กงล้อของเวลา
เวลาเคลื่อน ใจไม่เคลื่อน ตามเวลา
เช้านี้ เล่าให้เจ้านายฟังว่า ตั้งแต่รู้ชัดในความตาย(ครั้งที่ 2)
ใจมันแปลกนะ มันไม่เหมือนเมื่อก่อน รู้สึกชัดมากๆ
ใจแนบแน่นกับความเพียร 24 ชม.
ไม่มีคำว่ากลางวันและกลางคืน
ไม่มีการแยกจากกันว่า
นี่คือกลางวัน
นี่คือกลางคืน
.
เหตุปัจจัยจาก ความรู้ชัดว่า จิตเป็นสมาธิ และจิตไม่เป็นสมาธิ
รู้ชัด ขณะจิตเป็นสมาธิ และจิตที่เป็นสมาธิ มีเกิดขึ้นเนืองๆ
การนอน ไม่ต่างกับการทำความเพียรในกลางวัน
ลักษณะอาการที่มีเกิดขึ้นเหมือนกันเป๊ะๆ
รู้ชัดขณะจิตเป็นสมาธิ และดับลงไป
จะไม่มีคำเรียกต่างๆเช่น ฌานนั่นนี่
เพราะจิตละบัญญัติเหล่านั้นขาดแล้ว
(หลังสภาวะจิตดวงสุดท้าย/ความตาย ครั้งที่2)
เพราะไม่ถือมั่น เกี่ยวกับคำเรียกต่างๆ ขณะจิตเป็นสมาธิ
และสิ่งที่มีเกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิ
รู้ชัดในท่ามกลางระหว่างการมาและการไป
เป็นปัจจัยให้ ไม่มีความถือมั่น ในรูปภพและอรูปภพ
(สิ่งที่มีเกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิ)
กล่าวคือ รูปภพและอรูปภพ ละขาดแล้ว
.
เกี่ยวกับเหตุปัจจัยที่ยังมีอยู่
ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ
เพียรละเนืองๆ มากกว่าสานต่อ
.
เมื่อพยายามหยุดมากกว่าสานต่อ
เป็นปัจจัยให้เกิดความสงบ ระงับ
เป็นปัจจัยให้เกิดความรู้ชัด
ไม่เที่ยง ที่มีเกิดขึ้นเนืองๆ
(แปรปรวนตามเหตุและปัจจัย)
เป็นทุกข์ ที่มีเกิดขึ้นเนืองๆ
(ความบีบคั้น ความทนอยู่ได้ยาก)
เป็นอนัตตา ที่มีเกิดขึ้นเนืองๆ
(เกิดเพราะเหตุ ดับเพราะเหตุ โดยตัวสภาวะเอง
ไม่ใช่จากใครหรืออะไร ดลบันดาลให้มีเกิดขึ้นหรือให้ดับหายไป)
.
เป็นปัจจัยให้เกิดความเบื่อหน่าย
ทั้งเหตุปัจจัยที่มีอยู่ และภพชาติของการเกิด
จิตย่อมถ่ายถอนอุปทานขันธ์ 5 ที่มีอยู่
เมื่อความเบื่อหน่ายมีเกิดขึ้นเนืองๆ
ในเหตุปัจจัยและภพชาติของการเกิด
มรณาสัญญา ย่อมมีเกิดขึ้นเนืองๆ
สภาวะจิตดวงสุดท้ายก่อนหมดลมหายใจ/ความตาย
หรือที่เรียกว่า วิโมกข์ 3
เป็นปัจจัยให้เกิดความรู้ชัดในลักษณะอาการของ
ขันธ์ 5 และอุปทานขันธ์ 5 ที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง
ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
และความถือมั่นใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
เป็นคำตอบของภพชาติการเกิดที่ยังมีอยู่
เมื่อถือมั่น จึงเกิดความสะดุ้งหวาดเสียว และกลัวตาย
—–
ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงความสะดุ้งหวาดเสียว
เพราะอุปาทานแก่พวกเธอ เธอทั้งหลายจงฟังข้อนั้น
กระทำไว้ในใจให้สำเร็จประโยชน์ เราจักกล่าวบัดนี้
ภิกษุทั้งหลาย ! ความสะดุ้งหวาดเสียวเพราะอุปาทาน
เป็นอย่างไรเล่า ?
…
ภิกษุทั้งหลาย ! ในโลกนี้บุถุชนผู้ไม่ได้ยินได้ฟัง
ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้า ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยเจ้า
ไม่ถูกแนะนำในธรรมของพระอริยเจ้า
ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ
ไม่ถูกแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ
เขาย่อมตามเห็นอยู่เป็นประจำซึ่งรูป โดยความเป็นตนบ้าง
ย่อมตามเห็นอยู่เป็นประจำซึ่งตน ว่ามีรูปบ้าง
ย่อมตามเห็นอยู่เป็นประจำซึ่งรูป ว่ามีอยู่ในตนบ้าง
ย่อมตามเห็นอยู่เป็นประจำ ซึ่งตนว่ามีอยู่ในรูปบ้าง
แต่รูปนั้นย่อมแปรปรวน ย่อมเป็นโดยประการอื่นแก่เขา
วิญญาณของเขา
ก็เป็นวิญญาณที่เปลี่ยนแปลงไป
ตามความแปรปรวนของรูป
เพราะความแปรปรวนของรูป ไ
ด้มีโดยประการอื่น
…
ความเกิดขึ้นแห่งธรรม
เป็นเครื่องสะดุ้งหวาดเสียว อันเกิดมาจาก
การเปลี่ยนแปลงไปตามความแปรปรวนของรูป
ย่อมครอบงำจิตของเขา ตั้งอยู่
เพราะความที่จิตถูกครอบงำ
ด้วยธรรมเป็นเครื่องสะดุ้งหวาดเสียว
เขาก็เป็นผู้หวาดสะดุ้ง คับแค้น พะว้าพะวัง
และสะดุ้งหวาดเสียวอยู่ด้วยอุปาทาน
(ในกรณีที่เกี่ยวกับเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ก็มีข้อความที่ตรัสเหมือนกับในกรณีแห่งรูป)
ภิกษุทั้งหลาย ! ความสะดุ้งหวาดเสียวเพราะอุปาทาน
ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ แล
.
.
ผู้ที่ไม่มีความสะดุ้งหวาดกลัว ไม่กลัวตาย
เกิดจาก ผู้ที่ปรารถนาความตายเนืองๆ
เพราะเบื่อหน่ายในเหตุปัจจัยและภพชาติการเกิด
ซึ่งมีเกิดขึ้นเนืองๆ
.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้าเมื่อภิกษุมีใจอันอบรมแล้ว
ด้วยมรณสัญญาอยู่โดยมาก
จิตย่อมหวนกลับ งอกลับ ถอยกลับจากการรักชีวิต
ไม่ยื่นไปรับความรักชีวิต
อุเบกขาหรือความเป็นของปฏิกูลย่อมตั้งอยู่ไซร้
ภิกษุพึงทราบข้อนั้นดังนี้ว่า มรณสัญญาอันเราเจริญแล้ว
คุณวิเศษทั้งเบื้องต้นและเบื้องปลายของเรามีอยู่
ผลแห่งภาวนาของเราถึงที่แล้ว