เพื่อนร่วมทางที่ดีที่สุด

เพื่อนที่เดินร่วมทางที่ดีที่สุด ที่ได้เดินร่วมทางไปกับเราตลอดเวลา ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย สติ สัมปชัญญะนี่เอง เพียงแต่เราต้องสร้างขึ้นมาเอง ไปหาซื้อที่ไหนๆไม่ได้

สติ สัมปชัญญะเป็นเพื่อนที่เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับเราตลอดเวลา คอยฉุดกระชากลากดึงเราให้มาอยู่กับปัจจุบัน ยามที่จิตไม่รักดี ไหลไปตามกระแสเชี่ยวกรากของกิเลส
เพื่อจะดึงเราไม่ให้ตกลงไปในวังวนของหลุมพรางกิเลส ที่วางกับดักไว้ทุกๆระยะของเส้นทางเดิน หลากหลายรูปแบบ ที่ไม่อาจคาดเดาได้

เมื่อเราพลั้งเผลอ กลับมาอยู่กับปัจจุบันไม่ทัน เราตกลงไปในหลุมพรางของกิเลส ใครเจ็บล่ะ เราเจ็บเอง ใครทำให้เกิดขึ้นล่ะ เราเองทั้งนั้นไม่ใช่ใครที่ไหนเลย ตราบใดที่ยังมีความชอบ ความชัง ตราบนั้นกิเลสเล่นงานได้ตลอดเวลา

ใครล่ะที่ฉุดเราขึ้นมาจากหลุมพรางนั้นได้ มีแต่สติ สัมปชัญญะเท่านั้น ที่คอยกระตุก คอยทั้งฉุดกระชากลากดึงเรา ให้ขึ้นจากหลุมพรางนั้นๆ

เราจึงต้องทำความเพียรต่อเนื่องเพราะเหตุนี้ เมื่อใดที่หยุดทำความเพียร เท่ากับเราเป็นฝ่ายทอดทิ้งเพื่อนร่วมทางที่ดีของเราไปเอง ใครผิด เราผิด เพราะอะไร เพราะตราบใดที่มีเหตุ ตราบนั้นย่อมมีผล

พึงคบกัลยาณมิตร ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นพระสติ พระสัมปชัญญะนี่เอง มีสติ สัมปชัญญะเมื่อใด เหตุย่อมลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ทั้งเหตุใหม่และเหตุเก่า ผลเลยไม่ต้องไปหวังสิ่งใดๆตอบแทนกลับมา เพราะเหตุนี้นี่เอง

ยิ่งโดนกิเลสเล่นงานเรามากเท่าไหร่ นั่นคือยิ่งทำให้เราแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะอะไรหรือ เพราะทำให้รู้ชัดในกิเลสทุกซอกทุกมุม รู้ทันมากขึ้นเรื่อยๆ

เกิดเพราะเหตุ ดับเพราะเหตุ

ทุกๆเรื่องราวหรือทุกๆสภาวะที่เกิดขึ้น แต่ละสภาวะมาสอนตลอดเวลา ให้อดทน อดกลั้น อยู่กับปัจจุบัน แล้วตัวสภาวะนั้นๆจะจบลงไปด้วยตัวของสภาวะเอง

เกิดก็เพราะเหตุ ดับก็เพราะเหตุ มันมีและมันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ก่อนที่จะมีเราเป้นตัวเป็นตนขึ้นมา เรามีหน้าที่คือเจริญสติ ทำต่อไป ทำต่อเนื่อง ถ้าไม่ทำต่อเนื่อง จะเอาอะไรไปรับมือกับกิเลสได้ล่ะ

กิเลสมาทุกรูปแบบ ตามเหตุปัจจัยที่เราทำมาเอง จะไปโทษใครได้ เหตุเก่าเราไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ที่แก้ได้คือปัจจุบัน ไม่สร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้นอีกในปัจจุบัน แล้วจะเอาผลมาจากไหนอีก ที่ยังมีผลส่งอยู่ ล้วนเกิดจากเหตุที่ยังไม่จบนั่นเอง

ที่เราบอกว่า พ่อแม่ พี่น้อง สามีภรรยา ล้วนแต่เป็นสิ่งสมมุติตามโลกที่สร้างขึ้นมาตามสมมุติตามเหตุของคนๆนั้น เราไม่ได้ให้ปฏิเสธเรื่องเหล่านี้ ยังให้ความเคารพให้การยอมรับเหมือนเดิม ถึงแม้จะเป็นสมมุติก็ตาม

สิ่งที่เราพูดถึงมาแล้วเรื่อง ความเป็นคนนอก เราหมายถึงพูดตามสภาวะที่เป็นจริงๆ ไม่ใช่ตามสมมุติ เราคือคนนอกสำหรับสภาวะของคนอื่นๆ เหตุของคนอื่นๆที่เขากำลังสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยตัวของเขาเอง ด้วยความไม่รู้

เรามองเห็น แต่เขายังมองไม่เห็น แล้วจะไปพูดให้คนที่ยังมองไม่เห็นได้อย่างไร คุณพร้อมแล้วหรือที่จะไปช่วยคนอื่นๆ ขนาดกิเลสของตัวเองมันยังเนียนเสียจนบางครั้งยังดูไม่ออก มันต้องผิดพลาดมาก่อน

ผิดพลาดแล้วจะเข็ด เข็ดแล้วจึงจะมองเห็น นี่แหละ เขาถึงบอกว่า ความผิดพลาดนั้นเป็นครูเพราะเหตุนี้ เราน่ะเข้าใจดี เพราะเข็ดเสียจนไม่รู้จะเข็ดยังไง จนเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าสภาวะอะไรเกิดขึ้น เรามักจะบอกว่า มันเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว

การขยับตัวล้วนเป็นการแก้ไขสภาวะ เราต้องอยู่กับปัจจุบัน รู้สึกอย่างไรต่อการกระทบ ให้รู้ไปตามนั้น ยอมรับตามความเป็นจริงของสภาวะที่เป็นอยู่ อย่าปล่อยให้เกิดการกระทำออกไป เพราะมันคือเหตุใหม่ ที่อาจจะเป็นเหตุให้ตกอยู่ในวังวนของกิเลสไม่รู้จบ

ฮึกเหิม

ยิ่งปฏิบัติ ใจยิ่งมีพลัง ยิ่งเจอบททดสอบของจิต จิตยิ่งเข้มแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ ปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นตามความเป็นจริง เพราะนั่นคือ เหตุของคนอื่น เราเข้าไปยุ่ง มันจะกลายเป็นเหตุใหม่ของเราไปทันที เราปฏิบัติเพื่อดับที่เหตุ ไม่ใช่เพื่อสร้างเหตุไม่รู้จบ

อาจจะมองดูเหมือนคนไร้ใจ ไม่สนใจผู้อื่น ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่ ใครจะคิดอะไรยังไงกับเรา ปล่อยไป เราไปห้ามความคิดของคนอื่นๆไม่ได้ เพราะนี่คือเหตุของเรา เราต้องดับที่ต้นเหตุทั้งปวงคือ ตัวเรา ไม่ใช่นอกตัว นอกตัวมีแต่เหตุที่เกิดขึ้นเพราะอุปทาน

นอกตัว แค่ดู แค่รู้ อยู่กับปัจจุบันให้ทัน อะไรเกิด ยอมรับไปตามนั้น หยุดการกระทำทั้งปวง แม้กระทั่งคำพูด เพราะมันคือการสร้างเหตุใหม่ คำพูดเรา พูดไปแล้ว

ถ้าถูกใจในความคิดของเขา คำพูดเราจะดูมีราคา แต่ถ้าพูดไปแล้วไม่ถูกใจเขา คำพูดเราจะด้อยค่า ไร้ราคาไปทันที เราเลือกแล้ว คิดว่าเลือกดีที่สุดแล้ว เลือกที่จะดับเหตุที่ตัวของเราเอง

มันก็เป็นเรื่องแปลกอีกอย่าง พอเรากำลังจะไปอีกสภาวะหนึ่ง ที่อาจจะทำให้สภาวะของเราเปลี่ยนไป อาจจะเป็นเหตุให้ใช้เวลาเนิ่นนาน มันก็จะต้องมีเหตุให้เราหดขาเข้ามา คือ ถอยกลับมาตั้งหลักใหม่ กลับมาพิจรณาทบทวนสภาวะ

พอทบทวนสภาวะ ทำให้มองเห็นสภาวะกิเลสชัดมากขึ้น เราเกือบเสียท่ากิเลสอีกแล้ว ทั้งๆที่ดูเหมือนจะไม่มีผลกระทบใดๆ แต่มันคือการคาดเดาของเรา แต่ตามความเป็นจริงมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิด

เราถึงบอกว่า จิตนี้เขาฉลาดกว่าเรามากๆ จิตที่มีสติ สัมปชัญญะ ผิดกับเราที่ยังคงโง่ให้กิเลสมันมาสร้างภาพลวงตาอยู่เรื่อยๆ ทำให้เกิดความประมาท โดยไม่รู้ว่าประมาท จะให้เนิ่นช้าไปทำไม ทางมีให้เห็นแล้ว

หน้าที่

หน้าที่ทางโลก ทำไปตามหน้าที่ พยายามอย่าให้ขาดตกบกพร่อง ไม่งั้นจะกลายเป็นการสร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้นกับคนอื่นๆอีก เรารู้แล้ว รู้ทันในกิเลสของเรามากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าจะยังไม่ทันทั้งหมดก็ตาม

เมื่อรู้ทัน ย่อมหยุดตัวเองได้ทัน ย่อมไม่หลงลงไปในวังวนของกิเลส ให้มันกลืนกินเรา ให้จมอยู่ในกองกิเลส ส่วนเรื่องนอกตัว ต้องปล่อยวาง แม้แต่พระพุทธเจ้ายังทรงปล่อยวาง ช่วยบุคคลที่พระองค์ทรงเห็นแล้วว่าช่วยได้ จึงช่วย

แล้วเราเป็นใคร แค่คนที่ยังมีกิเลสอยู่ แล้วจะไปช่วยอะไรใครได้ ต้องปล่อยวาง ต้องอยู่กับปัจจุบันให้ทัน มันมีแค่นี้เอง นี่แหละเรื่องราวของสภาวะที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ” ปล่อยวาง ” และ ” อยู่กับปัจจุบัน ”

ในทุกๆเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ต้องไปอธิบายหรือพูดอะไรให้มากความอีกต่อไป ตราบใดที่กิเลสยังหนาแน่นในดวงจิต ย่อมบดบังดวงตาให้มืดบอด ยากที่จะเห็นสภาวะตามความเป็นจริงได้ จึงตกเป็นขี้ข้ากิเลสต่อไป วังวนของวัฎฎะสงสาร จึงยาวนานเพราะเหตุนี้

การเกิดใหม่ทุกๆครั้งคือ ความประมาท คือ ความโง่ที่ยังมีอยู่ โง่ที่ยังอยากเกิด ทำเหมือนไม่อยากเกิด แต่เหตุที่ทำลงไป ล้วนเป็นเหตุให้เกิดการเกิด ดูทันไหม ดูไม่ทันก็คือยังประมาท

การยอมรับ ทำให้เกิดปัญญา

การยอมรับในทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต หรือเรียกว่า ทุกๆสภาวะไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น ยอมรับได้หมด ไม่ว่าสภาวะนั้นๆจะก่อให้เกิดความรู้สึกอย่างไรก็ตาม การยอมรับแบบนี้ได้ ย่อมเป็นเหตุให้เกิดปัญญา ทำให้เกิดปัญญาได้อย่างไร

ทุกๆสภาวะ เมื่อเรายอมรับได้ จิตจะสงบนิ่ง รู้อยู่ในกาย มากกว่าจะส่งออกนอก ขณะนั้น สภาวะของตัวสติ สัมปชัญญะทำงานร่วมกัน เป็นเหตุให้เกิดสมาธิ เมื่อเกิดสมาธิ แล้วทั้ง ๓ สภาวะนี้ทำงานร่วมกัน จะรู้สึกตัวทั่วพร้อม

เมื่อเกิดสภาวะความรู้สึกตัวทั่วพร้อม จิตเขาจะคิดพิจรณาขึ้นมาเอง โดยไม่ใช่เราไปคิดเอง สภาวะนี้จะเกิดตัวปัญญาที่มุ่งดับตัวต้นเหตุ ที่ทำให้เกิดเหตุทั้งปวง จิตไม่มีว่อแว่ก จะมั่นคง หนักแน่น ไม่มีหวั่นไหวใดๆ

เราเจอกับสภาวะของจิตแบบนี้หลายครั้งต่อหลายๆครั้ง จนจำสภาวะได้แม่นว่า จงอยู่กับปัจจุบัน แล้วเราจะไม่ทุกข์อีกต่อไป มันรู้แบบนี้ ยิ่งทำ ทุกข์ยิ่งน้อยลงไปเรื่อยๆ จิตจะปล่อยวางมากขึ้นเรื่อยๆ ถ่ายถอนอุปทานมากขึ้น

เมื่ออุปทานเบาบางลง ย่อมเห็นชัดในสภาวะของกิเลสที่มีความละเอียดมากขึ้นเรื่อยๆ กิเลสที่เป็นกุศล ตัวนี้ถ้าไม่มีกำลังของสติมากพอ ยากที่จะมองเห็นได้ เพราะ กิเลสของความอยากบดบังดวงตา บดบังสภาวะเอาไว้

รู้ในกาย

เวลาที่เราคิดอะไรไม่ออก บางทีบางเรื่องเราติดอยู่กับความคิดนั้นๆ อย่างเช่นเรื่องช่างเสริมสวย หรือแม้กระทั่งเรื่องอื่นๆ เราจะชอบนำมาคิดพิจรณาในขณะที่กำลังอยู่ในอิริยาบทนั่ง

จิตเป็นสมาธิก็ส่วนจิต มีความคิดก็ส่วนความคิด พร้อมๆกับรู้ในกายไปด้วย มันจะรู้ทุกส่วนแต่แยกออกไม่ปะปนกัน เวลาอยู่ในอิริยาบทนี้ จะช่วยทำให้เราเกิดปัญญาในการมองปัญหาที่คิดว่าเป็นปัญหา

สุดท้ายก็จะได้คำตอบในการสร้างเหตุว่า ไม่ต้องไปอธิบายอะไร ใครจะคิดอะไรยังไงเกี่ยวกับเรา นั่นเรื่องของเขา เพราะเรารู้ตัวดีว่า เราไม่เคยคิดเอาเปรียบใครๆ เราให้ด้วยจิตที่ปราศจากความโลภจริงๆ ไม่มีกิเลสเจือปนในการให้

ยิ่งอธิบาย ยิ่งรู้สึกว่า มันมีแต่เหตุไม่รู้จบ เราแค่ดู แล้วปลดปล่อยความคิดออกมาในรูปนั่งคิดพิจรณาแบบนี้แหละ ถ้าอยากจะพูด ก็เขียนๆๆๆมันออกไป แต่ไม่ไปสร้างเหตุกับคนอื่นๆ

การเขียน ช่วยให้เราเห็นสภาวะที่กำลังเกิดขึ้นได้ชัดมากขึ้น จริงๆแล้ว เราไม่ต้องไปทำอะไรเลย เราแค่ดู อะไรจะเกิดก็ปล่อย ใครจะเข้ายังไงก็ปล่อย ในเมื่อพูดตามความเป็นจริงไม่ได้ ต้องปล่อย ถ้าไม่ปล่อย มันจะมีแต่เหตุ

ทุกๆสภาวะที่เกิดขึ้น สอนให้เราปล่อยวาง ให้มีสติรู้อยู่กับปัจจุบัน เพราะตราบใดที่ยังคงมีเหตุอยู่ ผลย่อมมาแสดงในรูปของการกระทบเนืองๆ บางครั้งสติทัน มันก็ดับได้ไว อยู่กับปัจจุบันได้ทัน แค่ดู แค่รู้ และยอมรับได้

แต่บางครั้ง มันก็ยังไม่ทัน ทั้งๆที่รู้ ทั้งๆที่เข้าใจในสภาวะทุกอย่างได้ดีว่าควรทำอย่างไร แค่มีสติ มันมีแค่นั้น แค่ยอมรับไป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ไม่ต้องไปตามอธิบายให้มากความ ยิ่งอธิบายยิ่งมีแต่เหตุ มันเป็นเรื่องของโลกๆ มีแต่กิเลส

มันไม่เหมือนเรื่องของสภาวะ ถ้าเรามองว่ามันเป็นแค่สภาวะที่มาทดสอบเรา ความมั่นคงของจิต ถ้าทันมันก็จบไปเอง

นอนเป็นสมาธิ

สภาวะเริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตอนนี้สภาวะเวลาที่นอน จิตเป็นสมาธิ รู้ชัดในกายได้ต่อเนื่องมากกว่าเมื่อก่อน

เมื่อก่อนนี้ เวลานอนหลับ หลับก็คือหลับ จะหลับสนิท ไม่ค่อยรู้การทำงานของกาย ตั้งแต่ป่วยในครั้งนี้ เนื่องจากการไอ ทำให้นอนยาวไม่ได้ แต่อาศัยการนั่งหลับในสมาธิแทน ทำมาแบบนี้ตลอดเวลาที่ป่วย

แม้แต่การทำเต็มรูปแบบ เมื่อนั่งที่พื้นแบบปกติไม่ได้ เพราะจะไอมากๆ ก็อาศัยนั่งกำหนดที่โซฟาแทน สมาธิจะตั้งมั่นได้นานกว่า ถึงแม้จะมีอาการไอ สมาธิก็ยังคงเกิดได้อย่างต่อเนื่อง

อาจจะเกิดจากเหตุที่ทำแบบนี้ ทั้งกลางวันและกลางคืน คือ นั่งรู้กาย สติมีแค่ไหน รู้ได้แค่นั้น ไม่ฝืน ไม่กำหนดอะไร ถ้าไม่รู้สึกตัวไปตอนไหนก็ปล่อยไปตามนั้น ไม่กำหนดดึงจิตให้กลับมารู้ที่กายแต่อย่างใด

ความก้าวหน้าทางจิตที่เห็นอย่างได้ชัดคือ ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ จิตสามารถรู้ชัดอยู่ในกายมากขึ้นเรื่อยๆ ผลที่ตามมาคือ สมาธิเกิดได้ตลอดเวลา แม้กระทั่งเวลานอน จิตเขาจะไปจับ ( รู้ ) ที่กายเอง

โดยที่เราไม่ได้กำหนดรู้ลงไปในกายแต่อย่างใด เป็นเอง เกิดเอง เราแค่รู้เท่านั้นเอง

แม้กระทั่งเวลานั่งรถ เดี๋ยวนี้ จิตเขาจะไปรู้ที่กายเอง โดยเราไม่ได้ไปกำหนดรู้แต่อย่างใด จิตเขาเกิดขึ้นมาเอง เป็นเอง นั่งรถให้ไกลแค่ไหน ไม่ทำให้รู้สึกเบื่อเหมือนก่อนๆ เพราะเมื่อจิตไปรู้ที่กายแล้ว

เวลาที่รู้อยู่ในกาย ดูเหมือนจะเกิดแค่สั้นๆ แต่มันไม่สั้นเลย เวลาภายนอกผ่านไปไวมากๆ นี่เองกระมั่งที่เขาเรียกว่า ย่นเวลา ( เป็นการให้ค่านะ แต่ไม่ได้ไปยึดติดกับสภาวะอย่างใด )

แล้วกลางคืน อย่างเช่นเมื่อคืนนี้ แทนที่จะนอนหลับแบบปกติที่เคยนอน จิตสามารถรู้ชัดในกายได้ยาว ตั้งแต่เริ่มนอน เขาเกิดเอง จนทำให้เราไม่อยากขยับตัว นอนนิ่งๆรู้กายอยู่อย่างนั้น

พอสมาธิคลาย ธาตุขันธ์จะเริ่มทำงาน มันจะรู้สลับไปมาแบบนี้ตลอด เราเลยลองพลิกตัว ลองขยับตัว ซึ่งตอนแรกไม่กล้าขยับ กลัวสมาธิเกิดไม่ต่อเนื่อง

มันจะมีการถามตอบกับตัวเองว่า ทำไมต้องกลัวสมาธิไม่เกิดต่อเนื่อง จิตตอบว่า เสียดายสมาธิ ก็มีคำถามถามต่อว่า ทำไมต้องกลัว ทำไมไม่ทำตามความเป็นจริง คิดอะไรอยู่ ความอยากเห็นมั๊ย?
พอได้ยินคำถามเช่นนั้น เราเลยขยับตัวเป็นปกติ

แค่คนนอก

สภาวะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้เวลานอน จิตจะเป็นสมาธิมากขึ้น เราไม่ค่อยขยับตัว ไม่ใช่เพราะกลัวสมาธิคลายหรืออะไร แต่เพราะเข้าใจสภาวะมากขึ้น

การที่จิตเป็นสมาธิเวลานอน จะทำให้รู้สึกตัว รู้ชัดในกาย โอภาสเกิดเป็นช่วงๆ

จิตเขาฉลาดกว่าเรา รู้ว่าควรทำอย่างไรกับสภาวะ ส่วนเรานั้นยังคงโง่กับกิเลสเหมือนเดิม ยังมีอยู่กับปัจจุบันทันบ้าง ไม่ทันบ้าง ในบางตรั้ง

วันนี้ มีการกระทบ ตัวสภาวะเขามาแสดงตอกย้ำสภาวะอีกครั้งว่า ไม่ว่าจะพ่อ แม่ พี่น้อง สามี ภรรยา ทุกๆคนเกี่ยวข้องกันแค่สมมุติ ตามเหตุที่ทำมาร่วมกัน

แต่เมื่อผลของเหตุของใครที่กำลังส่งผลให้ได้รับอยู่ แล้วคนๆนั้น ยังมีความไม่รู้อยู่ ยังคงหลงสร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้น เมื่อเกิดสภาวะเช่นนี้ เราต้องแค่ดู แค่รู้ แต่จะไปบอกอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น เพราะเราจะกลายเป็นคนนอกไปสำหรับคนๆนั้น

อย่างที่บอกไว้แล้วว่า ต่อให้คนนั้นๆจะเกี่ยวข้องกับเราในด้านไหนๆก็ตาม นั่นคือฐานะตามสมมุติ แต่โดยสภาวะเราคือคนนอก เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น นั่นคือผลของเหตุที่เขาได้รับ และเขากำลังหลงสร้างเหตุขึ้นมาใหม่จากสภาวะนั้นๆ

สภาวะคนไร้ใจ

สภาวะนี้ เราเริ่มเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆว่า ทำไมถึงเป็นคนไร้ใจ เพราะเรา ตัวของเราโดยสภาวะเกี่ยวข้องกับคนเหล่านั้นตามสมมุติ ล้วนเป็นเพียงแค่เหตุ แต่โดยสภาวะที่แท้จริง เราเป็นแค่คนนอกสำหรับเขา

นี่สภาวะเขามาสอน ซึ่งมันก็ตรงกับสภาวะที่บอกว่า ให้แค่ดู แค่รู้ไป อย่าเข้าไปวิพากย์ วิจารณ์ เพราะเขาไม่ฟังเราหรอก เราลองทำแล้ว ผลมันออกมาเป็นแบบนั้นจริงๆ

อีกอย่าง การที่เราไปวิพากย์วิจารณ์ ถ้าก่อให้เกิดความยินดีหรือยินร้ายต่อคนๆนั้น นั่นคือเหตุใหม่ที่เราได้ทำลงไป เมื่อมีเหตุ ย่อมมีผล

เราควรพูดแค่ที่ควรพูด ถ้าผลออกมาแล้วมันไม่ใช่ เราต้องจบด้วยตัวเอง เพราะนั่นคือเหตุของเขา เรามีหน้าที่เพียง เจริญสติของเราต่อไป แล้วแผ่เมตตาให้เขาเหล่านั้น จงมีความสุข เพราะใครๆล้วนชอบและต้องการความสุข

ส่วนจะสุขแบบไหนหรืออะไร ล้วนเป็นเหตุของเขาที่เขาสร้างขึ้นมาเอง ตามการให้ค่าของแต่ละคนเท่านั้นเอง เราไปคิดแทนไม่ได้ เพราะนั่นคือ สภาวะของเขา กิเลสของใครของมัน ใครที่ยังมีความไม่รู้อยู่มากน้อยแค่ไหน ย่อมสร้างเหตุไปตามความไม่รู้นั้นๆ

ทุกๆสภาวะที่เกิดขึ้น ล้วนมาสอนให้เราปล่อยวางมากขึ้น ให้ตั้งสติให้ทัน แล้วแค่ดู แค่รู้ไปตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เพราะการเคลื่อนไหวอะไรออกไป ล้วนเป็นการสร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้น

นี่แหละด่านใจ ช่างยากจริงๆสำหรับเราในตอนนี้ สติเรายังไม่ทัน เราตรวจสอบตัวเองตลอด คือ จิตเขาเป็นของเขาเอง ไม่ใช่เราคิดตวจสอบตัวเอง มันเป็นเองโดยอัตโนมัติ

เรียกว่าเดี๋ยวนี้พอเกิดการกระทบ แล้วเราได้กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งลงไป หลังจากสภาวะนั้นผ่านไปแล้ว จิตจะเป็นสมาธิเอง แล้วจะมีการคิดพิจรณาสภาวะที่เกิดขึ้น มันจะเป็นแบบนั้น

อย่างคืนนี้ มันมีเหตุนะ โดนยุงกัดจนนอนไม่ได้ มีเหตุให้ต้องลุกขึ้นมาเขียนบันทึก ตอนที่เรานอน เดี๋ยวนี้จิตชอบเป็นสมาธิเกือบจะทุกอิริยาบท

วันนี้ตอนนอนก็เช่นกัน จิตเป็นสมาธิต่อเนื่อง รู้ชัดในกายได้ดี แล้วจิตเขาพิจรณาเรื่องสภาวะในวันนี้ เมื่อจิตพิจรณา เราต้องบันทึก ไม่บันทึก มันเหมือนขาดอะไรไป เพราะมันคือความต่อเนื่องของสภาวะ

เหมือนเรื่องในบล็อกที่เขียนผ่านๆมา มีหลายๆเรื่องที่อยากจะลบทิ้ง แต่ว่าพออ่านอย่างต่อเนื่องแล้ว มันเป็นเรื่องราวของสภาวะกิเลสที่เกิดขึ้น มันเป็นเรื่องต่อเนื่องกันตามความเป็นจริง

เราต้องบอกตัวเองเสมอๆว่า เราแค่คนนอกนะ เพื่อจะได้ปล่อยวางได้ทันมากขึ้น อยู่กับปัจจุบันให้ทันมากขึ้น เพราะนั่นคือเหตุของเขา เราช่วยได้แค่แผ่เมตตาให้ทุกคนจงมีความสุข หน้าที่ที่เหลือในชีวิตของเราคือ เจริญสติต่อไป จะได้ไม่หลงตกเป็นขี้ข้ากิเลสต่อไป เรียกว่า เป็นผู้ไม่หวนกลับหลังอีกแล้ว

สู้ๆต่อไป กิเลสในตัวยังมีมากมายที่ละเอียดจนเราดูไม่ทัน กว่าจะทัน ต้องเสียค่าโง่ไปกับกิเลส แล้วจะไปยุ่งอะไรกับกิเลสนอกตัว ที่มีแต่เหตุของคนอื่นๆล่ะ

กว่าจะรู้ต้องผิดพลาด ถึงจะเข็ด ถ้ายังไม่เข็ดก็ยังคงหลงสร้างเหตุใหม่ต่อไป ทุกคนต้องเรียนรู้ด้วยสภาวะของตนเอง

ไม่แน่นอน

ชีวิตไม่มีอะไรที่แน่นอน แปรเปลี่ยนตลอดเวลา ไม่มีอะไรที่จะได้ดั่งใจ ล้วนมีแต่เหตุแล้วก็เหตุ เพียงแต่ว่า จะมองเห็นเหตุที่มาของเหตุนั้นๆแล้วหรือยังเท่านั้นเอง

หากแม้นว่ายังมองไม่เห็น ก็ยังคงหลงสร้างเหตุของเหตุใหม่ต่อไปเรื่อยๆ เหตุซ้อนเหตุ มีแต่เหตุแล้วก็เหตุไม่รู้จบ ตราบใดที่ยังมีความไม่รู้ ตาบใดที่ยังถูกครอบงำด้วยกิเลส

ตราบนั้น เราก็ตกเป็นขี้ข้ากิเลสที่มีอยู่ในใจของตัวเองนี่แหละ ไม่ใช่ของใครที่ไหนเลย เพราะยังมีความไม่รู้ จึงหลงกล่าวโทษนอกตัวตลอดเวลา ถ้ารู้แล้ว จะไม่โทษใครๆเลย

มีแต่จะมุ่งมั่นเจริญสติให้ต่อเนื่อง เพราะจะได้มีสติเป็นอาวุธคู่มือ เอาไว้รับมือกิเลสยามที่เกิดการกระทบ ทุกๆการกระทบที่เกิดขึ้นแล้วส่งผลให้เกิดไม่ว่าจะความชอบหรือชังหรืออะไรก้ตามที่ส่งให้จิตกระเพื่อม

สิ่งที่เกิดแล้วส่งผลต่างๆให้เกิดขึ้นในจิตนี้ ล้วนเป็นผลของเหตุที่ทำไว้ทั้งสิ้น หากไม่มีเหตุต่อกันแล้ว การกระทบใดๆ ย่อมไม่ส่งผลให้จิตกระเพื่อมอย่างแน่นอน นี่แหละเหตุใหม่ละถ้าหลงตอบโต้ออกไป

มิตรตอนกู้ ศัตรูตอนคืน

เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ เรื่องยืมเงินนี่แหละ ทั้งๆที่เป็นคนให้เขายืม โดยไม่ได้คิดดอกเบี้ยหรือหวังจะได้อะไรจากเขา ทุกอย่างมันคือเหตุจริงๆ

เราได้ช่วยเหลือช่างเสริมสวย ให้เขายืมเงินไปสี่หมื่นกว่า ใช้บัตรเครดิตรูดให้ แรกๆเหมือนจะไม่มีอะไรนะ แต่พอนานวัน เรื่องกลับมีมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เรารู้สึกรำคาญและจุกจิกหัวใจยิ่งนัก

ตอนนี้เราไม่แปลกใจแล้ว กับเรื่องราวต่างๆที่เขาเล่าให้เราฟัง ทำไมเขาจึงชอบว่าคนที่ให้ความช่วยเหลือเขา เอาความไม่ดีของอีกฝ่ายมาพูดให้เราฟัง มันเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ เขามีแต่ว่าคนอื่นๆ แต่ไม่เคยดูพฤติกรรมของตัวเอง

เวลาเขาต้องการความช่วยเหลือจากใคร เขาจะพยายามพูดให้เกิดความสงสารในชีวิตที่เขาเป็นอยู่ พยายามทุกทางเพื่อจะได้เงินจากอีกฝ่าย ยกทุกเรื่องที่เขาลำบากมาพูดให้ฟัง แล้วพอเราช่วยได้ เขาจะพูดแสดงความซาบซึ้งใจที่เราช่วยเขา

เงินของเราแท้ๆ อยู่ดีๆแท้ๆ แต่เราผิดเองที่สงสารเขา ไปช่วยเหลือเขา นี่ยังดีที่เขาผ่อนใช้ให้มาตลอด ไม่ได้โกงเราแต่เราแต่อย่างใด แต่ก็สร้างปัญหาให้เรารำคาญใจกับเรื่องที่เขานำไปพูดลับหลัง

เอาเราไปว่าเสียๆหายๆ หาว่าเราเอาเปรียบ คิดดอกเบี้ยเขา ทั้งๆที่เราไม่ได้มีส่วนได้จากเงินตรงนั้นเลยแม้แต่สักบาทเดียว ซึ่งพอต่อหน้าเขาจะพูดอีกอย่าง พูดให้เราสงสารเขา นี่ดีนะที่เป็นผู้หญิงด้วยกัน ถ้าเขาเป็นผู้ชายล่ะ

หมดกันแล้ว เราไม่อยู่ใกล้เขา ไม่ฟังในสิ่งที่เขามาพูดให้ฟัง คนเรานะ ต้องให้เขาลำบาก ให้เขายืนด้วยตัวเอง ให้ทุกข์ด้วยตัวเอง ส่วนเขาจะเข็ดหรือไม่เข็ด นั่นคือชีวิตเขา เหตุของเขา

สำหรับเรา ครั้งนี้เข็ดจริงๆ ถึงแม้จะได้เงินคืนก็ตาม เข็ดในเรื่องใจคน กลับกลอกยิ่งนัก เวลาจะเอาเงินเรา พูดให้สงสารสารพัด พอได้แล้ว กลายเป็นอีกอย่าง มิน่าเขาถึงชอบนำเรื่องของคนแต่ละคนที่ให้เขายืมเงิน เวลาที่คนเหล่านั้นไปทวงเงินเขา

เรานะ บาทเดียว สลึงเดียว ไม่เคยมีจิตคิดอยากได้อะไรของใครๆเลย ถ้าคิดให้คนอื่นๆมากกว่าล่ะก็ใช่นั่นคือเรา เรามีแต่คิดจะให้มากกว่าที่จะรับของใคร

ต่อไปนี้ คนนอกครอบครัว เราจะไม่ให้ใครๆยืมเงินอีกเลย มีแต่เหตุ ส่วนคนในครอบครัว ยังไงๆก็คือคนในครอบครัวเราเอง ให้คนในครอบครัวกินยังดีกว่า อย่างน้อยยังได้ชื่อว่าอุปถัมป์คนในครอบครัว เห็นกันอยู่ตลอด

ไม่ว่าจะคืนหรือไม่คืนกัน ก็ยังพูดบอกกันได้ แต่คนนอกครอบครัวนี่คนละเรื่องเลย ยิ่งพูด ยิ่งมีแต่เหตุ อันนี้เราพูดจากประสบการณ์ที่เราเจอมาด้วยตัวเอง

มันมีแต่เหตุจริงๆนะ คิดดูละกัน ลองพิจรณาดู วันนี้เขาอาจจะคืนเราหรือไม่คืน ถึงแม้ว่าเราอโหสิกรรมให้ก็จริงอยู่ กรรมระหว่างเรากับคนยืมย่อมจบสิ้นลงไป เพราะเราดับที่เหตุคือตัวเราเอง แต่ผลกรรมหรือวิบากของคนที่มายืมยังคงมีอยู่

สิ่งที่เขาทำลงไป เอาทรัพย์ของคนอื่นๆไป ไม่ว่าคนที่ให้ยืมนั้น จะให้ด้วยจิตแบบไหนก็ตาม แต่มันคือการยืมกัน สุดท้าย ฝ่ายอโหสิกรรมให้จบเหตุลงไปได้ แต่คนที่ยืมแล้วไม่คืนนี่สิ เขาก็ต้องโดนคนอื่นๆทำกับเขาต่อ เหมือนเหตุที่เขาไว้

ฉะนั้นเราจึงดับที่ต้นเหตุเสีย คือ ตัวเราเอง เพื่อไม่ให้คนอื่นๆมามีวิบากร่วมอีกต่อไป โดยการไม่ให้ใครๆยืมเงินอีกต่อไป ไม่ว่าจะมายืมด้วยเหตุใดๆก็ตาม เพราะๆไม่มีใครปล่อยให้ตัวเองลำบากหรอก ต้องตะเกียกตะกายหาจนได้น่ะแหละ

เราให้พี่น้องเรา ให้คนในครอบครัวเราดีกว่า อย่างน้อย เหตุที่เกิดขึ้น ยังน้อยกว่าคนอื่นๆ

รู้ชัดเพื่ออะไร?

เมื่อมีคำถาม จึงมีเรื่องมาเขียน มีผู้ปฏิบัติที่เขามองว่าเขามีเวลาน้อยมากสำหรับเวลาที่ทำเต็มรูปแบบ คือเดินกับนั่ง เขาจะมีเวลาทั้งหมด ๔๐ นาทีโดยประมณ

เราบอกกับเขาว่า มันเป็นสภาวะของคุณ เหตุของคุณสร้างมาแบบนี้ นี่คุณกำลังเปลี่ยนแปลงเหตุของคุณ

ฉะนั้นไม่ต้องไปใส่ใจเรื่องเวลา แค่คุณรู้ชัดอยู่ในกายได้ โดยจิตไม่วิ่งแล่บไปข้างนอก นั่นน่ะกุศลเกิดแล้ว เพราะจิตตอนนั้น มันไม่มีไปคิดว่าร้าย ไม่มีทั้งสุขและทุกข์ แต่มันมีตัวรู้เกิด ตัวปัญญาเกิด ตัวนี้แหละกุศลแท้ ที่ไม่มีอามิสบูชาเจือแต่อย่างใด เป็นกุศลที่สะอาดและบริสุทธิ์จริงๆ

เขาบอกว่า ตอนนี้ ยิ่งทำ เขายิ่งเห็นความคิดของเขาชัดมาก

สภาวะตรงนี้ เราอยากจะบอกกับผู้ที่เจริญสติทุกๆคนว่า เมื่อใดก็ตาม ที่ปฏิบัติมาถึงจุดๆหนึ่งแล้ว สิ่งแรกที่ทุกคนจะเจอเหมือนๆกันหมดคือ เห็นและรู้ชัดในความคิดของตัวเอง

ทั้งๆที่เมื่อก่อน ก่อนที่จะทำนี้ ความคิดต่างๆนั้นมีไหม มันมีของมันและมันเป็นแบบนั้นของมันอยู่แล้ว แต่ตอนนั้นที่เราเห็นจะเห็นแค่แว่บๆแล้วผ่านไป เราไม่เคยเห็นมันชัด ถึงแม้เราไม่ได้ตั้งใจดูความคิดนั้นๆก็ตาม แต่มันจะเห็นและรู้ชัดในความคิดนั้นๆ

เหตุเนื่องจาก ตัวสัมปชัญญะเกิดในตัวบุคคลนั้นนั่นเอง ถ้าไม่มีตัวสัมปชัญญะเกิดเราจะไม่เห็นหรือรู้ชัดในความคิดแบบนี้ได้ มีแต่ไหลไปอดีตมั่ง ไหลไปตามอนาคตมั่ง มันไปของมันเรื่อย

แต่สภาวะตรงนี้ เมื่อคิดเราจะรู้และเห็น แล้วความคิดนั้นจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตัวเก่าหายไป ตัวใหม่เกิดต่อ ถ้ารู้กายได้ จิตจะกลับมารู้กาย

เพราะความเป็นผู้มีสติ สัมปชัญญะ ย่อมดึงกลับมารู้ที่กายได้ ไม่ปล่อยให้จิตไหลไปอดีตมั่ง อนาคตมั่ง ยืดยาว

เมื่อกลับมารู้กายได้บ่อยๆ กำลังของสติ สัมปชัญญะมากขึ้น สมาธิย่อมมีกำลังมากขึ้นตาม ต่อไปไม่มีการต้องไปดึงจิตกลับมา จิตเขาจะกลับมารู้ชัดที่กายเอง มันจะเป็นไปตามสภาวะ

อีกคำถามที่เขาถามมาคือ เวลาเดิน เวลาที่เกิดความคิด เขาพยายามดึงจิตให้มารู้อยู่กับการเดิน ต้องการให้รู้ชัดในการเดิน ทำแบบนี้เขาทำถูกแล้วใช่ไหม?

เราถามกลับไปว่า คุณทำเพื่ออะไรล่ะ ที่ว่าต้องการให้รู้ชัดในการเดินน่ะ เวลาเกิดสภาวะพวกนี้ ต้องดูให้ทัน ความอยากมันแทรกตลอดเวลา โดยเฉพาะความอยากที่เป็นกุศลจะมีสภาวะที่ละเอียดมากๆ ยากที่จะรู้ทันได้

เราต้องหมั่นถามตัวเองทุกๆครั้งที่เกิดสภาวะที่ต้องการให้รู้ชัดไม่ว่าจะในการเดินหรือให้รู้ชัดในกายก็ตาม เราต้องตั้งคำถาม ถามตัวเองเสมอๆว่า เราทำเช่นนั้นเพื่ออะไร คำตอบที่ตอบกลับมานั่นแหละ คือตัวสภาวะที่แท้จริง

กำลังสติ สัมปชัญญะของแต่ละคนไม่เท่ากัน ล้วนแตกต่างไปตามเหตุที่ทำมา ฉะนั้นจะรู้ชัดในกายได้มากหรือน้อย แตกต่างกันไปนั้นเป็นเรื่องธรรมดา เราต้องดูให้ทัน

เราเพียงทำเพราะเป็นหน้าที่ที่จะต้องทำ ทำให้ต่อเนื่องนี่แหละ อุบายหรือวิธีให้รู้อยู่ในกายและจิตของแต่ละคนนั้น แล้วแต่เหตุของใครของมัน

เพียงทำต่อเนื่องไปนี่แหละ กำลังของ สติ สัมปชัญญะจะแข็งแรงหรือมีกำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆเอง ทำสะสมไป กิเลสน่ะ สามารถทำให้เกิดได้ทั้งสุขและทุกข์ แค่เรารู้อยู่กับมัน รู้ว่ามันมี และยอมรับ นี่ชื่อว่าผู้หลงน้อยลงแล้ว

เดินจงกรม รู้ลมหายใจ

ให้คำแนะนำ

วันนี้มีผู้ปฏิบัติโทรฯมาถามว่า เวลาเดินจงกรม จะคอยรู้ที่ลมหายใจ ไม่ค่อยรู้เท้า ทำแบบนี้ได้หรือไม่?

คำตอบคือ รู้อะไรก็ได้ แค่รู้อยู่ในกาย ใช้ได้ทั้งนั้น เมื่อใดที่สติ สัมปชัญญะดี จะรู้ชัดไปทั้งตัวเอง เท้าก้รู้ ลมหายใจก็รู้ กายก็รู้ จะรู้เอง เหตุที่จิตคอยไปวิ่งจับที่ลมหายใจ เนื่องจากเคยฝึกภาวนาด้วยการดูลมหายใจมาก่อน

ขอถามต่อว่า เวลาจับลมหายใจ จะชอบง่วงนอน

คำตอบ ง่วงก็ให้รู้ว่าง่วง ถ้าอยากจะนอนจริงๆก็นอนไปเลย ส่วนจะฝืนหรือไม่ฝืน อันนี้แล้วแต่ผู้ปฏิบัติเอง ไม่มีกฏเกณฑ์ตายตัว

ขอถามต่อ พอรู้ว่าง่วง เคยลองนอน พอนอนลงไป มันก็ไม่หลับ ตากลับสว่าง หายง่วง

คำตอบ มันไม่มีอะไรหรอก กิเลสทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องไปหาวิธีการอะไร หาวิธีการคนที่ทุกข์ก็คือตัวเราเอง พึงระวังความอยากที่แทรกอยู่ จริงๆแล้วสภาวะมันเปลี่ยนตลอดเวลา ง่วงมั่ง ไม่ง่วงมั่ง ช่างมัน

ขอถามต่อ อะไรเกิดขึ้น ให้แค่รู้ใช่ไหมคะ?

คำตอบ ค่ะ ถ้าทำได้ ถ้ายังทำไม่ได้ จิตมันคิดอะไรก็ให้รู้ไปตามนั้น ใหม่ๆจะเป็นแบบนี้แหละ

หมายเหตุ:-

สภาวะนี้เจอมากับตัวเอง เรียกว่าเดินย่ำจนจำสภาวะได้หมด อันนี้เล่าสู่กันฟัง อาจจะมีสภาวะที่เหมือนหรือไม่เหมือนกันก็ได้ แต่ที่แน่นอนคือ ไม่มีอะไรเที่ยง สภาวะสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา

เมื่อก่อน เวลาเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิจะชอบง่วง ก็หาวิธีการน่ะสิ ทำยังไงถึงจะไม่ให้ง่วง ลองทุกรูปแบบ สุดท้ายคือ ง่วงมั่ง ไม่ง่วงมั่ง ล้วนคาดเดาเอาเอง ว่าต้องเกิดจากเพราะเหตุนั้น เหตุนี้ คาดเดาตลอด ตอนนั้นสติยังไม่มากพอที่จะมองเห็นกิเลสที่เข้ามาแทรก กิเลสที่เป็นกุศล อยากทำความเพียรจ่อเนื่อง พยายามไม่ให้ง่วง มองไม่เห็นจริงๆนะ ความอยาก

ก็ทำไมต้องไปหาวิธีการด้วยล่ะ ความอยากในใจที่เกิดขึ้นดูทันไหม? ส่วนมากคือไม่ทันกันซะมากกว่า เพราะกิเลสความอยากที่เป็นกุศลนี้จะมีสภาวะที่ละเอียดมากกว่ากิเลสที่เป็นอกุศล

บางคนอาจจะพูดว่า ก็พระพุทธเจ้ายังทรงให้ลองทุกวิธีเลย ถ้าไม่ไหวจริงๆให้นอนไปเลย

อ่ะ มาพิจรณากัน สภาวะนี้ทำให้เกิดตัวปัญญานะ ถ้ารู้จักคิดพิจรณาหรือเจอกับสภาวะนี้บ่อยๆ แล้วพยายามแก้ไขสภาวะ

ทำไมพระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้ทำแบบนั้นล่ะ

เพราะพระองค์ทรงต้องการให้เรียนรู้สภาวะด้วยตัวเอง รู้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ให้เชื่อในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสไปทุกอย่าง ควรคิดพิจรณาด้วยตนเองกันมั่ง

สภาวะไม่ว่าจะเดินแล้วง่วง หรือนั่งแล้วง่วงก็ตาม บางคนอาจจะมองว่า เพราะกินอิ่มไปไหม? เพราะเหนื่อยหรือเปล่า? เพราะดึกแล้วหรือเปล่า?ฯลฯ มีแต่คำว่าเพราะๆๆๆๆๆ อย่างนั้น อย่างนี้ จริงไหม? มีแต่การให้ค่า การคาดเดาสภาวะ

แท้จริงแล้ว ตัวสภาวะเขามาสอนตลอดเวลา มันเที่ยงไหม เวลานี้อาจจะง่วง ก็คาดเดาละว่า เพราะดึกไปไหม? วันต่อไปทำแต่วัน ยังง่วงอีก อ้าวหาเหตุอื่นๆต่อว่าอาจจะเพราะอย่างนั้น อย่างนี้

นี่นะ สภาวะเหล่านี้ เจอกับตัวเองมาหมดแล้ว ไม่งั้นจะพูดไม่ได้แบบเต็มปาก เดินจงกรมน่ะ เดินเป็นพันๆกิโลได้แล้วกระมัง ไม่รู้กี่พันกี่หมื่นกิโลละ ถ้าคนทำทุกวันจะเข้าใจนะ

ทำจนเรียกว่า จดจำทุกๆสภาวะได้หมด เลิกให้ค่าแล้ว เดินแล้วง่วงเหรอ ไม่ต้องหาคำตอบหรือหาเหตุอะไรเลย ไม่ต้องไปหาว่าง่วงเพราะอะไร เปลี่ยนอิริยาบททันที

ถ้าเดินไปสักพักต่อแล้วยังง่วงอีก จะเดินไปที่โซฟา นั่งต่อเลย ไม่ก็นั่งที่พื้นน่ะแหละ ที่ไหนได้ พอนั่งลงปั๊บ ก้นยังไม่ทันสัมผัสพื้น จิตเป็นสมาธิทันที นี่เห้นไหม ไปคาดเดาไม่ได้ บางทีเป็นสมาธิทีหลายชั่วโมง เราก็นั่งรู้ไปแบบนั้นแหละ

ประเภทเดินแล้วเกิดความคิดอีกอย่าง อันนี้แล้วแต่อุบายของแต่ละคนนะ เจอมาเยอะแล้ว เดินแล้วคิดๆๆๆๆ บางทีคิดจนเวียนหัว มันจะคิดอะไรนักหนา กำหนดคิดหนอๆๆๆ ก็แล้ว ยังไม่ยอมหยุดคิดสักที ตอนหลังเลิกกำหนด แต่ดู และรู้ว่าคิด แล้วมาสนใจในกายต่อ ดูลมมั่ง เท้ามั่ง มือขยับไปมามั่ง สุดท้ายความคิดหายไปเอง

ก็เราไปสนใจมันเอง ยิ่งสนใจ สภาวะความคิดยิ่งแผลงฤทธิ์ คิดก็ให้รู้ว่าคิด ไม่ต้องไปปฏิเสธ ยอมรับไป แล้วมารู้ที่เท้ากำลังเดิน หรือจะรู้ลมหายใจ หรือจะรู้กายส่วนอื่นๆ ให้รู้อยู่ในกายนี่แหละ พอมันเห็นเราไม่สนใจ ความคิดจะหายไปเอง รู้ไปแบบนี้แหละ สภาวะจะเกิดสลับไปสลับมา ก็ยังมีกิเลสนี่นะ ความคิดย่อมมีเป็นเรื่องธรรมดา

ถ้าบางคนถนัดกำหนด ก็กำหนดไป ไม่มีอะไรถูกหรือผิดหรอก เหตุของแต่ละคนสร้างมาแตกต่างกันไป อุบายที่ใช้ในการรักษาจิต จึงแตกต่างกันไป

อ้อ … เวลาต้องการให้สภาวะไหนเกิดชัด เช่นเดินจงกรม ต้องการให้รู้เท้าชัด ควรถามตอบตัวเองด้วยว่า ที่ต้องการให้รู้ชัดน่ะ รู้ชัดไปเพื่ออะไร พึงระวังกิเลสให้ดีๆ มันเข้าแทรกได้ตลอดเวลา ทำเพราะความอยาก แต่ไม่รู้ว่าอยาก

Previous Older Entries

กุมภาพันธ์ 2011
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28  

คลังเก็บ