แค่คนนอก

สภาวะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้เวลานอน จิตจะเป็นสมาธิมากขึ้น เราไม่ค่อยขยับตัว ไม่ใช่เพราะกลัวสมาธิคลายหรืออะไร แต่เพราะเข้าใจสภาวะมากขึ้น

การที่จิตเป็นสมาธิเวลานอน จะทำให้รู้สึกตัว รู้ชัดในกาย โอภาสเกิดเป็นช่วงๆ

จิตเขาฉลาดกว่าเรา รู้ว่าควรทำอย่างไรกับสภาวะ ส่วนเรานั้นยังคงโง่กับกิเลสเหมือนเดิม ยังมีอยู่กับปัจจุบันทันบ้าง ไม่ทันบ้าง ในบางตรั้ง

วันนี้ มีการกระทบ ตัวสภาวะเขามาแสดงตอกย้ำสภาวะอีกครั้งว่า ไม่ว่าจะพ่อ แม่ พี่น้อง สามี ภรรยา ทุกๆคนเกี่ยวข้องกันแค่สมมุติ ตามเหตุที่ทำมาร่วมกัน

แต่เมื่อผลของเหตุของใครที่กำลังส่งผลให้ได้รับอยู่ แล้วคนๆนั้น ยังมีความไม่รู้อยู่ ยังคงหลงสร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้น เมื่อเกิดสภาวะเช่นนี้ เราต้องแค่ดู แค่รู้ แต่จะไปบอกอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น เพราะเราจะกลายเป็นคนนอกไปสำหรับคนๆนั้น

อย่างที่บอกไว้แล้วว่า ต่อให้คนนั้นๆจะเกี่ยวข้องกับเราในด้านไหนๆก็ตาม นั่นคือฐานะตามสมมุติ แต่โดยสภาวะเราคือคนนอก เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น นั่นคือผลของเหตุที่เขาได้รับ และเขากำลังหลงสร้างเหตุขึ้นมาใหม่จากสภาวะนั้นๆ

สภาวะคนไร้ใจ

สภาวะนี้ เราเริ่มเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆว่า ทำไมถึงเป็นคนไร้ใจ เพราะเรา ตัวของเราโดยสภาวะเกี่ยวข้องกับคนเหล่านั้นตามสมมุติ ล้วนเป็นเพียงแค่เหตุ แต่โดยสภาวะที่แท้จริง เราเป็นแค่คนนอกสำหรับเขา

นี่สภาวะเขามาสอน ซึ่งมันก็ตรงกับสภาวะที่บอกว่า ให้แค่ดู แค่รู้ไป อย่าเข้าไปวิพากย์ วิจารณ์ เพราะเขาไม่ฟังเราหรอก เราลองทำแล้ว ผลมันออกมาเป็นแบบนั้นจริงๆ

อีกอย่าง การที่เราไปวิพากย์วิจารณ์ ถ้าก่อให้เกิดความยินดีหรือยินร้ายต่อคนๆนั้น นั่นคือเหตุใหม่ที่เราได้ทำลงไป เมื่อมีเหตุ ย่อมมีผล

เราควรพูดแค่ที่ควรพูด ถ้าผลออกมาแล้วมันไม่ใช่ เราต้องจบด้วยตัวเอง เพราะนั่นคือเหตุของเขา เรามีหน้าที่เพียง เจริญสติของเราต่อไป แล้วแผ่เมตตาให้เขาเหล่านั้น จงมีความสุข เพราะใครๆล้วนชอบและต้องการความสุข

ส่วนจะสุขแบบไหนหรืออะไร ล้วนเป็นเหตุของเขาที่เขาสร้างขึ้นมาเอง ตามการให้ค่าของแต่ละคนเท่านั้นเอง เราไปคิดแทนไม่ได้ เพราะนั่นคือ สภาวะของเขา กิเลสของใครของมัน ใครที่ยังมีความไม่รู้อยู่มากน้อยแค่ไหน ย่อมสร้างเหตุไปตามความไม่รู้นั้นๆ

ทุกๆสภาวะที่เกิดขึ้น ล้วนมาสอนให้เราปล่อยวางมากขึ้น ให้ตั้งสติให้ทัน แล้วแค่ดู แค่รู้ไปตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เพราะการเคลื่อนไหวอะไรออกไป ล้วนเป็นการสร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้น

นี่แหละด่านใจ ช่างยากจริงๆสำหรับเราในตอนนี้ สติเรายังไม่ทัน เราตรวจสอบตัวเองตลอด คือ จิตเขาเป็นของเขาเอง ไม่ใช่เราคิดตวจสอบตัวเอง มันเป็นเองโดยอัตโนมัติ

เรียกว่าเดี๋ยวนี้พอเกิดการกระทบ แล้วเราได้กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งลงไป หลังจากสภาวะนั้นผ่านไปแล้ว จิตจะเป็นสมาธิเอง แล้วจะมีการคิดพิจรณาสภาวะที่เกิดขึ้น มันจะเป็นแบบนั้น

อย่างคืนนี้ มันมีเหตุนะ โดนยุงกัดจนนอนไม่ได้ มีเหตุให้ต้องลุกขึ้นมาเขียนบันทึก ตอนที่เรานอน เดี๋ยวนี้จิตชอบเป็นสมาธิเกือบจะทุกอิริยาบท

วันนี้ตอนนอนก็เช่นกัน จิตเป็นสมาธิต่อเนื่อง รู้ชัดในกายได้ดี แล้วจิตเขาพิจรณาเรื่องสภาวะในวันนี้ เมื่อจิตพิจรณา เราต้องบันทึก ไม่บันทึก มันเหมือนขาดอะไรไป เพราะมันคือความต่อเนื่องของสภาวะ

เหมือนเรื่องในบล็อกที่เขียนผ่านๆมา มีหลายๆเรื่องที่อยากจะลบทิ้ง แต่ว่าพออ่านอย่างต่อเนื่องแล้ว มันเป็นเรื่องราวของสภาวะกิเลสที่เกิดขึ้น มันเป็นเรื่องต่อเนื่องกันตามความเป็นจริง

เราต้องบอกตัวเองเสมอๆว่า เราแค่คนนอกนะ เพื่อจะได้ปล่อยวางได้ทันมากขึ้น อยู่กับปัจจุบันให้ทันมากขึ้น เพราะนั่นคือเหตุของเขา เราช่วยได้แค่แผ่เมตตาให้ทุกคนจงมีความสุข หน้าที่ที่เหลือในชีวิตของเราคือ เจริญสติต่อไป จะได้ไม่หลงตกเป็นขี้ข้ากิเลสต่อไป เรียกว่า เป็นผู้ไม่หวนกลับหลังอีกแล้ว

สู้ๆต่อไป กิเลสในตัวยังมีมากมายที่ละเอียดจนเราดูไม่ทัน กว่าจะทัน ต้องเสียค่าโง่ไปกับกิเลส แล้วจะไปยุ่งอะไรกับกิเลสนอกตัว ที่มีแต่เหตุของคนอื่นๆล่ะ

กว่าจะรู้ต้องผิดพลาด ถึงจะเข็ด ถ้ายังไม่เข็ดก็ยังคงหลงสร้างเหตุใหม่ต่อไป ทุกคนต้องเรียนรู้ด้วยสภาวะของตนเอง

กุมภาพันธ์ 2011
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28  

คลังเก็บ