08/09/2566
เล่าเรื่องสภาวะของเจ้านาย
หลังจากวันที่ ๒๗ สค.
วันธรรมดา ยังคงปฏิบัติ ๒ รอบ
เช้า ตี ๕ ถึง 6 ครึ่งเช้า เดินครึ่งชม. นั่ง ๑ ชม.
กลางคืน เดิน ๑ ชม. นั่ง ๒ ชม.
ตอนหลังลดการนั่งเหลือ ๑ ชม.
เวทนากล้าเกิดขึ้นบ่อย
เมื่อวันจันทร์นี้เอง
วันหยุด ปฏิบัติ ๓ รอบ
เช้า ตี ๕ ถึง 6 ครึ่งเช้า เดินครึ่งชม. นั่ง ๑ ชม.
บ่าย 3 ถึง 6 โมงเย็น เดิน ๑ ชม. นั่ง ๒ ชม.
กลางคืน สาม-สี่ทุ่ม เดินหนึ่งชม. นั่ง ๒ ชม.
เริ่มลดเวลาการนั่งลงตั้งแต่วันจันทร์นี้
เกิดจากอาการปิติเกิดขึ้นน้อยลง
สภาวะสุขเกิดไม่นาน
เวทนากล้าเกิดขึ้นนานกว่าเมื่อก่อน
จึงบอกเขาว่า ค่อยๆปรับอินทรีย์ได้
ตอนแรกเห็นว่าเขามีปิติกล้า สภาวะดูผาดโผน
สภาวะแปลกๆ จึงปล่อยก่อน ยังไม่พูดอะไร
สภาวะอะไรมีเกิดขึ้น แค่ดูอยู่
เพราะรู้ว่าเขาเองก็อยากรู้ว่าสภาวะที่มีเกิดขึ้นจะไปทางไหน สิ้นสุดตรงไหน
ต่อให้เราพูดอะไรไป เขายังไม่ฟังหรอก ต้องรู้ด้วยตน เขาจึงจะฟัง
พอมาเจอเวทนากล้า
เขาบอกว่า ตอนเวทนากล้ามีเกิดขึ้น
เขาทนไม่ไหวจึงคิดในใจว่าให้มันตายไปเลย
แล้วเวทนาจะค่อยๆหายไป ไม่เห็นมีกายแตกกายระเบิดเกิดขึ้นเลย
เราบอกว่า อย่าไปคิดเอาเอง
ต้องรู้ด้วยตน จึงจะเข้าใจเอง
หากมีกายแตกกายระเบิดเกิดขึ้น เวทนากล้าก็ทำอะไรไม่ได้หรอก
เพราะกายและจิตจะแยกออกจากกัน ทำให้เข้าถึงก่อน ค่อยมาพูด
ขนาดตอนนี้นั่งแค่ ๑ ชม. แทบจะทนไม่ไหวเหมือนเมื่อก่อน
เขาพยักหน้า แล้วบอกว่าจะเป็นบางครั้ง ไม่ได้เกิดบ่อย
เราบอกว่าว่าจะเกิดบ่อยหรือนานๆเกิด แต่ยังมีเวทนากล้ามาปรากฏอยู่
ไม่ต้องไปฝืนใจหรอก ค่อยๆทำตามสเตปจะดีกว่า
เมื่ออินทรีย์ ๕ แก่กล้า
ต่อให้เวทนากล้ามีเกิดขึ้น ก็ยังนั่งได้ โดยใจไม่เป็นทุกข์
จากนั่ง ๑ ชม. รอดูหนึ่งอาทิตย์
หากเวทนาที่มีเกิดขึ้น มีน้อยลง ให้เพิ่มอีกเป็น ๑ ชม.ครึ่ง
การปรับอินทรีย์ ปรับแบบนี้แหละคืออาศัยการสังเกตุสภาวะที่มีเกิดขึ้นในตน
จาก ๑ ชม.ครึ่งมาเป็น ๒ ชม. สภาวะจึงจะมั่นคงมากขึ้น
ตราบใดยังมีกายอยู่ เวทนาย่อมมี
ก็เพิ่มการนั่งขึ้นไปอีก เป็น ๒ ชม.ครึ่ง
พอนั่งได้โดยเวทนาไม่รบกวน
ก็เพิ่มการนั่งเป็น ๓ ชม. สภาวะจึงจะมั่นคงกว่าเดิมอีกมากขึ้น
อินทรีย์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
จะดูตัวสภาวะสัมปชัญญะเป็นหลัก ขณะจิตเป็นสมาธิ
อาทิตย์ 27/08/2566
สภาวะของเจ้านายที่มีเกิดขึ้น
จะเป็นอาการปีติ และมีเวทนากล้ามีเกิดขึ้นด้วย
ตอนนี้อาการปิติ เขาบอกว่ามีเกิดขึ้นน้อยลง
ส่วนเวทนากล้า ปวดขา เหน็บชา ยังเป็นอยู่
ปวดมากถึงร้องไห้ได้ ปวดสุดๆ
เขาเล่าเรื่องสภาวะให้ฟัง การอยู่กับเวทนาโดยไม่ต้องสู้เวทนา
ตัวข้างในจะมาสอนว่าทำแบบนี้ เขาทำตาม ทำให้จากเวทนาหนักเบาลง
วันหยุดเขาจะทำกรรมฐาน ๓ รอบ
ตีสี่ เดิน ๑ ชม. นั่ง ๒ ชม.
บ่ายสาม เดิน ๑ ชม. นั่ง ๒.ชม.ครึ่ง
สามทุ่ม
เขาถามเรื่องการปรับอินทรีย์ เรื่องสมาธิ
ประมาณว่า กำลังสมาธิจากเนวสัญญาฯ ทำให้ลงได้เหรอ
เราบอกว่า ไม่ได้ทำให้ลดลง คือได้เนวสัญญาฯ ไม่มีใครอยากให้เป็นแบบนั้นหรอก
แต่สามารถลดกำลังสมาธิลงได้
เช่น ปฏิบัติได้อรูปฌาน แสงสว่างเจิดจ้ากับใจที่รู้อยู่
แล้วไม่รู้ว่าสภาวะของตนเองอยู่ตรงไหน
เพราะอรูปฌานเวลาเกิดขึ้นจะเหมือนๆกัน ไม่แตกต่างเลย
วิธีการลดกำลังสมาธิ ไม่ใช่ไปลดฌาน
เช่นจากเนวสัญญาฯ ให้ลดลงไปกว่าเนวสัญญาฯ ทำไม่ได้หรอก
คือมีเกิดขึ้นแล้วเกิดขึ้นเลย ยกเว้นมีเหตุให้สมาธิเสื่อม หรือล้มเลิกปฏิบัติ
ส่วนกำลังสมาธิ สามารถลดลงได้
ลงไปที่รูปฌาน
เมื่อนั่งลง หลับตา จะมีแสงสว่างเจิดจ้าเกิดขึ้นกับใจที่รู้อยู่
เคยนั่งใช้เวลาเท่าไหร่ ให้คงที่ไว้แค่นั้น
ให้มาเพิ่มเดินจงกรม เพิ่มเวลาการเดินไปเรื่อยๆ
คือเดิน ๑ ชม. ต่อนั่ง เคยนั่ง ๓หรือ ๔ ชม. ใช้เวลาเท่าเดิม
เมื่อทำแบบนี้ให้สังเกตุว่าเวลาแสงสว่างเจิดจ้ามีเกิดขึ้น
แล้วมีรู้ว่ากายนั่งอยู่ด้วยไหม หากไม่มี
ให้เพิ่มเดินจงกรมไปอีกจาก ๑ ไปเป็น ๒ ชม. แล้วนั่ง
ทำแบบนี้ แล้วสังเกตุสภาวะที่มีเกิดขึ้น
สุดท้าย หลังเดินจงกรมตามเวลาที่กำหนดไว้ แล้วนั่ง
จะมีแสงสว่างเจิดจ้าและรู้กายที่นั่งอยู่
นี่คือสัมมาสมาธิที่มีเกิดขึ้นตามจริง
ให้เดินจงกรมตามเวลาที่กำหนดไว้ ไม่ต้องเพิ่มอีก
ส่วนนั่ง สามารถเพิ่มเวลานั่งได้
เมื่อสติดี สัมปชัญญะมีเกิดขึ้นแล้ว
จะมีการเห็นความเกิดับขณะจิตเป็นสมาธิ
ในรูปฌาน อรูปฌาน นิโรธ ตามลำดับ
การเห็นความเกิดดับ ทำให้รู้ว่าสภาวะของตนอยู่ตรงไหน
ส่วนมรรคผลไม่ต้องไปสนใจในคำเรียก
เมื่ออินทรีย์ ๕ แก่กล้า ตัวสภาวะจะมีเกิดขึ้นเอง ไม่ต้องตั้งใจหวัง
คำถาม
บางคนมีความสงสัยว่า ทำกรรมฐาน
การนั่งนาน จะมีผลต่อสุขภาพไหม เช่นต่อร่างกายที่นั่งนาน
คำตอบ
ไม่มีผลกระทบทั้งสิ้น
ที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพของแต่ละคน
ล้วนเกิดจากการกิน การนอน สังคมที่คลุกคลี การใช้ชีวิต
ส่วนกรรมฐาน ยิ่งทำ ชีวิตยิ่งดี
ยิ่งปฏิบัติหลายรอบได้ ยิ่งดีมากๆ
สมัยที่ทำความเพียรหนัก เวลาป่วย สมาธิชาวยทำให้ทุเลาลง
ดูเป็นสมองสิ ความจำเสื่อมก็ได้สมาธินี่แหละทำให้ดีขึ้น
พูดตามจริง หากไม่ได้กรรมฐาน ชีวิตของเราก็คงไม่รู้ว่าจะเป็นแบบไหน
อันนี้สภาวะของเจ้านายวันนี้ 27/08/2566
วันนี้ เจ้านายตื่นก่อนตีสี่
เดินจงกรม ๑ ชม. นั่ง ๒ ชม.
เขาเล่าสภาวะให้ฟัง เวทนาเปลี่ยนไป
มีเวทนาเหมือนเดิม แต่ไม่มีร้อนที่ขา อีกตัวจะรู้สภาวะที่มีเกิดขึ้น เหมือนจะแยกออกจากกัน
เราจึงบอกว่า ไม่มีอาการปีติอีกละเหรอ
เขาบอกว่า วันนี้ไม่มี จะมีสุขเกิดขึ้น
เราบอกว่า งั้นไปดูการปฏิบัติในรอบต่อไป ซึ่งเขาจะทำตอนบ่าย
สภาวะที่มีเกิดขึ้น เหมือนครูมาสอน
ของเขาฟังเรื่องสภาวะจากเราบ่อย จดจะจดจำ เรียกว่าปัญญา
จะมาผุดเหมือนมีคนมาพูดสอนให้กำหนดแบบนี้ ให้ทำแบบนี้ อันนี้เรียกว่าสัญญา
ถามเขาว่า สภาวะอื่นๆล่ะมีเกิดขึ้นไหม
เขาบอกว่ามีสีขาว
เราบอกว่าโอภาส
เขาบอกว่าจากเหมือนฟ้าแล่บ มาเป็นสีขุ่นๆ
เราบอกว่า สีไข่มุก
เขาบอกว่าใช่ แบบนั้น ต่อมา จะเป็นสีขาว แต่ยังไม่เจิดจ้า
เราบอกว่าโอภาสจะมีหลายสี ขึ้นอยู่กับกำลังสมาธิที่มีเกิดขึ้นขณะนั้นๆ
ยิ่งสมาธิมีกำลังมาก จะเป็นเปิดไฟ แสงสว่างเจิดจ้า
เขาบอกว่า เข้าใจล่ะ เรื่องเวทนากับปีติ ไว้ดูปฏิบัติรอบใหม่
เราบอกว่า หากไม่มีเวทนากล้าหรือมีปีติเกิดขึ้นอีก
จะรู้กาย ท้องพองยุบ รู้ลมหายใจ
สภาวะอะไรที่มีเกิดขึ้นให้แค่ดู รู้ หากครบ ๕ วัน จะเพิ่มการนั่งจาก ๒ ชม. มาเป็น ๒ ชม.ครึ่ง
จะค่อยๆเพิ่มเวลาการนั่ง ส่วนเดินจงกรม คงที่เวลาเท่าเดิม ๑ ชม. ไม่ต้องเพิ่ม เพิ่มเวลาเฉพาะนั่ง
จาก ๒ ชม.ครึ่ง มาเป็น ๓ ชม. เพิ่มไปเรื่อยๆ
โอภาสจะมีเกิดขึ้น แสงสว่างเจิดจ้า กายหาย ไม่รู้กายที่นั่งอยู่
ทุก ๕ วันเพิ่มเวลาการนั่งไปเรื่อยๆ
จนกว่าจะมีสภาวะถอดกายทิพย์มีเกิดขึ้น ค่อยมาปรับอินทรีย์กันใหม่
จากเคยเดิน ๑ ชม. มาเป็น ๒ ชม. การนั่งใช้เวลาเท่าเดิม ไม่ต้องเพิ่ม
เพิ่มการเดินจงกรม จะมีแสงสว่างเจิดจ้ากับกายที่นั่งอยุ่ อันนี้สัมมาสมาธิมีเกิดขึ้นแล้ว
เมื่อกายมี เวทนาย่อมมี
เวทนากล้าจะมีเกิดขึ้นอีกครั้ง
เอาเป็นว่าการรู้การเห็นจะรู้รายละเอียดได้ ต้องปฏิบัติตามที่บอกว่า
เขาบอกว่าเข้าใจแล้ว
รอบบ่าย เดินจงกรม ๑ ชม. นั่งตั้งเวลา ๒ ชม.
นั่งจนครบเวลาที่ตั้งไว้ ยังนั่งต่อ เลิกนั่งตอน ๑๙.๐๐ น.
อาทิตย์
เสาร์ 26/08/2566
วันนี้เจ้านายปฏิบัติ ๓ รอบ
รอบเช้า
ตื่นตี ๔ เดิน ๑ ชม. ต่อนั่ง ๒ ชม.
บ่าย ๓ เดินจงกรม ๑ ชม. นั่ง ๒ ชม.ครึ่ง
ก่อนนอน เดินจงกรม ๑ ชม. นั่ง ๒ ชม.
สภาวะรวม
ขณะเดินจงกรม ระยะที่ ๖
มีสติ สัมปชัญญะ สมาธิ มีเกิดขึ้นแล้ว
ทำให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมขณะเดิน
จิตเป็นสมาธิตั้งแต่เดินจงกรม
เมื่อมานั่งต่อ จิตเป็นสมาธิต่อเนื่อง
สภาวะอื่นๆโดยรวม ยังมีปีติเกิด โอกกันติกาปีติ อุพเพงคาปีติ ขณิกาปีติ ขุททกาปีติ
ตัวที่มียังคงเกิดบ่อย โอกกันติกาปีติ อุพเพงคาปีติ
เวลาสภาวะที่มีเกิดขึ้นจะบังคับไม่ได้
เราบอกว่า กำลังสติของเขายังอ่อน
หากสติมีกำลังมาก แค่ดู แค่รู้ สภาวะเหล่านี้จะคลายหายไปเอง
เวทนากล้า ปวดขา
การเบื่อหน่าย เกิดจากความไม่ชอบใจสภาวะที่มีเกิดขึ้น เหมือนไม่ไปไหน บังคับก็ไม่ได้
เขาบอกว่า ใช่ แบบนั้นเลย เวลาเวทนาและปีติมีเกิดขึ้น
เมือนจะมีสองสภาวะเกิดขึ้น บางครั้งสาม มีเกิดขึ้น
แรกๆสภาวะจะแยกออกจากกัน แค่ดู แค่รู้ กับสภาวะที่มีเกิดขึ้น
บางครั้งมีตัวที่สามมีเกิดขึ้น มาสอนว่าให้กำหนดแบบนี้ ทำแบบนี้ๆ
เราบอกว่า ตัวที่มาสอน เรียกว่าสัญญา
ที่เกิดจากเขาฟังบ่อยทั้งเรื่องปริยัติและเรื่องสภาวะที่มีเกิดขึ้นขณะทำกรรมฐาน
จิตจดจำไว้ แล้วไม่ลืม จะมาผุดขึ้นขณะทำกรรมฐานนี่แหละ
เขาบอกว่า เข้าใจล่ะ
25/08/2566
เช้า ตื่นตี ๔ เดินจงกรม ครึ่งชม. ต่อนั่ง 2 ชม.
เมื่อคืน เขาเดินจงกรม ๑ ชม. ต่อนั่ง ๒ ชม.
ยังคงมีเวทนากล้ามีเกิดขึ้นอยู่ แสนสาหัส แต่ไม่ทำให้เขาท้อถอย
24/08/2566
เมื่อคืน เขาเดินจงกรม ๑ ชม. ต่อนั่ง ๒ ชม.
ยังคงมีเวทนากล้ามีเกิดขึ้นอยู่ แสนสาหัส
ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายในสภาวะเหล่านี้
มีคิดว่าเวทนากล้าที่มีเกิดขึ้น ทำให้อยากจะออกพ้นจากสภาวะนี้ให้ได้
เขาบอกว่าเห็นทุกข์
เห็นความไม่ชอบใจในสภาวะที่มีเกิดขึ้น
อาการหมุนๆยังมีอยู่
อาการเหวี่ยงยังมีอยู่
แต่น้อยลงกว่าวันแรกๆ
เช้านี้ เขาตื่นเกือบตีสี่ เปิดแอร์ เดินจงกรม ๑ ชม. ต่อนั่ง ๒ ชม.
หลังเขาออกจากกรรมฐาน
เขาเล่าให้ฟังว่า วันนี้มีทั้งทุกข์และสุข
ทุกข์
ที่เกิดจากเวทนากล้าแสนสาหัสยังมีอยู่
สุขที่เกิดจากจิตเป็นสมาธิ
จะเกิดซ้อนๆกัน
เขาบอกว่าใจอยากจะออกจากเวทนากล้าให้ได้
มีอีกตัวจะบอกว่าก็ต้องละรูปให้ได้ก่อน
อีกตัวบอกว่าต้องนิโรธเท่านั้น
มีพิจรณาอริยสัจ๔
แต่ยังไม่เข้าใจนิโรธ
สรุปนี่ดับอะไร ดับรูปหรือดับอะไร
เราอธิบายอริยสัจ ๔ ให้ฟัง
ทุกข์ เกิดจากอุปาทานขันธ์ ๕
สมุทัย ได้แก่ ตัณหา ๓
นิโรธ ดับตัณหา ๓
มรรคปฏิปทา มรรคมีองค์ ๕
สภาวะของเจ้านายอยู่ตรงนี้
คือเห็นฝั่ง พยายามว่ายไปถึงฝั่ง
คำว่า ตัดขวางกระแสน้ำแห่งแม่น้ำคงคานี้
ได้แก่ ตัณหา
ฉันทราคะในอุปาทานขันธ์ ๕
ตัวแรกคือสักกายทิฏฐิ
เวทนากล้าที่มีเกิดขึ้น
สภาวะโคตรภูญาณมีเกิดขึ้นแล้ว แต่ยังเข้าไปข้างในได้
เพราะกำลังสมาธิยังน้อย
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเพิ่มวิริยะขึ้นอีก
จากปฏิบัติรอบเดียวก่อนนอน มาเป็นสองรอบ
ปฏิบัติรอบเช้า ตีสี่ถึงหกโมงครึ่ง แล้วไปทำงาน
ปฏิบัติก่อนนอน เดิน ๑ ชม. ต่อนั่ง ๒ ชม. เมื่อคืนนอนเที่ยงคืนกว่านิดๆ
ไตรลักษณ์ปรากฏตามจริง ในรูปแบบของเวทนากล้าที่มีเกิดขึ้น
เขาบอกว่าเข้าใจเลยทำไมจึงเกิดความเบื่อหน่าย
สภาวะที่มีเกิดขึ้นบังคับไม่ได้
เขาบอกว่าเห็นทุกข์
เมื่อเช้ามีการพิจรณาอริยสัจ ๔ เขาบอกว่านิโรธ ยังไม่เข้าใจ
เราบอกว่าเป็นสัญญาจากที่เขาฟังเราพูดเนืองๆ
“ดูกรอานนท์ เปรียบเหมือนแม่น้ำคงคา
น้ำเต็มเปี่ยมเสมอขอบฝั่ง กาก้มลงดื่มได้
ครั้งนั้นบุรุษมีกำลัง พึงมาด้วยหวังว่า เราจักว่าย
ตัดขวางกระแสน้ำแห่งแม่น้ำคงคานี้ ไปให้ถึงโดยสวัสดี ดังนี้
เขาอาจจะว่ายตัดขวางกระแสแห่งแม่น้ำคงคา
ไปให้ถึงฝั่งโดยสวัสดีได้ ฉันใด
ดูกรอานนท์ เมื่อธรรมอันผู้แสดงๆ อยู่แก่ผู้ใดผู้หนึ่ง
เพื่อดับความเห็นว่า กายของตน จิตของตน
จิตของผู้นั้นแล่นไป เลื่อมใส มั่นคง พ้น ฉันนั้นเหมือนกันแล.
บุรุษมีกำลังนั้นฉันใด พึงเห็นบุคคลเหล่านั้น ฉันนั้นเหมือนกัน”
.
เขาส่งข้อความมาถามเรื่องคำเรียก
นี่ส่งข้อความมาให้
ตอนนี้กำลังสมาธิดีมาก ๆ
เหมือนกำลังทำกรรมฐานอยู่เลย
สุดยอดไปเลย
เราจึงบอกว่าสภาวะรู้ด้วยตนจะเข้าใจ จะทำให้ตั้งใจทำความเพียรไม่ท้อถอย
เขาบอกว่า ตอนนี้นั่งทำงานอยู่ ปีติตัวเย็นมันเกิดพร้อมกับสัมปชัญญะ
ตอนเดิน ๆ รู้เท้าชัดเจนเหมือนกับกำลังเดินจงกรมอยู่
เราบอกว่าเห็นป่ะ รู้ด้วยตนจากการปฏิบัติ สามารถพิสูจน์ได้
Yes, right
“เธอตั้งอยู่ในวิปัสสนา อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์นั้น
ย่อมบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย”
๒๓ สค. ๒๕๖๖
เจ้านายตื่นตอนตี ๔ นิดๆ
เขาเดินจงกรม ครึ่งชม. ต่อนั่งไม่ต้องตั้งเวลา
เพราะเขาต้องไปทำงาน จะมีการตั้งเวลาตื่นทุกวัน
ออกจากการทำกรรมฐาน เขานั่งไป ๒ ชม.
วันนี้เขามีคำถามว่า สังขารกับอุปาทานเหมือนกันไหม
เราบอกว่า คนละตัวกัน สภาวะที่มีเกิดขึ้นคนละอย่างกัน
สังขาร เป็นการปรุงแต่ง ตัวสภาวะมีที่มีเกิดขึ้น มีแค่นี้
เพราะอวิชชาที่มีอยู่ ทำให้เกิดการกระทำออกไป
ทางกาย วาจา ใจ ที่เกิดจากอวิชชาที่มีอยู่
อุปาทาน คืออุปาทาน ๔ ที่เกิดจากฉันทราคะในอุปทานขันธ์ ๕
ที่เกิดจากตัณหา ๓
กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
เขาถามว่าขันธ์ ๕ และอุปาทานขันธ์ ๕ เหมือนหรือแตกต่างกันตรงไหน
ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
อุปาทานขันธ์ ๕ เกิดจากฉันทะ ความพอใจ
ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่มีเกิดขึ้น
จึงมาเป็นอุปาทานขันธ์ ๕
อุปาทาน ๔ กับอุปาทานขันธ์ ๕
สภาวะที่มีเกิดขึ้นแตกต่างกัน
อุปาทานขันธ์ ๕ เกิดจากฉันทะ ความพอใจ
อุปาทาน ๔ เกิดจากฉันทราคะในอุปาทานขันธ์ ๕
เขาถามว่ามีพระสูตรไหม
เราบอกว่านี่สิ สิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ด้วยพระองค์แล้ว
แล้วทรงบัญญัติในคำเรียกเหล่านี้ไว้
ทุกคนสามารถจะรู้ด้วยปัญญา ๓ แบบ
การฟัง การอ่าน การศึกษา จำขึ้นใจด้วยการท่องจำ
เรียกว่า สุตามยปัญญา
การนำสิ่งที่ฟังมา อ่านมา ศึกษามา จำขึ้นใจด้วยการท่องจำ
แล้วนำมาพิจรณาในสภาวะที่มีเกิดขึ้นในตน “โยนิโสมมนสิการ”
เรียกว่า จินตามยปัญญา
ด้วยปฏิบัติ สมถะ วิปัสสนา แล้วเข้าถึงธรรมตามจริง
แจ่มแจ้งแทงตลอดตัวสภาวะตามจริง
เรียกว่า ภาวนาปัญญา
“ได้ชี้นรก สวรรค์ พระนิพพาน กิเลส ตัณหา โดยจะแจ้งสิ้นเชิง
เมื่อผู้ใดได้ฟังแล้ว ปรารถนาสุขทุกข์ประการใด
ก็จงเลือกประพฤติตามความปรารถนา”
.
เขาเล่าให้ฟังตอนเวทนากล้าที่มีเกิดขึ้น
จะเข้าใจที่เราเล่าเรื่องร่างกายเหมือนจะถูกฉีก
ที่เคยฟังเราเล่านั้น ยังไม่ไม่รู้หรอก
พอเจอกับตน จึงเข้าใจ มิน่าถึงเรียกว่าปัจจัจตัง
การฟัง จะรู้ได้ต้องปฏิบัติ แล้วสภาวะนั้นๆมีเกิดขึ้น จึงจะเข้าใจ
เขาเล่าต่อ ตอนแรกปวดที่กายที่นั่งก่อน ปวดสุดๆ
แล้วมารู้ที่ขาซ้าย รู้สึกถึงความเย็นมากๆที่ขา
แล้วไปรู้ที่ขาขวา จะร้อนเหมือนถูกเผา
จะมีความจำในอดีตผุดขึ้นมา
วันนั้นเขาทำอาหาร เปิดแก๊ส แล้วมีแมลงมาตอม แล้วแมลงถูกแก๊สเผาหมด
แมลงคงจะร้อนแบบนี้ ร้อนมากๆ
มีพิจรณาอริยสัจ ๔
ทุกข์เป็นแบบนี้เอง บังคับไม่ได้ จะทำตามใจไม่ได้ เห็นความไม่พอใจ
เกิดจากเวทนากล้าที่เจอมาตลอด เหมือนสภาวะไม่ไปไหน
ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย อยากเลิก แต่ไม่คิดจะเลิก ยังนั่งต่อ
เขาบอกว่าตอนนี้เข้าใจละทำไมเราถึงบอกว่าให้ตั้งเวลา
หากไม่ตั้งเวลา เวลาเวทนากล้าที่มีเกิดขึ้น
พอถึงสภาวะนั้นๆมีเกิดขึ้น จะเลิกนั่งต่อ
หากตั้งนาฬิกา แล้วยังไม่ตามเวลาที่ตั้งไว้ จะเลิกไม่ได้
มีเวลาที่ตั้งไว้เป็นบังคับ
กัดฟัน พยายามอดทน ต่อมาตัวสั่นทั้งตัว ทั้งโยก ทั้งหมุน หัวสั่นหัวคลอน
มันเกิดขึ้นเอง ไม่ได้จะทำขึ้นมา
หากใช้คำบริกรรมรู้หนอถี่ๆ จะทำให้สภาวะที่มีเกิดขึ้นจะหายไปทันที
จากประสบการณ์ ทำให้เขาแค่รู้ตามจริง ไม่ใช้คำบริกรรม
ปล่อยให้ตัวสภาวะดำเนินด้วยตัวของสภาวะเอง
เขาบอกว่าเรื่องปริยัติและการปฏิบัติ เข้าใจมากขึ้น
หัวขบวน พาไปผิดทาง ผู้ที่ตามหัวขบวนนี้ ย่อมหลงทางไปด้วย
เราบอกว่า ใช่ ทั้งหมดนี้เกิดจากการกระทำของตนที่เคยกระทำไว้
แล้วมาเจอหัวขบวนที่เคยสร้างกรรมให้มาเชื่อกัน
มาในชาติปัจจุบัน มาเจอกันอีก แค่ฟัง ก็เชื่อทันทีและปฏิบัติตาม
ฉะนั้นตัวสภาวะที่มีสำคัญก็คือศิล
การสดับพระะรรมจากพระอริยะ สัตบุรุษ สัปบุรุษ ปุริสบุคคลและปฏิบัติตาม
แต่การที่จะรู้จักบุคคลที่เรานำมากล่าวถึงนี้
ก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของตน กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
ที่กระทำในแต่ละขณะๆๆๆๆ
.
เขาให้ดูหน้าจอของนาฬิกา
เมื่อคืน เขาเดินจงกรมใกล้สี่ทุ่ม เลิกนั่งเกือบตีหนึ่ง
ตื่นตีสี่ เดินจงกรม ครึ่งชม. ต่อนั่ง ๒ ชม.
นาฬิกาเขียนไว้ว่า การนอนปกติ 7.16
เขาถอดนาฬิกาออก 6.15 ยังเป็นแสงสีม่วงอ่อน แล้วขาดหายไป
เราบอกว่าจิตของเขายังเป็นสมาธิในอุปจารสมาธิ
เขาเลิกนั่งตอน 6.30
๒๒ สค. ๒๕๖๖
สิ่งที่ดิฉันเขียนไว้มานั้น ให้อ่านไปเรื่อย
โดยเฉพาะเรื่องศิล
จะเข้าใจรายละเอียดเรื่องการดับภพชาติของการเกิด
ไม่ใช่แค่การปิดอบาย
จะทำให้เกิดฉันทะมีเกิดขึ้นในเรื่องการปฏิบัติ
และให้ดี ควรทำกรรมฐานไปด้วย จะดีมากๆ
เคยปฏิบัติในรูปแบบไหน ทำไปก่อน ไม่ต้องไปเปลี่ยนรูปแบบ
เพราะขึ้นอยู่กับอินทรีย์ ๕ มาเกี่ยวข้อง ซึ่งมาแก้ไขได้
ศิลสำคัญมาก
การสดับพระธรรมสำคัญมาก
ทำให้ความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่มีอยู่ เบาบางลง
การรู้ชัดผัสสะ เวทนา ที่มีเกิดขึ้นตามจริง
และลักษณะอาการที่มีเกิดขึ้นของคำเรียกนี้ๆ
จะทำให้ตัวปัญญามีเกิดขึ้น
แม้จะเป็นเพียงจากการฟัง อ่าน หรือท่องจำก็ตาม
กว่าที่ดิฉันจะเขียนรายละเอียดเรื่องการปฏิบัติได้
ความจำเสื่อมไปกี่ปีก็ตาม แต่สภาวะที่มีเกิดขึ้นจากการปฏิบัติไม่หายไปไหน
รู้แล้ว รู้เลย จำสภาวะทุกอย่างได้หมด เพียงแต่นึกคำเรียกไม่ออก
รู้ว่าสภาวะนี้ๆมีเกิดขึ้น ควรกระทำแบบไหน ควรกำหนดแบบไหน
ยิ่งล่าสุดที่ฟังสภาวะการปฏิบัติของเจ้านายที่มีสภาวะโคตรภูญาณมีเกิดขึ้น
แม้เขายังเข้าไปข้างในไม่ได้
เกิดจาก
๑. กำลังสมาธิที่มีอยู่ขณะนั้นๆ ยังน้อยไป
๒. ที่ห้องไม่ได้จัดพื้นที่ให้ใหม่ เขานั่งใกล้ตู้เสื้อผ้า
เวลามีแรงเหวี่ยงเกิดขึ้น เขากลัวหัวไปโขลกประตูตู้
เขาบอกว่ามีเกิดขึ้น ๒ ครั้ง ตอนแรกนึกว่ามีครั้งเดียว
เขาบอกว่ามีสองครั้ง ในการปฏิบัติรอบเดียวกัน
ที่มีเหมือนมีลมมหาศาลจะดูดเกิดขึ้นตอนที่มีการเหวี่ยง
คือไม่ใช่เวทนากล้าเพียงอย่างเดียว
จะมีลมหมาศาลมีเกิดขึ้นด้วย แล้วจะดูด มีแสงสว่างเกิดขึ้นด้วย
พอเราฟังที่เขาเล่าสภาวะให้ฟัง
ทำให้รู้สมัยก่อนการปฏิบัติในอดีตของเรา ทำไมเมื่อผ่านเวทนากล้ามาได้
จิตจะเข้าสู่อรูปฌาน มีแสงสว่างเจิดจ้ากับใจที่รู้อยู่ จมแช่ไม่ไปไหน
จะลืมตาหรือหลับตา จะมีแสงสว่างเจิดจ้า กายไม่รู้กาย
จนมาเจอพระครูภาวนานุกูลมาปรับอินทรีย์ให้ใหม่
ให้เดินมากกว่านั่ง จนมีแสงสว่าง รู้กายที่นั่งอยู่ด้วย
แล้วตัวสภาวะจะดำเนินของตัวสภาวะเอง
กว่าจะรู้นะ นึกสภาวะตรงนี้ไปเลย
พอเจ้านายกลับมาปฏิบัติ มีสภาวะเวทนากล้ามีเกิดขึ้น
เขากำหนดตามจริง
อาการเหวี่ยงที่มีเกิดขึ้น เขาบอกว่าเหมือนจะซ้อนกัน
บางครั้งมีเวทนากล้ามีเกิดขึ้น ปีติจะมีเกิดขึ้น ทำให้เวทนาจะเบาลง
บางครั้งมีเวทนากล้ามีเกิดขึ้น สุขจะมีเกิดขึ้น ทำให้เวทนาจะเบาลง
สภาวะจะเกิดสลับอยู่อย่างนี้
บาครั้งไม่มีทั้งปีติและสุข จะมีเพียงเวทนากล้าล้วนๆ
อาการเหวี่ยงจะมีเกิดขึ้น แรงมาก เหมือนร่างทรง
เหมือนคนออกกำลังหนัก
สภาวะของเราจะไม่เป็นแบบนั้น
เวทนากล้าเพียงอย่างเดียว จะไม่มีอาการเหวี่ยง
เคยอ่านเจอ อาการเหวี่ยงแบบนี้
บางคนเรียกว่าสมาธิหมุน
คือเวลาอาการเหวี่ยงมีเกิดขึ้น จะแรงมาก แล้วมีโอภาสมีเกิดขึ้น
บางคนจะใช้วิธีนี้ในการรักษาการเจ็บป่วย
เมื่อเช้า เขาตื่นมาตีห้า มาทำกรรมฐาน
เวลามีน้อย เขาเดินจงกรมครึ่งชม. นั่งไม่ตั้งเวลา นั่งไป ๑ ชม.ครึ่ง
เขาบอกว่าเวทนาหนัก กำหนดตามจริง
วันนี้เขาเล่าให้ฟังว่า เขารู้สึกว่ามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในตน
จะรู้สึกข้างในสงบ เป็นสมาธิง่าย
เมื่อคืนหลังทำกรรมฐานเสร็จ เขาคุยกับเราเรื่องการปฏิบัติ
เขาถามเรื่องสภาวะการปฏิบัติต่างๆ เราเล่าให้เขาฟังสภาวะตามลำดับ
จะสภาวะอะไร อย่างไร สภาวะใดมีเกิดขึ้นต่อ
คุยจนตีสอง เราบอกเขาว่านอนเถอะ พรุ่งนี้ไปทำงานนี้
เมื่อก่อน เขาไม่ทำกรรมฐาน เวลาเขาหลับ จะกรนเสียงดังมาก
เวลาเขากรน เราจะใช้มือแตะที่ตัวเขา ให้เขารู้สึกตัว จะได้ไม่กรน
ตั้งแต่เขาทำกรรมฐาน เวลาเขาหลับ ไม่มีกรนอีกเลย
ตอนนี้เขาทำกรรมฐานวันละสองครั้ง
ตอนเข้าและก่อนนอน
เขาบอกว่า เหมือนข้างในจะอิ่ม จะมารู้สึกตัว สุขเกิด ให้นอนก้นอนต่อไม่ได้
เขาจึงลุกตอนตีห้า มาทำกรรมฐาน
เรื่องเดินจงกรม เดินระยะที่ ๖ เป็นอัตโนมัติ
ทุกย่างก้าวการเคลื่อนไหว จะรู้ขึ้นที่ใจ รู้ชัดเท้าที่กระทบ
บางครั้งเดิน ๑ ชม.ครึ่ง ต่อนั่ง ๑ ชม.ครึ่ง
เขาบอกว่ารู้สึกสมาธิมีกำลังมากกว่าเดิม นั่งได้นานกว่าเดิม
แม้จะมีเวทนากล้าก็ตาม นี่เขาทำกรรมฐานล่ะ กว่าจะเลิกเกือบตีหนึ่งทุกวัน
รวมสภาวะของเจ้านาย
ตั้งแต่เขากลับมาทำกรรมฐาน แรกๆทำวันละรอบ
เดินจงกรม ๑ ช. ต่อนั่ง ๑ ชม.
เขาถามว่าจำได้ไหมว่าเขาเริ่มทำกรรมฐานวันไหน
เราบอกว่า จำไม่ได้ ไม่แน่ใจว่าได้โพสไว้หรือเปล่า
เพราะไม่แน่ใจว่าเขาจะทำต่อเนื่องหรือแค่อยากทำ
จากดูที่โพสไว้ 16/08 /2566
หลังจากนั้นมา จากที่บันทึกไว้
เมื่อคืน เขาเดิน ๑ ชม.ครึ่ง นั่ง ๑ ชม. ๒๐ นาที ไม่ตั้งนาฬิกา
17/08/2566
เขาตื่นตี ๕ เดินจงกรมครึ่งชม.ต่อนั่ง ๑ ชม.
กลางคืนเดิน ๑ ชม. นั่ง ๑ ชม.ครึ่ง
18/08/2566 เดินจงกรมระยะที่ ๖
เขาตื่นตี ๕ เดินจงกรมครึ่งชม.ต่อนั่ง ๑ ชม.กว่านิดๆ
เขาบอกนะ แต่เราไม่ได้จดไว้ เพราะไม่คิดว่าเขาจะทำจริงๆ
กลางคืน เขาเดิน ๑ ชม.ครึ่ง นั่ง ๑ ชม. ๒๐ นาที ไม่ตั้งนาฬิกา
เข้านอน ตี ๑
19/08/2566
ตื่นตี ๔ ครึ่ง เดิน ครึ่งชม. นั่ง ๑ ชม.
กลางคืน เดินจงกรม ๑ ชม.ครึ่ง เดินระยะที่ ๖ ต่อ นั่ง ๑ ชม.ครึ่ง
ออกจากกรรมฐาน ตี ๑
นอนตีสอง คุยกันเรื่องการปฏิบัติและสภาวะที่มีเกิดขึ้น
20/08/2566
ทำกรรมฐานตอนตี ๕ เดินครึ่งชม.ต่อนั่ง ๑ ชม.
เมื่อคืนเขาเดินจงกรม ๑ ชม.ครึ่ง เดินระยะที่ ๖ ต่อ นั่ง ๑ ชม.ครึ่ง
ออกจากกรรมฐานเที่ยงคืนครึ่ง
21/08/2566
ตื่นตี ๔ ครึ่ง ทำกรรมฐาน เดินครึ่งชม. ต่อนั่ง ๑ ชม.กว่า ไม่ตั้งเวลา
ที่ไม่ตั้งเวลา เพราะตั้งนาฬิกาตอนเช้าไว้แล้ว เขานั่ง ๑ ชม.ครึ่ง
เมื่อคืน เขาเริ่มตั้งนาฬิกาตามที่เราบอกไว้
เดินระยะที่ ๑ หนึ่งชม. นั่ง ๒ ชม.
เราบอกว่าการตั้งเวลา ต้องฝึกที่จะควบคุมจิต
สิ่งที่ทำไว้จะสะสมไว้ในจิต จิตจะจดจำได้
จะทำให้เวลาปรับอินทรีย์จะทำง่าย
ที่เขาตั้งเวลาที่สองชม.
จากที่เขาสังเกตุตัวเอง จะเห็นว่าหากนั่ง ๑ ชม. สภาวะยังคงไปต่อได้อีก
จึงตั้งนาฬิกาที่ ๒ ชม.
เขาบอกว่าสังเกตุมา พอใกล้เวลาที่ตั้งไว้ เวทนาสุดๆเลย
เมื่อวาน เขาไม่ได้ตั้งเวลา พอดูเวลา เขานั่งไม่ถึง ๒ ชม.ขาด ๒ นาที
เราบอกว่าตั้งนาฬิกานะดีแล้ว ทำให้รู้ว่าความอดทนมีแค่ไหน
แล้วเขาเลือกทางที่เราอธิบายไว้เรื่องจากรูปฌานไปสู่อรูปฌาน
หากทำได้ ให้จิตเสพสภาวะที่มีเกิดขึ้นเนืองๆ
พอนั่ง หลับตาปั๊บ แสงสว่างเจิดจ้าจะมีเกิดขึ้นทันทีและใจที่รู้อยู่
แล้วมีความรู้เห็นแปลกๆมีเกิดขึ้น เช่น ถอดกายทิพย์ รู้ใจของคนอื่น
เรียกว่าฤทธิ์ทางใจ
เมื่อมีสภาวะมีเกิดขึ้นแล้ว ค่อยมาปรับอินทรีย์กันใหม่
ให้เดินมากกว่านั่ง จนกว่าทุกครั้งที่นั่ง
หลับตาลง แสงสว่างเจิดจ้า และกายที่นั่งอยู่
หากเป็นแบบนี้ ตัวสภาวะจะดำเนินของตัวสภาวะเอง
คือเมื่อกายมี เวทนาย่อมมี
จะเจอเวทนากล้าอีก กำหนดตามจริง
ที่ยังมีเวทนานี้มีเกิดขึ้นอีก ทั้งๆที่ผ่านเวทนากล้ามาได้แล้ว
เราบอกว่าตราบใดยังมีกาย เวทนาย่อมมี เป็นเรื่องปกติ
ที่โอภาสหรือแสงสว่างน่ะ เกิดจากกำลังของสมาธิที่มีเกิดขึ้น
ทีนี้ที่เราบอกว่าตอนที่โคตรภูญาณมีเกิดขึ้น แต่เขาเข้าไปไม่ได้
เกิดจากกำลังสมาธิยังน้อย
ส่วนสภาวะโคตรภูญาณจะมีเกิดขึ้นตอนไหน คาดเดาไม่ได้หรอก
เขาบอกว่าเข้าใจละ
22/08/2566
ตื่นก่อนตี ๕ เดิน ครึ่งชม. นั่ง ๑ ชม.กว่า
เลิกทำกรรมฐาน 06.30 ตามนาฬิกาที่ตั้งไว้ตอนเช้า วันทำงาน
เขาให้ดูนาฬิกาที่แสดงค่าการนอนทั้งๆที่เขานอน ๓ ชม.
แต่นาฬิกแสดงไว้ว่า เขาหลับดี 7.23 ชม.
ทั้งที่เขานอนตอนตี ๑ กว่าๆ ตื่นใกล้ตี ๕ เท่ากับนอน ๓ ชม. เหมือนเมื่อวาน
เราบอกว่า นาฬิกาจะจับอาการดีพหรืออัปนาสมาธิที่มีเกิดขึ้น
เขาเริ่มเดินจงกรมเกือบสี่ทุ่ม เดิน ๑ ชม. ต่อนั่ง ๒ ชม.
นาฬิกาโชว์เขานอนแล้ว ทั้งๆที่เขาทำกรรมฐานอยู่
เราบอกว่าเขา ตั้งใจทำกรรมฐาน ทั้งเช้าและกลางคืน
จะทำให้อินทรีย์ ๕ แก่กล้า กำลังสมาธิจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ
เขาเล่าเรื่องเวทนากล้า เขารู้สึกตัวตลอด แต่อดทนอดกลั้น ไม่ขยับตัว
ตอนเหวี่ยงมีเกิดขึ้น ไปบังคับไม่ได้หรอก
หากกำหนดรู้หนอที่เคยทำ สภาวะเหวี่ยงจะหายไปเอง
เขาจึงเลือกกำหนดตามจริง ให้ไปถึงที่สุด
ตอนนี้อาการเหวี่ยงเริ่มน้อยลง คือมีอยู่ แต่สั้นลง
เวทนาหนักขึ้นๆ
เขาพูดเรื่องสติปัฏฐาน ๔ ใครเป็นคนบัญญัติไว้
เราบอกว่าพระพุทธเจ้าสิ พระองค์ทรงตรัสรู้ด้วยตนพระองค์เอง
เขาบอกว่าอัศจรรย์นะ กาย เวทนา จิต ธรรม
เมื่อมีกาย เวทนาย่อมมี จิต ธรรม
เราบอกว่าตั้งใจทำกรรมฐาน ทำให้แจ่มแจ้งสภาวะที่มีเกิดขึ้นตามจริง
ส่วนปริยัติ ผู้ที่อธิบายรู้แค่ไหน ย่อมอธิบายได้แค่นั้น
เขาบอกว่าคนที่หลงมีเกิดขึ้นแบบนี้เอง
เราบอกว่า เป็นเรื่องกรรมที่เคยสร้างร่วมกันไว้ทั้งสองฝ่าย
14 สิงหาคม
เล่าเรื่องสภาวะของเจ้านาย
เรื่องการเปลี่ยนแปลงของเจ้านายเคยเล่าไว้
ก่อนหน้าเขาได้ฟังพระรูปหนึ่ง แรกๆเขาชอบ
พอฟังบ่อยๆ เขาบอกว่ามีแต่เรื่องสมาธิ เขาไม่ชอบล่ะ
แล้วที่ทำให้เขาเกิดการบันดาลใจให้ตั้งใจปฏิบัติใหม่
หลังจากที่ไม่ได้ทำมาหลายปี ตามที่เคยเล่าไว้แล้ว
เขาได้อ่านสภาวะของคนใหม่ที่มาหาเรา ได้ส่งสภาวะมาให้เราดู
เขาเห็นว่าคนนี้ปฏิบัติก่อนนอน และตอนตี ๔ ทุกวัน
ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ ประกอบกับได้ฟังที่เราพูดเรื่องผลของกรรมฐาน
เขาได้ฟังบ่อยมากๆ เวลาเราเล่าเรื่องสภาวะต่างๆ
ซึ่งหลายสภาวะมีเกิดขึ้นขณะเขาทำกรรมฐาน
แม้เขาจะกลับมาเริ่มปฏิบัติใหม่ สภาวะที่เคยทำไว้ไม่หายไป
เขาเดินจงกรม ๑ ชม. นั่งไม่ตั้งนาฬิกา
เวลาเขาเลิกทำกรรมฐาน เขานั่งได้ครบ ๑ ชม. โดยไม่ต้องตั้งเวลา
ถามเขาเรื่องการเดินจงกรม
เขาเล่าให้ฟัง บางครั้งก่อนเดิน จะบริกรรมยืนหนอ ๕ ครั้ง(บริกรรมปากเปล่า)
บางครั้งไม่ต้องบริกรรมรู้หนอ คือเดินระยะที่ ๖ ก่อน แล้วค่อยมาปรับ
เวลากลับ บางครั้งจะบริกรรมกลับหนอ บางครั้งไม่ใช้คำบริกรรม
เราบอกว่า อ้อ เข้าใจล่ะ เกิดจากเขาเคยปฏิบัติมาก่อน แล้วทิ้งไป
พอกลับมาปฏิบัติใหม่ ไม่ต้องทำตามรูปแบบเหมือนครั้งแรก
สามารถปรับการปฏิบัติด้วยตน เราแค่ดูสภาวะของที่เขาเล่าให้ฟัง
จะได้รู้ว่าสภาวะของเขาอยู่ตรงไหน
เราถามเขาว่า เวลานั่งใช้คำบริกรรมหรือใช้วิธีกำหนดแบบไหน
เขาบอกว่า ไม่ได้ใช้คำบริกรรม แค่นั่ง
เพราะเวลาเขาเดินจงกรม เขาเดินระยะที่ ๖ ไม่ใช้คำบริกรรม
จะเป็นสมาธิตั้งแต่เดินจงกรม
พอมานั่งต่อ จิตจะเป็นสมาธิต่อเนื่อง
อาการเวลาเป็นสมาธิจะรู้สึกเย็นไปทั้งตัว
เขาบอกว่า แค่รู้ว่านั่ง รู้ไปเรื่อยๆ
ไม่มีเจาะจงว่าจะรู้ลมหายใจหรือไปเจาะจงรู้ท้องพองยุบ
สภาวะอะไรมีเกิดขึ้น จะแค่รู้
ถามเขาว่ามีความคิดเกิดขึ้นไหม
เขาบอกว่ามี แต่หายไปเอง เกิดสั้นๆ เขาไม่ได้สนใจ
เวลาเวทนามีเกิดขึ้น เป็นเหน็บชา ปวดขา
ปีติเกิด อาการสภาวะปีติที่มีเกิดขึ้นของเขา
เราบอกว่าเป็น เรียกว่าโอกกันติกาปีติ
พอปีติเกิด เวทนาหนักที่เกิดขึ้นจะหายไป
จะเป็นแบบนี้เวลาเวทนาเกิดขึ้น
เมื่อคืน เขานอนตั้งแต่น่าจะหกโมงเย็น เขาตื่นมาตอนตี ๕
มาเปิดแอร์ ความเย็นจะทำให้จิตเป็นสมาธิง่าย
เขาเดิน ๑ ชม. ต่อนั่ง ๑ ชม.
ตอนนี้สภาวะของเขาจะเป็นแบบนี้
อ้อ เขาเล่าให้ฟัง
เขาบอกว่าเวลากายหายไป จะมีความมืดเกิดขึ้นก่อน
แล้วจะมีแสงสว่างเหมือนฟ้าแล่บ ๒ ครั้ง เกิดแป๊บเดียว
ตอนนี้สภาวะของเขาจะเป็นแบบนี้
จะเล่าสภาวะการปฏิบัติของเขาในอดีตให้ฟัง
สมัยก่อน เราไปวัดบ่อย พาเขาไปด้วย ไปเข้ากรรมฐาน ๓ วัน
ที่ศูนย์วิปัสสนานานาธาตุ เป็นห้องแอร์ เป็นสัปปายะของเราและเขา
บางครั้งเขามีวันพักร้อน จะลาพักร้อนไปกับเรา
เข้ากรรมฐาน ๕ วัน ที่ธรรมโมลี เขาใหญ่
ที่นั้นหน้าหนาว จะเป็นสัปปายะต่อการปฏิบัติ อาการเย็นดีมากๆ
ที่เขาปฏิบัติก้าวหน้าเพราะเหตุนี้แหละ
ปฏิบัติจนถึงมีสภาวะจิตสับปะหงกกิดขึ้น
คำว่าจิตสัปหงก
เวลาอาการที่มีเกิดขึ้นจะมีแสงสว่าง เหมือนจะงุบลงไป
แต่ไม่มีสัปหงกที่หัว แต่มีเกิดขึ้นภายใน
เราเรียกเองว่าจิตสัปหงก คือไม่ได้เกิดที่กาย แต่มีเกิดขึ้นข้างใน
สามารถนับจำนวนได้ว่ามีเกิดขึ้นกี่ครั้ง
แค่จะบอกว่า สำหรับคนที่ยังบังคับตัวเองให้ทำกรรมฐานไม่ได้
ควรจะเข้ารับกรรมฐานที่วัดใกล้บ้าน
หรือวัดที่มีสัปปายะในการปฏิบัติของตน
จะ ๓ วัน ๕ วัน ๗ วัน จะทำให้สภาวะก้าวหน้า
เพราะปฏิบัติหลายรอบในหนึ่งวัน
หากอยู่บ้าน จะไม่สามารถปฏิบัติหลายรอบได้
เกิดจากมีข้ออ้างให้กับตัวเอง
ทำให้ไม่สามารถทำหลายรอบเหมือนอยู่วัด
อันนี้พูดได้เพราะเจอกับตัวเอง
กว่าที่เราจะมีสภาวะจนปัจจุบันนี้ได้ เราก็ปฏิบัติแบบนั้นมาก่อน
เมื่อมีความมั่นคงทางใจเรื่องการปฏิบัติได้แล้ว ไม่ได้ไปวัดอีก
ทำกรรมฐานที่บ้าน ทำหลายรอบติดต่อกัน
ในวันหนึ่งทำหลายรอบทำทั้งวันจนถึงเช้า ไปทำงานก็ทำอีก
เพราะห้องทำงาน สัปปายะเหมาะกับการปฏิบัติ
กลายเป็นปฏิบัติ ๒๔ ชม.
เล่าสภาวะของเจ้านาย 16/08 /2566
เล่าเรื่องเหตุปัจจัยก่อน
ทำไมบางคนได้ฟังของใครพูดเรื่องสภาวะทำให้เกิดความสนใจ ชอบใจ
ทำไมบางคนฟังแล้วไม่ชอบใจ
ทำไมบางคนได้ฟังแล้วเฉยๆ
เกิดจากกรรมที่เคยกระทำไว้ร่วมกันในอดีตชาติ ทั้งคนรู้จักและคนไม่รู้จัก
การที่หลายๆคนเริ่มต้นการสู่เส้นนี้ ล้วนเกิดจากกรรมที่เคยกระทำไว้ในอดีต
มาในชาติปัจุบัน ทำให้เกิดความสนใจอีกครั้ง
ส่วนชอบใจหรือไม่ชอบใจหรือเฉยๆ
หากเคยสร้างกรรมร่วมกัน ทำให้เกิดความชอบใจ
มาปัจจุบันมาเจอกัน แม้จะไม่รู้จักกันก็ตาม
พอฟัง ทำให้เกิดความชอบใจ
กรณีไม่ชอบใจก็เช่นกัน
กรณีที่ฟังแล้วเฉยๆ
เกิดจากไม่เคยสร้างกรรมมาร่วมกันที่ทำให้เกิดความชอบใจและไม่ชอบใจ
ตัวสภาวะมีแค่นี้
กรณีสภาวะของเจ้านายเมื่อได้ฟังสิ่งที่ตนชอบ
แรกๆย่อมสนใจ อันนี้เป็นเรื่องปกติ สัญญาก่ายังไม่เกิด
เมื่อสัญญาเกาผุดขึ้นมา
เพราะสิ่งเหล่านี้มีเกิดขึ้นในตน
จากชอบใจ กลายเป็นไม่สนใจอีก
ก็เหมือนอาหารที่ดูน่ากิน น่าอร่อย
ตอนหิว จะรู้สึกอร่อย อยากกินอีก
พอกินอีกหลายครั้ง จากอร่อย กลายเป็นอาหารธรรมดา ไม่อร่อยอีก
สภาวะเรื่องการปฏิบัติจะเป็นแบบนี้แหละ
จะเริ่มจากความไม่รู้ก่อน พอได้สัมผัสด้วยตน
พอได้ฟังสิ่งที่ตนสัมผัสด้วยตน แล้วไม่มีอะไรที่แตกต่างไปอีก
จึงทำให้ไม่สนใจอีก ต่อให้ตั้งค่าหัวข้อดูน่าไปฟัง
เมื่อรู้แล้ว รู้ชัดด้วยตนแล้ว จะไม่ไปฟังอีก
การฟังธรรมก็เช่นกัน พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมตั้งแต่แรกเริ่ม
จากฟังง่าย ไม่ต้องตีความ อ่านแล้วดูง่ายๆ แค่นี้เองเหรอ
พอฟังธรรมสัตบุรุษ จะเพิ่มรายละเอียดลงไปอีก
จะเพิ่มเรื่องการฝืนใจ ความอดทนอดกลั้น
ที่เกิดจากความศรัทธามีเกิดขึ้น ย่อมทำให้เกิดความฝืนใจ
พอฟังธรรมสัปบุรุษ จะละเอียดขึ้นไป จะเริ่มเข้าสู่ปริยัติ
เริ่มเป็นคำเรียกเฉพาะที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้
ต้องตั้งใจมากกว่าเดิม มีพิจรณามากขึ้น
เพราะเข้าสู่เรื่องปัญญา แม้จะเกิดจากฟัง อ่าน การศึกษา ท่องจำ ก็ตาม
สิ่งเหล่านี้เป็นการกระทำเพื่อดับทุกข์คือดับตัณหา
เขาเดินจงกรมระยะที่ ๖ เป็นเวลา ๑ ชม.
กำหนดตามจริง ไม่ใช้คำบริกรรม
ต่อนั่ง ๑ ชม. ไม่ตั้งเวลา
ตอนเขานั่ง เราเห็นอาการเวลาที่เคยดูพวกร่างทรง
หากเราไม่รู้มาก่อน จะคิดว่าเขาจะเป็นร่างทรง
จริงๆแล้วเป็นอาการปีติ โยกตัว สั่น หมุนหัว ตัวสั่นพั่บๆ
พอสภาวะนั้นมีเกิดขึ้นเสร็จ เข้าสู่ความสงบ
พอเขานั่งเสร็จ เขาลุกขึ้นขาเป็นเหน็บ
เราถามว่าตอนปีตีเกิดทำให้ไม่กำหนดรู้หนอ สิ่งเหล่านี่จะหยุด
เขาบอกว่า แค่อยากรู้ว่าจะเกิดนานแค่ไหน จึงไม่กำหนด
เรา ถามเดินจงกรม
เขาบอกว่าเป็นสมาธิมีตั้งแต่เดิน สุขเกิดบ่อย
พอนั่งปีติจึงเกิดทันที สุขเกิด แล้วสงบ
วันนี้จิตมีพิจรณาขันธ์ ๕
เราถามว่าพิจรณาว่าอะไร
เขาบอกว่ารูป เมื่อรูปมีเกิดขึ้น เวทนาย่อมมี
เวทนาที่ขา พอเวทนาเกิดขึ้นปีติจะเกิด ทำให้เวทนาจะหายไป
ไปพิจรณาสัญญา สิ่งที่ฟังมา ฟังเราพูดมาเรื่อยๆ จะจดจำ
สังขาร แต่ยังไม่รู้ว่าคืออะไร
เราบอกว่า สังขาร เป็นการปรุงแต่ง ตัวสภาวะมีแค่นี้
เราบอกว่าก็เหมือนที่เขาฟังพระ แล้วเขาชอบ แล้วคิดว่านี่คืออาหารโอชะ
พอฟังบ่อยๆ จากอาหารโอชะ
กลายเป็นอาหารธรรมดาไม่น่าสนใจ จึงไม่ฟังอีก
ก็ผู้พูด รู้แค่ไหนย่อมพูดแค่นั้น พูดแต่เรื่องสมาธิ
ส่วนเขาปฏิบัติอยู่แล้ว แค่หยุดปฏิบัติมานาน
พอเริ่มต้นใหม่ แล้วไปฟังพระพูด ที่คิดว่าเป็นแบบนั้น ยังมองไม่เห็น
พอมาปฏิบัติใหม่ สภาวะเก่าๆจะมีเกิดขึ้นอีก
สภาวะไม่แตกต่างที่พระพูด
เหตุนี้ทำให้เขาไม่ฟังอีก
เขาพยักหน้า
เขาบอกว่าปฏิบัติรู้ด้วยตนเองดีกว่า ฟังแล้วเรื่องเดิมๆ มีแต่เรื่องสมาธิ
เราบอกว่าเขาติดเสียง ชอบสำนวนคำพูด เรียกว่าหลงเสียง
ที่หลุดจากเสียงที่ได้ฟัง
เพราะสิ่งเหล่านี้มีเกิดขึ้นการปฏิบัติของเขา ไม่จำเป็นต้องฟังอีก
เขาพยักหน้า
.
ที่เจ้านายเลิกสนใจอีก ไม่มีอะไรหรอก
พระพูดแต่เรื่องลมหายใจ จดจ่อลมหายใจ
เรื่องสมาธิ ที่มีหลายๆคนนำมาพูดกัน
ส่วนเจ้านาย เขาปฏิบัติเรียกว่าวิปัสสนา แค่รู้
ไม่จดจ่อทั้งลมหายใจ ทั้งพองยุบ
อาการตรงไหนเกิด จะแค่รู้สภาวะที่มีเกิดขึ้น
ที่เขาทำได้
ข้อแรก เขาเป็นคนที่มีนิวรณ์น้อย ไม่จำเป็นต้องใช้ให้จิตเกาะ
เดินจงกรม ความคิดมีเกิดขึ้น
เขายังคงรู้การเคลื่อนไหวของเท้า
ความคิดหายไปเอง
สมาธิมีเกิดขึ้นขณะเดินจงกรม
ข้อสอง พอมานั่งต่อ จิตยังคงเป็นสมาธิต่อเนื่อง
ความคิดเกิดขึ้นแป๊บเดียว หายไปเอง เขาแค่รู้ว่ามีเกิดขึ้น
สุขมาเกิดแทน พอเวทนาเกิดขึ้น เกิดมากขึ้น ปีติเกิด เวทนาหายไป
สภาวะของเขาจะเป็นแบบนี้
ตอนที่ทำเขาว่าปฏิบัติแบบไหน เวลานั่ง
เขาบอกว่านั่งเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร แค่รู้สภาวะที่มีเกิดขึ้นตามจริง
เราจะอธิบายให้ฟังว่าทำไมเขาทำแบบนี้ได้
ข้อแรก เขาเป็นคนที่มีนิวรณ์น้อย
ข้อสอง เขาเดินจงกรมก่อนนั่ง ขณะเดินจงกรม เขาเป็นสมาธิ
พอนั่ง สมาธิยังคงเป็นต่อเนื่อง สภาวะของเขาจึงแค่รู้
ไม่ต้องทำเหมือนที่คนอื่นๆทำกัน
ไม่ต้องไปพยายามรู้ลมหายใจ
ไม่ต้องจดจ่อรู้ลมหายใจหรือท้องพองยุบ แค่รู้
เวทนามีเกิดขึ้น ปีติเกิด ตัดเวทนาที่มีเกิดขึ้น สุขเกิดต่อ เข้าสู่ความสงบ
คนที่มีสัมปชัญญะมีเกิดขึ้นตามจริง
เวลาเดินจงกรม กำหนดยืนหนอ เดินจงกรม จะรู้ชัดเท้าในแต่ละขณะ
พอมานั่ง เวลาเป็นสมาธิ จะรู้ชัดเท้าเหมือนเดินจงกรม
เวลานอน จะรู้ชัดเท้าเหมือนเดินจงกรม
รู้ลมหายใจ รู้ท้องพองยุบ
เราบอกว่าการที่มีความเห็นแตกต่างกัน
เกิดจากการฝึกกายและจิต
หากไม่เคยฝึก จะมีความรู้เหล่านี้มีเกิดขึ้นในตนหรอก
ต่อให้อธิบายก็ไม่สามารถอธิบายได้หรอกเพราะไม่มีเกิดขึ้นในตน