นึกถึงแต่ภาพของไดม่อนก่อนที่จะหมดลมหายใจ เสียงลมหายใจครั้งสุดท้ายของไดม่อน
ก่อนสิ้นลม เราได้ยินชัดเจน เสียงเหมือนปอดที่ถูกเจาะเอาลมออก มันดังฟื้บยาวๆ
แล้วไดม่อนก็หมดลมหายใจ
ก่อนไดม่อนตาย เขาจะกระตุกและตะเกียกตะกายอยู่นาน เราได้นั่งกรรมฐาน
และแผ่เมตตาให้กับเขา หลังจากนั้นได้คอยลูบตัวปลอบประโลมให้กับเขาตลอด
ขณะที่ลูบตัวให้เขานั้น เขาจะสงบ ตอนที่ไม่ได้ลูบตัวเขา เขาจะกระตุกเหมือนคน
ที่เป็นลมชัก ปัสสาวะราดเต็มพื้น
ส่วนไวท์ ไวท์นี่เขาจะมีความแตกต่างจากไดม่อนตรงที่ว่า เขาอยู่บนห้องพระกับเราทุกวัน
ทุกๆครั้งที่เราสวดมนต์และทำกรรมฐาน ไม่ว่าจะเวลานานแค่ไหนก็ตาม เขาจะนอนสงบนิ่ง
ไม่ลุกไปไหนเลย จนกระทั่งเราลงจากห้องพระ เขาถึงจะลงมาพร้อมๆกับเรา
ตอนไวท์ตาย เราสวดบทอภิณหังให้เขาฟังพร้อมๆกับร้องไห้ไปด้วย คือสงสารเขา
แต่มาครั้งนี้ที่ไดม่อนตาย ไม่มีน้ำตา ไม่มีเสียใจ มันมีแค่รู้ รู้ว่าชีวิตนี้มีเท่านี้เอง
ไม่ว่าจะสัตว์หรือเรา ยังไงก็หนีไม่พ้นความตาย มันรู้อยู่ข้างใน นิ่งสงบ
พร้อมๆกับแผ่เมตตาให้กับเขาด้วย
จากสองเหตุการณ์นี้ ทำให้เราทำความเพียรมากขึ้น เราไม่ได้ทำเพราะกลัวความตาย
ไม่ได้ทำเพราะเหตุอื่นๆ แต่ทำเพราะรู้ว่า ที่ทำอยู่นี้ยังไม่พอ ยังมีเผลอ ยังมีโอกาสที่จะหลง
ไปสร้างเหตุ แม้เพียงแว่บเดียวก็ถือว่ายังใช้ไม่ได้ นี่ขนาดยังมีชีวิตอยู่นะเนี่ย
แล้วถ้าต้องตายล่ะ คงหมดโอกาสที่จะได้ทำความเพียรต่อ
ทุกขเวทนา โดยอาชีพ เราคลุกคลีกับสภาวะเกิด แก่ เจ็บ ตายมาตลอด
เห็นสิ่งเหล่านี้มาตลอดเวลา
ขณะที่กำลังจะตาย บางคนหมดลมไปแบบง่ายๆ บางคนโวยวาย ร้องไห้เสียใจ
บางคนมีแต่ความหวาดกลัวฯลฯ เรามองเห็นภาพเหล่านี้มาตลอดเกอบชั่วชีวิตของเรา
ชีวิตของเราถูกปรับเปลี่ยนโดยสภาวะมาตลอด ให้เรียนรู้อยู่กับความตายมาตลอด
นั่นคือ การเรียนรู้ความตายในคน มาครั้งนี้ ถูกให้เรียนรู้ความตายในสัตว์
ถูกตอกย้ำด้วยสัจธรรมที่ทุกคนหลีหนีไปไม่ได้