พักในสมาธิเป็นระยะ
วันหยุดของdarling ถือว่าเป็นวันของครอบครัว มีแต่การปรนนิบัติคนในบ้านเป็นหลัก เป็นเหตุที่มาของชื่อ แม่บ้านรีโมท
ความเหมือนของสภาวะ
วันหยุดของdarling นั่นคือวันที่เรามีความขี้เกียจมากกว่าปกติ เพราะเขาชอบทำกับข้าว อร่อยด้วยนะขอบอก ชอบทำแต่ไม่ชอบล้าง บางทีก็แซวเขานะ หัดล้างชามเองบ้างก็ดีนะ เดี๋ยวจะลืมหมดว่า ล้างชามน่ะต้องทำยังไงบ้าง
เขาบอกว่า ลืมหมดแล้ว ตอนนี้ล้างไม่เป็น ใช้เป็นอย่างเดียว อีกอย่างเราชอบล้างชามไม่ใช่เหรอ เราบอกว่า ไม่ได้ชอบ แต่ต้องทำ ไม่ใช่ทำเพราะคิดว่าเป็นหน้าที่ แต่ทำเพราะรู้ว่าทำอะไรอยู่(เหตุ)
โยนิโสมนสิการ
ไม่ว่าผัสสะ/เหตุใดๆเกิดขึ้น ที่ทำให้เกิดความรู้สึกยินดี ยินร้ายต่อสิ่งๆนั้น นั่นแหละคือผลของเหตุในอดีตมาส่งผลให้ได้รับในรูปของผัสสะหรือเหตุที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
ไม่ว่าจะรู้สึกนึกคิดอะไร เพียงยอมรับตามความเป็นจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นในจิต แค่รู้ว่ามีและเป็นอยู่ แต่ไม่สร้างเหตุออกไปตามแรงผลักดันของความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นขณะนั้น คือ ภายนอก แค่รู้ ดูตามความเป็นจริงของสภาวะหรือสิ่งที่กำลัง เกิดขึ้นภายใน ยอมรับตามความเป็นจริง
นี่แหละคือสภาวะโยนิโสมนสิการ พูดสั้นๆ ได้แก่ ภายนอก แค่รู้ ภายใน ยอมรับ เป็นเหตุให้สภาวะศิลเกิดขึ้น
ศิลโดยสภาวะแท้จริงเกิดขึ้นเพราะเหตุนี้ ไม่ใช่เกิดจากการสมาทานแต่อย่างใด การสมาทาน เมื่อสมาทานแล้ว ยังสร้างเหตุ นั่นเป็นเพียงการลูบคลำศิล เป็นสภาวะรู้โดยบัญญัติ หากรู้โดยสภาวะ ย่อมมุ่งหยุด หรือดับเหตุที่ตนเอง
พระผู้มีพระภาค จะสอนผู้ใดก็ตาม ทรงสอนตามสภาวะของผู้นั้น คำสอนของพระผู้มีพระภาคจึงหลากหลาย
เดินทางเดียวอย่าเหยียบซ้ำรอยกัน
อย่าไปเลียนแบบการปฏิบัติของผู้อื่น เพราะนั่นคือสภาวะของผู้อื่น ที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยที่มีอยู่และที่กำลังสร้างขึ้นมาใหม่ของผู้นั้น
เดินทางเดียว คือ มุ่งพระนิพพาน (ความดับภพชาติปัจจุบันและในวัฏสงสาร)
อย่าเหยียบซ้ำรอยกัน คือ อย่าไปทำเลียนแบบสภาวะของผู้อื่น เพราะผลที่ได้รับ ย่อมมีความสมหวังและผิดหวัง เกิดเนื่องจากการทำด้วยใจทะยานอยาก ทำด้วยใจที่คาดหวัง
คำแนะนำ ค้นหาสัปปายะที่เหมาะแก่สภาวะแก่จิต ในแต่อิริยาบทให้เจอ คือ หาจิตตัวเองให้เจอ ว่าชอบสัปปายะแบบไหน ที่เหมาะแก่จิตภาวนา
เดินทางเดียว ไม่เหยียบซ้ำรอยกัน
ทุกๆเส้นทางที่เดินหรือแนวทางการปฏิบัติของแต่ละคน ล้วนแตกต่างไปตามเหตุปัจจัยที่มีอยู่และที่กำลังสร้างขึ้นมาใหม่
เดินทางเดียว คือทุกคนมุ่งพระนิพพาน(ความดับภพชาติปัจจุบันและในวัฏสงสาร)
ไม่เหยียบซ้ำรอยกัน คือ สภาวะ(สิ่งที่เกิดขึ้น) แตกต่างกันไปตามเหตุที่มีอยู่และที่กำลังสร้างขึ้นมาใหม่ของแต่ละคน
พุทธพจน์
มีพุทธวจนะแสดงเรื่อง การกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย คือโยนิโสมนสิการไว้ดังนี้
“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อดวงอาทิตย์อุทัยอยู่ ย่อมมีแสงอรุณขึ้นมาก่อน เป็นบุพนิมิต ฉันใด
ความถึงพร้อมด้วยโยนิโสมนสิการ ก็เป็นตัวนำ เป็นบุพนิมิต แห่งการเกิดขึ้นของอารยอัษฎางคิกมรรค แก่ภิกษุ ฉันนั้น”
“เราไม่เล็งเห็นองค์ประกอบภายในอื่นแม้สักอย่างเดียว ที่มีประโยชน์มากสำหรับภิกษุผู้เป็นเสขะ เหมือนโยนิโสมนสิการ
ภิกษุผู้มีโยนิโสมนสิการ ย่อมกำจัดอกุศลได้ และย่อมยังกุศลให้เกิดขึ้น”
“เราไม่เล็งเห็นธรรมอื่น แม้สักข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุให้สัมมาทิฏฐิที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็เจริญยิ่งขึ้น เหมือนโยนิโสมนสิการเลย”
“เราไม่เล็งเห็นธรรมอื่น แม้สักข้อหนึ่ง ซึ่งจะเป็นเหตุให้ความสงสัยที่ยังไม่เกิด ก็ไม่เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ถูกขจัดเสียได้ เหมือนโยนิโสมนสิการเลย”
“โยนิโสมนสิการ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ยิ่งใหญ่, เพื่อความดำรงมั่นไม่เสื่อมสูญ ไม่อันตรธานแห่งสัทธรรม” ฯลฯ
“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อดวงอาทิตย์อุทัยอยู่ ย่อมมีแสงอรุณขึ้นมาก่อน เป็นบุพนิมิต ฉันใด ความถึงพร้อมด้วยโยนิโสมนสิการ ก็เป็นตัวนำ เป็นบุพนิมิต แห่งการเกิดขึ้นของอารยอัษฎางคิกมรรค(มรรคมีองค์ ๘) แก่ภิกษุ ฉันนั้น
ภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยโยนิโสมนสิการ พึงหวังสิ่งนี้ได้ คือ จักเจริญ จักทำให้มากซึ่งอริยอัษฏางคิกมรรค”
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อดวงอาทิตย์อุทัยอยู่ ย่อมมีแสงเงินแสงทอง เป็นบุพนิมิตมาก่อน ฉันใด โยนิโสมนสิการก็เป็นตัวนำ เป็นบุพนิมิต แห่งการเกิดขึ้นของโพชฌงค์ ๗ แก่ภิกษุ ฉันนั้น ภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยโยนิโสมนสิการ พึงหวังสิ่งนี้ได้ คือ จักเจริญ จักทำให้มาก ซึ่งโพชฌงค์ ๗
เราไม่เล็งเห็นธรรมอื่น แม้สักข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุให้โพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด ได้เกิดขึ้น หรือให้โพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว ถึงความเจริญเต็มบริบูรณ์ เหมือนโยนิโสมนสิการเลย เมื่อมีโยนิโสมนสิการ โพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมมีความเจริญเต็มบริบูรณ์
“เราไม่เล็งเห็นธรรมอย่างอื่นแม้สักข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุให้โพชฌงค์ (องค์ธรรมแห่งการตรัสรู้) ที่ยังไม่เกิด ได้เกิดขึ้นหรือให้โพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว ถึงความเจริญเต็มบริบูรณ์ เหมือนโยนิโสมนสิการเลย
“เมื่อโยนิโสมนสิการ นิวรณ์ ๕ ที่ยังไม่เกิด ก็ไม่เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ถูกกำจัดได้ โพชฌงค์ ๗ที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมถึงความเจริญเต็มบริบูรณ์”
“ภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายเหล่าหนึ่งเหล่าใดก็ตาม ที่เป็นกุศลอยู่ ในภาคกุศล อยู่ในฝ่ายกุศล ธรรมเหล่านั้นทั้งหมด มีโยนิโสมนสิการเป็นมูลรากประชุมลงในโยนิโสมนสิการ, โยนิโสมนสิการ เรียกว่าเป็นยอดของธรรมเหล่านั้น”
“เราไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้สักอย่างหนึ่ง ที่เป็นเหตุให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือให้อกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วเสื่อมไป เหมือนโยนิโสมนสิการเลย เมื่อมีโยนิโสมนสิการแล้วกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้น และอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป”
“เราไม่เล็งเห็นธรรมอย่างอื่นแม้สักข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุให้สัมมาทิฐิที่ยังไม่เกิด ได้เกิดขึ้น หรือให้สัมมาทิฐิที่เกิดขึ้นแล้ว เจริญยิ่งขึ้น เหมือนโยนิโสมนสิการเลย เมื่อมีโยนิโสมนสิการ สัมมาทิฐิที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้น สัมมาทิฐิที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเจริญยิ่งขึ้น”
เราไม่เล็งเห็นธรรมอื่น แม้สักอย่าง ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ยิ่งใหญ่ ที่เป็นไปเพื่อความดำรงมั่น ไม่เสื่อมสูญ ไม่อันตรธานแห่งสัทธรรม เหมือนโยนิโสมนสิการเลย โดยกำหนดว่าเป็นองค์ประกอบภายใน เราไม่เล็งเห็นองค์ประกอบอื่น แม้สักอย่างหนึ่ง ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ยิ่งใหญ่ เหมือนโยนิโสมนสิการเลย
สำหรับภิกษุผู้เสขะ ยังไม่บรรลุอรหัตตผล ปรารถนาความเกษมจากโยคะ อันยอดเยี่ยม เราไม่เล็งเห็นองค์ประกอบภายในอย่างอื่น แม้สักอย่าง ที่มีประโยชน์มาก เหมือนโยนิโสมนสิการเลย ภิกษุผู้ใช้โยนิโสมนสิการ ย่อมกำจัดอกุศลได้ และบำเพ็ญกุศลให้เกิดขึ้น
เราไม่เล็งเห็นธรรมอื่น แม้สักข้อหนึ่ง ที่จะเป็นเหตุให้ความสงสัยที่ยังไม่เกิด ก็ไม่เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ถูกกำจัดได้ เหมือนโยนิโสมนสิการเลย
เมื่อโยนิโสมนสิการอสุภนิมิต ราคะที่ยังไม่เกิด ก็ไม่เกิดขึ้น ราคะที่เกิดแล้ว ก็ถูกละได้ เมื่อโยนิโสมนสิการเมตตาเจโตวิมุตติ โทสะที่ยังไม่เกิด ก็ไม่เกิดขึ้น โทสะที่เกิดแล้ว ก็ถูกละได้ เมื่อโยนิโสมนสิการ (โดยทั่วไป) โมหะที่ยังไม่เกิด ก็ไม่เกิดขึ้น และโมหะที่เกิดแล้ว ก็ถูกละได้
ธรรม ๙ อย่างที่มีอุปการะมาก ได้แก่ ธรรม ๙ อย่าง ซึ่งมีโยนิโสมนสิการเป็นมูล กล่าวคือ เมื่อโยนิโสมนสิการ ปราโมทย์ย่อมเกิด เมื่อปราโมทย์ ปีติย่อมเกิด เมื่อมีใจปีติ กายย่อมผ่อนคลายสงบ (ปัสสัทธิ)
เมื่อกายผ่อนคลายสงบ ย่อมได้เสวยสุข ผู้มีสุข จิตย่อมเป็นสมาธิ ผู้มีจิตเป็นสมาธิ ย่อมรู้เห็นตามเป็นจริง เมื่อรู้เห็นตามเป็นจริง ย่อมนิพพิทาเอง เมื่อนิพพิทา ก็วิราคะ เพราะวิราคะ ก็วิมุตติ
กิเลส แค่รู้ว่ามี แล้วยอมรับตามความเป็นจริง แต่อย่าปล่อยให้กิเลสที่เกิดขึ้นครอบงำ จนก่อให้เกิดการกระทำออกไป
ตราบใดที่ยังมีกิเลส คิดได้ รู้สึกได้ ปรุงแต่งได้ ไม่ต้องไปพยามกดข่มแต่อย่างใด ปล่อยให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นในใจตามความเป็นจริง แล้วทุกอย่างจะจบลงไปตามเหตุปัจจัยเอง
ถ้าไปกดข่มกิเลสเอาไว้ ไม่ปล่อยให้เกิดขึ้นตามความเป็นจริง คนที่ทุกข์คือเจ้าตัวเอง ยิ่งคิดยิ่งทุกข์ จนกลายเป็นความพยาบาทไปโดยไม่รู้ตัว
สิ่งที่ควรทำ คือ กดข่มจิตไม่ให้คล้อยตามแรงผลักดันของกิเลสที่เกิดขึ้น ให้เป็นการกระทำออกไป
คือ แค่รู้ว่ามี ยอมรับว่ามี แต่อย่ายึด
หมายเหตุ:
การเขียนสภาวะ ไม่ได้เจาะจงหมายถึงใครหรือสิ่งใดเป็นพิเศษ แต่หมายถึงสภาวะตามความเป็นจริง