06 พค. 2566
ไม่ได้แก้ไขใหม่ ให้ดูสภาวะที่มีเกิดขึ้นปัจจุบัน มีเขียนไว้
—–
โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล
มุดรู หลวงพ่อเยื้อน เท่าที่ได้ฟังมา มีท่านนี้ท่านเดียว
สภาวะจิตดวงสุดท้าย วลัยพร
ชื่อเรียกทั้งสอง ตั้งขึ้นมาเอง ตามความรู้ชัดในลักษณะอาการที่มีเกิดขึ้น ที่เรีกแตกต่าง ขึ้นอยู่กับจะตั้งชื่อขึ้นมา ตามความรู้ชัดของบุคคลนั้น ตามความเป็นจริง เป็นสภาวะเดียวกัน ซึ่งมีชื่อตามคำเรียกของปริยัติว่า มรรคญาณ ผลญาณ
หลวงพ่อเยื้อน ท่านปฏิบัติเพราะศรัทธาในครูอาจารย์ เวลาท่านแสดงธรรม ท่านจะพูดถึงเรื่องความศรัทธา และความศัรทธาที่ท่านมีต่อครูอาจารย์ สภาวะที่ท่านพูดชัดเจนคือ จะตายได้ยังไง ก็นั่งอยู่ ท่านก็เลยปล่อย แล้วมีแรงดูดเกิดขึ้น เหมือนถูกดูดเข้าไปในรู ท่านจึงตั้งชื่อเองว่า มุดรู
.
วลัยพร ปฏิบัติเพราะทุกข์ ไม่อยากทุกข์ แรกเริ่ม ปฏิบัติด้วยตนเอง เรียนรู้ทุกสภาวะด้วยตนเอง ไม่ได้นำไปถามใคร
มีช่วงหนึ่ง ความที่ว่าเริ่มอ่านหนังสือ เริ่มรู้ปริยัติ สงสัยคำว่า อุทยัพพยญาณ เคยถาม แต่เจอคำตอบประมาณว่า เหมือนการกินอาหาร คนไหนกินคนนั้นอิ่ม เราฟังแล้ว คิดนะ ถ้าไม่รู้ ก็บอกว่าไม่รู้ ไม่ต้องมาทำท่าเหมือนรู้หรอก ซึ่งเรามารู้ด้วยตนเองจากสภาวะและจากหนังสือวิปัสสนาทีนีฎีกา เกี่ยวกับอุปกิเลส จึงถึงบางอ้อ แหม่ หลงซะตั้งนาน
ที่ตอนนั้น อ่านแล้วไม่เข้าใจ เพราะมัวสงสัยว่าคืออะไร แม้กระทั่งภังคญาณเช่นกัน จะอ่านเข้าใจและแทงตลอดสภาวะนั้นๆได้ ต้องหลังจาก อนุโลมญาณ มรรคญาณ ผลญาณ มีเกิดขึ้นแล้ว จึงจะอ่านหนังสือวิปัสสนาทีปนีฎีกา จึงจะเข้าใจ ถ้ายังไม่ผ่าน อ่านไม่รู้เรื่องหรอก
อีกครั้ง เจอที่สำนักหนึ่ง ถามเรื่องสังขารในขันธ์ ๕ เหตุที่ถาม เพราะมีพระท่านหนึ่ง ท่านแสดงธรรมให้ผู้ปฏิบัติฟังว่า สังขารคือ ความคิด ซึ่งเราคิดว่า มันไม่ใช่ มันเป็นการปรุงแต่ง ก็เลยเดินเข้าไปถามที่นี่
สำนักนี้บอกว่า มาเรียนที่นี่ จะได้รู้วิธีเป็นโสดาบัน นี่ก็ผีบ้า ถามเรื่องสังขาร ในขันธ์ ๕ ว่าหมายถึงการปรุงแต่งใช่มั๊ย ดันผ่ามาพูดแบบนี้ เราขอบคุณตามมารยาท เดินออกมา ไม่เคยคิดจะเดินกลับเข้าไปอีก ไม่อยากเป็นผีบ้า หอบสังขาร
ครั้งแรกที่เกิดสภาวะ อนุโลมญาณ มรรคญาณ ผลญาณ ตอนนั้น ยังไม่รู้อะไรหรอก ตั้งชื่อเอง ตามความรู้ชัดในสภาวะที่มีเกิดขึ้น
ขณะอยู่ในอิริยาบทนั่ง ตอนนั้นทำสมาธิอยู่ สภาวะที่กำลังมีเกิดขึ้น เหมือนคนจมน้ำ ขาดอากาศหายใจ แรกๆดิ้นรน พยายามสูดอากาศ พยายามหายใจ เห็นความทุกข์ ความบีบคั้น แล้วปลงตก คือ รู้ว่ายังไงก็ต้องตาย ก็เลยคิดว่า ตายก็ดีเหมือนกัน ชีวิตน่าเบื่อเหลือเกิน แล้วเหมือนมีแรงดูดมหาศาล ดูดเข้าไป ระหว่างที่ถูกดูดเข้าไป เหมือนในหนังนะ ที่เขาเรียกว่าหลุมดำ แต่สว่างนะ ไม่มืด สองฝังด้านข้าง เป็นเรื่องราวในแต่ละอดีตชาติ ดูไม่ทันหรอก แค่รู้ว่าเป็นเรื่องราวเหล่านั้น แล้วหลุดผั่วะออกมา
หลังจากผ่านสภาวะนั้มาแล้ว ตอนนั้นยังไม่รู้หรอกนะว่า คืออะไร และมีคำเรียกว่าอะไร รู้แต่ว่า ด้วยอาชีพที่เคยทำมา อาการที่ถูกดูดเข้าไปนั้น อาการเหมือนหมอเวลาทำคลอด แล้วใช้เครื่องดูด ช่วยในการทำคลอด ความรู้สึกจึงเหมือน คลอดออกมา อะไรประมาณนั้น คือ เหมือนตาย แล้วเกิดใหม่ทันที จึงเรียกเองว่า สภาวะจิตดวงสุดท้าย
ก็เพิ่งมาเปลี่ยนคำเรียกเมื่อไม่มีชม.มานี่เอง เรียกว่า มรรคญาณ ผลญาณ
มรรคญาณ หมายถึง วิโมกข์ ๓
ผลญาณ ความรู้ชัดในสภาวะสักกายะทิฏฐิ ที่ถูกประหาณเป็นสมุจเฉทประหาณ คือ กรณะของวลัยพร เป็นไทจากตัณหา ประกอบกับ ในสมัยนั้น เป็นผู้ได้วิโมกข์ ๘ จึงมีชื่อเรียกว่า กายสักขี
หลังจากนั้น มีเหตุปัจจัยให้กำลังสมาธิ ที่มีอยู่ เสื่อมหายไปหมดสิ้น เกิดจาก การคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ไปรู้จักกับพวกถ่ายเทสมาธิ แต่ไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้ เจอนักถ่ายเทสมาธิ เล่นเอาสมาธิที่มีอยู่ หายไปหมดสิ้น แรกๆคือ โกรธมาก ที่โกรธ เพราะเสียดาย กว่าจะทำได้ ไม่ใช่ง่ายๆ ปฏิบัตินี่ น้ำตานองหน้าตลอด แล้วคนอื่นมาเอาไปแบบหน้าตาเฉย จะไม่ให้โกรธได้ยังไง
แต่เพราะสภาวะนี้ จึงทำให้รู้ชัดคำที่เรียกว่า กิเลส ทำให้รู้ชัดในสิ่งที่เรียกว่า กิเลส เป็นครั้งแรกในชีวิต ต่อมา ทำให้รู้ชัดคำว่า ในดีมีเสีย ในเสียมีดี ถึงแม้สมาธิจะเสื่อมหายไปหมด ไม่มีท้อถอย หรือเลิกปฏิบัติ ยังคงทำความเพียรต่อเนื่อง ทำเพราะชื่อว่า จะทำให้ไม่ต้องทุกข์ แล้วก็เป็นตามนั้นจริงๆ ดูจากชีวิตในปัจจุบัน ต้องใช้เวลา ใช้ความเพียรเข้าแรก ใช้ความอดทน อดกลั้น เข้าแรก อดทนต่อทุกความชอบใจ และไม่ชอบใจ โดยเฉพาะความไม่ชอบใจ ที่ผู้อื่นกระทำกับเรา ตรงนี้แรกๆ ใช้ความอดทน อดกลั้นมาก ถ้าทนไม่ไหว เอาเหมือนกันนะ พอกรรมส่งผล บอกตัวเองว่า ไม่น่าเลยเรา ต้องอดทน อดกลั้นให้มากกว่านี้ แค่เจ็บใจ ไม่ตายหรอก
นี่เป็นสภาวะสมัยก่อน ก่อนที่จะมีสภาวะจิตดวงสุดท้าย เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ ๒
.
กำลังจะเขียนเรื่อง การแทงตลอดในสภาวะสักกายทิฏฐิ จึงต้องเล่าเรื่องราวสภาวะก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะมามีเหตุปัจจัยให้แทงตลอดในสภาวะสักกายทิฏฐิ ที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง ไม่ใช่เกิดการการอ่าน การฟังผู้อื่น แต่รู้ชัดด้วยตนเอง
สภาวะจิตดวงสุดท้ายครั้งที่ ๑ ยังไม่รู้ว่าคืออะไร
–
สภาวะจิตดวงสุดท้ายที่ ๒
เพราะสภาวะเดิม มีเกิดขึ้นอีกครั้ง คือ รู้ชัดในสภาวะจิตดวงสุดท้าย เพียงแต่ครั้งนี้ไม่เปลี่ยน ไม่ได้เกิดขึ้น ขณะทำความเพียร แต่มีเกิดขึ้น ขณะกำลังนั่งทำงานอยู่ รู้สึกเจ็บที่หัวใจมาก ทนไม่ไหว เดินไปนอน จนกระทั่งสภาวะจิตดวงสุดท้ายมีเกิดขึ้น ครั้งนี้ ทำให้จดจำได้แม่นยำ ไม่มีลืม
ความรู้ชัดความทุกข์ เหมือนครั้งแรก แต่น้อยกว่า รู้ชัดในสภาวะกายและจิตแยกขาดออกจากกัน กายส่วนกาย จิตส่วนจิต สิ่งที่เกิดขึ้นกับใจที่รู้อยู่ รู้ชัดในอนัตตา มีชื่อเรียกว่า สุญญตวิโมกข์ สภาวะที่มีเกิดขึ้นในครั้งนี้ รู้ชัดใน อวิชชา สังขาร วิญญาณ กล่าวคือ เหตุปัจจัยของการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ
–
มีหลักอยู่ข้อหนึ่ง เพราะรู้ชัดในทุกข์ ระลึกอดีตชาติที่เคยเกิดในชาติก่อนๆได้ ถึงไม่กี่ชาติ แต่ทำให้รู้ว่า ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร ล้วนเป็นทุกข์
หุหุ ชาติที่เกิดเป็นกษัตริย์ ทำกรรมหนักมากที่สุด ยืนอยู่บนกำแพง สั่งเผาเมือง ฆ่าคน เพราะเหตุปัจจัยนี้ บุคคลที่มีอำนาจอยู่ในมือ เมื่อยังมีอวิชชา จึงถูกตัณหาครอบงำง่าย มีโอกาส สร้างกรรมใหม่ เพราะโลภะ โทสะ โมหะ ได้ง่ายที่สุด ทีนี้จะไปว่ากันก็ไม่ได้ เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยของผู้นั้น
มีอยู่สถานที่หนึ่ง มักไปประจำ เป็นสถานไม่มีคน ไม่มีอะไรสักอย่างเดียว มีแต่แสงสว่าง จะไม่เดินต่อ นั่งลง แล้วกำหนด จะกลับมารู้ที่กาย
–