2 กย. 64
ในดีมีเสีย ในเสียมีดี
มีแต่เรื่องของเหตุปัจจัย
ทำไมเราต้องพิการทางสมอง
เกิดจากในอดีต ความไม่รู้ทำให้ใช้ชีวิตทางโลก เพลิดเพลินทางอายตนะ
ไม่รู้ว่า หากเราตั้งใจทำความเพียรต่อเนื่อง
จะมีสภาวะอีกหลายสภาวะที่เรายังไม่เคยรู้มาก่อน จะปรากฏ
ทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ แล้วไม่ต้องพิการทางสมองที่เป็นปัจจุบันนี้
กรรมและผลของกรรม ละเอียดยิ่งนัก
ไม่สามารถรู้ได้ว่ากรรมตัวไหน ส่งให้ผลเกิดก่อน
ถ้าย้อนกลับเวลาไปได้ จะไม่ใช้ชีวิตเหมือนสมัยก่อนโน้น
เพราะมันย้อนไปไม่ได้ จึงนำเรื่องประสพการณ์การปฏิบัติมาเขียนเรื่อยๆ
เมื่อผู้ใดที่เคยสร้างกรรมไว้กับเรามาก่อนในอดีต
มาในชาตินี้ จะทำให้เขาเหล่านั้น ดำเนินชีวิตตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้
เราเป็นเพียงผู้นำพระธรรมต่างๆ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้
ซึ่งเป็นสิ่งที่เราได้ประสพด้วยตัวเองจากการทำกรรมฐาน
และสิ่งที่รู้เห็น ผลของการแจ้งอริยสัจ ๔
ต่อให้เป็นสมอง ความจำเสื่อม ธรรมะอัศจรรย์ยิ่งนัก
ความจำเสื่อม เสื่อมสมมุติ คำเรียกต่างๆ จำไม่ได้
จำได้ว่า พอความจำเริ่มกลับมา อริยสัจ ๔ เป็นสิ่งแรกที่ผุดขึ้นมา
นับว่าเคยสร้างกรรมไว้ดี มีมาก จึงทำให้เจอสัตบุรุษ เชื่อและปฏิบัติตาม
เมื่อเชื่อกรรมและผลของกรรม ตามที่เทศนาท่านพูดเรื่องกรรมและผลของกรรม ที่ท่านประสพเจอกับตัวเอง แล้วนำมาสอนทุกคน
เมื่อทำตาม ทำให้ต้องเจอทุกขเวทนาทางใจมากมาย แต่อดทน อดกลั้น ตามคำสอน
น้ำตานองหน้าบ่อยๆ ไหว้พระก็น้ำตาร่วง เดินจงกรม น้ำตาร่วง
ชีวิตทำไมต้องเป็นแบบนี้ แมร่งทุกข์สุดๆ ทุกข์ก็อดทน เพราะเชื่อว่า แล้วทุกสิ่งจะผ่านไปได้
จำได้ว่า สมัยนั้นมีความสงสัยว่า ทำไมเราต้องอดทนให้คนอื่นว่า ถูกด่าทอ
ถูกใส่ร้าย โดนสารพัด แต่อดทน เพราะเชื่อคำสอนจากสัตบุรุษ ที่เทศนาเนืองว่า แล้วจะผ่านไปได้ ให้อดทน อย่าตามใจ
ตอนนั้นไม่เข้าใจ แต่เชื่อ ตั้งใจทำกรรมฐาน ดึกๆดื่น ยังเดินจงกรม สลับการนั่ง
บางคืนฟุบไปกับพื้น รู้สึกตัวเช้า ยังฟุบอยู่กับพื้น เหตุนี้ ทำให้เราเป็นคนมีสมาธิมาก
ปริยัติไม่รู้อะไรสักอย่าง อาศัยศรัทธา ตั้งใจทำกรรมฐาน กว่าจะทำได้ เดิน 1 ชม. ต่อนั่ง 1 ชม. ตามพื้นฐานที่ท่านสอนไว้
แรกๆทำได้ยากจริงๆ เหมือนเด็กฝึกเดิน เดินๆหยุดๆ ทำมั่ง ไม่ทำมั่ง
พอเจอทุกข์ กลับมาปฏิบัติอีก เริ่มต้นใหม่ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ไม่ออกจากเส้นทางนี้
หลายปีกว่าจะมั่นคง ไม่ทำๆหยุดๆอีก เกิดจากความไม่รู้เรื่องปริยัติ ไม่รู้เรื่องอินทรีย์ ๕
ไม่รู้ว่าให้เริ่มจากทีละน้อย แล้วสะสม ให้ทำต่อเนื่อง จนกว่าสามารถเดิน 1 ชม. ต่อนั่ง 1 ชม.
สภาวะต่างๆจะดำเนินตามตัวสภาวะของมันเอง
เมื่อทำได้ จะไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไงอีก
เหตุมี ผลย่อมมี
เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม จะเจอบุคคลที่มาแนะนำให้เราได้ไปต่อ ทำให้ไม่ติดสิ่งที่รู้เห็นเกิดจากสมาธิ
ต่อมา จะเดิน จะนั่ง โอภาสสว่าง สภาวะส่วนมากไม่รู้กาย
ท่านสอนว่า ให้เดินมากกว่านั่ง จนกว่าสามารถรู้กายได้
ท่านบอกว่าแล้วจะรู้เอง อย่าไปชอบ อย่าไปชัง ให้รู้ตามความเป็นจริง
เราก็ทำตามที่ท่านบอก แล้วสภาวะต่างๆจะดำเนินต่อเนื่อง
การเห็นความเกิดดับในรูปนามตามความเป็นจริง
สมัยก่อน ไม่รู้จักคำเรียกเหล่านี้มาก่อน ไม่รู้สักอย่างเดียว
สิ่งที่เราเขียนนั้นเกิดจากการทำกรรมฐาน
เมื่อมีเหตุให้ศึกษาพระธรรมต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้
จึงทำให้เรารู้ว่า สภาวะที่มีเกิดขึ้นในแต่ละขณะนั้นๆ มีคำเรียก
เพียงแต่สมัยนั้น เราไม่รู้ ปฏิบัติผ่านไปแล้ว จึงจะรู้ เพราะรู้ด้วยตนเอง ไม่ได้เกิดจากการท่องจำมา
8 กันยายน
ตอนนี้ความจำแย่ลง หมายถึงตัวหนังสือ
นับเลขไม่ถึง 20
เขียนตัวเลข ตามลำดับ เขียนผิด
เป็นเฉพาะทางโลกสมมุติ
ขนาดยากิน ยังต้องเขียนวันที่กำกับ ไม่งั้นจะลืมกินยาว่ากินหรือยังไม่ได้กิน จะจำไม่ได้เลย
วันที่ไหร่ ไม่รู้เลย จำไม่ได้ เปิดโบ๊ตบุ๊ค จึงจะรู้ว่าวันนี้วันที่เท่าไหร่ เดือนอะไร พศ.ยังลืมเลย
.
ทางธรรมปกติ ความรู้ความเห็น ละเอียดมากขึ้น
ถ้าไม่มีพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้
ความรู้ความเห็นคงรู้ดับเฉพาะตน
การเขียน แรกๆเป็นดับเฉพาะตน
มันจะรู้แบบนั้นก่อน
พอเขียนมาเรื่อยๆ จากเขียนมาก จะเขียนน้อยลง กระชับมากขึ้น เลือกที่สำคัญ
แบบหากปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ ไม่หลงทาง ไม่ติดอุปกิเลส เพราะความรู้ความเห็นจะเป็นสเตป
คือต้องศึกษาที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้เป็นหลัก ต้องปฏิบัติด้วย
ถ้าไม่ได้ปฏิบัติ จะไม่เข้าใจตัวสภาวะต่างๆที่มีเกิดขึ้น
.
มีอาการของหงุดหงิด เกิดจากสมองกระทบกระเทือน ประสาทอัตโนมัติเสียหาย
บางครั้งมีความรู้สึกตัวปกติ บางครั้งเหมือนคนบ้า หงุดหงิด รำคาญตัวเอง แบบนึกคำเรียกไม่ออก
ขึ้นรถสองแถว จะกดกริ่งกดไม่ได้เพราะนึกชื่อไม่ออก บังคับตัวเองให้กดกริ่ง ทำไม่ได้ มองภายนอกสักแต่ว่ามีเกิดขึ้น
ตั้งแต่มีโควิด อาการทางสมองแย่ลง เห็นได้ชัด แบบรู้ด้วยตัวเอง
เมื่อก่อน เจ้านายยังทำงานปกติ
อาการเรายังปกติ เพราะทำสมาธิได้ทุกวัน
ตั้งแต่เจ้านายทำงานที่บ้าน เขากินข้าวไม่เป็นเวลา เขากินยาก
ปกติเราทำสมาธิได้บ่อย กลายเป็นต้องทำกับข้าวให้เขาไม่เป็นเวลา
ทำสมาธิเหรอ ไม่แน่นอน บางวันไม่ได้
เหตุนี้เมื่อสมาธิไม่มาก ทำให้รู้ชัดผัสสะชัด เวทนาโดยเฉพาะยินร้าย ปรากฏ
หากเราไม่เคยศึกษาพระธรรมมาก่อน จะงงตัวเองว่าทำไมเป็นแบบนี้
มันไม่ใช่แค่เรื่องสมาธิ มีเรื่องอาการทางสมองที่มีเกิดขึ้นกำเริบเป็นช่วงๆ
เหตุนี้ทำให้เรารำคาญตัวเองเกิดขึ้นก่อน
ต่อมากลายเป็นหงุดหงิด มันจะมีเกิดขึ้นแค่นี้แล้วคลายหายไปเอง ไม่ถึงขั้นสร้างมโนกรรมมีเกิดขึ้น
นับว่าเจ้านายเขาทำกรรมฐานมากับเราตั้งแต่แรก มีอะไรเราเล่าให้เขาฟังทุกเรื่อง สภาวะอะไรก็เล่าให้ฟัง
ที่นี้เวลาอาการป่วยทางสมองเกิดขึ้น ทำให้เขารู้ว่าควรทำตัวยังไงเมื่อเห้นเราอาจพูดไม่ถูกหูเขา
แบบเราไม่ได้เจตนา แต่บังคับตัวเองไม่ได้
เมื่อเขาเข้าใจ เขาจะไม่ยุ่ง
เดี่ยวอาการเราจะหายไปเอง กลับมาพูดกับเขาได้ปกติ
ถ้าถามว่า รู้สึกทุกข์มั๊ย ที่มีอาการแบบนี้
คำตอบ ไม่มีเลย บังคับมันไม่ได้ มันจะเกิดก็เกิด มันจะหายไปเอง
ก็เหมือนเรื่องการจะกดกริ่งในรถสองแถว อาการแบบนั้นเลย ไม่สามารถบังคับตัวเองได้ รอสักพัก จึงจะกลับมารู้สึกตัวได้
ผู้โดยสารบางคน เขาจะถามว่า จะลงรถเหรอ เราฟังรู้ แต่จะกดเองไม่ได้ เราพยักหน้า เขาจึงกดกริ่งให้ บางครั้งฟังรู้ แต่ทำอะไรไม่ได้ ก็มี
คำว่ากินยาก
หมายถึง เจ้านายกินข้าวสามมื้อ แล้วกับข้าว เขาไม่ชอบกับข้าวเก่า
ยิ่งช่วงนี้ แม้เขาจะกินกับข้าวเก่าได้ก็ตาม แต่ยังต้องทำอาหารทุกวัน
ส่วนเรากินข้าวหลักหนึ่งมื้อ อะไรก็ได้ กับข้าวเก่าก็กินได้ กินข้าวเพื่อไม่ให้กินพร่ำเพรื่อ
มื้ออื่นๆส่วนมากน้ำดื่ม ผลไม้ เราต้องควบคุมเรื่องอาหาร
เพราะโฮโมนยังไม่ปกติ หากกินข้าวบ่อย จะทำให้นน.ขึ้นง่าย
11 กย. 64
หากไม่เขียนชื่อพระสูตร
ทำให้ไม่รู้ว่าเป็นพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้
ประมาณว่า มีพระธรรมผุดขึ้นมา
ก็ว่าเคยอ่านผ่านตา แล้วเขียนไว้ด้วย
แต่นึกไม่ออก
เมื่อนึกไม่ออก พยายามจะหาว่าเขียนไว้ตรงไหน
ตอนนั้นหาไม่เจอ ทำให้เกิดรำคาญ แบบสมองทำให้เป็นแบบนี้ ความจำไม่ดี
.
ต่อมา ทำให้เกิดความหงุดหงิด เมื่อผัสสะมากระทบ
แบบกำลังพยายามหาพระสูตรนั้น แต่หาไม่เจอ
มาเจอเจ้านาย จะเอาโน้่นนี่ จึงทำให้เราหงุดหงิด
เพียงแค่รู้เฉพาะตน เขาไม่รู้หรอก
ภายหลังจึงอธิบายให้เขาฟัง เกี่ยวกับสภาวะที่มีเกิดขึ้น
เขาบอกว่า น่าจะบอกกับเขาได้ว่า กำลังหาพระสูตรอยู่ เขาจะไม่ยุ่งด้วย
เราบอกว่า ตามความเป็นจริง ควรจะบอกกับเขาได้ แต่อาการสมองไม่สั่งการว่าพูดไปเลย เขาจะได้รู้
แต่ทำไม่ได้ มันไม่นึกอะไรทั้งสิ้น จะรู้เพียงผัสสะ เวทนา ที่มีเกิดขึ้น รู้แค่นั้น ไม่มีมโนกรรม แล้วจะคายหายไปเอง
เราเพียงเล่าสภาวะให้เขาฟัง
เมื่อมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นอีก
ถึงแม้เราสามารถบอกเขาได้ ตามที่เขาพูดไว้
ความจำตรงนั้น จำไม่ได้ แบบจำไม่ได้เลย
มันจะรู้ผัสสะ เวทนา แค่นั้น แล้วคลายหายไปเอง
มาตอนหลัง ได้บอกกับเขาว่า
อาการที่เราเป็นอยู่นั้น ทำให้เข้าใจมากขึ้น
ในพระธรรมต่างๆที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้
ผู้ปฏิบัติเมื่อเห็นทุกข์ พยามปฏิบัติเพื่อละอุปาทานขันธ์ ๕
เพื่อพยายามละ พยามอย่างหนัก สักวันย่อมสำเร็จ
เมื่อทำได้ จะมีสภาวะผัสสะ เวทนา ที่มีเกิดขึ้น
แบบเราแบบงงๆ ทำไมยังมีความรู้สึกแบบนี้
พอได้อ่านที่พระะรรมที่พระองค์ทรงตรัสไว้
อ่อ เกิดจากอินทรีย์ ๕
คือหากกำลังสมาธิของเราเป็นอรูปฌาน
ความรู้สึกเหล่านี้จะไม่มีเกิดขึ้น
เมื่อรู้แล้ว ไม่สงสัยแล้วว่า ทำไมอาการความรู้สึกเหล่านี้จึงมีเกิดบางครั้ง
เพียงแต่ความรู้สึกเหล่านี้ ไม่สามารถให้เราคิดสร้างกรรมให้เกิดภพชาติการเกิดขึ้นมาอีก
ไม่ต้องใช้ความอดทน ไม่ต้องทำอะไรเลย มีเกิด มันก็คลายดับหายไปเอง
ตรงนี้ ถ้าเขียนแบบนี้ ทำให้ไม่รู้ว่า นำมาจากพระสูตรไหน
คำว่า ธรรมฐิติญาณเกิดก่อน
ได้แก่
ปฐมญาณ (อนัญญตัญญัสสามิตินทรีย์)
ย่อมเกิดขึ้นในเพราะโสดาปัตติมรรค
อันเป็นเครื่องทำกิเลสทั้งหลายให้สิ้นไป
แก่พระเสขะผู้ยังต้องศึกษาอยู่ ผู้ปฏิบัติตามทางอันตรง
ธรรมชาติที่รู้ทั่วถึง (อัญญินทรีย์)
ย่อมเกิดขึ้นในลำดับแต่ปฐมญาณนั้น
กล่าวคือ
เมื่อมรรคญาณปรากฏขึ้นแล้ว
ผลญาณก็ปรากฏตามมาทันที ไม่มีระหว่างกลางคั่นเลย
มีข้อพึงทราบไว้ในที่นี้คือ
มรรคญาณนี้จะเป็นมรรคชั้นใดก็ตาม ย่อมปรากฏขึ้นครั้งเดียวเท่านั้น
เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ทำการประหาณกิเลสต่างๆ ตามอำนาจของมรรคนั้นๆ
เช่น ปฐมมรรคเกิดขึ้น ก็ทำการประหานกิเลสที่ปฐมมรรคมีอำนาจประหาณได้ เป็นต้น
สำหรับในที่นี้ มรรคญาณที่ปรากฏนี้ เรียกว่า ปฐมมรรค
ซึ่งทำการประหาณกิเลสได้ ๕ อย่าง
สักกายทิฏฐิ ๑
วิจิกิจฉา ๑
สีลัพพตปรามาส ๑
อปายคมนียกามราคะ ๑
อปายคมนียปฏิฆะ ๑
นับว่า ได้เขียนพระสูตรกำกับไว้
เพียงแต่เมื่อก่อนเขียนกระจัดกระจาย
ไม่ได้เขียนหมวดออกจากกัน
ทำให้หาพระสูตรนั้นไม่เจอ
พระสูตรเต็ม
๓. อินทรียสูตร
[๒๔๐] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๓ ประการนี้
๓ ประการเป็นไฉน คือ
อนัญญตัญญัสสามิตินทรีย์ ๑
อัญญินทรีย์ ๑
อัญญาตาวินทรีย์ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๓ ประการนี้แล ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น
พระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
ปฐมญาณ (อนัญญตัญญัสสามิตินทรีย์)
ย่อมเกิดขึ้นในเพราะโสดาปัตติมรรค
อันเป็นเครื่องทำกิเลสทั้งหลายให้สิ้นไป
แก่พระเสขะผู้ยังต้องศึกษาอยู่ ผู้ปฏิบัติตามทางอันตรง
ธรรมชาติที่รู้ทั่วถึง (อัญญินทรีย์)
ย่อมเกิดขึ้นในลำดับแต่ปฐมญาณนั้น
ปัจจเวกขณญาณ (อัญญาตาวินทรีย์)
ย่อมเกิดขึ้นว่า วิมุตติของเราไม่กำเริบ
แก่พระขีณาสพผู้พ้นวิเศษแล้ว ผู้คงที่
ภายหลังแต่ธรรมชาติที่รู้ทั่วถึงนั้น
เพราะความสิ้นไปแห่งกิเลสเป็นเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพ
ถ้าว่าบุคคลผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยอินทรีย์ ผู้ระงับแล้ว ยินดีแล้วในสันติบทไซร้ บุคคลนั้นชนะมารพร้อมทั้งพาหนะแล้ว ย่อมทรงไว้ซึ่งร่างกายอันมีในที่สุด ฯ
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว
เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วฉะนี้แล ฯ
.
“ภายหลังแต่ธรรมชาติที่รู้ทั่วถึงนั้น
เพราะความสิ้นไปแห่งกิเลสเป็นเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพ”
คำว่า ภายหลังแต่ธรรมชาติที่รู้ทั่วถึงนั้น
ได้แก่ ญาณในพระนิพพานเกิดทีหลัง
กล่าวคือ แจ้งนิพพาน ที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง
.
คำว่า ความสิ้นไปแห่งกิเลสเป็นเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพ
ได้แก่
ความสิ้นไปแห่งราคะ
ความสิ้นไปแห่งโทสะ
ความสิ้นไปแห่งโมหะ