช้รู้หนอๆๆๆ หายใจยาวๆ
แป๊บเดียว รู้สึกตัวว่าอึดอัดมากๆ เหมือนโดนรัด หายใจไม่ออก
ก็กำหนดรู้หนอๆๆๆ หายใจยาวๆช่วยอีก
พระธาตุ
21 มิ.ย. 2010 ใส่ความเห็น
in บันทึก
แค่รู้ได้ไหม
17 มิ.ย. 2010 ใส่ความเห็น
in บันทึก
ยิ่งกว่ายาพิษ
17 มิ.ย. 2010 ใส่ความเห็น
in บันทึก
ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยจิต ที่ไม่อาจจะสำเร็จได้ เพราะมัวหลงไปให้ค่าต่อสิ่งที่มากระทบ
การให้ค่าใดๆต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนเกิดจากอุปทานที่เกิดจากจิตทั้งสิ้น จิตที่ยังมีอวิชชา
อวิชชาก็คือกิเลสนี่เอง ที่บดบังปัญญา ทำให้ไม่สามารถมองเห็นตามความเป็นจริงได้
จึงหลงก่อเหตุที่เป็นการสร้างภพสร้างชาติใหม่ให้เกิดขึ้นไปเรื่อยๆ
ธรรมะที่แท้จริงปราศจากรูปแบบ ไม่มีคำเรียก ไม่มีตัวตน ไม่มีใดๆ
มีแต่สิ่งที่ถูกรู้ และสิ่งที่รู้ มีแค่นั้นเอง
ไม่ว่าจะลัทธิไหนๆก็สามารถไปถึงฝั่งได้ ถ้ารู้จักทางที่แท้จริง
การเจริญสติปัฏฐาน ทุกๆลัทธิสามารถนำไปใช้ได้ ถ้าจับจุดได้ถูกต้อง
ทำไมเส้นทางของทุกคนจึงแตกต่างกันไป
ที่แตกต่างไปนั้น ล้วนเกิดจากเหตุที่กระทำมากันเองทั้งสิ้น หาใครเป็นผู้สร้างเหตุให้เกิดขึ้นมาไม่
เหตุมี ผลย่อมมี สร้างเหตุอย่างใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น
เราจึงต้องมาเจริญสติกันเพราะเหตุนี้
เพื่อจะได้เห็นตามความเป็นจริง
นักเดินทางข้ามกาลเวลา
16 มิ.ย. 2010 ใส่ความเห็น
in บันทึก
นิมิตทางจิต
16 มิ.ย. 2010 ใส่ความเห็น
in บันทึก
สุขจริงหนอออออออ
15 มิ.ย. 2010 ใส่ความเห็น
in บันทึก
บันทึกการเดินทาง 4 ปี 51
12 มิ.ย. 2010 ใส่ความเห็น
in ชีวิตประจำวัน, บันทึก, รวมสภาวะเก่าและใหม่
” มนสฺสโลเก ” มนุษย์ทั้งหลาย ที่มีวิญญาณครองอยู่ในโลก คนจำพวกใด ที่เราเห็นว่า
ควรสงเคราะห์เขาได้โดยธรรม ก็ไม่ควรนิ่งดูดาย ช่วยทางกายไม่ได้ก็สละทรัพย์แทนตัว ตั้งจิตเมตตา
ปรารถนาดีแก่คนทั้งหลายทั่วไป คนต่ำอย่าเหยียบย่ำให้จมดิน ได้แก่การดูถูกกัน คนสูงอย่าฉุดลงมา
ในเบื้องต่ำ คืออิจฉาริษยา กลัวเขาดีกว่าตัว ควรทำใจของตนให้ตั้งอยู่ในพรหมวิหาร เราควรเมตตา
คนเบื้องสูง มีบิดา มารดา พระราชาเป็นต้น ที่เรียกว่า “ เมตฺตาปารมี ”
เราควรสงสารปรารถนาดีแก่เพื่อนมิตรสหาย ควรช่วยเหลือทางกาย วาจา ใจ เป็นต้น ที่เรียกว่า
” เมตฺตาอุปปารมี ”
เราควรแผ่ไมตรีจิต ทำความสนิทเสมอเสมือนบุตรที่รักในอก ในคนและสัตว์เบื้องต่ำ ที่เป็นศัตรูให้เรามี
จิตเมตตาภาวนาอุทิศกุศลแผ่ให้ตามสมควร เมื่อทำจิตได้เช่นนั้น ท่านเรียกว่า ” เมตฺตาปรมตฺถปารมี ”
9 มค.
รู้ไว้แค่ตัวเอง รู้นั้นย่อมดับสิ้นไปพร้อมกับเวลาที่ตัวเองตาย หลายๆท่านที่เราได้สนทนามา
ทั้งญาติธรรมที่ได้เคยร่วมปฏิบัติกรรมฐานมาด้วยกัน และอีกหลายๆท่านที่ได้สนทนากันทาง
อินเตอร์เน็ต บางคนเฝ้าค้นหาคำตอบว่านี่คืออะไร นั่นคืออะไร มันเป็นคำถามที่ได้คำตอบไม่รู้จบ
เพราะต่างคนต่างรู้ ต่างก็ตอบแบบที่ตัวเองเข้าใจ แบบที่ตัวเองรู้ แบบที่ตัวเองทำแล้วทำได้ถนัด
ถาม 100 คนก็ได้ 100 คำตอบ อาจจะคล้ายคลึงกันบ้าง แตกต่างกันไปบ้าง แต่จะให้เหมือนกันที่สุดนั้น
ไม่มี เมื่อสมัยที่เราได้เริ่มปฏิบัติกรรมฐานตั้งแต่ตอนแรก เราทำตามครูบาอาจารย์ท่านสอนมาตลอด
ท่านบอกว่า ” ไม่ต้องไปสงสัย เห็นอะไรก็กำหนดรู้ ตามรู้ ตามดูมันไป จนกว่ามันจะดับหายไปเอง
สักวันหนึ่งก็จะเข้าใจเอง ในสิ่งที่เห็น ไม่ต้องเที่ยวไปถามใคร มันจะเสียเวลาในการปฏิบัติไปเปล่าๆ
เพราะมัวแต่สงสัย ”
อย่างที่เราเคยได้บันทึกไว้ว่าเมื่อก่อนเราน่ะไม่รู้อะไรเลยจริงๆ ไม่รู้ว่า สิ่งที่เราได้ผ่านจากการทำกรรมฐาน
แต่ละขั้นตอนนั้นมีคำเรียก ในสมัยก่อนอาจจะมีตำราเกี่ยวกับการทำกรรมฐาน แต่เท่าที่เราเคยอ่านเจอ
จริงๆก็คือ หนังสือการฝึกกสิณที่หลวงพ่อสมชาย วัดเขาสุกิม ท่านโยนให้มาฝึกเอง ตอนนั้นก้ยังไม่รู้ว่า
นี่ก็คือการฝึกกรรมฐานอย่างหนึ่งเหมือนกัน จะพูดถึงเรื่องสมาธิ อ่านพระพุทธเจ้าตรัสไว้
จากพระสุตันตปิฎก
[๑๐๐] เธอครั้นละนิวรณ์ ๕ ประการ อันเป็นเครื่องทำใจให้เศร้าหมอง
ทำปัญญาให้ถ้อยกำลังนี้ได้แล้ว จึงสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้า
ปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เข้าทุติยฌาน มีความ
ผ่องใสแห่งใจภายใน มีความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะสงบวิตกและวิจาร
ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เป็นผู้วางเฉยเพราะหน่ายปีติ
มีสติสัมปชัญญะอยู่ และเสวยสุขด้วยนามกาย เข้าตติยฌานที่พระอริยะเรียกเธอ
ได้ว่า ผู้วางเฉย มีสติ อยู่เป็นสุขอยู่ เข้าจตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆ ได้ มีสติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขาอยู่ ดูกรพราหมณ์ ในพวกภิกษุที่ยังเป็นเสขะ ยังไม่บรรลุ พระอรหัตมรรค ยังปรารถนาธรรมที่เกษมจากโยคะอย่างหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้อยู่นั้น เรามีคำพร่ำสอนเห็นปานฉะนี้ ส่วนสำหรับภิกษุพวกที่เป็นอรหันตขีณาสพ
อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว บรรลุ
ประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับ สิ้นสัญโญชน์ในภพแล้ว พ้นวิเศษแล้วเพราะผู้ชอบ
นั้น ธรรมเหล่านี้ย่อมเป็นไปเพื่อความอยู่สบาย ในปัจจุบันและเพื่อสติ
สัมปชัญญะ ฯ
การที่จะผ่านสมาธิแต่ละขั้นได้ต้องมีสติมากพอ จะเกิดสมาธิก็รู้ จะคลายออกจากสมาธิก็รู้
ส่วนฌาน 5 6 7 8 จะเกิดได้ง่าย ถ้าผ่านฌาน 4 แล้ว นี่คือเรื่องสมาธิแต่ละขั้น
วิธีสร้างสติให้เกิด ก็คือ การกำหนดรู้ ตามรู้ ตามดู ลงไปในสิ่งที่เกิดการกระทบ ตรงไหนเกิดชัดเจนที่สุด
ให้กำหนดตรงนั้น ตามรู้ ตามดูตรงนั้นไป แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน อย่าปล่อยให้ผ่านไปโดย
การดูเฉยๆ แต่ไม่ไปรับรู้ในการเกิดกระทบนั้น กำหนดบ่อยๆ เมื่อกำหนดได้ชัดเจนดี สติย่อมมีมากขึ้น
เมื่อสติมากขึ้น ขันธ์ 5 ย่อมดับ เพราะวิญญาณไม่เกิด เมื่อวิญญาณไม่เกิด ย่อมรู้เห็นตามความ
เป็นจริง โดยไม่มีการเข้าไปปรุงแต่ง
นี่คือ ความเข้าใจในสมัยก่อน
โดยเฉพาะขณะที่เกิดสมาธิ และมีสติ สัมปชัญญะรู้ตัวอย่างต่อเนื่อง มันจะรู้แล้วก็รู้ๆๆๆๆๆๆ เช่น
เวทนาเกิด เรากำหนดรู้ดูลงไป จะเห็นการเกิดเวทนาและอาการที่หายไปอย่างต่อเนื่อง
ตรงนี้ถ้าคนรู้จักโยนิโสมนสิการเป็น มันจะเกิดปัญญา จะเห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
มันเป็นอนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา จะไปบังคับให้เกิดหรือไม่เกิดก็ไม่ได้ มันไม่เที่ยง มันเกิดจากอุปทาน
ที่เรายึดมั่นถือมั่นนั่นเอง
เราเองคนนึงละโยนิโสไม่เป็น ก็อาศัยกำหนดรู้ลงไปทุกๆครั้งที่เกิดตั้งแต่หยาบจนมันละเอียดขึ้น
สุดท้ายพอมันเต็มที่ มันก็เกิดเป็นวิปัสสนาญาณทันที จะเห็นการเกิดดับของรูปนาม อย่างต่อเนื่อง
โดยปราศจากการกำหนด หรือความคิด มันไม่มีเลย มีแต่ตัวรู้เกิดขึ้นมาล้วนๆ สติอยู่คู่กับจิตตลอดเวลา
สุดท้ายจะมีรู้ผุดขึ้นมาว่า มันไม่มีอะไรเลย มีแต่รูป นาม สมมุติแค่นั้นเอง
( ช่วงที่ปฏิบัติในช่วงนี้ จะใช้เวลาในการปฏิบัติประมาณ 10 ช.ม. ต่อวัน ถ้าวันไหนติดธุระก็ 4 ช.ม. )
แต่ละคนไม่ว่าจะปฏิบัตแบบไหน เมื่อเข้าสู่วิปัสสนาญาณ ขั้นที่ 1 อุทยัพพยญาณ ( อย่างแก่ ) ทุกคน
จะรู้เหมือนกันหมด
13 มค.
แป๊บๆก็ผ่านไปอีกแล้ว วันเวลาช่างผ่านไปไวเสียเหลือเกิน ดูสิ อีกไม่กี่ช.ม.ก็จะเข้าวันใหม่อีกแล้ว
เวลาที่ผ่านไปทุกๆวินาที เราจะถามตัวเองอยู่เสมอๆว่านี่เรากำลังทำอะไรอยู่ ยังแก้โจทย์การบ้าน
ที่อาจารย์ท่านให้มายังไม่ได้
อ่านโสฬสธรรมก็หลายรอบแล้ว นำโจทย์มาใช้กับจิตตัวเอง ก็ได้ผลเหมือนกัน แต่มันยังเล็กน้อย
ทุกอย่างมันมีความอยากเข้าไปแทรกอยู่ทุกครั้ง ถึงจะไม่มาก แต่ก็ถือว่ายังไม่ดีเท่าที่ควร
มันไม่เหมือนในอดีตที่เราเคยปฏิบัติ อันนั้นปราศจากความอยาก ไม่เคยอยากรู้ อยากเห็น
หรือสนใจในสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น
พอจะก้าวขึ้นบันได จิตมันก็บอกว่าอยากสวดมนต์จัง อยากทำกรรมฐานจัง
( แล้วทำไมมันต้องอยากด้วยล่ะ นั่นน่ะสิ เราก็หาคำตอบไม่ได้ )
ใครๆมักจะพูดว่า คนที่กำลังมีความสุขจะคิดว่าเวลามันผ่านไปเร็วเสียเหลือเกิน แต่เราไม่ใช่แบบนั้น
ไม่ได้รู้สึกสุขกับอะไรเลย ไม่ได้มีอะไรที่เป็นพิเศษเลย รู้สึกธรรมดาๆแค่นั้นเอง
อะไรที่มากระทบมันก็ระงับได้เร็วขึ้น ชัดเจนในสิ่งที่เกิดมากขึ้น
22 ม.ค. ’51
วันนี้เดินจงกรม มันแปลกมากๆ ปกติแล้ว เราเคยเดินแค่ระยะที่ 5 ระยะที่ 6 ไม่เคยเดิน
เพราะฐานสติยังไม่แน่นพอ มันจะเซ วันนี้ที่ว่าแปลกมากๆก็คือ มันเดินได้เอง
คือเราเก็บรายละเอียดทุกย่างก้าวที่เดิน ตั้งแต่ ยก ย่าง วาง ถูก เหยียบ กด เรากำหนดดูตาม
ทุกอริยาบทที่เท้าก้าวไป เราเห็นว่าอาการมันเกิดคล้ายๆกับในสมาธิ เห็นการเกิดดับขาดออกเป็นตอนๆ
ของทุกย่างก้าวที่เดิน มันชัดเจนมากๆ
แม้แต่เวลายืน ปกติจะต้องกำหนดยืนหนอ คราวนี้ไม่ต้องกำหนดเลย มันรู้ขึ้นมาเองขณะที่ยืน
ตั้งแต่กระหม่อมถึงปลายเท้า ปลายเท้าถึงกระหม่อม มันรู้ตัวต่อเนื่องไม่ขาดสาย เห็นตั้งแต่เริ่มต้น
จนกระทั่งจบ เราโทรฯหาคุณนุเลย ต้องถามผู้ที่มีความรู้ เราไม่รู้เรื่องปริยัติเลย คุณนุ บอกว่า
สันตติบัญญัติขาด และก็สนทนาธรรมกันอีกยาว เราเลยมาค้นต่อในหนังสือวิปัสสนาทีปนีฎีกา
จะมีรายละเอียดของสภาวะซึ่งหลวงพ่อภัททันตระ ท่านได้เมตตาถ่ายทอดไว้
January 24
อนิจจานุปัสสนาแท้และเทียม
การปฏิบัติ ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ไปคาดหวังผลเหมือนเมื่อก่อน แต่เวลานั่งยังคงเกิดสภาวะดิ่งตลอดจนหมดเวลา
ความศรัทธาและความเชื่อหลายวันมานี้ เราก็รู้สึกว่ามันจะย่ำๆๆๆๆ อยู่กับที่ แต่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากมาย รู้สึกเบื่อๆ
ก็ไม่ต้องปฏิบัติอะไรมากมาย เอาแค่ว่ารู้ว่าทำแค่นั้นเอง ทำเพราะรู้ว่ามันเป็นการสร้างกุศล
ที่ได้กุศลมากกว่าใช้เงินทำ รู้แค่นั้นเองดูหนังช่อง 7 มาหลายวัน ชอบมากเลย เรื่อง ” เสียงกระซิบจากมิติลี้ลับ ” นี่หนังก็จบลงแล้ว
ไม่รู้ว่าจะมีตอนที่ 2 อีกเมื่อไร ดูแล้วทำให้เราคิดถึงวิญาณต่างๆที่เราไม่สามารถติดต่อกับเขาได้
พูดกับวิญญาณ สอนวิญญาณ เราคิดว่าง่ายกว่าพูดคุยกับคน นี่เป็นความคิดที่เกิดขึ้นนะ
เพราะวิญาณเขาไม่มีทางเลือก ใครก็ได้ที่ช่วยเขาได้ เขาจะไปตามนั้น
ดูหนังเรื่องนี้แล้วทำให้คิดถึงความศรัทธาและความเชื่อ เราย้อนกลับมาดูที่ตัวเอง
ว่าที่เราปฏิบัติทุกวันนี้เพราะอะไร เรารู้แค่ว่าปฏิบัติแล้วดีเท่านั้นเอง คำอธิษฐาน บอกตามตรง
ว่าแค่สักว่าอธิษฐานไปแค่นั้นเอง เพราะถูกสอนมาว่าให้อธิษฐานหลังปฏิบัติ หรือหลังสวดมนต์ทุกครั้ง
ให้อธิษฐานว่า ” ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐาน ขออำนาจผลบุญกุศลที่เกิดจากการปฏิบัติภาวนานี้ ขอผลบุญกุศลหนุนนำให้ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติ ได้เกิดปัญญญาณ ได้บรรลุมรรคผล ล่วงพ้นบ่วงมาร
เห็นแจ้งในพระนิพพานด้วยเทอญ ” นี่คือคำอธิษฐานที่เราใช้มาตลอด
ถามว่าขณะที่อธิษฐานรู้สึกอย่างไร เรารู้สึกเฉยๆ ไม่เคยสนใจ ไม่เคยให้ค่าความหมายในการอธิษฐาน
รู้แต่เพียงว่าต้องทำ เพราะเป็นสิ่งที่ควรทำแค่นั้นเอง ใครอย่าได้มาคุยกับเรื่องพระนิพพานเลย
ไม่มีประโยชน์ เพราะเราไม่เคยสนใจหรือให้ความหมายที่มีความรู้สึกพิเศษกับคำว่า ” พระนิพพาน ”
ปัจจุบันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่คุยกัน ไปคุยกับสิ่งที่ไม่เคยได้สัมผัสหรือรับรู้เลยได้อย่างไร
มันจะกลายเป็นฟุ้งไปเสียเปล่าๆ เอาตำรามาตะแบง มางัดกันเสียส่วนมาก เราเองก็เคยคุยด้วย
กับคนที่มาถาม เราบอกเลยว่า นี่นำมาจากคิริมานนทสูตรนะ ส่วนจะใช่หรือไม่ใช่นี่ไม่รู้
ก็ว่ากันไปตามตำรา
กลับมาย้อนไปที่เรื่องคำว่า ” ศรัทธา ” และ ” ความเชื่อ ” ใครจะว่าเราดูหนังแล้วบ้าก็ช่าง
เมื่อวานเราดูตอนจบ แหมมันโดนใจ เราต้องมีความศรัทธาและเชื่อมั่น เราจึงจะพบสิ่งที่เป็นจริงได้
คือ แสงสว่าง ( อันนี้คำพูดในหนังนะ ตอนที่นางเอกพูดกับเหล่าดววิญญาณที่เครื่องบินตก )
เราเองก็ปฏิบัติไปโดยไม่ได้มีความศรัทธาหรือความเชื่ออะไรมากมายอย่างที่บอก เราปฏิบัติ
เพราะเห็นว่าดีและเห็นว่าเป็นการสร้างกุศลที่ได้กุศลแรง พูดง่ายๆก็คือว่า ไม่ต้องเสียเงิน แต่ได้บุญเยอะ
มากกว่าบุญที่ต้องเสียเงิน แค่นั้นเองที่เราคิด
การปฏิบัติของเราจึงไม่มีความสงสัยแบบที่เขามาสงสัยกัน ถ้าจะบอกว่าไม่มีสงสัยทั้งหมดเลยก้คงไม่ใช่
เสียทีเดียว มีเหมือนกัน แต่มีน้อย เป็นบางครั้ง เพราะเราไม่ได้มุ่งหวังที่จะได้อะไร ยิ่งได้มาได้ยิน
หลวงพ่อจรัญท่านสอนบ่อยๆเรื่อง ” การกำหนด ” ทำไมต้องกำหนด ยิ่งไปได้ไว
” อย่าส่งจิตออกนอก ” ให้กลับมารู้ที่ตัวทุกครั้งว่ากำลังทำอะไรอยู่ นี่ทำให้สติ สัมปชัญญะเกิดขึ้น
ได้เร็วมากๆ เมื่อก่อนอ่านคำสอนหลวงพ่อจรัญ อ่านแล้วก้ยังมองไม่ค่อยออก รู้แค่พื้นๆตัวหนังสือ
ที่เขียนไว้ จริงๆแล้ว หลวงพ่อท่านสอดแทรกเรื่องการปฏิบัติ และการกำหนดไว้ในทุกคำพูด เพียงแต่ว่า
ตอนนั้นเรายังไม่รู้ เราเลยอ่านแล้วตีความได้แค่ที่เรารู้ มันได้เท่านั้นเองจริงๆ
หลังจากที่ดูหนังจนจบแล้ว เราเกิดความคิด เรื่องความคิดนี้เกิดขึ้นหลายครั้งแล้ว เรื่องการติดต่อ
กับวิญญาณ เราอยากช่วยเขานะ ใจมันคิดอย่างนั้นจริงๆ เมื่อคิดอย่างนั้นก้ทำให้นึกไปถึงช่วง
การปฏิบัติก่อนที่ผ่านอุทยัพพยญาณ ใช้เวลาปฏิบัติ 10 ช.ม. ต่อวัน
เมื่อคืนเราก็เริ่มใหม่เรา เราขึ้นห้องพระตั้งแต่ 2 ทุ่มครึ่ง สวดมนต์เสร็จก็นั่งอ่านธรรมะให้ผีบ้านผีเรือน
ฟังก่อน เป็นเวลาครึ่งช.ม. แล้วก็มาเดินจงกรม นั่งสมาธิ สลับกันไป ช่วงไหนง่วงมากๆจนมันทนไม่ไหว
ก็นั่งเอาหลังพิงตู้เสื้อผ้าเอา ไม่ยอมนอนลงกับพื้นเด็ดขาด เพราะถ้านอนแล้วยาวแน่ นั่งหลับแบบนี้ดี
อย่างมากครึ่งช.ม. ก็ตื่นแล้ว ตื่นแล้วอาจจะง่วงนิดหน่อยก็เดินจงกรมเอา สักพักอาการง่วงจะคลายลง
วันนี้คือวันแรกที่เราเริ่มปฏิบัติ เมื่อคืนอยู่ได้ถึงตี4 แล้วก็มานั้งหลับต่อแป๊บนึง มันเกิดจากแรงบันดาลใจ
นะ ทำให้หันกลับมาปฏิบัติแบบนี้ใหม่ อยากช่วยเขา เท่าที่เราจะสามารถช่วยเขาเหล่านั้นได้
ไม่ได้หวังที่จะได้อะไรกับเขาหรอก
บทเรียนเพิ่ม ดูตามความเป็นจริง
15 ก.พ.’51
วันนี้เดินจงกรม มีอาการแปลกๆอีกแล้ว เราไม่ได้กำหนดอะไร เดินแล้วก็รู้ตัวลงไปทุกย่างก้าวที่เดิน
ที่ว่าแปลกก็คือ ยิ่งเดิน ยิ่งละเอียด ยิ่งแยกข้อปลีย่อยออกมาให้เห็นเด่นชัด กายส่วนกาย ลมหายใจ
ส่วนลมหายใจ มันไม่ใช่ความรู้สึกเหมือนเมื่อก่อนที่เราเดิน
เมื่อก่อนมันจะรู้พร้อมไปทั้งตัว เราถึงว่ามันแปลกๆ มันรู้สึกวาบๆขึ้นมาเหมือนเป็นภาพที่มองเห็นทุกขณะ
ที่ก้าวเดิน มันผุดขึ้นมาในใจ อธิบายไม่ถูก
เราก็เลยโทรฯหาหลวงพ่อพระครูภาวนา ถามท่านว่า ทำไมมันเป็นแบบนี้ มันรู้สึกเสียววาบๆทุกขณะ
ที่ย่างก้าว ขนหัวลุก ขนลุกไปทั้งตัว ภาพมันจะผุดขึ้นมาในใจ เห็นภาพชัดเลย
หลวงพ่อถามว่า ที่เห็นน่ะ เห็นที่ตาหรือเห็นที่ข้างใน เราบอกว่า เห็นข้างใน ตาไม่ได้มองที่ปลายเท้า
แต่มองไปข้างหน้า ขณะที่เดิน ถามท่านว่า ควรทำอย่างไร ในเมื่อรู้สึกก็เลยหยุดเดิน แล้วกำหนด
รู้หนอๆๆๆ ก้ยังไม่หาย อาการเสียวแบบนั้น มันเสียวๆอยู่อย่างนั้น อธิบายไม่ถูก โดยเฉพาะที่ฝ่าเท้านี่
ชัดเจนมาก มันเสียวๆวาบๆบอกไม่ถูก
หลวงพ่อบอกว่า ไม่มีอะไร มันมีสติ สัมปชัญญะเกิดขึ้น ( เกือบจะถามหลวพ่อแล้วว่า คราวก่อน
ที่รู้ตัวทั่วพร้อมกับอาการเดิน ท่านก็บอกว่า นั่นแหละเรียกว่า สติ สัมปชัญญะ แต่พอนึกขึ้นได้ว่า
หลวงพ่อปรีชา ท่านบอกไว้ว่า มันจะมี 3 ระยะ ก็เลยไม่ถามหลวงพ่อปรีชา ว่าทำไมมันถึงแตกต่าง
จากคราวแรก )
หลวงพ่อบอกว่า ภาษา พระปฏิบัติ การดูลงไปในอาการที่เกิดก็คือการกำหนด แต่เป็นการกำหนด
โดยกริยา ไม่ใช้บัญญัติ ท่านบอกว่า ให้ดูไปตามความเป็นจริงที่เกิด ไม่ให้ใช้รู้หนอที่เป็นสมมุติบัญญัติ
ดูลงไปจนอาการนั้นหายไปในที่สุด แล้วค่อยเดินต่อ
เหมือนฝ่าเท้าเรามีชีวิต เรารู้สึกไปกับมันทุกระบบที่กระทบ มันเสียวๆอยู่อย่างนั้นเราก็ทำแบบที่หลวงพ่อบอก เดินมันไป เอาสติ จิตจดจ่ออยู่กับการเดิน
พอเดินถึงช่วงยืน อยู่ๆมันก็เกิดเป็นสมาธิขึ้นมา
แต่เราไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นักเรื่องสมาธิ
เพราะเดี๋ยวนี้สมาธิเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเราบ่อยมากๆ
20 ก.พ.’51
วันนี้เป็นสมาธิเกือบทั้งวัน ทั้งๆที่บางทีแค่นั่งคิดอะไรบางอย่าง
จู่ๆมันก็สว่างพรึ่บขึ้นมา เป็นเกือบทั้งวันเลยวันนี้
สว่างมากๆ ทั้งๆที่โอภาสแบบนี้ เราแทบจะไม่ค่อยเกิดให้เห็นด้วยซ้ำ
21 ก.พ.’51
เดินจงกรม นั่งสมาธิ เป็นระยะๆ เบื่อมากๆเลย ไม่รู้ว่าเบื่ออะไร นั่งก็เบื่อ เดินก็เบื่อ
22 ก.พ.’51
เดินบ้าง นั่งบ้าง กำหนดดูอริยาบทย่อย ก็เกิดสมาธิอยู่เรื่อยๆ แต่ไม่สนใจละ
มันออกจะรำคาญไปด้วยซ้ำ แต่พยายามทำจิตไม่ให้ชอบ ไม่ให้ชัง
เพราะหลวงพ่อพระครูภาวนานุกูลสอนไว้ว่า อย่าไปเบื่อ อย่าไปเกิดความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบ
มันเป็นสภาวะของมัน ให้พิจรณาดูตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นอย่างเดียว
ไม่ต้องไปใส่ใจว่าอะไรเป็นอะไร ทำไป เดี๋ยวมันจะแจ้งขึ้นมาเอง
25 ก.พ.’51
ความรู้สึกที่ฝ่าเท้า นับวันมันจะมากขึ้นเรื่อยๆ ขนาดใส่รองเท้าเดินแท้ ไม่ใช่เท้าเปล่าเลยนะ
มันก็ยังรู้สึกกระทบทุกย่างก้าวที่เดิน เหมือนมันรู้สึกเข้าไปถึงในจิตของเรา มันชัดมากๆ
แม้แต่นั่งบนเก้าอี้ เท้าวางอยู่บนพื้นเฉยๆ มันจะชัดมากๆตรงที่เท้ากระทบถูกพื้น
โทรฯหาหลวงพ่อ ถามท่านตั้งแต่ เรื่องฝ่าเท้าที่เป็นอยู่ ท่านบอกว่า ให้ดูลงไปอย่างเดียว
ไม่ต้องไปทำอะไร และเรื่องที่เป็นสมาธิบ่อยๆ ไม่ว่าจะทำอะไรก็เกิดสมาธิตลอดเวลา
ท่านบอกว่า ให้เดินจงกรมเพิ่ม อย่างน้อย 2 ช.ม. เพื่อเจริญสติให้มากขึ้น อย่านั่งมาก
ถึงไม่ใช่นั่งขณะที่ทำสมาธิก็ตาม ไม่ให้นั่งมาก ให้เน้นเดิน
26 ก.พ.’51
ฟังพระท่านเทศน์ เรื่อง ศิล และเรื่องการเจริญภาวนา
สาเหตุที่ทำให้ไม่ก้าวหน้าเพราะศิลยังพร่องอยู่
ถ้าศิลบริสุทธิ์ การเจริญภาวนาจะก้าวหน้ามากๆ
05 เมษายน เพราะความอยากรู้ตัวเดียวแท้ๆ จึงเที่ยวหาหนทางด้วยความอยากรู้ จริงๆแล้ว ปรมัตถสภาวะล้วนๆนี่ ที่แท้การปฏิบัติเราก้าวหน้า แต่เราไม่รู้ว่าก้าวหน้า มันผ่านแต่ละสภาวะผ่านไปไวมากๆ เพิ่งมาถึงบางอ้อ ว่าที่แท้ อาการที่เกิดนั้นมันเป็นเพียงสภาวะเมื่อถึงจุดๆหนึ่งที่จะต้องเจอ ที่แท้ติดอยู่ที่คิดแค่นั้นเอง แต่ดีอย่างที่เรายังมีวาสนามีครูบาอาจารย์ที่เมตตาต่อเรามากๆ เดี๋ยวนี้ก็แปลกอีกอย่างเรื่องศิลนี่ ทั้งๆที่เราไม่ได้สมาทานอะไร แต่ทำไมต้องระวังไม่ให้ตัวเองผิดศิล เราไม่อยากเกิดอีกแล้ว ตั้งแต่ผ่านเวทนาหนที่สองนี่ เรามองเห็นความกลัวที่เรามีอยู่ กราบเท้าพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ถ้าวันนี้เราไม่มีพ่อแม่ ผู้ให้กำเนิด ไม่มีครูบาอาจารย์คอยสั่งสอน แนะนำทาง ไม่มีกัลยาณมิตรที่ดี ขอกราบนมัสการ และกราบขอบพระคุณผู้มีพระคุณที่เมตตามาตลอดเวลา หนังสือหลวงพ่อภัททันตะนี่จะอ่านไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร เพราะอ่านแล้ว สาธุ สาธุ สาธุ |
บันทึกการเดินทาง 3 ปี 49/1
12 มิ.ย. 2010 ใส่ความเห็น
in ชีวิตประจำวัน, บันทึก, หนังสือ
จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ขาดไม่ได้เสียแล้วเมื่อถึงเวลาออกดอกออกผล เก็บเกี่ยวได้แบบไม่หวาดไม่ไหว
แถมสามารถแบ่งปันให้กับคนอื่นๆได้อีกมากมาย
เรียกว่ามีเหลือกินเหลือใช้ค่ะ
เดิน 15 นาที นั่ง 15 นาที เริ่มต้นใหม่อีกแล้ว5 มค.
เดิน 15 นาที นั่ง 15 นาที เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที
10 มค.
เดิน 15 นาที นั่ง 15 นาที
11 มค.
06.35 เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที
21.30 เดิน 25 นาที นั่ง 25 นาที
12 มค.
06.30 เดิน 15 นาที นั่ง 15 นาที
22.20 เดิน 30 นาที นั่ง 30 นาที
วันนี้ สติดี สมาธิดีขึ้น ไม่ตกใจเวลาเสียงนาฬิกาดังครบเวลา
13 มค.
06.30 เดิน 15 นาที นั่ง 15 นาที
20.30 เดิน 30 นาที นั่ง 30 นาที
วันนี้ สติดีมากขึ้น สมาธิดีขึ้น เกิดปีติตลอด
14 มค.
04.30 เดิน 15 นาที นั่ง 15 นาที
20.30 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที
ดีขึ้น ฟุ้งซ่านกำหนดได้ทัน มาปวดขาก่อนหมดเวลาน่าจะประมาณ 5 นาที
15 มค.
06.20 เดิน 10 นาที นั่ง 10 นาที
21.45 เดิน 50 นาที นั่ง 50 นาที มีฟุ้ง แต่กำหนดได้
16 มค.
04.00 เดิน 30 นาที นั่ง 30 นาที
10.00 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที กำหนดได้ดี
19.15 เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที
ฟุ้งตลอด จิตส่งออกแต่นอก แทบจะไม่รู้อยู่ที่กาย
17 มค.
04.30 เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที
20.45 เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที
เริ่มมีอาการเบื่อหน่ายอีกแล้ว ทำไมถึงเป้นแบบนี้นะ แล้วจะแก้ไขยังไงดี ไม่อยากปฏิบัติเลย
เบื่อบอกไม่ถูก แต่ต้องพยายามทำ ไม่อยากไปทุกข์ใจอีกแล้ว เบื่อข้างบ้าน ชอบมาวุ่นวายกับเราจริงๆ
ตั้งใจแผ่เมตตาให้กับเขา อาจจะทำให้ดีขึ้น
18 มค.
04.00 เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที เบื่อมั่กๆ
11.37 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที
ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ไม่อยากปฏิบัติเลย แต่เมื่อเช้าก้ทำได้ดีนะ
20.30 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที
ดีเหมือนกันที่เจอแต่ปัญหา ทำให้หันหน้ามาหาธรรมะ แทนที่จะออกไปที่อื่น
ผลของการปฏิบัติ ถึงแม้จะทำไม่ต่อเนื่องก็จริง
แต่สิ่งที่เราได้รับ เราเริ่มมีสติการรับรู้มากขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะมาก
คงต้องพยายามทำให้ต่อเนื่อง เรียนรู้อย่างอื่นยังทำได้เลย แล้วนี่เพื่อชีวิตของเรานะ ต้องอดทน
นี่คือความมุ่งมั่นที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน แล้วรู้จักพิจรณาทบทวนสภาวะของตัวเอง
ทั้งๆที่ตอนนั้นทำแบบไม่รู้อะไรเลย ตำรับตำราก็ไม่เคยอ่าน เพราะครูบาฯทุกๆท่านสั่งเหมือนกันหมด
อย่าอ่านตำรา อย่าสงสัย ไม่ต้องไปถามใครๆ ทำต่อไป แล้วที่สงสัยจะรู้เอง19 มค.
05.30 เดิน 30 นาที นั่ง 30 นาที ปวดเร็วขึ้น ฟุ้งตลอดเลยเวลาปวด
22.25 เดิน 30 นาที นั่ง 30 นาที
ลองนำวิธีของหลวงพ่อชามาใช้ เข้าปลายจมูก ณหทัย สะดือ ออก สะดือ ณหทัย ปลายจมูก
จนกว่าจิตจะสงบแล้วค่อยพองหนอ ยุบหนอ ผลคือ สงบช่วงแรก ปวดขาเป็นพักๆ
20 มค.
05.30 เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที
21.00 เดิน 30 นาที นั่ง 30 นาที
วันนี้กำหนดได้ มาวูบไปช่วงท้าย ไม่รู้ตัว มารู้ตัวตอนเสียงนาฬิกาดัง
21 มค.
20.30 เดิน 30 นาที นั่ง 30 นาที
นั่งเพลิน สติไม่ทัน วูบไป ตกใจเลยลืมกำหนด วันนี้ครูมาสอน ปวดพอทน
23 มค.
19.30 เดิน 35 นาที นั่ง 35 นาที
ฟุ้งตลอด แต่พอกำหนดได้ ครูมาสอน พอกำหนดได้ รู้ตัวทัน วันนี้ไม่มีวูบ
24 มค.
03.35 เดิน 30 นาที นั่ง 30 นาที ง่วงนอนมากๆ นั่งหลับ
23.50 เดิน 30 นาที นั่ง 30 นาที
25 มค.
20.00 ไปสวดมนต์ที่วัดอโศ ได้ฟังเทศน์เรื่อง ความยึดมั่นถือมั่น เรื่องจิต เรื่องความโกรธ
การด่าว่ากัน ให้ยึดหลักว่า ปล่อยวางซะให้หมด เดี๋ยวก็ตายกันแล้ว จะไปว่าให้เกลียดชังกันทำไม
นั่ง 1 /1/2 ชม.
22.09 กลับมาทำต่อที่บ้าน เดิน 30 นาที นั่ง 30 นาที
27 มค.
10.30 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที
20.00 สวดมนต์ ปฏิบัติที่วัดอโศ นั่ง 1/1/2 ชม. เลิก 4 ทุ่ม
22.30 เดิน 30 นาที นั่ง 30 นาที
28 มค.
08.30 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที
20.00 สวดมนต์ ปฏิบัติที่วัดอโศ นั่ง 1/1/2 ชม.เลิก 4 ทุ่ม
22.30 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที
29 มค.
10.15 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที
20.00 สวดมนต์ ปฏิบัติที่วัดอโศ เลิก 4 ทุ่ม
30 มค.
10.30 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที
21.30 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที
31 มค.
20.30 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที
………………………………………………………………
1 กพ. 49
20.30 เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที วันนี้ปวดหัว รู้สึกเครียดกับเรื่องส่วนตัว
2 กพ.
10.00 เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที
23.30 เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที
3 กพ.
10.56 เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที
20.00 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที
4 กพ.
เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที
5 กพ.
21.45 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที
6 กพ.
10.20เดิน 30 นาที นั่ง 30 นาที
20.00 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที เหวยๆๆๆๆๆๆ ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งโดนด่าทุกวัน ด่าเรามากๆเลย
ไม่รู้ไปทำอะไรกับเขาไว้ ขนาดพยายามไม่สุงสิงด้วยแล้วนะ สามีชาวบ้านน่ะไม่สนใจหรอก
แค่สามีเขามาทักเรา เราก็คุยตอบธรรมดาๆ ขนาดหนุ่มๆยังไม่สน แก่ๆแบบนั้น จะเอาไปทำอะไรหว่า
ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งชดใช้ แต่ตอนนั้นยังไม่รู้เรื่อง
7 กพ.
เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที
19.50 เดิน 20 นาที นั่ง 50 นาที
8 กพ.
10.30 เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที
20.00 เดิน 20 นาที นั่ง 50 นาที
9กพ.
03.30 เดิน 30 นาที นั่ง 30 นาที ฝืนใจมากๆเลย ทั้งที่ง่วงแสนง่วง แต่จะลองทำดู เบื่อชีวิตเหลือเกิน
10.20 เดิน 30 นาที นั่ง 30 นาที
21.30 เดิน 20 นาที นั่ง 50 นาที
10 กพ.
21.00 เดิน 50 นาที นั่ง 50 นาที
11 กพ.
22.56 เดิน 20 นาที นั่ง 50 นาที
การปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง โดยที่เราไม่ได้หยุดเลย รู้สึกว่า ก้าวหน้าขึ้น กำหนดรู้ได้ทันมากขึ้น
ปวดขา กำหนดได้ทันมากขึ้น มีอะไรแปลกๆอยู่อย่าง ดูมาหลายวันแล้ว รู้สึกช่วงเวลาหายไป
ไม่ได้หลับ ไม่ได้งูบ แต่เหมือนเวลาหายไปเฉยๆ พอรู้ตัวอีกที เห็นท้องพองยุบเอง เราไม่ต้องกำหนด
เป็นเรื่องของสมาธิที่เข้าอัปนาสมาธิ มันเลยดับแบบเราไม่รู้ตัว เหตุเนื่องจากสมาธิล้ำหน้าสติ
วิธีปรับอินทรียคือ ให้เดินเพิ่มขึ้น ลดนั่งลง ปรับไปเรื่อยๆ จนกว่าสติจะนำหน้าสมาธิ หรือเสมอๆกัน
12 กพ.
20.10 เดิน 1/2 ชม. นั่ง 50 นาที
13 กพ.
21.03 เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/1/2 ชม. วันนี้ปวดมากๆ กำหนดได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
14 กพ.
20.30 เดิน 1/2 ชม. นั่ง 55 นาที
15 กพ.
22.30 เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.
16 กพ.
21.02 เดิน 1/2 ชม. นั่ง 55 นาที
วันนี้รู้ตัวตลอด การเกิดสมาธิรู้ตลอดว่าเกิดตอนไหน แต่ไม่มีแสงสว่าง มันจะรู้สึกว่า ว่างแล้วก็โล่ง
ตัวหายไปหมด ลมหายใจหายไป เหมือนมันหายไปหมดเลย และกลับมารู้สึกตัวใหม่ เป็นแบบนี้ถึง 3 ครั้ง
เวทนาน้อยมาก แทบจะไม่มี ความฟุ้งวันนี้ลืมกำหนด แต่ปล่อยไปเรื่อยๆ มากำหนดตอนหลัง พอนึกได้
เดิน รู้สึกตัวดี
พอมาย้อนอ่าน นับว่าเป็นกุศลของเรา คงสร้างเหตุดีด้านนี้มาเยอะ เลยทำให้ไม่หลงสภาวะ
ไปคิดว่า ตัวเองได้อะไรและเป็นอะไร เราปฏิบัติช่วงนั้นเพราะมีทุกข์ และอยากรวย
ศัพท์ต่างๆที่เขาเรียกๆกัน ไม่รู้จักเลย ฉะนั้นเรื่องโสดาหรืออริยะนี่ไม่ต้องพูดถึง ไม่รู้จัก
เลยทำให้ไม่หลงสภาวะ แบบที่มีคนส่วนมากหลงกัน เพราะความอยากเป็น
เลยทำให้หลง น้อมเอา คิดเอาเองว่าตัวเองเป็นอะไรและได้อะไร แต่กิเลสความอยาก
ที่อยากเป็นนั้น มองไม่เห็น เหตุมี ผลย่อมมี
18 กพ.
21.00 เดิน 1/2 ชม. นั่ง 55 นาที
เมื่อวานไม่ได้ทำ เพราะปวดท้องเมนส์มากๆ มาวันแรกที่ไร แย่แบบนี้ทุกที
วันนี้ปฏิบัติ ไม่มีสติ ลืมกำหนดพองยุบ เกิดสมาธิตอนเดินจงกรมหลายครั้ง
ตอนนั่งเกิดสมาธิเข้าออกเอง เหมือนหลับ แต่ไม่หลับ มันแปลกๆ เพราะรู้ตัวตลอด แต่ทำไมเหมือนหลับ
19 กพ.
21.25 เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1 ชม.
วันนี้ปวดเป้นระยะๆพอทนได้ มาปวดมากตอนท้ายๆ แต่ก็ผ่านไปได้
20 กพ.
09.30 เดิน 15 นาที นั่ง 30 นาที
21.45 เดิน 20 นาที นั่ง 60 นาที
21 กพ.
09.20 เดิน 10 นาที นั่ง 35 นาที
22.05 เดิน 20 นาที นั่ง 1 ชม.
22 กพ.
10.10 เดิน 10 นาที นั่ง 40 นาที
20.50 เดิน 20 นาที นั่ง 1ชม. 10 นาที
วันนี้ลองเพิ่มเวลา ปวดมากๆเลย กำหนดแล้วก็ยังปวด ทรมาณมากๆ
23 กพ.
22.25 เดิน 10 นาที นั่ง 30 นาที ฟุ้งตลอดเลย
24 กพ.
09.35 เดิน 10 นาที นั่ง 30 นาที
20.00 เดิน 15 นาที นั่ง 40 นาที กลับมาเริ่มต้นใหมีอีกครั้ง นั่งมีแต่เวทนา ปวดตั้งแต่เริ่มนั่ง
26 กพ.
เดิน 5 นาที นั่ง 20 นาที
27 กพ.
20.30 เดิน 10 นาที นั่ง 30 นาที เดิน 15 นาที นั่ง 40 นาที
ทำสองรอบ ฟุ้งตลอด แต่กำหนดได้ รอบหลังนี่ปวดขา ขาชาไปหมด แต่พอกำหนดได้บ้าง
28 กพ.
19.35 เดิน 5 นาที นั่ง 35 นาที ฟุ้งตลอด ปวดพอกำหนดได้
ตอนนั้นยังไม่รู้เรื่องการปรับอินทรีย์ เรียกว่า ทำแบบไม่รู้อะไรเลย ทำอย่างเดียว
1 มีค. 49
04.20 เดิน 5 นาที นั่ง 20 นาที แรกๆง่วง แต่สักพักดีขึ้น
11.05 เดิน 5 นาที นั่ง 20 นาที
20.00 เดิน 1/2 ชม. นั่ง 45 นาที ฟุ้งตลอด กำหนดได้เป็นระยะๆ ปวดช่วงท้ายๆ กำหนดพอได้
2 มีค.
04.15 เดิน 5 นาที นั่ง 20 นาที
10.21 เดิน 5 นาที นั่ง 20 นาที
20.00 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที ฟุ้งน้อยลง ปวดพอทนได้ ปวดเป็นพักๆ
ใกล้หมดเวลา ปวดมากๆ แต่ก็ผ่านไปได้
3 มีค.
04.25 เดิน 5 นาที นั่ง 20 นาที
10.30 เดิน 15 นาที นั่ง 20 นาที
20.55 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที เดินกำหนดได้ดี ฟุ้งเป็นระยะ แต่กำหนดได้ทัน
4 มีค.
04.20 เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที
10.30 เดิน 15 นาที นั่ง 20 นาที
20.55 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที
เดินกำหนดได้ดีมากขึ้น ฟุ้งเป็นระยะ พอกำหนดได้ นั่ง ยังเหมือนเดิม
5 มีค.
05.45 เดิน 5 นาที นั่ง 10 นาที
วันนี้วันอาทิตย์ เราตื่นสาย เมื่อคืนนอนดึก เรายังไม่พยายาม ความพยายามมีน้อยเกินไป
ต้องฝืนใจให้ตื่น ยังชอบตามใจตัวเองอยู่ เกี่ยวกับเรื่องเวลา ต้องบังคับตัวเองให้ได้มากกว่านี้
21.50 เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที
6 มีค.
21.00 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที
อยากรู้หนอเหมือนหลวงพ่อหรือแบบลูกศิษย์หลวงพ่อ ตอนนี้ได้แต่ยึดหลวงพ่อเป็นหลัก
ตรงนี้อ่านแล้วก็ขำๆตัวเอง ความอยากเยอะจริงๆ อยากรู้หนอ
7 มีค.
20.00 เดิน 50 นาที นั่ง 50 นาที
เดินกำหนดได้ดี เดินรอบละ 1/2 ชม. ทำแบบหลวงพ่อสอน คือ เดินให้ช้าที่สุด
นั่ง วันนี้สมาธิดีกว่าทุกวันที่ปฏิบัติ ปวดพอทนได้ มาฟุ้งตอนเกือบหมดเวลา
ยังคงมีอาการเหมือนเดิมคือ ช่วงเวลาหายไป พอรู้ตัวอีกทีคือใกล้จะหมดเวลาแล้ว
ระว่างเวลาที่หายไป ไม่มีอะไรเลย เวทนาไม่มี คือไม่มีอะไรเลยจริงๆ เหมือนเราไม่ได้นั่งอยู่
ที่ว่าหลวงพ่อสอนนั้น เป็นสิ่งที่อ่านเจอในหนังสือ ไม่ใช่หลวงพ่อสอนให้
สมาธิคงเข้าสู่ระดับลึกเหมือนเดิม
8 มีค.
เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม.
เดิน รู้เวทนาตลอด ฟุ้งกำหนดได้ พยายามเดินช้าๆ
นั่ง วันนี้แปลกจัง เราจับได้ช่วงแรกๆ เรากำหนดได้ คือ ปลายจมูก ณหทัย สะดือ แล้วเข้าพองยุบ
พอกำหนดได้สักพัก เรารู้สึกตัวตลอดนะ แต่แปลกจริงๆ เราว่าเราเพิ่งนั่งได้แป๊บเดียว
แต่ทำไมจึงปวดมากๆแบบนั้น เหมือนใกล้จะหมดเวลา เราก็เลยลืมตาดูนาฬิกา ปรากฏว่า
เหลืออีก 5 นาที หมดเวลา แล้วเวลาที่เรานั่งอยู่ก่อนนี้ล่ะ มันหายไปไหน ทำไมไม่รู้สึกตัว
ไม่ได้หลับเลยนะ ไม่มีงูบหรือโงกด้วย
9 มีค.
20.55 เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม.
เดิน มีอยู่ช่วงหนึ่งเกิดสมาธิในขณะที่กำหนดยืนอยู่ เดินกำหนดได้ทันตลอด
นั่ง มีอยู่ช่วงหนึ่ง พอเรารู้ตัวว่าเหมือนๆกับเราจะเกิดสมาธิ เราไม่แน่ใจ แต่คิดว่าใช่
เรากำหนดสติตามรู้ตลอดวันนี้ ความรู้สึกตัวหายไป ลมหายใจหายไปมีแว๊บเดียว นอกนั้นรู้ตัวตลอด
ปวดพอทนได้ ก็ยังขยับหัวเข่าอยู่
10 มีค.
04.05 กำหนดยืนแล้วนั่งเลย 30 นาที
22.15 เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.
11 มีค.
04.15 ยืนแล้วกำหนดนั่ง 30 นาที
13 มีค.
19.15 เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม.เดินกำหนดได้ตลอด นั่งมีปวดตอนท้ายๆ
ตั้งแต่วันเสาร์ มีเรื่องเครียดมากๆ ตอนแรกคิดจะไปวัด แต่สุดท้ายไม่ได้ไป เพราะคิดว่า ทำไมเวลาดีๆ
ถึงไม่ไปวัด พอมีปัญหาทีไรจะไปวัดทุกที ทำไมไม่พยายามทำที่บ้านให้ต่เนื่อง แล้วแก้ปัญหาเอง
14 มีค.
03.40 กำหนดยืนแล้วนั่ง 30 นาที
23.55 ไม่ได้เดินจงกรม แค่สวดมนต์ นั่งสักพัก แล้วแผ่เมตตา เบื่อ
16 มีค.
00.30 สวดมนือย่างเดียว
17 มีค.
20.30 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที
เดินมีสมาธิดี กำหนดได้ตลอด มีฟุ้งแต่กำหนดได้ทัน
นั่ง วันนี้อาจจะเป็นวันแรกที่ปฏิบัติในวันนี้ กำหนดได้ดี มีอยู่ช่วงหนึ่งลืมตัว พอปวดแล้วไปขยับขา
ไปวัดอัมพวัน 21-24 มีค.
26 มีค.
เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.
27 มีค.
22.20 เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.
28 มีค.
เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที เบื่อชีวิต
29 มีค.
21.50 เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.
30 มีค.
23.10 เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.
31 มีค.
00.00 เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.
เวลามาลงสภาวะเก่านี้ รู้สึกดีใจลึกๆที่ไม่หลงสภาวะว่าตัวเองได้อะไร เป็นอะไร
เพราะความที่ไม่รู้จักอะไรเลย คำเรียกต่างๆก็ไม่รู้จัก คิดว่าตัวเอง บรรลุ
ตอนที่ว่า ตัวหาย ลมหายใจหาย แบบนั้นล่ะยุ่งเลย คงไม่มีเราในวันนี้อย่างแน่นอน
ถึงจะทำแบบโง่ๆเซ่อๆนี่ มาว่ากันไม่ได้เลยนา รู้มากจะยากนานนะ บางทีน่ะ
พอรอ่านมาก รู้มาก เลยยึดติด และผสมกับความอยาก เลยทำให้หลงสภาวะ
|
1. ไม่ได้ / 2. ได้ / 3. ได้ / 4. ได้ / 5. สูดลมหายใจยาวๆลึกๆ ความปวดจะบรรเทาลง
แต่วันนี้ ปวดปัสสาวะมากๆ เหลือ 3 นาทีสุดท้าย / 6. ได้ ขณะปฏิบัติ ได้ยินเสียงเด็กนักเรียน
7. เสียงดังมาก กำหนดเสียงหนอ 2 ครั้ง21 มค.
1. ยังไม่ได้ / 2. ได้ / 3. ได้ / 4. ได้ / 5. วันนี้เวทนาเกิดตลอด รู้ตัวตลอด พยายามกำหนดรู้
ในเวทนานั้นๆ เวทนาลดลงกว่าเมื่อก่อน ทรมาณไม่มากเหมือนเมื่อก่อน จิตยึดน้อยลง
6. ทัน / 7. ไม่มีนิมิต / 8. เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม.
22 มค.
1.ไม่ละเอียด / 2. ได้ แต่วันนี้ยืนหนอ แปลกมาไหลลื่นไปได้เลย แค่ตามดูเฉยๆ / 3. ได้ / 4. ได้
5. เวทนามาเป็นระยะ แต่ความฟุ้ง วันนี้มากจัง แต่ก็พอกำหนดได้ นิมิตมาอีก เรื่องปฏิบัติที่ได้สมัยก่อนๆ
ไหลมาให้เห็น รับรู้เป็นระยะ / 6. ได้ / 7. เหมือนข้อ 5. / 8. เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม. ต่อด้วย
เดิน 15 นาที นั่ง 15 นาที
23 มค. ทำสองรอบ
1. ไม่ / 2. ได้ / 3. ได้ / 4. ได้ / 5. กำหนดตามอาการที่เกิด ปวดหนอ รู้หนอ / 6. วันนี้ไม่ทัน
7. วันนี้ปฏิบัติไม่ดี จิตไม่นิ่ง ฟุ้งตลอด อาจเป็นเพราะว่า ร่างกายไม่ชิน เช้าเกินไป
8. เดิน 30 นาที นั่ง 30 นาที นอนไม่ค่อยหลับเลยกลางคืน เป้นมา 3 วันแล้ว
24 มค.
1. ไม่ได้ / 2. ได้ / 3. ได้ / 4.วันนี้ไม่ค่อยดี กำหนดไม่ทัน / 5. เพียงพิจรณาว่า เป็นเพียง
รูป,นาม เท่านั้น ไม่ไปเกี่ยวข้องกับอาการนั้นๆ รู้เฉยๆ / 6. ได้ / 7. วันนี้ปฏิบัติ สติตามไม่ค่อยทัน
เหมือนตกภวังค์ แต่ก็พยายามใช้สติดึงกลับมาได้ อาการพองยุบรู้ได้ตลอด แต่องค์ภาวนา กำหนดไม่ขึ้น
8. เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม. 2 รอบ
1.ไม่ได้ / 2. ได้ / 3. ได้ / 4. ได้เป้นระยะ บางครั้งเหมือนกับวูบไป แต่ใช้สติดึงกลับมาได้
5. เวทนาเกิด ดับ กำหนดได้เป็นพักๆ ยังไม่สม่ำเสมอ ยังไม่ต่อเนื่อง ปวดๆหายๆ ตลอดเวลา
6. ทันบ้าง ไม่ทันบ้าง / 7. ช่วงนี้ยืนหนอมีสติดี รู้ตัวได้ดีตลอด กำหนดเดินได้ดี นั่งได้ดี
แต่อาการกำหนดภาวนาพองยุบ หายไป บางทีตามไม่ทัน ไม่รู้ตัว
25 มค. ไปวัดอัมพวัน
31 มค. เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.
………………………………………………………………………………
3 กพ. ตั้งแต่กลับมาจากวัด ไม่ได้ปฏิบัติเลย ทำไม้ป็นอย่างนี้น๊า
6 กพ. เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.
7 กพ. เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.
……………………………………………………………
16 มิย. เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.
……………………………………………………….
9 กค. กลุ้มใจมากๆ ติดเกมส์ ไม่ได้ปฏิบัติเลย อยากเลิกเล่น ไม่รู้จะทำยังไงดี
กฏแห่งกรรมทั้งนั้นจะมีอะไร ว่าเขาไว้เยอะ เห็นใครเล่นเกมก็ว่าเขา
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำดี แต่ผลตอบแทนกลับมาไม่ดี เพราะยังทำดีได้ไม่มากพอ
อกุศลกรรมเก่าที่ทำไว้ ก้ต้องใช้ไป ทยอยใช้เขาไป กรมฐานเท่านั้น ที่จะแก้กรรมได้
ขออย่าให้ข้าพเจ้าต้องอยู่ร้อน นอนทุกข์แบบนี้อีกเลย
เราต้องมุ่งปฏิบัติ ในเม่อเอาดีทางชีวิตปัจจุบันไม่ได้ ขอเอาดีในด้านปฏิบัติกรรมฐานแทน
ต้องขอบคุณปัญหาทั้งหลาย ที่ทำให้เราเข้มแข็ง
19 กค. เดิน 40 นาที นั่ง 1 ชม. บางวันปฏิบัติ แต่ไม่ได้บันทึกไว้เลย
20 กค. วันนี้ทำความสะอาดห้องพระ ( ข้ออ้างอีกแล้ว )
21 กค. การปฏิบัติยังเหมือนเดิม ไม่ก้าวหน้า
23 กค. ปฏิบัติมีแต่ความง่วง
24 กค. ปฏิบัติ
27 กค. เดิน+นั่ง 21.08-22.45
30 กค. เดิน+นั่ง 1ชม 1/2
31 กค. เดิน+นั่ง 1ชม 1/2
…………………………………………………………………………
1 สค. 50 เดิน+นั่ง 02.45-04.00
4 สค. ปฏิบัติ 00.16
6 สค. ทำ 1/2 ชม. 4 รอบ
7 สค. เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.
8 สค. เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม. วันนี้แปลกๆ เหมือนคุยกับตัวเอง เวลาออกจากสมาธิ
สมาธิแรงเกินไป สติไม่ทัน หัวเลยงุบลงไป แต่ไม่ง่วง ก็กำหนดรู้หนอ ก็หาย หลังตรงแบบเดิม
วันนี้พลาดไป หลังจากคุยกับตัวเอง ถึงได้รู้ว่าพลาดไปติดนิ่ง แล้วไม่ย้ายอารมณ์ ไปเสวยอารมณ์ตรงนั้น
9 สค. เดิน 20 นั่ง 45
10 สค. เดิน 1ชม.15 นาที นั่ง 40 นาที
13 สค. เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม. เดิน 3 ระยะ มีสติมากๆ เดินช้าๆ แต่กำหนดตลอด ตัวไม่เบา
ไม่หนัก มีสติต่อเนื่อง ต้องกำหนดต้นจิตกับหยุดหนอด้วย
นั่ง เวทนามากๆ กำหนดไม่ได้
14 สค. ปฏิบัติ2ช.ม.เหมือนเดิม
วันนี้ได้อ่านหนังสือของอ.จ.สุทัสสา เรื่องของแม่ยุพินศิษญ์หลวงพ่อจรัญ
ที่เป็นมะเร็งจะต้องตาย ( หมดทางรักษาแล้ว )
หลวงพ่อได้ให้ไปปฏิบัติที่วัด อยู่ที่วัดเลย มีความเพียรมากๆ ไม่มีการนอนเลย
ปฏิบัติอยู่ 3เดือน มะเร็งหาย
อ่านแล้วเกิดกำลังใจในการปฏิบัติมากๆ
15 สค. 03.17-05.00 เดิน 3 ระยะ นั่งมีเวทนาบ้าง
16 สค. 03.09-05.00 เดิน 3 ระยะ และ 16.15-18.20
18 สค. 9.00-11.00 เดิน 3 ระยะ
เดินไปวัดมาสองวันแล้ว วัดชัยมงคล ใช้เวลา 45 นาที เมื่อยมากๆเลยแฮะ กลับมาก็หลับเป็นตา
เพิ่งตืนก็อาบน้ำแล้วขึ้นปฏิบัติ ดีนะแบบนี้ หลับก็ฟุ้งตอนใกล้ตื่น มีแต่เรื่องปริยัติ แปลกดี
21.20-23.20 สติดี เห็นชัดเจนดี มีแต่พิจรณา เหมือนจะฟุ้ง มีแต่เรื่องการปฏิบัติ เข้ามาเป็นระยะ
เวทนาเกิด สติดีตลอด เหมือนพิจรณา และเห็นเวทนาเกิด-ดับ อย่างต่อเนื่อง จะคลายก็รู้ จะปวดก็รู้
คิดว่า คือ ไม่แน่ใจ เหมือนเราพิจรณาดู แต่ไม่ใช่แบบในสมาธิ คิดว่า ไม่ได้เป็นสมาธินะ แต่ก็พิจรณา
ความไม่เที่ยงในเวทนา
ไปเรียนนักธรรมตรีที่วัดนอก กว่าเราจะตัดสินใจเรียนนี่คิดอยู่นาน คุณนุได้พูดถึง
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธให้ฟัง และเรื่องอนุนิสัยในชาติต่อๆไป แล้วเราก็รำลึกถึงคำพูด
ของหลวงพ่อพุธที่ท่านบอกว่าเราปฏิบัติไปได้เร็วเพราะเราสำเร็จกสิณมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว
นี่เป็นตัวอย่างในเรื่องอนุนิสัยในชาติก่อนๆ เราเลยตัดสินใจเรียนนักธรรม ทั้งๆที่ไม่ชอบภาบาษาลีเลย
ใจก็คิดกังวลว่าจะรอดไหมเนี่ย ภาษาบาลีไม่กระดิกเลย มันคงยากมากๆ คนมันชอบคิดล่วงหน้า
ช่วงนี้เดินไปเรียนนักธรรมตรีที่วัดเกือบทุกวัน
19 สค.8.26-10.30 เวลาเกิดสมาธิ บางครั้งจะชอบกระตุก ตัวกระตุก แต่เป็นบางครั้ง
เหมือนอาการคนเวลาสะอึก แต่เปลี่ยนจากอาการสะอึกเป็นแบบกระตุกแทน
นั่งบอกไม่ถูก แต่กำหนดได้ตลอด สติดี ชอบมีเวทนมากๆเวลานั่งแผ่เมตตา
20 สค. 19.20-22.00 ทำ 3 ระยะ วันนี้สติดีมาก เห็นเวทนาได้ตลอด โดยไม่ได้ไปปวดอะไรด้วย
สติเหนือจิต นำจิต เราลองขยับขา ขยับกาย เพราะอยากรู้ว่าเมื่อขยับแล้วจะปวดแค่ไหน
ไม่มีอาการปวดใดๆทั้งสิ้น เพียงแต่ว่ารู้ รู้ว่าเกิดเวทนาตั้งแต่เกิดจนหายไป
ออกไปคุยกับคุณนุ
23.06-00.00 ปฏิบัติอีกรอบหนึ่ง
วันนี้สติดีมาก เห็นเวทนาได้ตลอด โดยไม่ไปรู้สึกกับอาการปวด เราลองขยับขา ขยับกาย
เพราะอยากรู้ว่าเมื่อขยับจะปวดไหม ไม่มีอาการตอบสนองใดๆทั้งสิ้น
22 สค. 21.40-23.40 แปลกๆ นั่งมากๆก็เบื่อ เป้นตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ถึงจะเห็นเวทนา
แต่เหมือนมันเบื่อ ในการนั่ง วันนี้ก็เป็น เวทนาก็ยังคงมีเป็นปกติ วันนี้ปวดจนน่ารำคาญ
กำหนดได้ยากมาก เดินยังไม่เท่าไหร่ ไม่เบื่อ แต่นั่งนี่รู้สึกว่ามันเบื่อ กำหนดไม่ขาด
23 สค. 08.30-10.30 เห็นเวทนาเกิด-ดับต่อเนื่อง เป็นสมาธิสลับกัน
สติดี เดินก็กำหนดได้ดี ยืนกำหนดได้ดี ฟุ้งมีบ้าง กำหนดได้ทัน สงสัยจะถูกกับอากศช่วงเช้า ปฏิบัติได้ดี
20.35-22.00 ฟุ้งกำหนดได้ ไม่ต่อเนื่อง แต่รู้ตัวดี นั่งกำหนดได้ทัน แต่เวทนามาอีกแล้ว
คราวนี้ไม่ใช่ปวด แต่เป้นความเมื่อย แบบว่าเมื่อยมากๆ เมื่อยไปทั้งตัว ยังคงมีความเบื่ออยู่
เห็นเวทนา เกิด-ดับ อย่างต่อเนื่อง เป็นสมาธิตลอด สติดี เดินกำหนดได้ดี ยืนกำหนดได้ดี
ฟุ้งซ่านมีบ้าง กำหนดทัน
สงสัยเราจะถูกกับอากาศช่วงเช้า ปฏิบัติต่อเนื่อง มานั่งทบทวนหลังปฏิบัติ มันไม่มีอะไรแน่นอน ต้องอาศัยความต่อเนื่องเท่านั้น
24 สค. กลับมานับหนึ่งใหม่ เริ่มเดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม. 4 รอบ เพราะว่ามันเบื่อ
เวทนาชม.แรกพอกำหนดได้ เวทนาชม.ที่ 2 ปวดกระเบนเหน็บมากๆ แต่ก็พอดีกับเวลา
เกือบจะทนไม่ไหว
25 สค. เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม. วันนี้ต้องไปเรียน เลยทำแค่ชม.เดียว
กำหนดเริ่มดีขึ้น ฟุ้งน้อยลง เวทนาเริ่มกำหนดได้ดีขึ้น เห็นชัดดี ความเบื่อเริ่มลดน้อยลง
28 สค. เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม. 2 วันแล้วไม่ได้ทำ มันเบื่อๆยังไงบอกไม่ถูก สงสัยจะขี้เกียจ
เลยหาข้อ้างที่จะไม่ทำกระมัง เดาเอานะ
31 สค. เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม. ไม่ได้ทำหลายวันเลย บอกไม่ถูก เริ่มต้นใหม่อีกแล้ว
วันนี้สติดีตั้งแต่เดินจงกรม เห็นความละเอียดทุกอย่าง อย่างต่อเนื่องของการเดิน เป็นสมาธิตลอด
นั่ง เป็นสมาธิอย่างต่อเนื่อง เริ่มเข้าที่เอง เวทนาเกิดๆหายๆ ไม่ทรมาณมากเหมือนเมื่อก่อน
1 กย. 50 เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม.
มีสติดีตั้งแต่เดิน สังเกตุนะ เมื่อมานั่งต่อ สมาธิจะดีขึ้นมาก สติจะดีตลอด ทำให้ไม่เกิดความเบื่อ
ในการปฏิบัติ จะรู้สึกเบื่อก็ช่วงใกล้ๆจะหมดเวลา สังเกตุหลายทีละ เวทนาเกิดๆดับๆตลอดเวลา2 กย. เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม.
ยังมีอาการเดิมคือ เบื่อ
3 กย. เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม.
สติดีตลอด รู้ตัวตลอด เดินจงกรมมีสติดี อาจมีแว่บไปนอกตัว แต่กำหนดทัน
นั่ง มีสติรู้ตัวตลอด เห็นเวทนา นั่งพิจรณากำหนดได้ดี สติชัดเจนแจ่มใส เห็นเวทนาตั้งแต่เกิดขึ้น
จนกระทั่งดับไป จับรายละเอียดได้หมด รู้ว่าปวด สักแต่ว่าปวด แต่จิตส่วนจิต
ไม่ได้เข้าไปยุ่งหรือไปปวดด้วย เป็นๆหายๆ เกิดๆดับๆ ให้เห็นเวทนาว่าเกิดอย่างไร แต่ละตัวไม่เหมือนกัน
พอช่วงท้ายๆ เริ่มมีอาการเหมือนเดิมคือ เบื่อหน่าย พยายามกำหนด เบื่อหนอๆๆ รู้หนอๆๆลงไป
กำหนดดับได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ยังไม่ดับได้อย่างชัดเจน ยังคงมีความเบื่ออยู่
แต่เวทนาจะเกิดก็เกิดไป รู้ตลอด มีสมาธิตลอด สลับกันไปมา ไม่เป็นสมาธิก็มี แต่ยังมีสติรู้ชัดดี
การเดินจงกรม ละเอียดชัดเจนมากขึ้นขณะที่เดิน มีอะไรมากระทบอายตนะ กำหนดได้ตลอด
ไม่ฟุ้งซ่าน จับลมหายใจพร้อมกับอาการท้องพองยุบ ขณะที่เดินได้อย่างชัดเจน เมื่อเดิน
สังเกตุได้ ลมหายใจจะรวมเป็นหนึ่งขณะที่เดิน มันจะไปพร้อมกันหมดทั้งตัว รู้พร้อมหมด
สติดีตลอด เมื่อมานั่งต่อ สมาธิเกิดอย่างต่อเนื่อง สมาธิตั้งอยู่ได้นานขึ้น
เป็นสมาธิเร็วขึ้น พอกำหนดนั่ง ปรับลมหายใจแค่ 5 ครั้ง เข้าสู่สมาธิได้เลย
เพิ่มเวลาในการปฏิบัติ เป็นวันละ 4ชม.บ้าง 5 ช.ม.บ้าง 6 ช.ม.บ้าง บางวัน 1ช.ม.ก็มีไม่แน่นอน
แล้วแต่สะดวก สูงสุด 8 ช.ม.เดินจงกรม เดินระยะ 1- 4 ละเอียดมากขึ้น ชัดเจนขณะที่ก้าวเดิน
อ่านหนังสือ อ่านพระธรรมวินัย แล้วปฏิบัติต่อถึง ตี 3 รอบนี้ หลับตลอด
5 กย. เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม.
เดินจงกรมมีสติดี ต่อเนื่องได้ตลอด ตามระยะ 1-2
นั่ง มีเวทนามากๆ ปวดสุดๆ จะลืมตาดูนาฬิกาตั้งหลายครั้ง ทำไมมันปวดขนาดนี้
คอยเฝ้าแต่ฟังเสียงนาฬิกา เมื่อไหร่จะดังสักทีนะ ดีนะที่ไม่ได้ลืมตาดูนาฬิกา
พักก่อน 1 ชม. ไปเขียนพระธรรมวินัยก่อน
23.00-01.00 ระยะ1-2
เดินจงกรมระยะ 3 ยังไม่ค่อยแนบแน่น มีเซแรกๆ
นั่ง เวทนาสุดๆ ลืมตาดูเวลา เหลืออีก 1 นาทีหมดเวลา
6 กย. เดิน 1/1/2 ชม. นั่ง 1 ชม.
วันนี้ไปเรียนนั่งหลับตลอดเลย
เดิน มีสติรู้ตัวตลอด กำหนดรายละเอียดได้ดี เดินระยะที่ 1-3
นั่ง เวทนาเยอะมากๆ ปวดมากๆ มีบางช่วงดิ่งหายไป ดับสนิท ไม่รู้ตัวเลย หายไปเฉยๆ
กำหนดทันบ้าง ไม่ทันบ้าง
กสิณ
หลังจากที่ได้ฝึกเตโชกสิณจากหนังสือที่หลวงพ่อสมชาย โยนมาให้ฝึกเอง
ตอนนั้นยังไม่รู้หรอกว่าจะมีผลอะไรตามมา แล้วฝึกไปเพื่ออะไร
หลังจากที่พ่อห้าม ก็ลืมไปเลย ไม่เคยสนใจจะหยิบขึ้นมาดูอีก
แต่เราเป็นคนที่แปลกอยู่อย่างหนึ่ง ไปที่ไหนจะเจอแต่วิญญาณ ( ชาวบ้านเรียก ” ผี ” )
ตอนเรียนม.ปลาย ได้เขาชมรม ” หมอดู ” งานนี้
อ.จ.ให้เราเป็นหมอดู เพราะเวลาจับมือใคร หรือได้เจอใครใหม่ๆ
เราจะรู้เรื่องของเขาได้โดยเขาไม่ต้องบอก เราเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
แล้วถ้าใครมาถามเรื่องที่คุยกันในวันต่อมา เราจะจำอะไรไม่ได้เลย
( สงสัยจะเป็นร่างทรงแต่เด็ก )แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าไปรู้เรื่องเขาได้ยังไง
จะมีเหตุการณ์หลายๆเหตุการณ์ที่เรารู้ล่วงหน้าได้ก่อนจะเกิด
แต่อย่างว่าแหละ ตอนนั้นเราเองก็ไม่ได้สงสัยว่าเพราะอะไรและทำไม
แล้วก็ไม่ได้ให้ความสนใจ เคยเล่นเกมสะกดจิตกับเพื่อน
( แบบที่ออกรายการในไอทีวี ) เพื่อนสะกดจิตเราไม่ได้
แต่เราสะกดจิตเพื่อนได้ เพื่อนบอกว่าเราจิตแข็ง
มารู้ตอนได้ปฏิบัตินี่เอง ว่าเป็นผลของการทำกสิณ ทำให้เรารู้เรื่องราวต่างๆได้
7 กย. 20.00-21.00
ลองเดินระยะที่ 1 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.
เดิน ยังคงมีสติดีอยู่
นั่งมีเวทนาเล็กน้อย ก็ครึ่งชม.เอง แปลกดี มันดับไปเฉยๆ ถอยออกมาไม่ได้ ไม่ทัน
ตอนวิลัยกลับมาบ้าน ปกติแล้วจะได้ยินเสียงรถ วันนี้นั่งแล้วดิ่งไปเลย ไม่ได้ยินเสียงรถ
8 กย. 07.00-11.00 เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม. 2 รอบ ติดต่อกัน
วันนี้เพิ่งรู้ว่า เดินแล้วมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม เดินแล้ว ลมหายใจกับกาย รวมกันเป็นหนึ่ง
จับได้ทั้งอาการหายใจ และการย่างเท้าก้าวเดินได้ อย่างต่อเนื่อง
มันเหมือนเป็นสมาธิแบบในขณะที่กำลังนั่งสมาธิในเดินจงกรมนี่ ไม่มีฟุ้ง ไม่มีความง่วง
ไม่มีความคิดแล่นออกไปนอกกาย สติในการเดิน ชัดเจนมากๆ
ทำอีกรอบคือ 20.00-21.20
10 กย. 08.00-12.00
เดินจงกรมมีสติรู้ตัวได้ต่อเนื่อง
นั่ง กำหนดเวทนาได้ชัด แอบตุกติก คือ ใช้วิธีท้าวแขนไปข้างหลัง แล้วแอ่นหลังขึ้นมา
ยังไม่ได้ใช้แบบอดทน มันเบื่อ เคยลองแบบนั้นแล้ว
20.40-23.58
ไม่รู้เป็นอะไร มีแต่เวทนมากๆ ทนไม่ได้เลย ปวดทรมาณมากๆที่ก้นกบและหลัง
พุทโธ
รู้จักพุทโธ ตอนแม่พาไปวัดพุทโธภาวนา อยู่ที่สามพราน
จำได้ว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งแม่ป่วยมีเลือดออก กินยาอะไรก็ไม่หยุด
ขูดมดลูกก็ไม่หาย แม่เลยไปรักษาที่ร.พ.จุฬาต่อ หมอผ่าตัดมดลูกทิ้ง
แม่เป็นเนื้องอกที่มดลูก ผลการส่งชิ้นเนื้อไปตรวจ แม่เป็นมะเร็ง ระยะที่ 1
เราได้แนะนำให้แม่ไปหาวัดที่มีการปฏิบัติกรรมฐาน
แม่ไปหาป้าที่อ่อนนุช ป้าพาแม่ไปนครปฐม ไปวัดพุทโธภาวนา
ช่วงนั้นแม่หายหน้าไป ตัวเราเองก็ยุ่งกับงานจนไม่ได้สนใจสอบถาม
เจอแม่อีกครั้ง แม่มาหาที่ทำงาน ( คิดย้อนหลังทีไรรู้สึกละอายใจทุกที )
แม่หายจากมะเร็ง อาการที่เลือดไหลไม่หยุด ก็หายสนิท
ทั้งที่ตอนนั้นผ่าตัดแล้ว เลือดก็ยังไหลอยู่ แม่มาชวนไปปฏิบัติที่วัดพุทโธ
ไปกับแม่เพราะเกรงใจแม่ อีกอย่างอยากไปเที่ยวด้วย
ไม่ได้คิดว่าจะปฏิบัติอะไร แค่งานที่ทำก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว
คนที่มาวัดนี้เยอะมากๆ ห้องน้ำต้องแย่งกันเข้า ต้องตื่นตั้งแต่ตี1
ตี2 เพื่อรออาบน้ำแล้วค่อยไปนอนต่อ เพราะตี4 จะไม่มีห้องน้ำว่าง
มีพระมาเทศน์ให้ฟัง เราชอบฟังพระเทศน์อยู่แล้ว
ฟังมาตั้งแต่เด็ก เลยติดเสียงเทศน์ มันทำให้รู้สึกสงบ
พระท่านสอนเรื่องการกำหนดลมหายใจเข้าออก
โดยใช้ หายใจเข้า – พุท หายใจออก – โธ
เรารู้สึกว่ามันง่ายมาก แม่บอกว่าเราหัวดี บางคนยังทำไม่ได้เลย
เพราะหายใจไม่ทันกับการกำหนด แต่เราไม่เป็น ทำได้สบายๆๆ
กลับมาบ้านก็ทำมั่งไม่ทำมั่ง ไม่ได้สนใจอะไร
มาชวนเพื่อนที่ทำงานไป ไม่มีใครไปสักคน เขาบอกว่ามันไกลไปอยู่ตั้งนครปฐม
ครั้งแรกกสิณ นี่ก็มาพุทโธ ก็ยังไม่ได้สนใจ
11 กย. 07.45-09.00
หลับไปเฉยเลย แบบเครียดมาก มีความรู้สึกว่า ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งแย่ลง เจอแต่ปัญหา วุ่นวายตลอด
19.40-20.40 เดินระยะ 4 เดิน 1/2 ชม. นั่ง 50 นาที
ทำระยะสั้นๆก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่เบื่อ ถึงเบื่อก็แป๊บเดียว
20.45-21.45 เดินระยะ 1 เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.
ค่อยยังชั่วหน่อย ถ้ามีเวทนาก็พอทนได้ หูแว่วว่าหมดเวลา แต่ไม่ได้เลิกตามเสียงที่ได้ยิน
เวทนาก็เกิดขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ทน สุดท้าย เสียงนาฬิกาดัง
ปรับแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เข้าออกสมาธิได้ดี พอหายเบื่อไปได้บ้าง ก็ค่อยๆเพิ่มเวลาใหม่
12 กย.
เบื่อๆๆๆๆ เคยบ้างไหมปฏิบัติแล้วเบื่อ เบื่อๆๆๆๆ เบื่อจังเลย
อาการเบื่อนี้เกิดกับเราอยู่หลายวัน เราไม่รู้จะแก้ยังไง
กำหนดก็แล้ว เปลี่ยนอริยาบทก็แล้ว ก็ยังเบื่อ เวลาเกิดเวทนา เมื่อเข้าใจเวทนาก็นั่งดูอย่างเดียว
แรกๆก็ดีหรอก มันเข้าใจทะลุปรุโปร่ง ให้เห็นว่าที่แท้เวทนาก็ …. มีแค่นี้เอง เขาจะเกิดก็เกิดเอง
จะไปบังคับเจาะจงว่าต้องเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ไม่ได้
เอ้า … พอเบื่อที่จะดู ก็กลับกลายเป็นว่า ปวดสุดๆไปเลย ทรมาณสุดๆไปเลย เราก็เลยเซ็งสุดๆไปเลย
เฮอะๆๆๆๆ จะมีอะไรแน่นอนกับอารมณ์ของตัวเอง แม้แต่การปฏิบัติแต่ละครั้งยิ่งนับวัน
ยิ่งมีอะไรแปลกๆมาอยู่เรื่อย เหมือนให้เราทำเดิมๆซ้ำๆจนกว่าจะเข้าใจชัดเจน
เหมือนเรียนหนังสือเลยแฮะ บางวันก็อยากเรียน เพราะเรียนแล้วเข้าใจ บางวันก็ไม่อยากเรียน
เพราะยิ่งเรียนมันรู้สึกว่ายิ่งแย่ ( ในความคิดตัวเอง )
จริงๆแล้วคืออะไรล่ะ อิอิ มันไม่มีอะไรจริงหรือไม่จริง
ปล้ำกับจิตของตัวเองนี่สนุกนะ ดีกว่าไปเต้นแร้งเต้นกากับคนอื่นๆ
สุดท้ายเราก็รู้วิธีแก้ความเบื่อให้กับตัวเอง
แรกๆเราก็เพิ่มเวลาปฏิบัติ จากเดิน 1 ช.ม. นั่ง 1 ช.ม.
ทำแค่ 2 ช.ม. เช้าเย็น เราก็เพิ่มเป็นครั้งละ 4 ช.ม.
สุดท้ายก็เบื่ออีก แหม … พักหลังนี่เวทนามันเยอะจัง พอเวทนาเกิด ความฟุ้งซ่านมันก็ตามมา
เดินจงกรม ใช่ว่าจะมีสติต่อเนื่องได้ตลอด ถึงตอนนี้สติจะชัดเจนกว่าเมื่อก่อนก็จริง
แต่ปฏิบัตินี่อีกเรื่องนึงเลย สติทันบ้างไม่ทันบ้าง
เมื่อวานก็เบื่ออีก มันเป็นบ้าอะไรก็ไม่รู้ พักนี้มันเกิดอาการเบื่อบ่อยจัง กำหนดเท่าไรก็ไม่หาย
สุดท้ายเมื่อคืน เลยลดเวลาลง ถ้าเวลาเท่าเดิม คอยคิดละ ( บางครั้งนะ ) เมื่อไหร่จะครบเวลาเสียที
เมื่อคืนเลยปรับเวลาลง จะคิดทำแค่ 1 ช.ม. ไม่ได้จับเวลาว่าเดินกี่นาที นั่งกี่นาที ตั้งเวลาไว้ 1 ช.ม.
ใจก็คิดนะตอนนั้น แหม… แค่ 1 ช.ม. สบายมาก
เอออ … แล้วมันก็เป็นผลดีกับตัวเราเอง กำหนดได้คล่อง สมาธิเข้าออกได้คล่อง
กลับกลายเป็นว่า จะทำแค่ 1 ช.ม. เลยเป็น 2 ช.ม.แทน หลังจากนั้นก็กำหนดนั่งหลับเอาเหมือนเดิม
ตี 4 อีกรอบนึง รู้สึกไม่ง่วงเลยมันก็แปลกดี ทุกทีตื่นมาก็ยังง่วง ไม่อยากจะทำตอนเช้า
ถ้าทำแล้วมันท้อ มันเบื่อ มันต้องมีอะไรสักอย่างนึง
สุดท้ายเราก็หาวิธีแก้อาการท้อและเบื่อให้กับตัวเองได้
13 กย. 20.22
ความเบื่อไม่ได้ช่วยอะไรเราให้ดีขึ้นเลย เท่าที่เราเคยอ่านประวัติของครูบาฯแล้ว
เห็นแต่ความเพียรเท่านั้นเอง
เรามันก็แค่คนธรรมดา ได้แค่นี้ก็บุญเท่าไหร่แล้ว เอาเถอะ เวทนา เราตั้งใจทำจะไม่ถอยเวทนาอีกแล้ว
ปวดให้มันปวด ตายเป็นตาย เหมือนที่หลวงพ่อพูด ในเมื่อถอยมาแล้ว ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย
อาจจะดีขึ้นมาแป๊บๆ สุดท้ายเหมือนเดิม อาการเบื่อ ยังไม่ยอมหายไปสักที
ตั้งเวลาไว้ที่ 2 ชม. ไม่ว่าจะเดินกี่ชม.ก็ตาม หากยังมีเวทนาเกิด ต่อให้เวทนามากแค่ไหน
จะพยายามกำหนด ไม่ยอมถอยอีกแล้ว
20.28-22.28 เวทนาตลอด
เราอ่านพุทธประวัติ ก็สงสัยในเรื่องฌานต่างๆ เขียนภาษาบาลีอ่ะนิ ใครจะแปลออก
เราภาษาบาลีไม่กระดิกเลย ถึงรู้ก็น้อยมาก พอหาข้อมูล แหมๆๆๆๆ มันก็ร้อง อ๋อๆๆๆๆ
คิดว่าอะไร เราเองน่ะไม่เคยให้ความสนใจในฌานมานานแล้ว
ไม่ได้สนใจในความพิเศษที่ได้รับ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ผู้ใดที่ปฏิบัติสมาธิ จะต้องเจอทุกคน
เพียงแต่จะรู้หรือเปล่าเท่านั้นเอง
สมถะคู่กับวิปัสสนาอยู่แล้ว ฉะนั้นต้องเจอกับฌานอยู่แล้ว
ปฐมฌานไง ยังไงๆก็ต้องเจอ เมื่อเวลาเป็นสมาธิ เพียงแต่เราไม่รู้คำเรียกเท่านั้นเองว่าเรียกแบบนี้ แบบนี้
นี่แหละ ผลเสียการไม่ได้เรียนปริยติ รู้ดีกว่าไม่รู้ รู้แล้วก็วาง จะได้ไม่ไปติดที่รู้นั้นๆ
ฌาน 4 รูปฌาน ก็เหมือนกัน ยังไงๆก็ต้องเจอ มันเป็นของมันเอง มันเกิดขึ้นเอง
ไม่ต้องไปเจาะจงกำหนดแต่อย่างใด เมื่อจิตมันคล่องในการทำสมาธิได้ดี
เข้าออกสมาธิได้ดี มันจะไปที่ฌานที่ 4 เลย ( อุเบกขา เอกัคคัคตา ) หรือที่ว่าจิตรวมเป็นหนึ่ง
ของแบบนี้ต้องอาศัยความต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำปุ๊บได้ปั๊บ
มีคำกล่าวไว้ว่า ” การเพียรพยายามบำเพ็ญสามาธิโดยใช้กลวิธีใดๆก็ตาม เพื่อให้เกิดผลสำเร็จเช่นนี้
ท่านเรียกว่า สมถะ มนุษย์ปถุชนเพียรพยายามบำเพ็ญสมาธิเพียงใดก็ตาม …..
ย่อมได้ผลสำเร็จสูงสุดเพียงเท่านี้ ( คือสมาบัติ 8 ) หมายความว่า …….
สมถะ ล้วนๆย่อมนำไปสู่สภาวะจิต ที่เป็นสมาธิได้สูงสุดเพียงเนวสัญญาสัญญายตนะเท่านั้น ”
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8C% … 2%E0%B8%99http://xchange.teenee.com/index.php?showtopic=53711
http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/i … rt9.2.html
ขอส่งท้ายว่า …….. รู้อะไรไม่สู้ … เท่ารู้ๆในเวทนา
รู้เวทนาได้ เข้าถึงเวทนาได้ ทุกคำถามจะมีคำตอบ เอวังด้วยประการละฉะนี้แล
14 กย. 07.35-08.10
งูบและขาดสติ ไปติดนิ่ง ถอยออกมาไม่ได้
22.033-23.00 ยังคงมีเวทนาอยู่
15 กย. 04.00-04.50 เดิน+นั่ง
20.20-21.20 เดิน+นั่ง
เข้าออกสมาธิให้คล่อง
ตั้งแต่เราปรับเวลาปฏิบัติ อาการเบื่อแทบจะไม่มี
เราหันมาทบทวนการปฏิบัติ แบบที่ครูบาอาจารย์ท่านทำไว้
เข้าออกสมาธิให้คล่อง เท่ากับเรากำลังทบทวน แต่ละขั้นๆที่เราได้ปฏิบัติมา
ทำให้เห็นรูปนาม การเกิด ดับ ได้ชัดเจนขึ้น
อิอิ เริ่มโยนิโสเป็น จากที่เคยทำไม่ได้ มองเห็นอะไร เดี๋ยวนี้กลายเป็นธรรมะไปหมด
แต่ยังไม่ถึงขนาด 100% แต่ว่าดีกว่าเมื่อก่อนมากๆ
อืม ….. นี่เองที่ครูบาท่านถึงกล่าวไว้ว่า ……. ให้หมั่นทบทวนอารมณ์ การปฏิบัติ
เรามัวแต่ไปปล้ำกับเวทนา ทำไม่ถูกจุด แทนที่จะเป็นผลดี เลยกลายเป็นเบื่อหน่ายแทน
17 กย.
พองหนอ ยุบหนอ ใช้วิธีดูลมหายใจ
หลังจากที่ได้เหินห่างเรื่องการปฏิบัติไปนาน ทำมั่ง ไม่ทำมั่ง เวลาผ่านไปหลายปี
มีอยู่วันหนึ่ง พี่ที่ทำงานชวนไปนั่งสมาธิ
คราวนี้คนที่สอนเราเป็นฆราวาส แขนขวาท่านขาดชื่อพระอาจารย์ สุวรรณ (เปิดสมุดดูเพราะลืมชื่อท่าน)
ท่านเป็นอาจารย์สอนกัมมัฏฐานที่นครพนม พระธาตุพนม
เราเป็นคนชอบเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว ก็ตกลงไปกับพี่เขา จำได้นิดนึงว่า ท่านแขนขาดเพราะโดนฟ้าผ่า
แต่จำไม่ได้ว่า ฟ้าผ่าท่านเพราะท่านกำลังทำอะไร
ท่านอ.จ.ให้กำหนดใช้พองหนอ ยุบหนอ แทนพุทโธ
คือหายใจเข้ากำหนดพองหนอ หายใจออก กำหนดยุบหนอ
แต่ไม่ได้ให้ดูอาการท้องที่พองยุบ ให้ตามลมหายใจอย่างเดียว
ที่นี่แปลกกว่าที่เราเคยเจอมา ………..
เวลาสวดมนต์เสร็จ พอนั่งสมาธิปั๊บ ท่านให้หายใจถี่ๆแรงๆ ยังไม่ต้องกำหนดองค์ภาวนาใดๆทั้งสิ้น
เราทำตามที่ท่านบอก เหมือนจะขาดใจ มันบอกไม่ถูก บางคนก็ลุกขึ้นรำ บางคนก็ทุบทำร้ายตัวเอง
บางคนก็อาเจียน ต้องเอากระโถนตั้งไว้ตรงหน้า
ท่านบอกว่า การทำเช่นนี้เพื่อปรับความสมดุลการหายใจ
และเป็นการแก้กรรมด้วย อะไรๆที่อยู่ในตัวเราจะได้ออกมา
(ที่ให้หายใจถี่ๆแรงๆ นานด้วยนะไม่ใช่แป๊บเดียว)
วันแรกๆเราทำก็ยังปกติดี เพียงแต่รู้สึกเหมือนเราจะขาดใจ
เวลานั่งสมาธิ ท่านจะให้นั่ง 3 ช.ม.เต็มๆ ปวดก็ต้องทน ห้ามขยับ ท่านจะคอยพูดตลอด
วันที่3 มันแปลกมากๆ 2 วันแรกก็ปกติดี วันที่3นี่ ร้องไห้ใหญ่เลย ร้องไห้เหมือนจะขาดใจตาย
เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องร้อง พยายามบังคับให้ตัวเองหยุดร้องก็บังคับไม่ได้
รู้ตัวตลอดขณะที่ร้อง แต่เหมือนมันซ้อนๆกันยังไงก็ไม่รู้ มันน่าเกลียดมากๆเลยในความรู้สึกของตัวเราเอง
คิดดูก็แล้วกันร้องเหมือนรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย ทั้งสะอึกสะอื้น น้ำลายไหลย้อย น้ำลายเต็มพื้นเลย
สักพักก็หยุดเอง พอหยุดก็เข้าสมาธิเลย ทีนี่ไม่รู้อะไรละ ได้ยินแต่เสียงอาจารย์ท่านพูดอย่างเดียว
อย่างอื่นไม่รู้ละ จะปวดจะเมื่อยนี่ไม่มีเลย ทั้งๆที่2วันแรกจะเป็นจะตาย ปวดจนน้ำตาไหล
เพราะท่านจะคอยพูดไม่ให้ขยับตัวอย่างเด็ดขาด นิมิตเยอะมาก (มาตอนนี้เพิ่งรู้ว่า ตอนนั้นติดนิมิต)
เหมือนอาจารย์ท่านจะรู้ว่าแต่ละคนเห็นอะไร ท่านพูดไปเรื่อยๆ
หลังจากมีอาการร้องไห้หนักๆอยู่ 7 วัน อาการนั้นก็หายไปเอง อาจารย์บอกว่า …..
เจ้ากรรมนายเวรเขามาทวง เราเคยทำความทุกข์ใจให้กับเขาไว้มาก
ปฏิบัติมีนิมิตเยอะมาก ตอนนั้นไม่รู้ว่าเขาเรียกว่า นิมิต
เพราะอาจารย์ท่านไม่เคยบอกอะไร มีแต่ถามว่าเห็นอะไรกันบ้าง
หลังจากที่หยุดร้องไห้แล้ว ต่อจากนั้นมา เมื่อหายใจถี่ๆหนักๆ
มันจะรวมตัวเป็นสมาธิเลย จะมีแสงสว่างมากๆเวลาเป็นสมาธิ
อาจารย์บอกว่าเราปฏิบัติได้ก้าวหน้ากว่าคนอื่นๆ
ตอนนั้นก็ดีใจอ่ะนะ ก็เหมือนคนเรียนหนังสือแล้วครูมาชม
ปฏิบัติอยู่เกือบ 2 ปี ไปบ้านอ.จ.ทุกวัน ไปตั้งแต่ทุ่ม กลับบ้านเกือบ 5 ทุ่ม
ตอนนั้นยังทำงานอยู่ เราต้องกลับมาเข้าเวรเที่ยงคืนทุกวัน
ก่อนถึงเวลาเข้าเวร เราจะนอนที่ห้องพักเวร แล้วเราก็จะมาปฏิบัติต่อที่ห้องพักเวร
มีวันหนึ่ง เรากำหนดอยู่ดีๆ ตอนนั้นเรางงมากๆ ไม่รู้ว่ามันคืออะไร อยู่ดีๆก็เหมือนร่างกายเราหายไป
ลมหายใจก็หายไป รู้แต่ท้องพองยุบอย่างเดียว
แบบท้องมันกระเพื่อมเบาๆ แล้วเหมือนเห็นมีตัวเราซ้อนอยู่อีกร่างนึง
มีความรู้สึกเหมือนร่างนั้นมันจะหลุดออกมา ตอนนั้นยอมรับเลยว่ากลัวมากๆ กลัวตาย
มันบอกความรู้สึกไม่ถูก กลัวว่าถ้าร่างข้างในหลุดออกไปแล้วเราจะต้องตาย นี่มันกลัวแบบนี้
เราฮึดสู้เลยตอนนั้น เท่าที่จำได้นะ เพราะเรื่องนี้มันนานมาแล้ว
จำได้ว่าลุกขึ้นเลย เดี่ยวนั้นเลย ไม่ยอมนั่งอีกเลย
วันต่อมาเล่าให้อ.จ.ฟัง ท่านบอกว่า ทีหลังอย่ากลัว ปล่อยให้หลุดออกมาเลย ไม่ตายหรอก
ตั้งแต่นั้นมา หลังจากปฏิบัติที่บ้านอ.จ.แล้ว เวลากลับมาขึ้นเวร เราไม่ยอมทำอีกเลย
ทำทีไรก็จะเป็นแบบเดิมทุกที เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร อ.จ.ก็ไม่อธิบายให้ฟัง ถามก็ตอบว่าไม่มีอะไร
จุดหักเหของชีวิต ………..
อยู่มาวันหนึ่ง เรานั่งแล้วมองเห็นภาพๆหนึ่ง เป็นภาพต้นมะพร้าว ใบมันร่วงลงในน้ำๆเน่าๆ
( ความรู้สึกเรามันบอกว่า น้ำนั้นมันเน่า ) เสร็จแล้ว มันงอกขึ้นมาเป็นต้นไม้ต้นเล็กๆ เหมือนต้นหญ้า
มันงอกขึ้นมาเต็มไปหมด เราก็ถามท่านว่ามันคืออะไร ตอนนั้นจำไม่ได้ว่าไปพูดอะไรที่ไม่ถูกใจท่านเข้า
ท่านบอกว่า ต่อไปคุณก็เป็นเหมือนเป็ดน่ะแหละ ต้องกลับไปกินอาจม ของมันเคยกิน
อีกแปดปีคุณจะได้กลับมาปฏิบัติใหม่ เราน่ะตอนนั้นอายมากๆเลย เล่นมาว่าเราแบบนั้น
คนก็เยอะ ว่าเราได้แสบมากกก
เริ่มมีเค้าบอกเหตุว่าคำพูดท่านั้นเป็นจริง…….
เราไม่เคยเล่นหวย ความที่ว่านั่งสมาธิแล้วเห้นตัวเลข เลยไปลองซื้อ ถูกด้วยนะ บ้าหวยไปเลย
จำได้ละ ว่าทำไมอ.จ.ถึงโกรธ …….
ก็มาวันหนึ่งเราไปเดินห้าง เจอปกหนังสือเล่มหนึ่ง เหมือนในนิมิตที่เราเห็นเลย เป็นหนังสือ
เกี่ยวกับการทำสมาธิของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เราก็เลยบอกอ.จ.ไปว่า ที่เราเห็นนี่คือหนังสือพวกนี้ มีทั้งหมดสี่เล่ม เราอ่านแล้วมันดีมากๆเลย
ต่อมาสำนักอ.จ.จัดทัวร์บุญบ่อย เราไม่ค่อยได้ไป เพราะไม่ชอบ
ก็เลยไม่ค่อยได้ไปบ้านอ.จ. ต่อมาไม่นานอ.จ.ก็ปิดสำนัก
ช่วงนั้นปัญหาของอ.จ.กับผู้ปฏิบัติเกิดเยอะมาก
ต่อมาชีวิตได้เป็นดั่งที่อ.จ.กล่าวไว้จริงๆ
ชีวิตหักเหแบบสุดๆ เลิกปฏิบัติไปเลย มีแต่เพื่อน กินและเที่ยวๆๆๆๆ
ผ่านไปสิบกว่าปีได้ วันนั้นไปทำบุญวัดอโศการาม
ได้เจออ.จ. ได้กราบและกล่าวขออโหสิกรรมต่อท่าน
ทุกชีวิต ย่อมเป็นไปตามวิบากกรรมของแต่ละคน
19 กย. 21.30-22.30
เดินมีสติดี นั่ง กำหนดได้ดี พิจรณาได้
21 กย. 03.30-04.30 กำลังกำหนดปวดหนอๆอยู่ดีๆ ดับไปเฉยๆ
21.30- 22.30
22 กย. ปฏิบัติ 1 ชม.
23 กย. 15.30-17.30
อาการเบื่อแทบจะไม่มีแล้ว แต่ยังมีติดอยู่ในอารมณ์นิดๆ บางครั้ง
กำหนดได้ดี มีสติรู้ตัวต่อเนื่องได้ตลอด
21.50-22.50 เราเริ่มปรับเวลาเพิ่มไปเรื่อยๆ ตามสะดวก ไม่เจาะจง
พิจรณาได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่มีสติ รู้ตัวได้ดีตลอด ไม่ว่าจะเดินหรือนั่ง
เวทนาเดี๋ยวนี้มาบ่อยมากๆจริง เลยพยายามปรับร่างกายเอา แบบว่าใช้เวลาในการนั่งไม่แน่นอน
24 กย.
หายเบื่อแล้ว
ตั้งแต่ปรับเวลาในการปฏิบัติ โดยหันมาเข้าออกสมาธิให้คล่อง
อาการที่ว่าเบื่อๆค่อยๆคลายลง จนเดี่ยวนี้ไม่มีแล้ว
เริ่มกลับมาปฏิบัติแบบเดิม แต่จะปรับเวลาสลับกัน จะไม่ทุ่มเทแบบเมื่อก่อน เดินสายกลางดีกว่า
กลางคืน ปฏิบัติแค่ 1 รอบ แล้วกำหนด นั่งหลับ
ตีสามปฏิบัติอีกรอบ เมื่อคืนนั่งหลับก็จริง แต่เป็นสมาธิทั้งคืน
กลางวันก็ทำอีกรอบ ถ้าอากาศร้อนมากก็ไม่ไหว
แต่ไม่ได้เจาะจงว่าจะทำวันละกี่รอบ แล้วแต่สะดวก ขณะที่นั่งสมาธิ แล้วอะไรที่เกิดขึ้น ใช้วิธีโยนิโส
โดยการแยกขันธ์ 5 ออกมา แยกแล้วชัดเจนขึ้น ละเอียดขึ้น เวทนาที่เคยรุนแรงมากๆ ก็เข้าใจมากขึ้น
26 กย. 12.55-14.00
20.30-21.40 วันนี้เอาหนังสือพุทธประวัติมาอ่าน หลังปฏิบัติแล้ว หลวงพ่อพุธท่านเขียนไว้ว่า
หลังทำสมาธิ อ่านหนังสือ จะทำให้จำได้แม่น แล้วให้ปฏิบัติต่ออีกรอบ จะได้นำไปพิจรณาได้
สนทนากับหลวงพ่อพุธ แก้ปัญาเรื่องการเป็นสมาธิตลอดเวลา
หลังจากที่ได้เจอหนังสือ ที่ปกหนังสือเหมือนในนิมิตแล้ว ก็ไปโคราชทันที เพื่อจะไปหาหลวงพ่อพุธ
ไปวัดป่าสาละวันครั้งแรกลำบากมากๆ ถามเขาตลอดทาง จำได้ว่าจ้างสามล้อพาไป
รู้สึกว่าจะเสียตังค์ไป50บาท ไปที่วัดก็ไม่เจอหลวงพ่ออีก เขาบอกว่าหลวงพ่ออยุ่วัดที่แปดริ้ว
เราก็คิดว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวค่อยมาใหม่ ขอเบอร์โทรจากทางวัดมา เราโทรไปหาหลวงพ่อ
คนที่รับสายเป็นผู้หญิง เขาก็ไม่ให้คุย อ้างว่าหลวงพ่อติดธุระอยู่ จำได้ว่า ไปโคราชถึง 4 ครั้ง
โทรฯอยู่หลายครั้ง ไม่เคยได้คุยเลย ไม่ไหวแล้วไปโคราช ค่ารถแพงมากๆ ไกลก็ไกล ค่ารถก็หลายต่อ
สุดท้ายจุดธูปอธิษฐานถึงหลวงพ่อ ว่าขอให้ได้คุยกับหลวงพ่อ ได้คุยจริงๆ
เราถามหลวงพ่อว่า ขณะที่เราไม่ได้ทำสมาธิ เช่นเวลาทนข้าว คุยกับเพื่อนหรือทำกิจกรรมอื่นๆอยู่
ทำไมเราถึงเป็นสมาธิตลอดเวลา เราไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เพราะเวลาเป็นสมาธิขึ้นมา
มันจะรู้เลย มันจะสงบจากกิจกรรมที่ทำอยู่ทันที หากกำลังมองอยุ่ มันก็เห็นเหมือนภาพสามมิติ
หลวงพ่อได้เมตตาอธิบายให้ฟังว่า มันไม่มีอะไรหรอก เกิดเนื่องจากจิตเราเร็วเกินไป
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะเราสำเร็จกสิณมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว พอมาปฏิบัติเพิ่มก็เลยไปได้เร็ว
ท่านบอกว่า ให้เราเริ่มใหม่ เริ่มนับหนึ่งใหม่ คือจะต้องมี วิตก วิจารณ์ ปิติ สุข เอกัคคตา
มันจะเห็นชัดเจนขณะที่เกิดแต่ละขั้น แล้วจะทำให้ชำนาญในการเข้าออกสมาธิ
เรามาคิดๆย้อนหลังดู มิน่า หลวงพ่อสมชายถึงโยนหนังสือให้เราฝึกกสิณเอง
ทีแท้หลวงพ่อท่านรู้หนอ รู้ว่าพอเราจับปั๊บ เราจะทำได้เอง เพราะของเคยทำมาแล้ว
และที่เราไปรู้เรื่องอะไรต่อมิอะไรต่างๆ บางทีก็ได้ยินเสียงเขาคิดทั้งที่เขาไม่ได้พูด
มันเกิดจากฤทธิ์ของฌานนี่เอง อีกอย่างนึงที่เราสงสัยมาตลอดว่าทำไมถึงไม่สนใจเรื่องฌาน
เพราะรู้แล้วว่าไม่ใช่ทางที่พ้นทุกข์ เราจึงไม่สนใจ การปฏิบัตินี่ดีจริงๆ ทำให้อ่านตัวออก บอกตัวได้
27 กย. 20.15-22.15
ยังกังวลอยู่เรื่องเวทนา พิจรณาแยกยังไม่ทัน ถึงแม้ว่าจะเคยทำได้ก็จริง แต่มันยังไม่ชำนาญ
ต้องทำให้ชำนาญก่อน
เดิน ประมาณ 1 ชม. 15 นาที นั่ง 45 นาที เดินระยะที่ 1-ระยะที่ 4 แล้วจึงนั่ง
เวทนามี แต่ไม่นาน เป็นๆหายๆ ยังคงไปติดนิ่ง กำหนดไม่ได้
รู้สึกเหมือนมียุง,มด มารุมกัดเยอะมากๆ กัดตามแขน หน้า ติ่งหู กำหนดไม่หาย
เลยเอามือไปลูบ ไม่มียุงหรือแม้แต่มด สักตัวเดียว ไม่มีอะไรทั้งสิ้น
แต่เรารู้สึกเหมือนมีตัวอะไรมากัดจริงๆ เจ็บมากๆเลย
เพิ่งรู้นะว่า เคยเจอสภาวะเดียวกับที่หมูกำลังเจออยู่เลย
28 กย. 09.10-11.30 เดิน 09.10-10.30 นั่ง 1 ชม.
เดินจงกรม รู้ตัวต่อเนื่องได้ดี กำหนดได้ดี กายและจิตทำงานร่วมกันเป็หนึ่งตลอด
ว่อกแวกน้อยมากๆ แทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้
นั่ง เวทนาเกิดเป็นพักๆ ยังพิจรณาได้ไม่คล่อง เรื่องแยกขันธ์ 5 ยังทำไม่ได้ แต่ก็ดีขึ้น
เวทนากำหนดได้ชัดขึ้น
16.15-17.15
สมาธิเกินสติ
เราเริ่มปรับเวลาไปเรื่อยๆ ไม่เจาะจง เมื่อคืน 2 ช.ม. สติตอนเดินชัดเจนดี กำหนดได้ทัน รู้พร้อมตลอด
การเดินจงกรมเดี๋ยวนี้ รู้พร้อมทั่วตัว จับได้หมด ทั้งลมหายใจ ทั้งอาการท้องพองยุบ ทั้ง ขณะที่เดิน
และสิ่งที่มากระทบละเอียดมากขึ้น แทบจะไม่ต้องกำหนดเดินเหมือนเมื่อก่อน ยิ่งเดินถึงระยะ 4
ยิ่งละเอียดมากๆแต่ละก้าวที่เดิน
เมื่อคืน ขณะที่นั่งสมาธิ สมาธิมากเกินสติ กำหนดได้ไม่ทัน ไปติดอยู่ที่อัปปนา ไม่ได้ถอยออกมา
จากตรงนั้น เลยกลายเป็นนั่งเพลินไป รู้ตัวอีกที เสียงนาฬิกาที่ตั้งเวลาไว้ ดังขึ้นพอดี
กำหนดเสียงนาฬิกาได้ทัน ไม่มีตกใจ
กำหนดรู้กับเสียงที่ได้ยิน หลังปฏิบัติเสร็จก็มานั่งทบทวน อืมมม แต่ละครั้งมีแต่ความเปลี่ยนแปลง
ไม่เหมือนเดิม
เดินมากไป เมื่อมานั่ง เวทนาย่อมเกิดน้อยลงหรือเกิดแต่จับไม่ทัน ( สติอ่อน )
เดินน้อยไป เมื่อมานั่งเวทนาเกิดมาก ก็ไปเก็บกดกับเวทนาอีก ช่างไม่มีความพอดีเอาเสียเลย
เดินนั่งพอๆกัน ก็เกิดเวทนาแต่ละครั้งไม่เหมือนกัน สติทันบ้างไม่ทันบ้าง มันช่างหลากหลายเสียจริงๆ
ทำยังไงถึงจะมีสติเสมอกับสมาธิได้ นี่สิที่เราต้องทำความเพียรเพิ่ม อาจจะเป็นเพราะว่า …
การกำหนดอริยาบทย่อยของเรายังน้อยเกินไป ต้องกำหนดให้ได้ต่อเนื่อง กำหนดไปจนกว่า
ไม่ต้องกำหนด
เดี๋ยวก็ต้องไปเรียนอีกแล้ว วันนี้ฝนตกปรอยๆตั้งแต่ตี4แล้ว อากาศกำลังเย็นสบาย น่าปฏิบัติมากที่สุด
อิอิ ว่าแล้วก็ไปสะสมหน่วยกิตสัก 2 ช.ม. ดีกว่า
สะสมหน่วยกิต
เมื่อใดก็แล้วแต่ที่เราได้ปฏิบัติ หรือกำหนดอริยาบทย่อยต่างๆ เราถือว่าเราได้สะสมหน่วยกิต
ไม่ต้องไปคิดว่า ทำแล้วจะเป็นยังไง รู้แต่ว่า ทำแล้วต้องไม่เครียด ทำแล้วจะเข้าใจมากขึ้น
ทำให้เราเข้าใจในรายละเอียดมากขึ้น บางครั้งอาจจะไม่แน่ใจในบางสิ่ง ( สิ่งที่คิด )
ก็ถามผู้ที่รู้มากกว่า ( อันนี้ยกความดีให้คุณนุหรือท่านอ.จ.งื่อ )
29 กย. 01.00-03.00,03.00-04.00
ช่วงแรก พอเดินเสร็จกำหนดนั่ง ยังไม่ทันได้จับพองยุบ ก็เข้าสมาธิไปเลย
ดิ่งและดับไปเลย มารู้ตัวอีกทีคือ ตอนหมดเวลา
ช่วงหลัง กำหนดนั่งแล้ว ก็เป็นอีก แต่กำหนดถอยออกมาได้ทัน สุดท้าย
สุดท้าย แปลกดีนะ มันมีความคิดผุดขึ้นมาก่อนหมดเวลา เรื่องเวทนาว่า กำลังปรับสมดุลย์
ทั้ง 2 ช่วงนี้ เวทนามีแต่เป็นๆหายๆ ไม่ทรมาณมากเหมือนอาทิตย์ที่แล้ว ที่ทรมาณสุดๆ
เมื่อวานปกฏิบัติไป 3 ช.ม. เมื่อคืนตั้งแต่ตี 1 ถึง ตี 4 ตั้งแต่นั้นมาเรายังไม่ได้นอนเลย ตามันสว่าง
ไม่ง่วงเลย เมื่อวานอ่านหนังสือ แล้วก็หลับไปช่วง 5 ทุ่ม ตื่นมาเที่ยงคืนครึ่ง ก็อาบน้ำสระผม
แล้วขึ้นห้องพระปฏิบัติเลย
เหมือนร่างกายเรากำลังปรับสภาพให้สมดุล ดูจากเวทนา ที่เริ่มมองเห็นชัดเจนขึ้น ตั้งแต่เกิด
จนกระทั่งดับ จับได้ตลอด
เมื่อเช้าปฏิบัติทั้งสองรอบ เหมือนกันอยู่อย่างนึงคือ พอนั่งปั๊บ เราปรับลมหายใจ แค่ 5 ครั้ง
ก็เข้าสู่อัปปนาเลย ทั้งที่ทุกๆครั้ง จะต้องกำหนดองค์ภาวนาอย่างน้อยสองถึงสามครั้ง
ถึงจะเข้าสู่สมาธิ เดี๋ยวนี้เข้าออกสมาธิได้คล่องแคล่วมากๆ คงเกิดจากการที่เราทำอย่างต่อเนื่อง
หลังจากปฏิบัติแล้วก็ทบทวนตลอด ไปสะสมหน่วยกิตอีกสัก 2 ช.ม.ดีกว่า
บ่ายต้องไปเรียนนักธรรมอีก เวลามันช่างไวเสียจริงๆ
1 ตค. 50
7.00-9.00
เมื่อวานไม่ได้ปฏิบัติ เลยมีผลมาถึงวันนี้ ต้องทำทุกวัน ถึงจะต่อเนื่อง
วันนี้ไม่ไหว สติไม่มี นาฬิกาดัง สะดุ้งทั้งตัว
เมื่อวานได้แต่กำหนดอริยาบทย่อยเอา ไม่ได้ทำเต็มๆ เลยมีผลมาถึงวันนี้ ขาดสักวันไม่ได้เลย
เท่าที่สังเกตุมาตลอด
วันนี้ไม่ไหว สติไม่มี นาฬิกาดังหมดเวลา สะดุ้งทั้งตัวเลย เราลองทำแบบไม่จับเวลา
ไม่กำหนดว่าเดินเท่าหร่ นั่งเท่าไหร่
เดินจงกรม 4 ระยะ แล้วนั่งต่อเลย แต่จะทำได้แค่ไหนก็จะดูเอาว่าได้แค่ไหน อารมณ์เป็นยังไง
นั่งทบทวนดู แต่จะตั้งเวลาจบไว้ที่ 2 ช.ม. ปรากฏว่า พอครบ 2 ช.ม. นาฬิกาดัง สะดุ้งเลย ขาดสติ
19.50-21.50
วันนี้ลองทำแบบไม่ตั้งเวลา เดินระยะที่ 1 แล้วนั่งต่อครบ 2 ชม. พอดี
2 ตค. 20.30-22.30
วันนี้ยืนหนอดีกว่าทุกวัน รู้สึกตัวทั่วพร้อม ละเอียดชัดเจนมากตั้งแต่กำหนดยืนหนอ
จากบนลงล่าง จากล่างขึ้นบน มีสติดีมากๆ
นั่ง เวทนาเป็นๆหายๆ ปกติจะทนไม่ค่อยไหว โดยเฉพาะช่วงท้ายๆจะทนไม่ไหว
ช่วงใกล้จะหมดเวลาทุกครั้ง วันนี้แปลก พอมีเวทนา เราก็พิจรณาลงไปเรื่องขันธ์ 5 ทำทั้งๆที่ไม่ค่อยเป็น
แต่ลองทำตามที่ได้ข้อมูลจากการสนทนากับคุณนุ เรื่องขันธ์ 5 มา แยกออกไปทีละส่วน
ถึงแม้จะยังไม่คล่อง แต่เหมือนกับว่าเวทนาเปลี่ยนไป มันบอกไม่ถูก ปวดก็จริง แต่เหมือนว่า
เรารับรู้และทนความปวดนั้นได้ ไม่ได้ถอยหนีเหมือนทุกๆครั้ง มันปวดสุดๆแล้วก้จางหายไป เป็นช่วงๆ
จนกระทั่งหมดเวลา อันนี้หรือเปล่า ที่ว่าร่างกายกำลังปรับสภาพ หรือว่าปรับสภาพของจิตในการรับรู้
3 ตค. 22.30
ไม่ไหวเลย ขึ้นมาเลยเวลา ง่วงมากๆ นั่งหลับตลอด เดินสลับนั่งตอนหลัง ก็ง่วงตลอด จนถึงตี 1
ต้องขึ้นตั้งแต่ 2 ทุ่ม เลย 2 ทุ่มนี่ไม่ไหว ปฏิบัติ ไม่ได้อะไรเลย
เรื่องที่คุยนี่ตอนสายๆ มันมาฟุ้งเอาตอนจะปฏิบัติ สติมันไม่ทัน จิตก็ล่วงหน้าไปโลดเลย
คนมันน่าเบื่อ จริงๆนะเรารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ คนปฏิบัติได้จริงเขาไม่มานั่งว่าร้ายหรือให้ร้าย
กับใครต่อใครหรอก คนเราน่ะมันก็มีทั้งดีและชั่วแหละ หายากมากที่จะสมบูรณ์ 100%
ปฏิบัติก็เหมือนกัน ใครจะเป็นอย่างไรก็เรื่องของเขา
โห … นี่เราไปฟุ้งเรื่องชาวบ้านเขาทำไมนี่ ….
ดีนะที่ยังมาหางๆสติโผล่มาคว้าไว้ได้ทัน ก็คิดหนอๆๆ ทันทีเลย ลุกขึ้นเลย เดินจงกรม
แล้วก็นั่งสมาธิต่อ จบที่เวลา ตี 1 กว่า
4 ตค. 07.15-09.15
เช้านี้ปฏิบัติรอบเช้าได้ทัน เลยเก็บหน่วยกิตสะสมได้สองช.ม. หลังปฏิบัติแล้วมานั่งทบทวน
แต่ละสภาวะที่เกิด มันละเอียดมากขึ้น สติชัดเจนมากขึ้นจนจับสภาวะต่างๆได้ทัน
เห็นชัดเจนมากทั่วกาย ทุกย่างก้าวเดิน ตลอดจนกระทั่งนั่งสมาธิ
เดินจงกรมระยะที่ 3 ถึงระยะที่ 4 จะเก็บรายละเอียดได้ดี
ระยะที่ 1 นี่ธรรมดา ก้าวย่างธรรมดา
ระยะที่ 2 ต้องมีสติมากขึ้น ไม่งั้นเวลายกหนอ จะเซ และทำให้ขาสั่น ยกเท้าอยู่นานไม่ได้
ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาสั้นๆก็ตาม ถ้าสติไม่ทัน จะเหมือนยกเท้าแล้วก้าวพรวดๆไป
ระยะนี้ถ้ายังเดินระยะที่1 ไม่แน่นพอ แล้วจะมาเดินระยะนี้ จะเห็นได้เลยว่า ก้าวเร็วมากๆ
กำหนดแทบไม่ทัน แถมจะล้มอีกต่างหาก ขาสั่นไปหมด ถ้าสติยังไม่มากพอ ยก.. หนอ เหยียบ.. หนอ
มองดูเหมือนง่ายนะ ยกขาเป็นกระต่ายขาเดียว แล้วก้าวเดิน ระยะ2 นี่ใช้สติในการเดิน
มากขึ้นกว่าระยะ1 ไม่งั้นเวลายกหนอจะเซ และทำให้ขาสั่น ยกเท้าขึ้นอยุ่นานไม่ได้ เหมือนเรายกเท้าขึ้น
แล้วก้าวพรวดๆไป ยกเท้านิดเดียวนะ ไม่ได้ยกสูง เดินจงกรม ต้องเดินทีละระยะก่อน
เดินให้ได้แน่นๆก่อน แน่นๆ คือ สติดี ชัดเจนก่อน แล้วค่อยๆเพิ่มระยะเอา
ระยะ 3 เก็บรายละเอียดได้มากขึ้นเกี่ยวกับลมหายใจตั้งแต่ยกเท้า ก่อนจะยกเท้าขึ้น เราจะยกส้นเท้า
เปิดรอก่อน ( โดยคิดในใจว่า ขวา พร้อมกับหายใจเข้าเต็มปอด ) พอยกเท้าลอย กำหนด ยกหนอ
จะค่อยๆผ่อนลมหายใจออก วางหนอ พอเหยียบหนอ จะปล่อยลมหายใจออกหมด
ถึงเดินได้ก็เก็บรายละเอียดต่างๆไม่ได้ จับลมหายใจก็ไม่ได้
จะจับลมหายใจไม่ได้แบบนี้ ถ้าทำได้แบบนี้ จะต้องหายใจยาวๆ ซึ่งได้มาจากยืนหนอ
หากลมหายใจสั้น จะเดินระยะ 3 และ 4 ได้ยาก สติไม่พอ จะเซ
เก็บรายละเอียดได้มากขึ้น เกี่ยวกับลมหายใจ ตั้งแต่ยกส้นเท้าเปิดรอก่อน
พร้อมกับหายใจเข้าให้เต็มปอด พอยกเท้าลอย กำหนด ยก..หนอ.. จะค่อยๆผ่อนลมหายใจออกช้าๆ
ย่าง..หนอ.. พอเหยียบ..หนอ.. ลมหายใจจะปล่อยออกมาหมดพอดี จะทำได้ต้องหายใจยาวๆ
ซึ่งได้มาจากการยืนหนอ หากลมหายใจสั้น สติไม่พอ จะเดินระยะนี้ไม่ได้ ถึงบอกว่าเดินได้
ก็กำหนดได้ไม่ทัน อันนี้ฟังจากคนที่ลองเดินแล้วเดินไม่ได้
ระยะที่ 4 ยกส้นหนอ หายใจให้เต็ม พอยกเท้าหนอ นี่หายใจออก ค่อยๆผ่อนลมหายใจ
ตามจังหวะเท้าที่ยก แล้วย่างหนอ พอเหยียบหนอ หายใจออกหมด มันจะเป็นจังหวะเหมือนระยะ 3
ทั้งระยะ3 และ 4 สติ สัมปชัญญะจะดีมากๆ เห็นได้ชัดเจนถึงขณะที่เกิดความรู้พร้อมทั้งตัว
สติเป็นตัวบอก สัมชัญญะเป็นตัวรู้
ลมหายใจกับกายจะเป็นหนึ่งเดียว จะไม่มีหายใจทิ้งไป ทุกลมหายใจก็คือทุกย่างก้าวที่กำหนด
อาการที่กำลังเดิน หากสติยังไม่มากพอ จะเดินระยะนี้ไม่ได้ บางคนจะอึดอัด แน่น หายใจไม่ทัน
กับการเดินหรือไม่ก็หายใจหอบไปเลย
20.20-22.30
วันนี้ ขณะที่นั่ง พิจรณาเรื่องการกำหนดว่า เวลาเกิดรูป,นาม กำหนดตรงไหน และสติ ตั้งไว้ที่ตรงไหน
เปิดเจอ เรื่องการกำหนดที่หลวงพ่อจรัญท่านเขียนไว้ ให้กำหนดตรงสิ่งที่เกิด เช่น รูป รส กลิ่น เสียง
โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ตั้งสติไว้ที่อายตนะที่ถูกกระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เมื่อเกิดผัสสะที่อายตนะ แต่ตั้งสติไม่ทัน จิตเกิดที่ตา ตั้งสติที่ตา เมื่อตั้งสติทัน ขันธ์ 5 ก็ดับ
ไม่มีการปรุงแต่ง เห็นก็สักแต่ว่าเห็น
ตอนนั้นคำศัพท์ต่างๆที่ใช้ ยังไม่ค่อยจะถูกต้องเท่าไหร่นัก แต่ก็ทำไปตามแบบที่คิดว่าทำได้
ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งนับวัน ยิ่งละเอียด ยิ่งละเอียด ยิ่งเห็นขันธ์ 5 ได้ชัดเจนขึ้น
วันนี้เดินจงกรม ไม่ว่าจะกำหนดยืนหรือเดิน มีสติดีตลอด
นั่ง เวทนาเกิดตลอด เป็นๆหายๆ สติดี กำหนดได้ทันตลอด ถ้าปวดมากจนคิดว่าทนไม่ไหว
ก็กำหนดได้ทัน พอกำหนดทัน ความปวดค่อยๆจางหายไป แล้วก็เกิดขึ้นใหม่อีกจนหมดเวลา
วันนี้สติดี กำหนดได้ทันทุกขณะ
ช่วงเวลานั่งว่างๆ พิจรณาเรื่องการกำหนดว่า เวลาเกิดรูปนาม กำหนดตรงไหน และตั้งสติไว้ที่ตรงไหน
การกำหนดให้กำหนดสิ่งที่มากระทบภายนอก กำหนดตรงสิ่งที่เกิด เช่น รูป รส กลิ่น เสียง
ตั้งสติ ให้ตั้งสติไว้ที่อายตนะที่ถูกกระทบ เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อเกิดผัสสะที่อายตนะ
อย่าลืมว่า สิ่งที่มากระทบภายนอกเป็นรูป จิตรับรู้สิ่งที่มากระทบเป็นนาม เมื่อเราตั้งสติทันจิต
เช่น หูได้ยินเสียง กำหนดที่เสียง เสียงเป็นรูป จิตเกิดที่หู เราตั้งสติไว้ที่หู เมื่อสติทันจิตขันธ์ 5 ก็ดับ
การปรุงแต่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นเลยไม่มี ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งละเอียด
ยิ่งละเอียด ยิ่งแยกขันธ์ 5 ได้ชัดเจนขึ้น เราเองก็หมั่นหาข้อมูลที่ครูบาอาจารย์ท่านได้เขียนไว้
พยายามคุยปรึกษากับผู้ที่รู้ปริยัติมากกว่า เราเองต้องยอมรับว่าด้อยในเรื่องนี้ จะมีปัญหาเรื่องการโยนิโส
เมื่อเวลาปฏิบัติเสร็จ หมั่นทบทวนสภาวะเสมอๆ ยังไม่นอนทันที หรือ ถ้าเป็นกลางวัน ก็ยังไม่ไปไหนทันที
วันนี้ เดินจงกรม ไม่ว่าจะกำหนดยืนหรือเดิน มีสติดีตลอด มีความชัดเจนดีมาก
นั่ง ….. เวทนาเกิดตลอด เป็นๆหายๆ สติดีกำหนดได้ทันตลอด ถึงจะปวดมากจนคิดว่าทนไม่ไหว
ก็กำหนดได้ทัน พอกำหนดทัน ความปวดค่อยๆจางหายไป ใช้วิธีโยนิโส โดยการแยกขันธ์ 5 ออกมา
เวทนาเกิดมาก แต่กำหนดได้ทัน แต่วันนี้สติดี กำหนดได้ทันทุกขณะ
5 ตค. เช้า 1 ชม. กลางคืน 1 ชม.
6 ตค.
เดี๋ยวนี้เวลาดูทีวี ดูหนัง แล้วต้องเอาไปเปรียบกับธรรมะทุกครั้งเลยก็ไม่รู้ มันหดหู่ เศร้าใจ
บอกไม่ถูกเลย ยิ่งดูเรื่อง จูมง ยิ่งเศร้าใจใหญ่
อำนาจ นี่มันช่างไม่ปราณีใครเลย ยิ่งโย่งเศร้า นี่แหละลูก ขนาดลูกของตัวเองแท้ๆยังห่าพ่อแม่ได้เลย
นับประสาอะไรกับจูมงที่เป้นลูกของคนอื่น ที่ฮ่องเต้นำมาเลี้ยงไว้แล้วก็รัก
คนเรานี่มันจริงๆเลย มีอำนาจก็หมดอำนาจ เส้นทางเดินนี้ ช่างยาวไกลยิ่งนัก
ดูละครก็ย้อนกลับมาดูตัวเองทุกครั้ง รู้สึกง่วงมากๆเลย
จากที่ว่าง่วงสุดๆ เราหยิบหนังสือหลวงพ่อพุธมาอ่าน อ่านตอนที่หลวงพ่อพุธป่วยหนัก
หลวงปู่ฝั้นไปเยี่ยม แล้วแนะนำหลวงพ่อพุธ ให้ตั้งใจเพ่งอาการ 32 ให้พิจรณาความตายให้มากที่สุด
ไม่ต้องไปพิจรณาอย่างอื่น ซึ่งอาการขณะนั้น พวกหมอพากันส่ายหน้าแล้ว
หลวงพ่อพุธทำตามคำแนะนำ แรกๆดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่พอพิจรณาหนักๆเข้า มีผล
ท่านเริ่มนั่งสมาธิตั้งแต่ 3 ทุ่ม จนถึงตี 3 ของวันใหม่
ในขณะนั้น ความรู้สึกทางจิตผุดขึ้นว่า คนอื่นเขานอนตายกันทั้งนั้น ท่านจะมานั่งตายทำไม
คิดได้ดังนั้น ท่านล้มตัวลงนอน ตรงนี้แหละ ที่ท่านได้เห็นการแตกสลายของธาตุขันธ์
นับจากนั้น อาการป่วยของท่านก็ค่อยๆดีขึ้น
เดินจงกรม เราง่วงมากๆ กำหนดไม่หาย เลยใช้วิธีคลุกเข่าลง แล้วก้มหน้าลงกับพื้น
พอค่อยยังชั่วก็เดินต่อ เดินระยะที่ 1-4 งงมากๆ ใช้เวลาเยอะมาก ตั้งแต่ 21.18
ดูนาฬิกาทันทีที่เริ่มเดิน ดูนาฬิกาอีกที เที่ยงคืนครึ่ง จะไม่ให้งงได้ยังไง
เดินไปได้ยังไงไปกลับ 2 รอบของปกติแค่ ชม.เดียว นี่ปาเข้าไป 3 ชม. กว่า
นั่งเลย ไม่ได้จับเวลา กะว่าพอแค่ไหนก็แผ่เมตตา กรวดน้ำ
ก็แปลกดี ครบ 1 ชม. พอดีเลยที่นั่ง