แก้ไข 8-10-65
ยังไม่อยากจะลบทิ้ง
ทั้งๆที่อัตตาวาทุปาทาน
เป็นเรื่องของสักกายทิฏฐิและอัตตานุทิฏฐิ
ทิฏฐุปาทาน ได้เขียนจบแล้ว
ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมไว้
ที่ยังไม่ลบ
เวลากลับไปอ่านย้อนหลัง
ทำให้รู้ว่ากว่าจะเขียนรายละเอียดตัวสภาวะที่มีเกิดขึ้นของคำเรียกนั้นๆ ต้องใช้เวลา
ดังที่เราได้เขียนไว้ว่าเหมือนจิ๊กซอ
แค่เขียนออกมาเรื่อยๆ เดี๋ยวจะได้พระสูตรที่สมบูรณ์
๔. มหามาลุงโกฺยวาทสูตร
ทรงโปรดพระมาลุงกยะและพระอานนท์
โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕
[๑๕๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี.
ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย.
ภิกษุเหล่านั้นรับพระดำรัสพระผู้มีพระภาคว่า พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายยังจำโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ที่เราแสดงแล้วได้หรือไม่?
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระมาลุงกยบุตรได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์ยังจำได้ซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ยังจำได้ซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์
คือ สักกายทิฏฐิ
วิจิกิจฉา
สีลัพพตปรามาส
กามฉันทะ
พยาบาท
ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ยังจำได้ซึ่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕
ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วอย่างนี้.
[๑๕๔] ดูกรมาลุงกยบุตร เธอจำโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ เหล่านี้
ที่เราแสดงแล้วอย่างนี้แก่ใครหนอ?
ดูกรมาลุงกยบุตร นักบวช พวกอัญญเดียรถีย์จักโต้เถียง
ด้วยคำโต้เถียงอันเปรียบด้วยเด็กนี้ได้
มิใช่หรือว่า แม้แต่ความคิดว่า กายของตน ดังนี้
ย่อมไม่มีแก่เด็กกุมารอ่อนผู้ยังนอนหงายอยู่
ก็สักกายทิฏฐิจักเกิดขึ้นแก่เด็กนั้นแต่ที่ไหน
ส่วนสักกายทิฏฐิอันเป็นอนุสัยเท่านั้น ย่อมนอนตามแก่เด็กนั้น
แม้แต่ความคิดว่า ธรรมทั้งหลายดังนี้
ย่อมไม่มีแก่เด็กกุมารอ่อนผู้ยังนอนหงายอยู่
ก็ความสงสัยในธรรมทั้งหลาย จักเกิดขึ้นแก่เด็กนั้นแต่ที่ไหน
ส่วนวิจิกิจฉาอันเป็นอนุสัยเท่านั้น ย่อมนอนตามแก่เด็กนั้น
แม้แต่ความคิดว่า ศีลทั้งหลายดังนี้ ย่อมไม่มีแก่เด็กกุมารอ่อนผู้ยังนอนหงายอยู่
สีลัพพตปรามาสในศีลทั้งหลาย จักเกิดขึ้นแก่เด็กนั้นแต่ที่ไหน
ส่วนสีลัพพตปรามาสอันเป็นอนุสัยเท่านั้น ย่อมนอนตามแก่เด็กนั้น
แม้แต่ความคิดว่า กามทั้งหลาย ดังนี้
ย่อมไม่มีแก่เด็กกุมารอ่อนยังนอนหงายอยู่
ก็กามฉันทะในกามทั้งหลาย
จักเกิดขึ้นแก่เด็กนั้นแต่ที่ไหน
ส่วนกามราคะอันเป็นอนุสัยเท่านั้น
ย่อมนอนตามแก่เด็กนั้น
แม้แต่ความคิดว่า สัตว์ทั้งหลาย ดังนี้
ย่อมไม่มีแก่เด็กกุมารอ่อนผู้ยังนอนหงายอยู่
ก็ความพยาบาท ในสัตว์ทั้งหลาย
จักเกิดขึ้นแก่เด็กนั้นแต่ที่ไหน
ส่วนพยาบาทอันเป็นอนุสัยเท่านั้น
ย่อมนอนตามแก่เด็กนั้น
ดูกรมาลุงกยบุตร นักบวช พวกอัญญเดียรถีย์จักโต้เถียง
ด้วยคำโต้เถียงอันเปรียบด้วยเด็กอ่อนนี้ได้มิใช่หรือ?
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว
ท่านพระอานนท์ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค
เวลานี้เป็นกาลสมควร ข้าแต่พระสุคต
เวลานี้เป็นกาลสมควรที่พระผู้มีพระภาคพึงทรงแสดงโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕
ภิกษุทั้งหลายได้ฟังต่อพระผู้มีพระภาคแล้ว จักทรงจำไว้.
ดูกรอานนท์ ถ้ากระนั้น เธอจงฟัง จงมนสิการให้ดี เราจักกล่าว
ท่านพระอานนท์ทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า อย่างนั้นพระเจ้าข้า.
อุบายเครื่องละสังโยชน์
[๑๕๕] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรอานนท์
ปุถุชนในโลกนี้ ผู้ไม่ได้สดับ
ไม่ได้เห็นพระอริยะ
ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ
ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของพระอริยะ
ไม่เห็นสัตบุรุษ
ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ
ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ
มีจิตอันสักกายทิฏฐิกลุ้มรุมแล้ว อันสักกายทิฏฐิครอบงำแล้วอยู่
และเมื่อสักกายทิฏฐิเกิดขึ้นแล้ว
ย่อมไม่รู้อุบายเป็นเครื่องสลัดออกเสียได้ตามความเป็นจริง
สักกายทิฏฐินั้นก็เป็นของมีกำลัง อันปุถุชนนั้นบรรเทาไม่ได้แล้ว
ชื่อว่าเป็นโอรัมภาคิยสังโยชน์
ปุถุชนนั้น
มีจิตอันวิจิกิจฉากลุ้มรุมแล้ว อันวิจิกิจฉาครอบงำแล้วอยู่
และเมื่อวิจิกิจฉาเกิดขึ้นแล้ว
ย่อมไม่รู้อุบายเป็นเครื่องสลัดออกเสียได้ตามความเป็นจริง
วิจิกิจฉานั้นก็เป็นของมีกำลัง อันปุถุชนนั้นบรรเทาไม่ได้แล้ว
ชื่อว่าเป็นโอรัมภาคิยสังโยชน์.
ปุถุชนนั้น
มีจิตอันสีลัพพตปรามาสกลุ้มรุมแล้ว อันสีลัพพตปรามาสครอบงำแล้วอยู่
และเมื่อสีลัพพตปรามาสเกิดขึ้นแล้ว
ย่อมไม่รู้อุบายเป็นเครื่องสลัดออกเสียได้ตามความเป็นจริง
สีลัพพตปรามาสนั้นก็เป็นของมีกำลัง อันปุถุชนนั้นบรรเทาไม่ได้แล้ว
ชื่อว่าเป็นโอรัมภาคิยสังโยชน์
ปุถุชนนั้น
มีจิตอันกามราคะกลุ้มรุมแล้ว อันกามราคะครอบงำแล้วอยู่
และเมื่อกามราคะเกิดขึ้นแล้ว
ย่อมไม่รู้อุบายเป็นเครื่องสลัดออกเสียได้ตามความเป็นจริง
กามราคะนั้นก็เป็นของมีกำลัง อันปุถุชนนั้นบรรเทาไม่ได้แล้ว
ชื่อว่าเป็นโอรัมภาคิยสังโยชน์.
ปุถุชนนั้น
มีจิตอันพยาบาทกลุ้มรุมแล้ว อันพยาบาทครอบงำแล้วอยู่
และเมื่อพยาบาทเกิดขึ้นแล้ว
ย่อมไม่รู้อุบายเป็นเครื่องสลัดออกเสียได้ตามความเป็นจริง
พยาบาทนั้นก็เป็นของมีกำลัง อันปุถุชนนั้นบรรเทาไม่ได้แล้ว
ชื่อว่าโอรัมภาคิยสังโยชน์.
ดูกรอานนท์ ส่วนอริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว
ได้เห็นพระอริยะ
เป็นผู้ฉลาดในธรรมของพระอริยะ
ได้รับแนะนำในธรรมของพระอริยะดีแล้ว
ได้เห็นสัตบุรุษ
ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ
ได้รับแนะนำในธรรมของสัตบุรุษดีแล้ว
มีจิตอันสักกายทิฏฐิกลุ้มรุมไม่ได้ อันสักกายทิฏฐิครอบงำไม่ได้อยู่
และเมื่อสักกายทิฏฐิเกิดขึ้นแล้ว
ย่อมรู้อุบายเป็นเครื่องสลัดออกเสียได้ตามความเป็นจริง
สักกายทิฏฐิพร้อมทั้งอนุสัย อันอริยสาวกนั้นย่อมละได้
อริยสาวกนั้น
มีจิตอันวิจิกิจฉากลุ้มรุมไม่ได้ อันวิจิกิจฉาครอบงำไม่ได้อยู่
และเมื่อวิจิกิจฉาเกิดขึ้นแล้ว
ย่อมรู้อุบายเป็นเครื่องสลัดออกเสียได้ตามความเป็นจริง
วิจิกิจฉาพร้อมทั้งอนุสัย อันอริยสาวกนั้นย่อมละได้.
อริยสาวกนั้น
มีจิตอันสีลัพพตปรามาสกลุ้มรุมไม่ได้ อันสีลัพพตปรามาสย่อมครอบงำไม่ได้อยู่
และเมื่อสีลัพพตปรามาสเกิดขึ้นแล้ว
ย่อมรู้อุบายเป็นเครื่องสลัดออกเสียได้ตามความเป็นจริง
สีลัพพตปรามาสพร้อมทั้งอนุสัย อันอริยสาวกนั้นย่อมละได้.
อริยสาวกนั้นมีจิตอันกามราคะกลุ้มรุมไม่ได้ อันกามราคะครอบงำไม่ได้อยู่
และเมื่อกามราคะเกิดขึ้นแล้ว
ย่อมรู้อุบายเป็นเครื่องสลัดออกเสียได้ตามความเป็นจริง
กามราคะพร้อมทั้งอนุสัยอันอริยสาวกนั้นย่อมละได้.
อริยสาวกนั้นมีจิตอันพยาบาทกลุ้มรุมไม่ได้ อันพยาบาทครอบงำไม่ได้อยู่
และเมื่อพยาบาทเกิดขึ้นแล้ว
ย่อมรู้อุบายเป็นเครื่องสลัดออกเสียได้ตามความเป็นจริง
พยาบาทพร้อมทั้งอนุสัย อันอริยสาวกนั้นย่อมละได้.
มรรคปฏิปทาเครื่องละสังโยชน์
[๑๕๖] ดูกรอานนท์ ข้อที่ว่า บุคคลจักไม่อาศัยมรรคปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕
แล้วจักรู้ จักเห็น หรือจักละ โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ได้นั้น ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
ดูกรอานนท์ เปรียบเหมือนข้อที่ว่า ไม่ถากเปลือก ไม่ถากกระพี้ของต้นไม้ใหญ่ที่ยืนต้น มีแก่น
แล้วจักถากแก่นนั้น ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ฉันใด
ข้อที่ว่า บุคคลจักไม่อาศัยมรรคปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ แล้ว
จักรู้ จักเห็น หรือจักละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ได้นั้น
ก็ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ฉันนั้น.
ดูกรอานนท์ ข้อที่ว่า บุคคลอาศัยมรรคปฏิปทาอันเป็นไปเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ แล้ว
จักรู้ จักเห็น และจักละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ นั้นได้
เป็นฐานะที่จะมีได้.
ดูกรอานนท์ เปรียบเหมือนข้อที่ว่า ถากเปลือก ถากกระพี้ของต้นไม้ใหญ่ที่ยืนต้นมีแก่น
แล้วจึงถากแก่นนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้ ฉันใด
ข้อที่ว่า บุคคลอาศัยมรรคปฏิปทาอันเป็นไปเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ แล้ว
จักรู้ จักเห็น หรือจักละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ได้นั้น
ก็เป็นฐานะที่จะมีได้ ฉันนั้น.
ดูกรอานนท์ เปรียบเหมือนแม่น้ำคงคาน้ำเต็มเปี่ยมเสมอขอบฝั่ง กาก้มลงดื่มได้
ครั้งนั้น บุรุษผู้มีกำลังน้อย
พึงมาด้วย หวังว่า เราจักว่ายตัดขวางกระแสน้ำแห่งแม่น้ำคงคานี้ ไปให้ถึงฝั่งโดยสวัสดี ดังนี้
เขาจะไม่อาจว่าย ตัดขวางกระแสน้ำแห่งแม่น้ำคงคา ไปให้ถึงฝั่งโดยสวัสดีได้ ฉันใด
เมื่อธรรมอันผู้แสดงๆ อยู่แก่ผู้ใดผู้หนึ่ง
เพื่อดับความเห็นว่า กายของตน
จิตของผู้นั้นไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่มั่นคง ไม่พ้น ฉันนั้นเหมือนกัน.
บุรุษผู้มีกำลังน้อยนั้น ฉันใด พึงเห็นบุคคลเหล่านั้น ฉันนั้นเหมือนกัน.
ดูกรอานนท์ เปรียบเหมือนแม่น้ำคงคา น้ำเต็มเปี่ยมเสมอขอบฝั่ง กาก้มลงดื่มได้
ครั้งนั้นบุรุษมีกำลัง
พึงมาด้วยหวังว่า เราจักว่ายตัดขวางกระแสน้ำแห่งแม่น้ำคงคานี้ ไปให้ถึงโดยสวัสดี ดังนี้
เขาอาจจะว่ายตัดขวางกระแสแห่งแม่น้ำคงคา ไปให้ถึงฝั่งโดยสวัสดีได้ ฉันใด
ดูกรอานนท์ เมื่อธรรมอันผู้แสดงๆ อยู่แก่ผู้ใดผู้หนึ่ง
เพื่อดับความเห็นว่า กายของตน
จิตของตน จิตของผู้นั้นแล่นไป เลื่อมใส มั่นคง พ้น ฉันนั้นเหมือนกันแล.
บุรุษมีกำลังนั้นฉันใด พึงเห็นบุคคลเหล่านั้น ฉันนั้นเหมือนกัน.
รูปฌาน ๔
[๑๕๗] ดูกรอานนท์ มรรคปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ เป็นไฉน?
ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมเพราะอุปธิวิเวก
เพราะละอกุศลธรรมได้ เพราะระงับความคร้านกายได้โดยประการทั้งปวง
บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่
เธอพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย
คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งมีอยู่ในภายในสมาบัตินั้น
โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นความลำบาก
เป็นไข้ เป็นอื่น เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญเป็นของมิใช่ตัวตน.
เธอย่อมเปลื้องจิตจากธรรมเหล่านั้น
ครั้นเธอเปลื้องจิตจากธรรมเหล่านั้นแล้ว
ย่อมน้อมจิตไปในอมตธาตุว่า ธรรมชาตินี้สงบ ธรรมชาตินี้ประณีต
คือ ธรรมเป็นที่สงบสังขารทั้งปวง เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง
เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นที่สิ้นกำหนัด เป็นที่ดับสนิท
เป็นที่ดับกิเลส และกองทุกข์ดังนี้.
เธอตั้งอยู่ในวิปัสสนา อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์นั้น
ย่อมบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
ถ้ายังไม่บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
ย่อมเป็นโอปปาติกะ จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
เพราะความยินดี ความเพลิดเพลินในธรรมนั้น และเพราะสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ทั้ง ๕
ดูกรอานนท์ มรรคแม้นี้แล ปฏิปทาแม้นี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕.
ดูกรอานนท์ อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน
เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่.
ดูกรอานนท์ อีกประการหนึ่ง
ภิกษุมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่ และเสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป
บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้
เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข.
ดูกรอานนท์ อีกประการหนึ่ง
ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข
เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้
มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่.
เธอพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย
คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ซึ่งมีอยู่ในภายในสมาบัตินั้น ฯลฯ เพื่อละสังโยชน์
อรูปฌาน
[๑๕๘] ดูกรอานนท์ ภิกษุบรรลุ อากาสานัญจายตนฌาน
ด้วยบริกรรมว่า อากาศไม่มีที่สุด เพราะก้าวล่วงรูปสัญญา
เพราะดับปฏิฆสัญญา และเพราะไม่มนสิการนานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวง
เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมเหล่านั้น
คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ซึ่งมีอยู่ในฌานนั้นโดยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นความลำบาก เป็นไข้
เป็นอื่น เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญ เป็นของไม่มีตัวตน.
เธอให้จิตดำเนินไปด้วยธรรมเหล่านั้น
ครั้นให้จิตดำเนินไปด้วยธรรมเหล่านั้นแล้ว
ย่อมน้อมจิตเข้าหาธาตุอันเป็นอมตะว่านั้นมีอยู่ นั่นประณีต
คือสงบสังขารทั้งปวง สละคืนอุปธิทั้งปวง สิ้นตัณหา ปราศจากราคะ ดับสนิท นิพพาน
เธอตั้งอยู่ในฌานนั้น ย่อมบรรลุการสิ้นอาสวะ
ถ้าไม่บรรลุ
จะเป็นโอปปาติกะ ปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
เพราะสิ้นโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕
ด้วยความเพลิดเพลินในธรรมนั้น ด้วยความยินดีในธรรมนั้นแล
ดูกรอานนท์ มรรคแม้นี้ปฏิปทานี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕
ดูกรอานนท์ ก็ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษุก้าวล่วงอากาสานัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง
บรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน ด้วยมนสิการว่า วิญญาณไม่มีที่สุดอยู่.
เธอพิจารณาธรรมเหล่านั้น
คือเวทนา ซึ่งมีอยู่ในฌานนั้น ฯลฯ เพื่อละสังโยชน์.
อานนท์ ก็ข้ออื่นยังมีอยู่อีก
ภิกษุก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนะ บรรลุอากิญจัญญายตนะ
ด้วยมนสิการว่า หน่อยหนึ่งย่อมไม่มีอยู่.
เธอพิจารณาเห็นธรรมเหล่านั้น คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ซึ่งมีอยู่ในอรูปฌานนั้น โดยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นความลำบาก เป็นไข้
เป็นอื่น เป็นของทรุดโทรม เป็นของว่างเปล่า ไม่มีตัวตน.
เธอให้จิตดำเนินไปด้วยธรรมเหล่านั้น
ครั้นให้จิตดำเนินไปด้วยธรรมเหล่านั้นแล้ว
ย่อมน้อมจิตเข้าหาธรรมธาตุอันเป็นอมตะว่านั่นมีอยู่ นั่นประณีต
คือการสงบสังขารทั้งปวง การสละคืนอุปธิทั้งปวง ตัณหักขยะ วิราคะ นิโรธ นิพพาน ดังนี้.
เธอตั้งอยู่ในอากิญจัญญายตนะนั้น ย่อมถึงการสิ้นอาสวะ
ถ้าไม่ถึงการสิ้นอาสวะ
จะเป็นโอปปาติกะ ปรินิพพานในที่นั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
เพราะสิ้นโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕
เพราะความเพลิดเพลินในธรรม เพราะความยินดีในธรรมนั้นนั่นแล.
ดูกรอานนท์ มรรคปฏิปทานี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕
[๑๕๙] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ถ้ามรรคนี้ ปฏิปทานี้ ย่อมเป็นไปเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕
เมื่อเป็นอย่างนั้น เพราะเหตุไร
ภิกษุบางพวกในพระศาสนานี้ จึงเป็นเจโตวิมุติ
บางพวกเป็นปัญญาวิมุติเล่า.
ดูกรอานนท์ ในเรื่องนี้ เรากล่าวความต่างกันแห่งอินทรีย์ ของภิกษุเหล่านั้น.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว
ท่านพระอานนท์มีใจยินดีชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล.
= อธิบาย =
“เรากล่าวความต่างกันแห่งอินทรีย์ ของภิกษุเหล่านั้น”
คำว่า อินทรีย์
ได้แก่ อินทรีย์ ๕ โดยเฉพาะสมาธินทรีย์
“ภิกษุบางพวกในพระศาสนานี้ จึงเป็นเจโตวิมุติ
บางพวกเป็นปัญญาวิมุติเล่า”
คำว่า เจโตวิมุติ
ได้แก่ อุภโตภาควิมุตติ
ผู้ปฏิบัติได้สมถะ วิปัสสนา ได้อรูปฌาน( 5 6 7 8 )
เมื่อปฏิบัติต่อเนื่องจนได้อรหัตผล ตามจริง
พระพุทธเจ้าทรงตรัสเรียกว่า อุภโตภาควิมุตติ
คำว่า ปัญญาวิมุติ
ได้แก่ ผู้ปฏิบัติในสมถะ วิปัสสนา ได้รูปฌาน( 1 2 3 4 )
เมื่อปฏิบัติต่อเนื่องจนได้อรหัตผล ตามจริง
พระพุทธเจ้าทรงตรัสเรียกว่า ปัญญาวิมุติ
= วิธีการปฏิบัติ ให้ศึกษาในสิกขา ๓ =
6 พค. 65 ก่อนที่จะมาเขียนเกี่ยวกับสักกายทิฏฐิและอัตตานุทิฏฐิ พร้อมทั้งอุบายเครื่องละสังโยชน์
เจอบันทึกที่เขียนไว้
24 ต.ค. 2011 ๑. ทิฏฐิสังโยชน์
08 มิ.ย. 2013 มิจฉาทิฏฐิและสัมมาทิฏฐิ
4 พฤษภาคม 2022 สักกายทิฏฐิและอัตตานุทิฏฐิ
6 พค. 65 อุบายเครื่องละสังโยชน์
ใช้เวลา 10 ปี ในการเขียนตัวสภาวะที่มีเกิดขึ้นตามจริงให้สมบูรณ์ได้
ที่แน่นอน หากขาดพระสูตร ที่เป็นพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ก็คงไม่สามารถเขียนรายละเอียดทั้งหมดได้
เพราะสิ่งที่รู้ที่เห็น เป็นเพียงตัวสภาวะที่มีเกิดขึ้น ไม่มีคำเรียกใดๆ
ตรงนี้อธิบายยังไม่จบเพราะมีความเกี่ยวข้องกับ
อัตตวาทุปาทาน(สักกายทิฏฐิและอัตตานุทิฏฐิ)และทิฏฐุปาทาน
คำว่าจบแบบสมบูณ์เกี่ยวกับคำที่เรียกว่า สักกายทิฏฐิและอัตตานุทิฏฐิ
แต่ทิฏฐิสังโยชน์ ยังไม่จบ
ทิฏฐุปาริสุทธิ
การแจ้งอริยสัจ ๔ ตามจริง มี 4 แบบ
เวลาอธิบายต้องแยกอธิบายออกจากกัน
เวลาอ่าน จะเข้าใจมากขึ้นในตัวสภาวะที่มีเกิดขึ้นตามจริง
และวิมุตติญาณทัสสนะ ต้องอธิบายแยกออกจากกัน
เพราะวิมุตติญาณทัสสนะ
ได้แก่ แจ้งอริยสัจ ๔ ตามจริง
และขันธ์ ๕ อุปาทานขันธ์ ๕ ตามจริง
วิมุตติญษทัสสนะ ไม่ได้หมายถึงแจ้งอริยสัจ ๔ อย่างเดียวเท่ากัน แบบที่ท่องจำมา
การอธิบายรายละเอียดของคำว่า อริยสัจ ๔ จะมีแความแตกต่างกัน
ขึ้นอยู่กับอินทรีย์ ๕ มาเกี่ยวข้อง ความรู้ความเห้นของบุคคลนั้น
ที่สำคัญจะแจ่มแจ้งด้วยตัวเอง ต้องปฏิบัติได้วิชชา ๓ ให้ได้ก่อน
วิมุตติญาณทัสสนะ จะปรากฏตามจริง
ปราศจากตัวตน เรา เขา ของเรา ของเขา มาเกี่ยวกับข้อง
ทิฏฐิสังโยชน์
สมัยนั้นมีความรู้ความเห็นวิธีการกระทำเพื่อดับภพชาติณปัจจุบัน
เป็นการดับเหตุเฉพาะตน คือแจ้งอริยสัจ ๔ ตามจริง
มี 2 แบบ
มีเกิดขึ้นมรรคได้มรรคผลตามจริง(วิชชา ๑) แจ้งนิพพาน แจ้งอริยสัจ ๔
ต่อมามีเหตุให้กำลังสมาธิที่มีอยู่(วิโกมข์ ๘) เสื่อมหายไปหมดสิ้น ไม่มีเหลือ
ทำให้รู้ชัดผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ฯลฯ ที่มีเกิดขึ้นตามความจริง
ซึ่งมารู้ที่หลังว่า นี่ก็เป็นการแจ้งอริยสัจ ๔ ตามจริง เป็นครั้งที่ 2
อริยสัจ ๔ เป็นเรื่องการดับภพชาติ
แต่ความรู้ความเห็นจะแตกต่างกัน
อริยสัจ ๔ ตัวแรก สิ่งที่รู้ ดับได้เฉพาะตน
อริยสัจ ๔ ตัวที่ 2 สิ่งที่รู้ ดับเฉพาะตนและแนะนำคนอื่นให้ปฏิบัติตามได้
นับว่าตัวเองสร้างเหตุไว้ดี ไม่ยึดมั่นถือมั่นในคำเรียกต่างๆ
กำหนดสิ่งที่รู้ที่เห็นตามจริง บางครั้งมีพลั้งเผลอ
แต่ความรู้สึกตัว(สัมปชัญญะ) ทำให้เริ่มต้นใหม่
การเขียน เขียนตามจริง เขียนมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติ
เหมือนสมุดบันทึกช่วยเรื่องความจำ
สิ่งที่เขียนไว้ เป็นสภาวะที่มีเกิดขึ้นตามจริง
เหตุนี้แม้ป่วยจนความจำเสื่อม คำเรียกต่างๆจำไม่ได้ ต้องใช้เวลาฟื้นความจำ
สำหรับตัวสภาวะจะแยกออกมา เป็นเรื่องของจิต ที่สะสมไว้(สัญญา)
แม้ความจำเสื่อมเกี่ยวกับคำเรียกต่างๆ
แต่ตัวสภาวะที่รู้แจ้งด้วยตัวเอง ไม่เสื่อม
อริยสัจ ๔ แจ้งแล้วแจ้งเลย ไม่เสื่อม
การกำหนดยืนหนอ
การกำหนดขณะเดินจงกรม มีทั้งหมด 6 ระยะ
การกำหนดผัสสะที่มีเกิดขึ้นตามจริงขณะจิตเป็นสมาธิ
ความรู้ความเห็นเหล่านี้ ไม่เสื่อม
เพียงแต่ใช้เวลาในการที่เขียนอธิบายรายละเอียดต่างๆออกมาได้
การที่ที่ทำให้เขียนช้า เกิดจากการเจ็บป่วยทางสมอง
ทำให้มีผลกระทบต่อความคิด ความอารมณ์(แปรปรวน) การสะกดคำ
แม้จะมีสภาพตัวเองเป็นแบบนี้(คนป่วยสมอง)
ไม่ทำให้ความรู้ความเห็นที่มีอยู่ รู้เฉพาะตน ไม่เสื่อมหายไป
ตอนนี้รู้แล้วว่า การสอบอารมณ์ ทำไมแรกเราเน้นเรื่องสภาวะที่มีเกิดขึ้นตามจริงขณะนั่ง
เกิดจากขาดการศึกษาพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้
ละตัณหา(ความอยาก)
ให้กำหนดตามจริง ไม่นำตัวตนเข้าไปเกี่ยวข้องกับสภาวะที่มีเกิดขึ้น
เมื่อความจำค่อยๆคืนกลับมาแบบจะเล็กน้อย แต่มีประโยชน์ต่อผู้ปฏิบัติ
จะทำให้รู้ว่าควรกำหนดแบบไหน ให้ถูกต้องตัวสภาวะ
แล้วทำให้ตัวสัมปชัญญะมีเกิดขึ้นตามจริง
จะไม่ไปสนใจเรื่องสภาวะที่มีเกิดขึ้นขณะนั่ง
ให้ความสำคัญเรื่องการกำหนดยืนหนอและการกำหนดขณะเดินจงกรม
หากกำหนดถูกตัวสภาวะ(การกระทบ) ตัวสภาวะจะดำเนินตามเองเป็นอัตโนมัติ
เมื่อเวลานั่ง ไตรลักษณ์ย่อมปรากฏตามจริง
ไม่ต้องอยากปฏิบัติเพื่อเป็น
ไม่ต้องไปคิดว่าสภาวะที่มีเกิดขึ้นนั้นๆมีชื่อเรียกว่าอะไร
ด้วยเหตุนี้ คนที่ได้สดับ ได้สุตตะ ได้ศึกษาในพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้
คนนั้นจะได้เปรียบกว่าคนที่ไม่ได้สดับ
24 ต.ค. 2011 ๑. ทิฏฐิสังโยชน์
ทิฏฐิสังโยชน์ แปลว่า กิเลสเป็นเครื่องผูกสรรพสัตว์ไว้ คือ ความเห็นผิด องค์ธรรมได้แก่ ทิฏฐิเจตสิก
สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นตัว ตน เรา เขา ได้แก่ อุปทานในขันธ์ ๕
เช่น ในการนั่งว่า เรานั่ง ในการนอนว่า เรานอน เป็นต้น
เช่น เมื่อเห็นว่า รูป เสียง กลิ่น รส โผฏทัพพะ
เป็นของเที่ยง เป็นสุข เป็นของสวยงาม และเป็นของยั่งยืน
โดยสภาวะ คือ ยึดความเห็นของตน
ได้แก่ การให้ค่าต่อสิ่งที่เกิดขึ้นว่า สิ่งนั้นถูก สิ่งนี้ผิด สิ่งนี้ใช่ สิ่งนี้ไม่ใช่ ตามความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง
แต่ไม่ใช่ตามความเป็นจริงของตัวสภาวะหรือสิ่งที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยของสิ่งๆนั้น
ธรรมชาติของจิต
จิตมีสภาวะรู้อารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะทางกาย เวทนา จิต ธรรม
ซึ่งเป็นธรรมชาติของจิตที่จะรู้อารมณ์ต่างๆเหล่านี้ที่เกิดขึ้น เป็นความปกติของจิต
ทิฏฐิสังโยชน์
กิเลสและสังโยชน์ที่มีองค์ธรรมเดียวกัน คือ ทิฏฐิสังโยชน์กับทิฏฐิกิเลส
ทิฏฐิกิเลส ได้แก่ สักกายทิฏฐิ คือ ความเข้าใจผิดในขันธ์ ๕ เข้าไปยึดมั่นถือมั่นว่าปัญขันธ์นี้เป็นของแห่งตน
เรื่องสักกายทิฏฐินี้ พระพุทธองค์ได้ทรงเทศนาแก่ภิกษุทั้งหลาย ดังปรากฏในสังยุตตนิกายพระบาลีว่า :-
สตฺติยา วิย โอมฏฺโฐ ทยหมาโน ว มตฺถเก
สกฺกายทิฏฺฐิ ปหานาย สโต ภิกฺขุ ปริพฺพเช
ภิกษุผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร รู้สึกตนประหนึ่งถูกศาสตราวุธอันมีคมทิ่มแทงอยู่ หรือดุจถูกไฟไหม้อยู่บนศรีษะ
พึงเป็นผู้มีสติไม่ประมาทอยู่เถิด เพื่อจะได้กำจัดเสียซึ่งสักกายทิฏฐิ
ทิฏฐิ ได้แก่ ความเห็น
ผัสสะ
เหตุของความไม่รู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นหรือผัสสะที่เกิดขึ้น
ไม่รู้สาเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งนั้น ว่าเกิดขึ้นจากอะไร
ไม่รู้ว่าทำไมผัสสะที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งจึงมีผลต่อจิตบ้าง
ไม่มีผลต่อจิตบ้าง
แต่ละครั้งทำไมไม่เหมือนกัน
ทำไมจึงมีความรู้ึกยินดี ยินร้าย หรือเฉยๆ
ต่อผัสสะที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง
ความไม่รู้ในเหตุ
เพราะเหตุของความไม่รู้ตามความเป้นจริงในเรื่องผัสสะหรือสิ่งที่เกิดขึ้นตรงนี้
ความรู้สึกยินดี หรือยินร้ายที่เกิดขึ้น ได้ส่งผลก่อให้เกิดการกระทำลงไปด้วยความไม่รู้
เป็นการกระทำที่มีเจตนาบ้าง ไม่มีเจตนาบ้าง ตามความไม่รู้ที่มีอยู่
สักกายทิฏฐิอันเป็นกิเลสตัวแรกนี้ เป็นเหตุให้ต้องได้รับความเดือดร้อนวนเวียนอยู่ในวัฏฏทุกข์
โดยไม่อาจนับภพชาติได้ ก็ด้วยอำนาจทิฏฐิกิเลสนี้เอง
โดยเหตุ
สักกายะทิฎฐิ เป็นสภาวะแบบหยาบของมานะกิเลส
คือ เป็นการทำงานของขันธ์ ๕ ที่ยังมีความไม่รู้
เป็นเหตุให้การยึดมั่นถือมั่นในอุปทานขันธ์ ๕
ด้วยความไม่รู้จึงยึดมั่นในความคิดของตนเองที่มีต่อผัสสะที่กำลังเกิดขึ้น
เป็นเหตุให้เกิดการให้ค่าต่อผัสสะหรือสิ่งที่มากระทบหรือสภาวะที่เกิดขึ้น
ว่าสิ่งๆนั้นถูกบ้าง ผิดบ้าง เป็นเหตุให้เกิดความชอบ ชัง ตามเหตุปัจจัยที่มีอยู่กับสิ่งที่มากระทบ
โดยสภาวะ
สักกายะทิฏฐิ กล่าวโดยสภาวะ ได้แก่ ขณะที่ผัสสะเกิดขึ้น
มีความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นในจิต ไม่ว่าจะชอบ, ชัง แม้กระทั่งเฉยๆ
ซึ่งไม่รู้ถึงเหตุว่า ทำไมจึงชอบ, ชัง หรือทำไมไม่รู้สึกอะไรเลย (โมหะ)
จากความไม่รู้ถึงเหตุตรงนี้ เป็นเหตุให้สร้างเหตุไปด้วยความไม่รู้ที่ยังมีอยู่
กระทำลงไปตามความรู้สึกที่เกิดขึ้นขณะนั้น ผลที่ได้รับคือ สุขบ้าง ทุกข์บ้างตามอุปทานที่มีอยู่
เรา, เขา
ได้แก่ การนำความรู้สึกนึกคิดของตัวเองที่มีอยู่ไปให้ค่าต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
แม้กระทั่งบุคคลอื่นๆก็เป็นเช่นเดียวกัน
โดยการนำความรู้สึกนึกคิดของเขาที่มีอยู่ให้ค่าต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
เนื่องจากความไม่รู้ที่มีอยู่
จึงไม่รู้ถึงเหตุว่าทำไมสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ละขณะ จึงมีความรู้สึกนึกคิดไม่เหมือนกัน
ทั้งๆที่เป็นเรื่องเดียวกัน
เพียงแตกต่างที่ตัวบุคคลและสภาวะแวดล้อมที่กำลังเกิดขึ้น
กล่าวในแง่ของการคิดพิจรณา
ทิฏฐิกิเลส ได้แก่ สักกายทิฏฐิ คือ ความเข้าใจผิดในขันธ์ ๕
เข้าไปยึดมั่นถือมั่นว่าปัญขันธ์นี้เป็นของแห่งตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล, เรา, เขา
เช่น ในการยืน เดิน นั่ง นอน ก็เข้าใจว่าตนเป็นผู้ยืน เดิน นั่ง นอน
ความเข้าใจผิดเช่นนี้ ชื่อว่า สักกายทิฏฐิ อันเป็นความเห็นที่ผิด
ที่ทำให้ติดอยู่ในความหมุนเวียนของวัฏฏสงสาร
การสอนเช่นนี้ เป็นเพียงอุบายในการถ่ายถอนอุปทานที่มีอยู่
เพื่อละความยึดมั่นถือมั่นที่มีอยู่ให้ลดน้อยลงไป
ตามความเป็นจริง
โดยสภาวะที่แท้จริงของตัวสักกายทิฏฐินั้น ได้แก่ การให้ค่าต่อสิ่งที่เกิดขึ้นหรือผัสสะต่างๆที่เกิดขึ้น
ให้ค่าว่า สิ่งนั้นถูก สิ่งนี้ผิด สิ่งนั้นใช่ สิ่งนี้ไม่ใช่ เป็นการให้ค่าตามรู้สึกความชอบหรือชัง
ตามเหตุปัจจัยที่มีอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น
เนื่องจากไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงเรื่องเหตุที่กระทำและผลที่ได้รับ
ไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเกิดจากอะไร
แล้วทำไมบางสิ่งที่เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อจิต เป็นเหตุให้เกิดความชอบ, ชัง
ทำไมบางสิ่งไม่มีผลกระทบต่อจิต เป็นเหตุให้รู้สึกเฉยๆ
เพราะความไม่รู้ชัดในความเป็นจริงตรงนี้
จึงเป็นเหตุให้ก่อให้เกิดการกระทำลงไปด้วยความไม่รู้ที่ยังมีอยู่
ด้วยเจตนาและไม่เจตนาทางกาย วาจา ใจ(ความรู้สึกนึกคิด)
ส่วนการยืน เดิน นั่ง นอน ล้วนเป็นเรื่องปกติที่คิดว่าเรายืน เราเดิน เรานั่ง เรานอน
ตราบใดที่ยังมีสภาวะเป็นกายบัญญัติ ย่อมนึกคิดแบบนั้น
จนกว่าจะเป็นสภาวะปรมัตถ์ ความรู้สึกนึกคิดตรงนี้จะไม่มี
แม้กระทั่งที่บอกว่ารูปเดิน รูปยืน รูปนั่ง รูปนอน ล้วนแต่เป็นบัญญัติที่ใช้เป็นแนวทางการปฏิบัติทั้งสิ้น
ไม่ใช่สภาวะตามความเป็นจริง
ถ้าเป็นสภาวะตามความเป็นจริง
จะรู้แบบธรรมชาติ ไม่มีบัญญัติต่างๆเข้าไปเกี่ยวข้อง
ทำอย่างไรจึงจะละสักกายทิฏฐิได้
การละสักกายทิฏฐิมีวิธีเดียวเท่านั้น
คือ การสร้างเหตุของการเกิดสภาวะสมุจเฉทประหาน
ได้แก่ สมถะและวิปัสสนา
ข้อมูลทั้งหมด นำมาลงไว้ชั่วคราว ข้อความที่เขียนทั้งหมดยังไม่เขียนไม่เสร็จ
08 มิ.ย. 2013 มิจฉาทิฏฐิและสัมมาทิฏฐิ
คำว่า ทิฏฐิ เป็นคำกลางๆ หมายถึง ความคิดเห็น
ถ้าใส่ คำว่า มิจฉา เข้าไป เป็น มิจฉาทิฏฐิ แปลว่า ความเห็นผิด
ถ้าใส่ คำว่า สัมมา เข้าไป เป็น สัมมาทิฏฐิ แปลว่า ความเห็นถูก
อันนี้กล่าวโดย ปริยัติ
กล่าวโดยสภาวะ
มิจฉาทิฏฐิ เกิดจาก เมื่อ ผัสสะเกิด แล้ว นำความเห็นของตนที่มีอยู่
ได้แก่ การให้ค่าต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ตามความรู้สึกยินดี-ยินร้าย ที่เกิดขึ้น
เป็นเหตุให้ มีการสร้างเหตุออกไปทางวจีกรรมบ้าง กายกรรมบ้าง
เช่น กล่าวว่า สิ่งนั้นถูก สิ่งนี้ผิด สิ่งนั้นดี สิ่งนี้ชั่ว สิ่งนี้เป็นกุศล สิ่งนี้เป็นอกุศล ฯลฯ
ภาษาชาวบ้าน
มิจฉาทิฏฐิ คือ
ใครเห็นไม่เหมือนตน คนนั้นผิด
ใครเห็นเหมือนตน คนนั้นถูก
สร้างเหตุวิวาทะให้เกิดขึ้นเนืองๆ
สัมมาทิฏฐิ เกิดจาก เมื่อผัสสะเกิด ใช้หลัก โยนิโสมนสิการ
คือ ดูตามความเป็นจริงของผัสสะที่เกิดขึ้น รู้ตามความเป็นจริง
คือ รู้สึกนึกคิดอย่างไร รู้ไปตามนั้น แต่ไม่สร้างเหตุออกไปทางวจีกรรมหรือกายกรรม
ขณะที่ โยนิโสมนสิการ มรรค มีองค์ ๘ ย่อมเกิด
มิจฉาทิฏฐิกับสัมมาทิฏฐิ
มีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นจาก สักกายทิฏฐิหรือทิฏฐิกิเลส หรือทิฏฐิสังโยชน์
4 พค. 65 สักกายทิฏฐิและอัตตานุทิฏฐิ
๓. อุทานสูตร
ว่าด้วยการตัดสังโยชน์และความสิ้นอาสวะ
[๑๐๘] พระนครสาวัตถี. ฯลฯ
ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงเปล่งอุทานว่า
ภิกษุน้อมใจไปอย่างนี้ว่า ถ้าว่าเราไม่พึงมี
ขันธปัญจกของเรา ก็ไม่พึงมี
กรรมสังขารจักไม่มี
การปฏิสนธิก็จักไม่มีแก่เรา ดังนี้
พึงตัดโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้.
[๑๐๙] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอุทานอย่างนี้แล้ว
ภิกษุรูปหนึ่ง ได้ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ก็ภิกษุน้อมใจไปอย่างนี้ว่า ถ้าว่าเราไม่พึงมี
ขันธปัญจกของเราก็ไม่พึงมี
กรรมสังขารจักไม่มี
ปฏิสนธิก็จักไม่มีแก่เรา ดังนี้
พึงตัดโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้อย่างไร พระเจ้าข้า?
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ
ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้วในโลกนี้
ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้า ฯลฯ
ไม่ได้รับการแนะนำในสัปปุริสธรรม
ย่อมตามเห็นรูปโดยความเป็นตน ๑
ย่อมเห็นตนมีรูป ๑
ย่อมเห็นรูปในตน ๑
ย่อมเห็นตนในรูป ๑
ตามเห็นเวทนาโดยความเป็นตน ฯลฯ
ตามเห็นสัญญาโดยความเป็นตน ฯลฯ
ตามเห็นสังขารโดยความเป็นตน ฯลฯ
ตามเห็นวิญญาณโดยความเป็นตน ๑
ย่อมเห็นตนมีวิญญาณ ๑
ย่อมเห็นวิญญาณในตน ๑
ย่อมเห็นตนในวิญญาณ ๑.
เขาย่อมไม่ทราบชัดรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันไม่เที่ยง
ตามความเป็นจริงว่า เป็นของไม่เที่ยง.
ไม่ทราบชัดรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นทุกข์
ตามความเป็นจริงว่า เป็นทุกข์.
ไม่ทราบชัดรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นอนัตตา
ตามความเป็นจริงว่า เป็นอนัตตา.
ไม่ทราบชัดรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันปัจจัยปรุงแต่ง
ตามความเป็นจริงว่า อันปัจจัยปรุงแต่ง.
ไม่ทราบชัดตามความเป็นจริงว่า
แม้รูป แม้เวทนา แม้สัญญา แม้สังขาร แม้วิญญาณ จักมี.
[๑๑๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ส่วนอริยสาวกผู้ได้สดับแล้วแล
ผู้ใดเห็นพระอริยเจ้า
ฉลาดในธรรมของพระอริยเจ้า
ได้รับการแนะนำดีในอริยธรรม
ได้เห็นสัตบุรุษ
ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ
ได้รับการแนะนำดีในสัปปุริสธรรม
ย่อมไม่พิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นตน ฯลฯ
ไม่พิจารณาเห็นเวทนาโดยความเป็นตน ฯลฯ
ไม่พิจารณาเห็นสัญญาโดยความเป็นตน ฯลฯ
ไม่พิจารณาเห็นสังขารโดยความเป็นตน ฯลฯ
ไม่พิจารณาเห็นวิญญาณโดยความเป็นตน ฯลฯ
เธอย่อมทราบชัดรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันไม่เที่ยง
ตามความเป็นจริงว่า ไม่เที่ยง.
ย่อมทราบชัดรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นทุกข์
ตามความเป็นจริงว่า เป็นว่าทุกข์.
ย่อมทราบชัดรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นอนัตตา
ตามความเป็นจริงว่าเป็นอนัตตา.
ย่อมทราบชัดรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันปัจจัยปรุงแต่ง
ตามความเป็นจริงว่า อันปัจจัยปรุงแต่ง.
ย่อมทราบชัดตามความเป็นจริงว่า
แม้รูป แม้เวทนา แม้สัญญา แม้สังขาร แม้วิญญาณ จักมี.
ย่อมทราบชัดตามความเป็นจริงเช่นนั้น
เพราะเห็นความเป็นต่างๆ แห่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ.
ดูกรภิกษุ เมื่อภิกษุน้อมใจไปอย่างนี้แลว่า ถ้าว่าเราไม่พึงมี
ขันธปัญจกของเราก็ไม่พึงมี
กรรมสังขารจักไม่มี
ปฏิสนธิก็จักไม่มีแก่เรา ดังนี้
พึงตัดโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้ ด้วยอาการอย่างนี้แล.
[๑๑๑] ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ภิกษุน้อมใจไปอยู่อย่างนี้ พึงตัดโอรัมภาคิยสังโยชน์เสียได้.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อภิกษุรู้เห็นอย่างไร
อาสวะทั้งหลายจึงจะสิ้นไปในกาลเป็นลำดับ.
พ. ดูกรภิกษุ ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้วในโลกนี้ ฯลฯ
ย่อมถึงความสะดุ้ง ในฐานะอันไม่ควรสะดุ้ง.
ดูกรภิกษุ ก็ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้ว
ย่อมมีความสะดุ้ง ดังนี้ว่า ถ้าเราไม่พึงมี
แม้ขันธปัญจกของเราก็ไม่พึงมี
กรรมสังขารจักไม่มี
ปฏิสนธิของเราก็จักไม่มี ดังนี้.
ดูกรภิกษุ ส่วนอริยสาวกผู้ได้สดับแล้วแล ฯลฯ
ย่อมไม่ถึงความสะดุ้งในฐานะอันไม่ควรสะดุ้ง.
ดูกรภิกษุ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว
ไม่มีความสะดุ้งดังนี้ว่า ถ้าเราไม่พึงมี
ขันธปัญจกของเรา ก็ไม่พึงมี
กรรมสังขาร จักไม่มี
ปฏิสนธิของเรา ก็จักไม่มี ดังนี้.
ดูกรภิกษุ วิญญาณที่เข้าถึงรูปก็ดี
เมื่อตั้งอยู่ พึงตั้งอยู่ วิญญาณที่มีรูปเป็นอารมณ์ มีรูปเป็นที่ตั้ง
มีความยินดีเป็นที่เข้าไปซ่องเสพ พึงถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์.
วิญญาณที่เข้าถึงเวทนาก็ดี ฯลฯ
วิญญาณที่เข้าถึงสัญญาก็ดี ฯลฯ
วิญญาณที่เข้าถึงสังขารก็ดี เมื่อตั้งอยู่ พึงตั้งอยู่
วิญญาณที่มีสังขารเป็นอารมณ์ มีสังขารเป็นที่ตั้ง
มีความยินดีเป็นที่เข้าไปซ่องเสพ พึงถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์.
ภิกษุนั้นพึงกล่าวอย่างนี้ว่า
เราจักบัญญัติการมา การไปจุติ อุปบัติ
หรือความเจริญงอกงามไพบูลย์แห่งวิญญาณ
เว้นจากรูป เวทนา สัญญา สังขารดังนี้ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าความกำหนัด
ในรูปธาตุ
ในเวทนาธาตุ
ในสัญญาธาตุ
ในสังขารธาตุ
ในวิญญาณธาตุ
เป็นอันภิกษุละได้แล้วไซร้
เพราะละความกำหนัดเสียได้ อารมณ์ย่อมขาดสูญ
ที่ตั้งแห่งวิญญาณย่อมไม่มี
วิญญาณอันไม่มีที่ตั้งนั้น ไม่งอกงามไม่แต่งปฏิสนธิ หลุดพ้นไป
เพราะหลุดพ้นไป จึงดำรงอยู่ เพราะดำรงอยู่ จึงยินดีพร้อม
เพราะยินดีพร้อม จึงไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมดับรอบเฉพาะตนเท่านั้น.
เธอย่อมรู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
ดูกรภิกษุ เมื่อบุคคลรู้เห็นอย่างนี้แล
อาสวะทั้งหลายย่อมสิ้นไป ในกาลเป็นลำดับ.
๑๐. ปุณณมสูตร
ว่าด้วยอุปาทานขันธ์ ๕
ว่าด้วยเหตุเกิดสักกายทิฏฐิ
[๑๘๘] ภิกษุนั้น ชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของพระผู้มีพระภาคว่า ดีแล้วพระเจ้าข้า
แล้วได้ทูลถามปัญหาที่ยิ่งขึ้นไปว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สักกายทิฏฐิมีได้อย่างใดหนอ
พ. ดูกรภิกษุ ปุถุชนในโลกนี้ ผู้ยังมิได้สดับ
เป็นผู้ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้า
ไม่ฉลาดในอริยธรรม
ไม่ได้รับแนะนำในอริยธรรม
เป็นผู้ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ
ไม่ฉลาดในสัปปุริสธรรม
ไม่ได้รับแนะนำในสัปปุริสธรรม
ย่อมเห็นรูป โดยความเป็นตน
ย่อมเห็นตนมีรูป ย่อมเห็นรูปในตน ย่อมเห็นตนในรูป
ย่อมเห็นเวทนา โดยความเป็นตน
ย่อมเห็นตนมีเวทนา ย่อมเห็นเวทนาในตน ย่อมเห็นตนในเวทนา
ย่อมเห็นสัญญา โดยความเป็นตน
ย่อมเห็นตนมีสัญญา ย่อมเห็นสัญญาในตน ย่อมเห็นตนในสัญญา
ย่อมเห็นสังขาร โดยความเป็นตน
ย่อมเห็นตนมีสังขาร ย่อมเห็นสังขารในตน ย่อมเห็นตนในสังขาร
ย่อมเห็นวิญญาณ โดยความเป็นตน
ย่อมเห็นตนมีวิญญาณ ย่อมเห็นวิญญาณในตน ย่อมเห็นตนในวิญญาณ.
ดูกรภิกษุ สักกายทิฏฐิมีได้ด้วยอาการเช่นนี้แล.
ว่าด้วยเหตุจะไม่มีสักกายทิฏฐิ
[๑๘๙] ภิกษุนั้น ชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของพระผู้มีพระภาคว่า ดีแล้วพระเจ้าข้า
แล้วได้ทูลถามปัญหาที่ยิ่งขึ้นไปว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สักกายทิฏฐิย่อมไม่มีได้อย่างไร
พ. ดูกรภิกษุ อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ผู้ได้สดับแล้ว
เป็นผู้ได้เห็นพระอริยเจ้า
ฉลาดในอริยธรรม
ได้รับแนะนำแล้วเป็นอย่างดีในอริยธรรม
เป็นผู้ได้เห็นสัตบุรุษ
ฉลาดในสัปปุริสธรรม
ได้รับแนะนำแล้วเป็นอย่างดีในสัปปุริสธรรม
ย่อมไม่เห็นรูป โดยความเป็นตน
ไม่เห็นตนมีรูป ไม่เห็นรูปในตน หรือไม่เห็นตนในรูป
ย่อมไม่เห็นเวทนา โดยความเป็นตน
ไม่เห็นตนมีเวทนา ไม่เห็นเวทนาในตน หรือไม่เห็นตนในเวทนา
ย่อมไม่เห็นสัญญา โดยความเป็นตน
ไม่เห็นตนมีสัญญา ไม่เห็นสัญญาในตน หรือไม่เห็นตนในสัญญา
ย่อมไม่เห็นสังขาร โดยความเป็นตน
ไม่เห็นตนมีสังขาร ไม่เห็นสังขารมีในตน หรือไม่เห็นตนในสังขาร
ย่อมไม่เห็นวิญญาณ โดยความเป็นตน
ไม่เห็นตนมีวิญญาณ ไม่เห็นวิญญาณในตน หรือไม่เห็นตนในวิญญาณ.
ดูกรภิกษุ สักกายทิฏฐิ ย่อมไม่มีด้วยอาการเช่นนี้แล.
สักกายทิฏฐิสูตร
[๒๕๕] ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับฯลฯ
ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
บุคคลรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร จึงจะละสักกายทิฐิได้
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ
บุคคลรู้เห็นจักษุแลโดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฐิได้
รู้เห็นรูปโดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฐิได้
รู้เห็นจักษุวิญญาณโดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฐิได้
รู้เห็นจักษุสัมผัสโดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฐิได้
รู้เห็นแม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้น
เพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัยโดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฐิได้
บุคคลรู้เห็นหู …
รู้เห็นจมูก…
รู้เห็นลิ้น…
รู้เห็นกาย…
รู้เห็นใจโดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฐิได้
รู้เห็นธรรมารมณ์โดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฐิได้
รู้เห็นมโนวิญญาณโดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฐิได้
รู้เห็นมโนสัมผัสโดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฐิได้
รู้เห็นแม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้น
เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นทุกข์ จึงจะละสักกายทิฐิได้
ดูกรภิกษุ เมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้แล จึงจะละสักกายทิฐิได้ ฯ
= อธิบาย =
สักกายทิฏฐื
ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ
มีเกิดขึ้นขณะดำเนินชีวิต
ผัสสะ(สิ่งที่มีเกิดขึ้นในชีวิต) มากระทบ
เห็นเป็นตัวตน เรา เขา
การละสักกายทิฏฐิ ละชั่วคราวโดยการรักษาศิล
มีเกิดขึ้นขณะทำกรรมฐาน
ผัสสะมากระทบ เห็นเป็นตัวตน เป็นตัวตนของเรา.
เวทนากล้าที่มีเกิดขึ้น ไตรลักษณ์ปรากฏตามจริง(ทุกขัง)
การละสักกายทิฏฐิ ละชั่วคราวโดยการทำกรรมฐาน
เวทนากล้าปรากฏ ละความยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕
ตัวสภาวะที่มีเกิดขึ้นตามจริง
สิ่งที่มีเกิดขึ้น(ผัสสะ) กับใจที่รู้อยู่ ทั้งสองสภาวะแยกออกจากกัน ไม่ปะปนกัน
เวทนากล้า ความเจ็บปวด กับ ใจที่รู้อยู่
แต่ไม่เสวยเวทนาที่มีเกิดขึ้น(ไม่เจ็บปวดตามด้วย) สักแต่ว่ามีเกิดขึ้นแล้ว แล้วคลายหายไปเอง
มีเกิดขึ้นสภาวะจิตดวงสุดท้ายปรากฏตามจริง
ความยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕
ได้แก่ เวทนากล้ามีเกิดขึ้น ไตรลักษณ์ปรากฏตามจริง(อัปปณิหิตวิโมกข์)
สภาวะจิตดวงสุดท้ายปรากฏ แล้วดับ
การละสักกายทิฏฐิเป็นสมุจเฉท มีเกิดขึ้นใน
โสดาปัตติมรรค เวทนากล้า ละความยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕
โสดาปัตติผล สภาวะจิตดวงสุดท้ายปรากฏตามจริง แล้วดับ
ผู้ทีละสักกายทิฏฐิเป็นสมุจเฉท
ได้แก่ พระโสดาบัน(กายสักขี สัทธาวิมุต ทิฏฐิปัตตะ)
มีเกิดขึ้นขณะสภาวะจิตดวงสุดท้าย(วิมุตติ)
ปรากฏตามความเป็นจริง(ครั้งที่ 1/วิชชา 1)
ปัจจุบันเป็นพระสกทาคามี(สกทาคามมิมรรค)
๑๐. ปุณณมสูตร
ว่าด้วยอุปาทานขันธ์ ๕
ว่าด้วยคุณโทษและอุบายสลัดออกแห่งอุปาทานขันธ์
[๑๙๐] ภิกษุนั้น ชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของพระผู้มีพระภาคว่า ดีแล้วพระเจ้าข้า
แล้วได้ทูลถามปัญหาที่ยิ่งขึ้นไปว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
อะไรหนอ เป็นคุณ เป็นโทษ เป็นเครื่องสลัดออก แห่งรูป แห่งเวทนา แห่งสัญญา แห่งสังขาร แห่งวิญญาณ
พ. ดูกรภิกษุ สุขโสมนัส อาศัยรูปเกิดขึ้น นี้เป็นคุณแห่งรูป
รูปไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษแห่งรูป
การกำจัดฉันทราคะ การละฉันทราคะในรูปเสียได้
นี้เป็นเครื่องสลัดออกแห่งรูป
สุขโสมนัส อาศัยเวทนาเกิดขึ้น ฯลฯ
อาศัยสัญญาเกิดขึ้น ฯลฯ
อาศัยสังขารเกิดขึ้น
อาศัยวิญญาณเกิดขึ้น นี้เป็นคุณแห่งวิญญาณ
วิญญาณไม่เที่ยงเป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
นี้เป็นโทษแห่งวิญญาณ.
การกำจัดฉันทราคะ การละฉันทราคะในวิญญาณเสียได้
นี้เป็นเครื่องสลัดออกแห่งวิญญาณ.
ว่าด้วยการไม่มีอหังการมมังการและมานานุสัย
[๑๙๑] ภิกษุนั้น ชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของพระผู้มีพระภาคว่า ดีแล้วพระเจ้าข้า
แล้วได้ทูลถามปัญหาที่ยิ่งขึ้นไปอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
เมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร จึงจะไม่มีอหังการ มมังการ และมานานุสัย ในกายที่มีวิญญาณนี้ และในสรรพนิมิตภายนอก?
พ. ดูกรภิกษุ รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง
ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน เป็นภายในก็ดี ภายนอกก็ดี
หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี เลวก็ดี ประณีตก็ดี มีในที่ไกลก็ดี ในที่ใกล้ก็ดี
อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นรูปทั้งหมดนั้น ด้วยปัญญาอันชอบ
ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า
นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.
เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง
สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง
สังขารอย่างใดอย่างหนึ่ง
วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง
ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน เป็นภายในก็ดี ภายนอกก็ดี
หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี เลวก็ดี ประณีตก็ดี มีในที่ไกลก็ดี ในที่ใกล้ก็ดี
อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นวิญญาณทั้งหมดนั้น ด้วยปัญญาอันชอบ
ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า
นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.
ดูกรภิกษุ เมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้แล
จึงจะไม่มีอหังการ มมังการ และมานานุสัย ในกายที่มีวิญญาณนี้และสรรพนิมิตภายนอก.
.
อัตตานุทิฏฐิสูตร
[๒๕๖] ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับฯลฯ
ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุคคลรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร จึงจะละอัตตานุทิฐิได้
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ
บุคคลรู้เห็นจักษุแล โดยความเป็นอนัตตา จึงจะละอัตตานุทิฐิได้
รู้เห็นรูปโดยความเป็นอนัตตา จึงจะละอัตตานุทิฐิได้
รู้เห็นจักษุวิญญาณโดยความเป็นอนัตตา จึงจะละอัตตานุทิฐิได้
รู้เห็นจักษุสัมผัสโดยความเป็นอนัตตา จึงจะละอัตตานุทิฐิได้
รู้เห็นแม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้น
เพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นอนัตตา จึงจะละอัตตานุทิฐิได้
บุคคลรู้เห็นหู…
รู้เห็นจมูก…
รู้เห็นลิ้น…
รู้เห็นกาย…
รู้เห็นใจโดยความเป็นอนัตตา จึงจะละอัตตานุทิฐิได้
รู้เห็นธรรมารมณ์โดยความเป็นอนัตตา จึงจะละอัตตานุทิฐิได้
รู้เห็นมโนวิญญาณโดยความเป็นอนัตตา จึงจะละอัตตานุทิฐิได้
รู้เห็นมโนสัมผัสโดยความเป็นอนัตตา จึงจะละอัตตานุทิฐิได้
รู้เห็นแม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้น
เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นอนัตตา จึงจะละอัตตานุทิฐิได้
ดูกรภิกษุ เมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้แล จึงจะละอัตตานุทิฐิได้ ฯ
= อธิบาย =
อัตตานุทิฏฐิ
ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ
มีเกิดขึ้นขณะขณะดำเนินชีวิต
ผัสสะ(สิ่งที่มีเกิดขึ้นในชีวิต) มากระทบ
เห็นนั่นของเรา เป็นเรา เป็นตัวตนของเรา.
การละอัตตานุทิฏฐิ ละชั่วคราวโดยการรักษาศิล
มีเกิดขึ้นขณะทำกรรมฐาน
ผัสสะมากระทบ เห็นเป็นตัวตน เป็นตัวตนของเรา.
เวทนากล้าที่มีเกิดขึ้น ไตรลักษณ์ปรากฏตามจริง(อนัตตา)
การละอัตตานุทิฏฐิ ละชั่วคราวโดยการทำกรรมฐาน
เวทนากล้าปรากฏ ละความยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕
ตัวสภาวะที่มีเกิดขึ้นตามจริง
สิ่งที่มีเกิดขึ้น(ผัสสะ) กับใจที่รู้อยู่ ทั้งสองสภาวะแยกออกจากกัน ไม่ปะปนกัน
เวทนากล้า ความเจ็บปวด กับ ใจที่รู้อยู่
แต่ไม่เสวยเวทนาที่มีเกิดขึ้น(ไม่เจ็บปวดตามด้วย) สักแต่ว่ามีเกิดขึ้นแล้ว แล้วคลายหายไปเอง
มีเกิดขึ้นสภาวะจิตดวงสุดท้ายปรากฏตามจริง
ความยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕
ได้แก่ เวทนากล้ามีเกิดขึ้น ไตรลักษณ์ปรากฏตามจริง(สุญญตวิโมกข์)
สภาวะจิตดวงสุดท้ายปรากฏ แล้วดับ
การละอัตตานุทิฏฐิเป็นสมุจเฉท มีเกิดขึ้นใน
อนาคามีมิมรรค เวทนากล้า ละความยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕
อนาคามีมิผล สภาวะจิตดวงสุดท้ายปรากฏตามจริง แล้วดับ
ผู้ที่ละอัตตานุทิฏฐิเป็นสมุจเฉท
ได้แก่ พระอนาคามี
มีเกิดขึ้นขณะสภาวะจิตดวงสุดท้าย(วิมุตติ)
ปรากฏตามความเป็นจริง(ครั้งที่ 2/วิชชา 2)
ปัจจุบันเป็นพระอรหันต์(อรหัตมรรค) ในสอุปาทิเสสนิพพานธาตุ
๑๐. ปุณณมสูตร
ว่าด้วยอุปาทานขันธ์ ๕
[๑๘๒] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ มิคารมาตุปราสาท ในพระวิหารบุพพาราม ใกล้พระนครสาวัตถี พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์เป็นอันมาก.
ก็ในสมัยนั้นแล ในคืนวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่ำ เป็นวันเพ็ญ มีพระจันทร์เต็มดวง พระผู้มีพระภาค อันภิกษุสงฆ์ห้อมล้อมแล้ว ประทับนั่งอยู่ในที่แจ้ง.
[๑๘๓] ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่งลุกจากอาสนะ ทำผ้าอุตตราสงฆ์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง แล้วประนมมือไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จะพึงทูลถามเหตุประการหนึ่ง กะพระผู้มีพระภาค
ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงประทานโอกาสที่จะพยากรณ์ปัญหา แก่ข้าพระองค์.
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรภิกษุ ถ้าเช่นนั้นเธอจงนั่ง ณ อาสนะของตนแล้ว ถามปัญหาที่เธอมุ่งจำนงเถิด
ภิกษุนั้น รับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ อาสนะของตน
ทูลถามปัญหาพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
อุปาทานขันธ์ ๕ ได้แก่
อุปาทานขันธ์คือรูป
อุปาทานขันธ์คือเวทนา
อุปาทานขันธ์คือสัญญา
อุปาทานขันธ์คือสังขาร
อุปาทานขันธ์คือวิญญาณ
เหล่านี้ ใช่ไหม พระเจ้าข้า?
พ. ดูกรภิกษุ อุปาทานขันธ์ ๕
ได้แก่อุปาทานขันธ์ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
เหล่านี้แหละภิกษุ.
ว่าด้วยมูลแห่งอุปาทานขันธ์ ๕
[๑๘๔] ภิกษุนั้น ชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของพระผู้มีพระภาคว่า ดีแล้วพระเจ้าข้า
แล้วได้ทูลถามปัญหาที่ยิ่งขึ้นไปว่า อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้แล มีอะไรเป็นมูลเหตุ พระเจ้าข้า?
พ. ดูกรภิกษุ อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้แล มีฉันทะเป็นมูลเหตุ ฯลฯ
ภิ. อุปาทานก็อันนั้น และอุปาทานขันธ์ ๕ ก็อันนั้น
หรือว่าอุปาทานอื่นจากอุปาทานขันธ์ ๕ พระเจ้าข้า?
พ. ดูกรภิกษุ อุปาทานก็อันนั้น และอุปาทานขันธ์ ๕ ก็อันนั้น หามิได้
และอุปาทานอื่นจากอุปาทานขันธ์ ๕ ก็หามิได้
แต่ฉันทราคะในอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านั้นเป็นตัวอุปาทาน
ว่าด้วยฉันทราคะในอุปาทานขันธ์ ๕
[๑๘๕] ภิกษุนั้น ชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของพระผู้มีพระภาคว่า ดีแล้วพระเจ้าข้า
แล้วได้ทูลถามปัญหาที่ยิ่งขึ้นไปว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ฉันทราคะในอุปาทานขันธ์ ๕ แตกต่างกันหรือ
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ต่างกันภิกษุ ดังนี้แล้ว
ได้ตรัสต่อไปว่า ดูกรภิกษุ บุคคลบางคนในโลกนี้ มีความปรารถนาอย่างนี้ว่า ในอนาคตกาล
ขอเราพึงมีรูปเช่นนี้
พึงมีเวทนาเช่นนี้
พึงมีสัญญาเช่นนี้
พึงมีสังขารเช่นนี้
พึงมีวิญญาณเช่นนี้.
ดูกรภิกษุ ฉันทราคะในอุปาทานขันธ์ ๕ ต่างกันด้วยประการฉะนี้แล.
ว่าด้วยเหตุที่เรียกว่าขันธ์
[๑๘๖] ภิกษุนั้น ชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของพระผู้มีพระภาคว่า ดีแล้วพระเจ้าข้า
แล้วได้ทูลถามปัญหาที่ยิ่งขึ้นไปว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ ขันธ์ จึงชื่อว่าขันธ์
พ. ดูกรภิกษุ รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง
ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน เป็นภายในก็ดี ภายนอกก็ดี
หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี เลวก็ดี ประณีตก็ดี มีในที่ไกลก็ดี ในที่ใกล้ก็ดี
นี้เรียกว่ารูปขันธ์
เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ฯลฯ นี้เรียกว่าเวทนาขันธ์
สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง ฯลฯ นี้เรียกว่าสัญญาขันธ์
สังขารอย่างใดอย่างหนึ่ง ฯลฯ นี้เรียกว่าสังขารขันธ์
วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน เป็นภายในก็ดี ภายนอกก็ดี
หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี เลวก็ดี ประณีตก็ดี มีในที่ไกลก็ดี ในที่ใกล้ก็ดี
นี้เรียกว่าวิญญาณขันธ์.
ดูกรภิกษุด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล ขันธ์จึงชื่อว่าขันธ์.
ว่าด้วยเหตุปัจจัยแห่งขันธ์ ๕
[๑๘๗] ภิกษุนั้น ชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของพระผู้มีพระภาคว่า ดีแล้วพระเจ้าข้า
แล้วได้ทูลถามปัญหาที่ยิ่งขึ้นไปว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยทำให้รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ปรากฏ?
พ. ดูกรภิกษุ มหาภูตรูป ๔ แล เป็นเหตุเป็นปัจจัยทำให้รูปขันธ์ปรากฏ.
ผัสสะ เป็นเหตุเป็นปัจจัยทำให้เวทนาขันธ์ปรากฏ.
ผัสสะ เป็นเหตุเป็นปัจจัย ทำให้สัญญาขันธ์ปรากฏ.
ผัสสะ เป็นเหตุเป็นปัจจัยทำให้สังขารขันธ์ปรากฏ.
นามรูปเป็นเหตุเป็นปัจจัยทำให้วิญญาณขันธ์ปรากฏ.
ว่าด้วยเหตุเกิดสักกายทิฏฐิ
[๑๘๘] ภิกษุนั้น ชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของพระผู้มีพระภาคว่า ดีแล้วพระเจ้าข้า
แล้วได้ทูลถามปัญหาที่ยิ่งขึ้นไปว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สักกายทิฏฐิมีได้อย่างใดหนอ
พ. ดูกรภิกษุ ปุถุชนในโลกนี้ ผู้ยังมิได้สดับ
เป็นผู้ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้า ไม่ฉลาดในอริยธรรม ไม่ได้รับแนะนำในอริยธรรม
เป็นผู้ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในสัปปุริสธรรม ไม่ได้รับแนะนำในสัปปุริสธรรม
ย่อมเห็นรูป โดยความเป็นตน ย่อมเห็นตนมีรูป ย่อมเห็นรูปในตน ย่อมเห็นตนในรูป
ย่อมเห็นเวทนา โดยความเป็นตน ย่อมเห็นตนมีเวทนา ย่อมเห็นเวทนาในตน ย่อมเห็นตนในเวทนา
ย่อมเห็นสัญญา โดยความเป็นตน ย่อมเห็นตนมีสัญญา ย่อมเห็นสัญญาในตน ย่อมเห็นตนในสัญญา
ย่อมเห็นสังขาร โดยความเป็นตน ย่อมเห็นตนมีสังขาร ย่อมเห็นสังขารในตน ย่อมเห็นตนในสังขาร
ย่อมเห็นวิญญาณ โดยความเป็นตน ย่อมเห็นตนมีวิญญาณ ย่อมเห็นวิญญาณในตน ย่อมเห็นตนในวิญญาณ.
ดูกรภิกษุ สักกายทิฏฐิมีได้ด้วยอาการเช่นนี้แล.
ว่าด้วยเหตุจะไม่มีสักกายทิฏฐิ
[๑๘๙] ภิกษุนั้น ชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของพระผู้มีพระภาคว่า ดีแล้วพระเจ้าข้า
แล้วได้ทูลถามปัญหาที่ยิ่งขึ้นไปว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สักกายทิฏฐิย่อมไม่มีได้อย่างไร
พ. ดูกรภิกษุ อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ผู้ได้สดับแล้ว
เป็นผู้ได้เห็นพระอริยเจ้า ฉลาดในอริยธรรม ได้รับแนะนำแล้วเป็นอย่างดีในอริยธรรม
เป็นผู้ได้เห็นสัตบุรุษ ฉลาดในสัปปุริสธรรม ได้รับแนะนำแล้วเป็นอย่างดีในสัปปุริสธรรม
ย่อมไม่เห็นรูป โดยความเป็นตน ไม่เห็นตนมีรูป ไม่เห็นรูปในตน หรือไม่เห็นตนในรูป
ย่อมไม่เห็นเวทนา โดยความเป็นตน ไม่เห็นตนมีเวทนา ไม่เห็นเวทนาในตน หรือไม่เห็นตนในเวทนา
ย่อมไม่เห็นสัญญา โดยความเป็นตน ไม่เห็นตนมีสัญญา ไม่เห็นสัญญาในตน หรือไม่เห็นตนในสัญญา
ย่อมไม่เห็นสังขาร โดยความเป็นตน ไม่เห็นตนมีสังขาร ไม่เห็นสังขารมีในตน หรือไม่เห็นตนในสังขาร
ย่อมไม่เห็นวิญญาณ โดยความเป็นตน ไม่เห็นตนมีวิญญาณ ไม่เห็นวิญญาณในตน หรือไม่เห็นตนในวิญญาณ.
ดูกรภิกษุ สักกายทิฏฐิ ย่อมไม่มีด้วยอาการเช่นนี้แล.
ว่าด้วยคุณโทษและอุบายสลัดออกแห่งอุปาทานขันธ์
[๑๙๐] ภิกษุนั้น ชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของพระผู้มีพระภาคว่า ดีแล้วพระเจ้าข้า
แล้วได้ทูลถามปัญหาที่ยิ่งขึ้นไปว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอ เป็นคุณ เป็นโทษ
เป็นเครื่องสลัดออก แห่งรูป แห่งเวทนา แห่งสัญญา แห่งสังขาร แห่งวิญญาณ
พ. ดูกรภิกษุ สุขโสมนัส อาศัยรูปเกิดขึ้น นี้เป็นคุณแห่งรูป
รูปไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษแห่งรูป
การกำจัดฉันทราคะ การละฉันทราคะในรูปเสียได้ นี้เป็นเครื่องสลัดออกแห่งรูป
สุขโสมนัส อาศัยเวทนาเกิดขึ้น ฯลฯ
อาศัยสัญญาเกิดขึ้น ฯลฯ
อาศัยสังขารเกิดขึ้น
อาศัยวิญญาณเกิดขึ้น นี้เป็นคุณแห่งวิญญาณ
วิญญาณไม่เที่ยงเป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษแห่งวิญญาณ.
การกำจัดฉันทราคะ การละฉันทราคะในวิญญาณเสียได้ นี้เป็นเครื่องสลัดออกแห่งวิญญาณ.
ว่าด้วยการไม่มีอหังการมมังการและมานานุสัย
[๑๙๑] ภิกษุนั้น ชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของพระผู้มีพระภาคว่า ดีแล้วพระเจ้าข้า
แล้วได้ทูลถามปัญหาที่ยิ่งขึ้นไปอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
เมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร จึงจะไม่มีอหังการ มมังการ และมานานุสัย
ในกายที่มีวิญญาณนี้ และในสรรพนิมิตภายนอก?
พ. ดูกรภิกษุ รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง
ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน เป็นภายในก็ดี ภายนอกก็ดี
หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี เลวก็ดี ประณีตก็ดี มีในที่ไกลก็ดี ในที่ใกล้ก็ดี
อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นรูปทั้งหมดนั้น ด้วยปัญญาอันชอบ
ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.
เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง
สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง
สังขารอย่างใดอย่างหนึ่ง
วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง
ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน เป็นภายในก็ดี ภายนอกก็ดี
หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี เลวก็ดี ประณีตก็ดี มีในที่ไกลก็ดี ในที่ใกล้ก็ดี
อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นวิญญาณทั้งหมดนั้น ด้วยปัญญาอันชอบ
ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.
ดูกรภิกษุ เมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้แล
จึงจะไม่มีอหังการ มมังการ และมานานุสัย
ในกายที่มีวิญญาณนี้และสรรพนิมิตภายนอก.
ว่าด้วยกรรมที่อนัตตากระทำจะถูกต้องอัตตา
[๑๙๒] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง ได้เกิดความปริวิตกแห่งใจขึ้นว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย
ได้ยินว่า ด้วยประการดังนี้แล รูปเป็นอนัตตา เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอนัตตา
กรรมที่อนัตตากระทำ จักถูกต้องอัตตาคือกรรมได้อย่างไร
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกแห่งใจของภิกษุนั้นด้วยพระทัยแล้ว
ได้ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ข้อที่โมฆบุรุษบางคน ในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้ตกอยู่ในอำนาจอวิชชา
มีใจถูกตัณหาครอบงำ
จะพึงสำคัญสัตถุศาสน์ว่าเป็นคำสอนที่ควรคิดให้ตระหนักว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย
ได้ยินว่า ด้วยประการดังนี้แล รูปเป็นอนัตตา เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอนัตตา
กรรมที่อนัตตากระทำ จักถูกต้องอัตตาคือกรรมได้อย่างไร นี้เป็นฐานะที่จะมีได้.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย อันเราได้แนะนำไว้แล้ว
ด้วยการทวนถามในธรรมนั้นๆ
ในบาลีประเทศนั้นๆ
จะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า.
พ. เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอ
ที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา?
ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. เพราะเหตุนั้นแล ฯลฯ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ
ย่อมทราบชัดว่า ฯลฯ กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ฉะนี้แล.
ตรงนี้อธิบายยังไม่จบเพราะมีความเกี่ยวข้องกับ
อัตตวาทุปาทาน(สักกายทิฏฐิและอัตตานุทิฏฐิ)
คำว่าจบแบบสมบูณ์เกี่ยวกับคำที่เรียกว่า สักกายทิฏฐิและอัตตานุทิฏฐิ
แต่ทิฏฐิสังโยชน์ ยังไม่จบ
ทิฏฐุปาริสุทธิ
การแจ้งอริยสัจ ๔ ตามจริง มี 4 แบบ
เวลาอธิบายต้องแยกอธิบายออกจากกัน
เวลาอ่าน จะเข้าใจมากขึ้นในตัวสภาวะที่มีเกิดขึ้นตามจริง