หลังจากส่งจิตออกนอกมาหลายวัน มันเบื่อน่ะ
เห็นอะไร อ่านอะไรก็โศกาอาดรู ไม่รู้เป็นบ้าอะไร แค่อ่านเรื่องนางทาส
จริงๆแล้วหนังทีวีไม่ชอบดูแต่เป็นคนชอบอ่านหนังสือ เมื่อคืนอ่านเรื่องนางทาส
อ่านแล้วก็กลับมามองที่ตัวเอง นิยายที่เขาเขียนน่ะมันก็เรื่องธรรมดาที่คนทั่วไปจะต้องเจอ
จะเจอดีหรือร้ายก้อยู่ที่การกระทำของเขาที่เคยกระทำมา
เราก็ย้อนถามตัวเองว่า อยากเวียนว่ายตายเกิดอย่างนี้อีกหรือ
ลองคิดดู แค่ปัจจุบันชาตินี้นี่แหละ เราน่ะปฏิบัติเข้าสู่ฌาน 4 ได้ตั้งแต่อายุ 11 ปีแล้ว
แต่เพราะวิบากกรรมจึงทำให้ต้องไปชดใช้หนี้กรรมไม่ได้ปฏิบัติต่ออย่างที่ควรเป็น
ถึงได้พบครูบาฯก็เป็นเพียงแค่ทางผ่าน ไม่ได้ปฏิบัติอย่างจริงจัง
ไม่มีใครมาบอกมาสอน อย่างครูบาฯท่านกล่าวไว้ว่า ชาติต่อไปจะระลึกได้หรือเปล่า อย่าไปคิดเลย
ต้องมาเริ่มต้นใหม่ทุกๆชาติ กรรมเท่ากับต้องสร้างเพิ่มขึ้นไปอีกกว่าจะรู้ตัว
เราเองก็ยังคงติดหลุมสบาย ต้องใช้แรงกระตุ้นให้ตัวเองปฏิบัติ
ทั้งๆที่รู้แล้วว่า เส้นทางเหลืออีกแค่นิดเดียว แต่จิตมันเป็นอะไรก็ไม่รู้ มันอาดรูแบบอกไม่ถูก
กึ่งกลัวกึ่งกล้าที่จะก้าวต่อไป หรือยังมีความอาลัยชาติภพอยู่ ทั้งๆที่รู้ว่า มันไม่มีอะไรน่าอาลัย
เมื่อคืนก็ขึ้นปฏิบัติ ตั้งแต่ผ่านเวทนาแบบโหดๆมา
เดี๋ยวนี้ไม่ต้องไปทุกข์ร้อนอะไรมากมายกับเวทนาที่เกิด
แต่ความเบื่อเรายังแก้ไม่ได้ เบื่อนักก็ใช้การเจริญสติอย่างเดียว
ถ้าถามว่าเบื่ออะไรก็ตอบไม่ได้ เมื่อคืนจะให้นั่งทั้งคืนก็นั่งได้ นั่งแค่ตี 2 ก็บอกตัวเองว่าพอละ
แผ่เมตตา กรวดน้ำ อธิษฐานจิต พอล้มตัวนอนลงไปมันสว่างพรึ่บขึ้นมาเลย เราก็คิด เอ้าอยากเป็นสมาธิก็เป็นไป
มันสว่างอยู่อย่างนั้นเราก็นอนดู ไม่สนใจอะไร
เดี๋ยวนี้เวทนาก็เกิดขึ้นหายไป กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว
เราก็เพียงแค่ดูตามความเป็นจริงที่เกิด ปกติแล้ว เราแค่นั่ง 1 ช.ม. นี่ก็แทบจะแย่แล้ว
ยิ่งถ้าไม่เดินจงกรมก่อนนี่ทรมาณสุดๆ พักหลังนี่กลับไม่เป็นอย่างนั้น จะให้นั่งกี่ช.ม.ก็นั่งได้
แต่เราเบื่อ แบบที่บอก ไม่รู้ว่าเบื่ออะไร เดินจงกรมเดี่ยวนี้ก็รู้ไปตามอริยาบททั้งหมดที่กระทบ
ยืนนี่หลับตายืนไม่ได้ มันจะดิ่งอย่างเดียว ใช้กำหนดจากหัวลงเท้าก็ไม่ได้ มันจะดิ่ง
ต้องใช้ลืมตายืนพิจรณาตั้งแต่หัวถึงเท้าแทน จะไปกำหนดแบบนั้นไม่ได้
ถึงไม่มีการกำหนดยืนหนอก็เถอะ แค่ตามลมหายใจขึ้นลง มันก็จะดิ่งเข้าสู่สมาธิตลอดเลย มันช่างไม่สมดุลย์เล๊ย