ภิกษุ ท. ! ความจริงอันประเสริฐคือทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! ความเกิด เป็นทุกข์, ความแก่ เป็นทุกข์, ความตาย เป็นทุกข์,
ความโศก ความรํ่าไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ เป็นทุกข์,
ความประสพด้วยสิ่งไม่เป็นที่รัก เป็นทุกข์, ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักเป็นทุกข,
ความปรารถนาอย่างใดแล้ว ไม่ได้อย่างนั้น เป็น ทุกข์ ;
กล่าวโดยสรุปแล้ว ปัญจุปาทานขันธ์ (ขันธ์ห้าอันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน) เป็นตัวทุกข์ ;
นี้ เรียกว่า ความจริงอันประเสริฐคือ ทุกข์.
– ติก. อํ. ๒๐/๒๒๗/๕๐๑.
ภิกษุ ท. ! ทุกขอริยสัจ เป็นอย่างไรเล่า ?
แม้ความเกิด ก็เป็นทุกข์, แม้ความแก่ ก็เป็นทุกข์, แม้ความตาย ก็เป็นทุกข์,
แม้โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย ก็เป็นทุกข์, การประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์,
ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รัก เป็นทุกข์, ปรารถนาสิ่งใดแล้ว ไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์ :
กล่าวโดยย่อ ปัญจุปาทานขันธ์ทั้งหลายเป็นทุกข์.
ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า ทุกขอริยสัจ.
ภิกษุ ท. ! ก็ อริยสัจคือทุกข์ นั้นเป็นอย่างไรเล่า ?
ความเกิดก็เป็นทุกข์, ความแก่ก็เป็นทุกข์, ความตายก็เป็นทุกข์, ความโศก ความร่ำไรรำพัน
ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ ก็เป็นทุกข์,
ความระคนด้วยสิ่งไม่เป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์,
ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์,
ความที่ตนปรารถนาแล้วไม่ได้สิ่งนั้นสมหวัง ก็เป็นทุกข์,
กล่าวโดยย่อ ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือทั้ง ๕ เป็นทุกข์.
ภิกษุ ท. ! ความเกิด เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! การเกิด การกำเนิด การก้าวลง การบังเกิด
การบังเกิดโดยยิ่ง ภาวะแห่ง ความปรากฏของขันธ์ทั้งหลาย
การที่สัตว์ได้อายตนะทั้งหลาย ในจำพวกสัตว์นั้น ๆ ของสัตว์นั้น ๆ,
นี้เราเรียกว่าความเกิด.
ภิกษุ ท. ! ความแก่ เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! ความแก่ ความคร่ำคร่า ความมีฟันหลุด ความมีผมหงอก ความมีหนังเหี่ยว
ความสิ้นไป ๆ แห่งอายุ ความแก่รอบแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย
ในสัตวนิกายนั้น ๆ ของสัตว์เหล่านั้น ๆ,
นี้เราเรียกว่าความแก่.
ภิกษุ ท. ! ความตาย เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! การจุติ ความเคลื่อน การแตกสลาย การหายไป การวายชีพ การตาย การทำกาละ
การแตกแห่งขันธ์ การทอดทิ้งร่าง การขาดแห่งอินทรีย์คือชีวิต จากจำพวกสัตว์นั้น ๆ ของสัตว์เหล่านั้น ๆ,
นี้เราเรียกว่าความตาย.
ภิกษุ ท. ! ความโศก เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! ความโศก ความเศร้า ความเป็นผู้เศร้า ความโศกกลุ้มกลัด
ความโศกสุมกลุ้มกลัด ของบุคคลผู้เผชิญแล้วด้วยความวิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง
อันความทุกข์ ชนิดใดชนิดหนึ่งกระทบแล้ว ;
นี้ เรียกว่า ความโศก.
– มหา. ที. ๑๐/๓๔๑/๒๙๕.
ภิกษุ ท. ! ความโศก เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! ความโศก การโศก ภาวะแห่งการโศก ความโศกในภายใน
ความโศกทั่วในภายใน ของบุคคลผู้ประกอบแล้วด้วยความฉิบหายอันใดอันหนึ่ง
หรือของบุคคล ผู้อันความทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบแล้ว,
นี้เราเรียกว่าความโศก.
ภิกษุ ท. ! ความรํ่าไรรำพัน เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! ความคร่ำครวญ ความร่ำไรรำพัน การคร่ำครวญ การร่ำไรรำพัน
ภาวะแห่งผู้คร่ำครวญ ภาวะแห่งผู้ร่ำไรรำพัน ของบุคคลผู้ประกอบแล้วด้วยความฉิบหายอันใดอันหนึ่ง
หรือของบุคคลผู้อันความทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบแล้ว.
นี้เราเรียกว่าความร่ำไรรำพัน.
ภิกษุ ท. ! ความทุกข์กาย เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! การทนได้ยากที่เป็นไปทางกาย ความไม่ผาสุกที่เป็นไปทางกาย ที่เป็นไปทางกาย
การทนยากที่เกิดแต่ความกระทบทางกาย ความรู้สึกที่ไม่ดี อันเกิดแต่ความกระทบทางกายใดๆ,
นี้เราเรียกว่าความทุกข์กาย.
ภิกษุ ท. ! ความทุกข์ใจ เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! ความทนได้ยากที่เป็นไปทางใจ ความไม่ผาสุกที่เป็นไปทางใจ ความทนได้ยาก
ความรู้สึกอันไม่ผาสุก ที่เกิดแต่ความความกระทบทางใจ ;
นี้ เรียกว่า ความทุกข์ใจ.
– มหา. ที. ๑๐/๓๔๒/๒๙๕.
ภิกษุ ท. ! ความคับแค้นใจ เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! ความกลุ้มใจ ความคับแค้นใจ ภาวะแห่งผู้กลุ้มใจ
ภาวะแห่งผู้คับแค้นใจ ของบุคคลผู้ประกอบแล้วด้วย ความฉิบหายอันใดอันหนึ่ง
หรือของบุคคลผู้อันทุกข์อย่างใด อย่างหนึ่งกระทบแล้ว,
นี้เราเรียกว่าความคับแค้นใจ.
ภิกษุ ท. ! ความระคนด้วยสิ่งไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! ในโลกนี้ อารมณ์คือรูป เสียง รส โผฏฐัพพะเหล่านั้น
อันเป็นที่ไม่น่าปรารถนารักใคร่พอใจ แก่ผู้ใด หรือว่าชนเหล่าใดเป็นผู้ไม่หวังประโยชน์
ไม่หวังความเกื้อกูล ไม่หวังความผาสุก ไม่หวังความเกษมจากเครื่องผูกรัด ต่อเขา.
การที่ไปด้วยกัน การมาด้วยกัน การหยุดอยู่ร่วมกัน ความปะปนกันกับด้วยอารมณ์
หรือบุคคลเหล่านั้น,
นี้เราเรียกว่า ความระคน ด้วยสิ่งไม่เป็นที่รักเป็นทุกข์.
ภิกษุ ท. ! ความพลัดพรากจากสิ่งเป็ นที่รักเป็ นทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! ในโลกนี้ อารมณ์คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะเหล่านั้น
อันเป็นที่น่าปรารถนารักใคร่พอใจ ของผู้ใด
หรือว่าชนเหล่าใดเป็นผู้หวังประโยชน์ หวังความเกื้อกูล หวังความผาสุก
หวังความเกษมจากเครื่องผูกรัดต่อเขาคือมารดา บิดา พี่น้องชาย พี่น้องหญิง มิตร อมาตย์ ญาติสาโลหิตก็ตาม,
การที่ไม่ได้ไปร่วม การที่ไม่ได้มาร่วม การไม่ได้หยุดอยู่ร่วม ไม่ได้ปะปนกับด้วยอารมณ์
หรือบุคคลเหล่านั้น,
นี้เราเรียกว่า ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักเป็นทุกข์.
ภิกษุ ท. ! ความที่สัตว์ปรารถนาแล้วไม่ได้สิ่งนั้นสมหวังเป็นทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! ความปรารถนาเกิดขึ้นแก่สัตว์ผู้มีความเกิดเป็นธรรมดา อย่างนี้ว่า
“โอหนอ ! ขอเรา ท. ไม่พึงเป็นผู้มีความเกิดเป็นธรรมดา และความเกิดไม่พึงมาถึงเรา ท. หนอ,”
ก็ข้อนี้ไม่ใช่สัตว์จะบรรลุได้ด้วยความปรารถนา.
แม้นี้ก็ชื่อว่า ปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้นเป็นทุกข์.
ภิกษุ ท. ! ความปรารถนาเกิดขึ้นแก่สัตว์ผู้มีความแก่เป็นธรรมดา อย่างนี้ว่า
“โอหนอ ! ขอเรา ท. ไม่พึงเป็นผู้มีความแก่เป็นธรรมดา และความแก่ไม่พึงมาถึงเรา ท. หนอ,”
ก็ข้อนี้ไม่ใช่สัตว์จะบรรลุได้ด้วยความปรารถนา.
แม้นี้ก็ชื่อว่าปรารถนาสิ่งใด แล้วไม่ได้สิ่งนั้น เป็นทุกข์.
ภิกษุ ท. ! ความปรารถนาเกิดขึ้นแก่หมู่สัตว์ผู้มีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา….
มีความตายเป็นธรรมดา…. มีความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ
ความคับแค้นใจ เป็นธรรมดา….
…. ก็ข้อนี้ไม่ใช่สัตว์จะบรรลุได้ด้วยความปรารถนา.
แม้นี้ก็ชื่อว่า ปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้น เป็นทุกข์.
ภิกษุ ท. ! กล่าวโดยย่อ ขันธ์อันเป็ นที่ตั้งแห่งความยึดถือทั้ง ๕ เป็นทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ?
นี้คือ ขันธ์เป็นที่ตั้ง แห่งความยึดถือได้แก่ รูป,
ขันธ์เป็นที่ตั้ง แห่งความยึดถือได้แก่ เวทนา,
ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่ง ความยึดถือได้แก่ สัญญา,
ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่ง ความยึดถือได้แก่ สังขาร,
ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่ง ความยึดถือได้แก่ วิญญาณ.
ภิกษุ ท. ! เหล่านี้ เราเรียกว่า กล่าวโดยย่อ ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ เป็นทุกข์.
ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่าอริยสัจ คือ ทุกข์.
ภิกษุ ท. ! ข้อที่เรากล่าวว่า “พึงรู้จักทุกข์, พึงรู้จักเหตุ เป็นแดนเกิดของทุกข์,
พึงรู้จักความเป็นต่างกันของทุกข์, พึงรู้จักผลของทุกข์, พึงรู้จัก ความดับไม่เหลือของทุกข์,
และพึงรู้จักทางดำเนิน ให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์” ดังนี้นั้น,
ข้อนั้น เรากล่าวหมายถึงอะไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! ข้อนั้น เรากล่าวหมายถึง ความเกิด เป็นทุกข์, ความแก่
เป็นทุกข์, ความเจ็บไข้ เป็นทุกข์, ความตาย เป็นทุกข์, ความโศก
ความรํ่าไรรํ่าพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ เป็นทุกข์,
ความปรารถนาอย่างใดแล้ว ไม่ได้อย่างนั้น เป็นทุกข ;
กล่าวโดยสรุปแล้ว ปัญจุปาทานขันธ์ เป็นทุกข์.
ภิกษุ ท. ! เหตุเป็นแดนเกิดของทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! ตัณหา เป็นเหตุเป็นแดนเกิดของทุกข์.
ภิกษุ ท. ! ความเป็นต่างกันของทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! ทุกข์ที่มีประมาณยิ่ง มีอยู่, ที่มีประมาณเล็กน้อย มีอยู่,
ที่คลายช้า มีอยู่, และที่คลายเร็ว มีอยู่.
ภิกษุ ท. ! นี้เรียกว่า ความเป็นต่างกันของทุกข์.
ภิกษุ ท. ! ผลของทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกความทุกข์ชนิดใดครอบงำแล้ว มีจิตอันความทุกข์
รวบรัดแล้ว ย่อมโศกเศร้า ย่อมระทมใจ คร่ำครวญ ตีอกร่ำไห้ ย่อมถึงความหลงใหล ;
หรือว่า ถูกความทุกข์ชนิดใดครอบงำแล้ว มีจิตอันความทุกข์รวบรัด
แล้ว ย่อมถึงการแสวงหาที่พึ่งภายนอก ว่า
“ใครหนอย่อมรู้วิธี เพื่อความดับไม่เหลือของทุกข์นี้ สักวิธีหนึ่ง หรือสองวิธี” ดังนี้.
ภิกษุ ท. ! เรากล่าวว่า ความทุกข์มีความหลงใหลเป็ นผล
หรือมิฉะนั้น ก็มีการแสวงหาที่พึ่งภายนอกเป็นผล.
ภิกษุ ท. ! นี้เรียกว่า ผลของทุกข์.
ภิกษุ ท. ! ความดับไม่เหลือของทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! ความดับไม่เหลือของทุกข์ มีได้ เพราะความดับไม่เหลือของตัณหา.
ภิกษุ ท. ! อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้นั่นเอง เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์,
ได้แก่ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ ; การพูดจาชอบ การทำการงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ;
ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ. ….
ภิกษุ ท. ! คำใด ที่เรากล่าวว่า “พึงรู้จักทุกข์, พึงรู้จักเหตุเป็นแดนเกิดของทุกข์,
พึงรู้จักความเป็นต่างกันของทุกข์, พึงรู้จักผลของทุกข์, พึงรู้จักความดับไม่เหลือของทุกข์,
และพึงรู้จักทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์” ดังนี้นั้น,
เรากล่าวหมายถึงความข้อนี้ แล.
– ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๖๔/๓๓๔.
ภิกษุ ท. ! อริยสัจคือทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ?
ควรจะกล่าวว่าได้แก่ อุปาทานขันธ์ห้า.
อุปาทานขันธ์ห้า อย่างไรเล่า ?
อุปาทานขันธ์ห้าคือ รูปูปาทานขันธ์ เวทนูปาทานขันธ์ สัญญูปาทานขันธ์ สังขารูปาทานขันธ์
วิญญาญูปาทานขันธ์.
ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า อริยสัจคือทุกข์.
– มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๓๔/๑๖๗๙.
ความเป็นทุกข์สามลักษณะ
ภิกษุ ท. ! ความเป็นทุกข์ มีสามลักษณะเหล่านี้.
สามลักษณะ เหล่าไหนเล่า ? สามลักษณะคือ :-
๑. ความเป็นทุกข์ เพราะมีลักษณะทนได้ยาก,
๒. ความเป็นทุกข์ เพราะมีลักษณะเป็นของปรุงแต่งและปรุงแต่งสิ่งอื่น พร้อมกันไปในตัว,
๓. ความเป็นทุกข์ เพราะมีลักษณะแห่งความแปรปรวนเป็นไปต่าง ๆ.
ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล คือ ความเป็นทุกข์สามลักษณะ.
– มหาวาร. สํ. ๑๙/๘๕/๓๑๙.
ความทุกข์ของเทวดาและมนุษย์ตามธรรมชาติ
ภิกษุ ท. ! เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย มีรูปเป็นที่มายินดี ยินดีแล้วในรูป
บันเทิงแล้วในรูป ย่อม อยู่เป็ นทุกข์ เพราะความแปรปรวนจางคลายดับไปแห่งรูป.
(ในกรณีแห่ง เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ และ ธรรมมารมณ์ ก็ตรัสอย่างเดียวกัน).
ภิกษุ ท. ! ส่วนตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะ รู้แจ้งความเกิด ความตั้งอยู่ไม่ได้
รสอร่อย โทษ และอุบายเครื่องสลัดออก แห่งรูป ตามเป็นจริง
ไม่มีรูปเป็นที่มายินดี ไม่ยินดีในรูป ไม่บันเทิงในรูป ยังคงอยู่เป็นสุขแม้
เพราะความแปรปรวนจางคลายดับไปแห่งรูป.
(ในกรณีแห่ง เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ และ ธรรมารมณ์ ก็ตรัสอย่างเดียวกัน).
– สฬา. สํ. ๑๘/๑๕๙/๒๑๖.
อายตนะหกเป็นทุกขอริยสัจ
ภิกษุ ท. ! อริยสัจคือทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ?
ควรจะกล่าวว่าได้แก่ อายตนะภายในหก.
อายตนะภายในหกเหล่าไหนเล่า ?
หกคือ จักขุอายตนะ โสตะอายตนะ ฆานะอายตนะ ชิวหาอายตนะ กายะอายตนะ มนะอายตนะ.
ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า อริยสัจคือ ทุกข์.
– มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๓๕/๑๖๘๕.