สิ่งสำคัญ ” อย่าโกหกตัวเอง “
30 พ.ย. 2009 ใส่ความเห็น
in บันทึก
สังโยชน์ 10
30 พ.ย. 2009 ใส่ความเห็น
in หนังสือ
สภาวะที่แสนเกลียด
23 พ.ย. 2009 ใส่ความเห็น
in ชีวิตประจำวัน, บันทึก
ปัญหาข้อที่ ๓ กลางวันเป็นเปลวได้แก่อะไร?
22 พ.ย. 2009 3 ความเห็น
in หนังสือ
ความทุกข์ของพระติสสเถระ
20 พ.ย. 2009 ใส่ความเห็น
in หนังสือ
พวกโจรกล่าวว่าสมณะ “ ใครจักประกันท่านในฐานะอย่างนี้ได้ ” พระเถระก็จับหินก้อนใหญ่ทุบกระดูกขาทั้งสองข้าง แล้วกล่าวว่าประกันพอใหม เหล่าโจรพวกนั้นก็ยังไม่หลบไป กลับก่อไฟนอนเสียที่ใกล้จงกรม พระเถระข่มเวทนา พิจารณาศีล อาศัยศีลที่บริสุทธิ์ ก็เกิดปีติและปราโมช ลับดับต่อจากนั้น ก็เจริญวิปัสสนา ทำสมณธรรมตลอดคืน ในยามทั้งสามพออรุณขึ้น ก็บรรลุพระอรหัตผลจึงเปล่งอุทานว่า
อุโภ ปาทานิ ภินฺทิตฺวา สญฺญมิสฺสามิ โว อหํ
อฏฏิยามิ หรายามิ สราคมรเณ อหํ
เอวาหํ จินฺตยิตฺวาน ยถาภูตํ วิปัสฺสิสํ
สมฺปตฺต อรุณุคฺคมหิ อรหตฺตํ อปาปุณึ.
เราทุบเท้าทั้งสองข้าง ป้องกันท่านทั้งหลาย
เราเอือมระอาในความตายทั้งที่ยังมีราคะ เราคิดอย่างนี้แล้ว
ก็เห็นแจ้งตามความเป็นจริง พอรุ่งอรุณมาถึง เราก็บรรลุพระอรหัต ดังนี้..
*-*ทุกข์ของภิกษุ ๓๐ รูป *-*
ภิกษุ ๓๐ รูป อีกกลุ่มหนึ่ง เรียนกัมมัฏฐานในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วจำพรรษาในวัดป่า ทำกติกากันว่า ผู้มีอายุ เราควรทำสมณธรรม ตลอดคืนฝนยามทั้งสาม เราไม่ควรมายังสำนักของกันและกัน แล้วต่างคนต่างอยู่
เมื่อภิกษุเหล่านั้นทำสมณธรรม ตอนใกล้รุ่งก็โงกหลับเสือตัวหนึ่งก็มาจับภิกษุไปกินทีละรูป ๆ ภิกษุไร ๆ ก็มิได้เปล่งแม้วาจาว่าเสือคาบผมแล้ว ๆ ภิกษุถูกเสือกินไป ๑๕ รูป ด้วยอาการอย่างนี้ ถึงวันอุโบสถภิกษุที่เหลือก็ถามว่า ท่านอยู่ที่ไหน และรู้เรื่องแล้วกล่าวว่า ถูกเสือคาบควรบอกว่า บัดนี้เสือคาบไป ๆ แล้วอยู่กันต่อไป
ต่อมาเสือก็จับภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง โดยนัยก่อน ภิกษุหนุ่มก็ร้องว่า เสือขอรับ ภิกษุทั้งหลายก็ถือไม้เท้า และคบเพลิงติดตามหมายว่าจะให้ทันปล่อย เสือก็ขึ้นไปยังเขาขาด ทางที่ภิกษุทั้งหลายไปไม่ได้ เริ่มกินภิกษุนั้น ตั้งแต่นิ้วเท้า ภิกษุทั้งหลายนอกนั้น ก็ได้แต่กล่าวว่าสัปบุรุษ บัดนี้ กิจที่พวกเราจะต้องทำไม่มี ขึ้นชื่อว่าความวิเศษของภิกษุทั้งหลายย่อมปรากฏในฐานะเช่นนี้
ภิกษุหนุ่มนั้น นอนในปากเสือ ข่มเวทนา เจ็บปวด แล้วเจริญวิปัสสนาตอนเสือกินข้อเท้า เป็นพระโสดาบัน ตอนกินไปถึงหัวเขาเป็นพระสกทาคามี ตอนเสือกินถึงท้อง เป็นพระอนาคามี ตอนเสือกินไปยังไม่ถึงหัวใจ ก็บรรลุพระอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา จึงเปล่งอุทาน ดังนี้
สีลวา วตฺตสมฺโน บญฺญวา สุสมาหิโต
มุหุตฺตํ ปมาทมนฺวาย พฺยคฺเฆ โน รุทฺธมานโส ปญฺชรสฺมึ โส
คเหตฺวา สิลาย อุปรี กโต กามํ ขาทตุ มํ พฺยคฺโฆ
อฏฺฐิยา จ นฺหารุสฺส จ กิเลเส เขปยิสฺสามิ ผุสิมฺสามิ วิมุตฺติยํ
เรามีศีล ถึงพร้อมด้วยวัตร มีปัญญา
มีใจมั่นคงดีแล้ว อาศัยความไม่ประมาท ครู่หนึ่ง
ทั้งที่มีใจไม่คิดร้ายในเสือ มันก็จับไว้ในกงเล็บ พาไปไว้บนก้อนหิน
เสือจงกินเราถึงกระดูกและเอ็นก็ตามที เราจักทำกิเลสให้สิ้นไป จักสัมผัสวิมุตติ ดังนี้…
ก็ท้าวสักกะ จอมเทพ ทรงเห็นบุพพนิมิต ๕ ประการ ของพระองค์ถูกมรณะภัยคุกคาม เกิดโทมนัส เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลถามปัญหา ท้าวเธอก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลพร้อมด้วยเทวดาแปดหมื่นองค์ด้วยอำนาจการวิปัสสนาอุเบกขาปัญหา เรื่องการอุบัติของเธอจึงกลับเป็นปกติอีก
เรื่องโทมนัสของสพรหมเทพบุตร
แม้สุพรหมเทพบุตร อันนางเทพอัปสรพันหนึ่ง ห้อมล้อม ก็เสวยสรรค์วมบัติ ในจำพวกนางเทพอัปสรพันหนึ่งนั้น นางเทพอัปสรห้าร้อยมัวเก็บดอกไม้จากต้น ก็จุติไปเกิดในนรก สุพรหมเทพบุตรรำพึงว่าทำไมเทพอัปสรเหล่านี้ชักช้าอยู่ ก็รู้ว่าพวกนางไปเกิดในนรก จึงหันหน้ามาพิจารณาดูตัวเอง อายุเท่าไรแล้วหนอ ก็รู้ว่าตนจะสิ้นอายุ จะไปเกิดในนรกนั้นด้วยก็หวาดกลัว เกิดโทมนัสอย่างยิ่ง เห็นว่า พระบรมศาสดาเท่านั้น จะยังความโทมนัสของเรานี้ให้พินาศไป ไม่มีผู้อื่น แล้วก็พานางเทพอัปสรห้าร้อยที่เหลือเข้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลถามปัญหาว่า
นิจฺจุตฺรมิทํ จตฺตํ นิจฺจุพฺพิคฺคมิทํ
มโน อนุปฺปนฺเนสุ กิจฺเจสุ อโถ อุปฺปตฺติเตสุ จ
สเจ อตฺถิ อนุตฺรสฺตํ ตํ เม อกฺขาหิ ปุจฺฉิโต
จิตนี้สะดุ้งอยู่เป็นนิตย์ จิดใจนี้หวาด
อยู่เป็นนิตย์ ทั้งในกิจที่ยังไม่เกิด ทั้งในกิจที่เกิดแล้ว
ถ้าหากว่าความไม่หวาดสะดุ้งมีอยู่ ขอพระองค์ที่ถูกทูลถามแล้ว
โปรดบอกความไม่หวาดสะดุ้งนั้น แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสบอก สุพรหมเทพบุตร
(ในสังยุตตนิกาย สคาถวรรค ) ว่า
นาญญฺญตฺร โพชฺฌา นาญฺญตร อินฺทฺริยสํวรา
นาญฺญตฺร สพฺพปฏินิสฺสคฺคา โสตฺถึ ปสฺสามิ ปาฌินํ
นอกจากปัญญาเครื่องรู้ ตปะเครื่องเผาความชั่ว
นอกจากความสำรวมอินทรีย์นอกจากความสละคืน
ทุกสิ่งทุกอย่าง เราก็มองไม่เห็นความ สวัสดีของสัตว์ทั้งหลาย ดังนี้..
ในที่สุดเทศนา สุพรหมเทพบุตรก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล พร้อมด้วยนางเทพอัปสรห้าร้อยทำสมบัตินั้น ให้ถาวรแล้วกลับไปยังเทวโลก
มรรคนี้อันบุคคลเจริญแล้ว บัณฑิตพึงทราบว่า ย่อมเป็นไปเพื่อดับโทมนัส เหมือนอย่างโทมนัสของท้าวสักกะ เป็นต้น ดังกล่าวมานี้
มรรคมีองค์ ๘ ที่เป็นอริยะ เรีบกว่า ญายธรรม ในข้อที่ว่า ญายสฺส อธิคมาย เพื่อบรรลุญายธรรม ท่านอธิบายว่า เพื่อบรรลุ คือเพื่อถึงญายธรรมนั้น จริงอยู่ มรรค คือสติปัฏฐานที่เป็นโลกียะเบื้องต้นนี้ อันบุคคลเจริญแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อบรรลุมรรคที่เป็นโลกุตตร เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เพื่อบรรลุญายธรรม…
ข้อว่า เพื่อทำให้เเจ้งพระนิพพาน ท่านได้อธิบายว่า เพื่อทำให้แจ้ง คือเพื่อประจักษ์ด้วยตนเอง ซึ่งอมตธรรมที่ได้ชื่อว่านิพพาน เพราะเว้นจากตัญหาเครื่องร้อยรัด จริงอยู่ มรรคนี้ อันบุคคลเจริญแล้ว ย่อมยังการทำให้แจ้งพระนิพพานให้สำเร็จไปตามลำดับ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เพื่อทำให้แจ้งพระนิพพาน ดังนี้….
นกพุทธรักขิต
20 พ.ย. 2009 2 ความเห็น
in หนังสือ
คำว่า "มหาสติปัฏฐาน" หมายถึง การตั้งสติอย่างใหญ่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสมหาสติปัฏฐานแก่พระภิกษุและชาวแคว้นกุรุรัฐ ขณะที่พระองค์ประทับอยู่ ณ นิคม ชื่อกัมมาสทัมมะ* มีใจความสำคัญว่า
"ภิกษุทั้งหลาย หนทางสายเอกสายเดียวนี้คือ เอกายโน มคฺโค (เอกายนมัคค์) เป็นทางที่ทำให้สัตว์บริสุทธิ์ พ้นจากความโศก ความคร่ำครวญ เพื่อกำจัดทุกข์กายทุกข์ใจเพื่อให้เข้าถึงธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้งด้วยการตั้งสติ 4 อย่าง"
มีคำกล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสมหาสติปัฏฐาน 4 แก่พระภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา และปวงชนทั่วไปแห่งกุรุรัฐ ด้วยเหตุ 5 ประการ คือ
1. ผู้ฟังพระธรรมเทศนามีสุขภาพกายดี
2. เป็นผู้มีปัญญา เฉลียวฉลาดสามารถรับพระธรรมเทศนาที่มีอรรถะ ลึกซึ้งได้
3. เป็นผู้มีความเพียรสูง
เพราะเหตุไร พระผู้เป็นเจ้า จึงตรัสพระสูตรนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นทางเดียว ก็เพราะชนชาวแคว้นกุรุสามารถรับเทศนาที่ลึกซึ้งได้.
เล่าว่าชาวแคว้นกุรุ ไม่ว่าเป็นภิกษุหรือภิกษุณี และอุบาสก อุบาสิกา มีร่างกายและจิตใจสมบูรณ์อยู่เป็นนิจ ด้วยเสพปัจจัย คือฤดูเป็นที่สบายเพราะแคว้นนั้น สมบูรณ์ด้วยสัปปายะ มีอุตุสัปปายะ เป็นต้น . ชาวกุรุนั้นมีกำลังปัญญาอันร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์อุดหนุ่นแล้ว จึงสามารถรับเทศนาที่ลึกซึ่งนี้ได้
เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงเห็นความสามรถรับเทศนาที่ลึกซึ้งอันนี้ จึงทรงยกกัมมัฆฐาน ๒๑ ฐานะใส่ลงในพระอรหัตตรัสมหาสติปัฏฐานสูตรที่มีอรรถอันลึกซึ้งนี้ แก่ชาวกุรุเหล่านั้น เปรียบเสมือนบุรุษได้ผอบทองแล้ว พึงบรรจงใส่ดอกไม่นานาชนิดลงไปในผอบทองนั้น หรือว่าบุรุษได้**บทองแล้ว พึงใส่รตะ ๗ ลงฉันใด แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ฉันนั้น ทรงได้บริษัทชาวกุรุแล้ว จึงทรงวางเทศนาที่ลึกซึ้ง ด้วยเหตุนั้นแล.
ในข้อนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงพระสูตรอื่น ๆ อีก มีอรรถอันลึกซึ้งในคัมภีร์ทีฆนิกายนี้ ก็คือมหานิทานสูตรในคัมภีร์มัชฌิมนิกาย ก็คือ สติบัฏฐานสูตร สาโรปมสูตร รุกโขปมสูตร รัฏฐปาลสูตร มาคัณฑิยสูตร อาเนญชสัปปายสูตร..
อนึ่ง บริษัท ๔ ในแคว้นกุรุนั้น ต่างก็ประกอบเนือง ๆ ในการเจริญสติปัฏฐานอยู่โดยปกติ โดยที่สุด คนรับใช้ และคนงานทั้งหลาย ก็พูดกันแต่เรื่องที่เกี่ยวด้วย สติปัฏฐานกันทั้งนั้น แม้แต่ในที่ท่าน้ำ ที่กรอด้ายเป็นต้น ก็ไม่มีการพูดกันถึงเรื่องที่ไร้ประโยชน์เลย..
ถ้าสตรีบางท่านถูกถามว่า “ คุณแม่จ๊ะ คุณแม่ใส่ใจสติปัฏฐานข้อไหน ” นางก็จะไม่ตอบว่าอะไร ชาวกุรุจะติเตียนเขาว่าน่าตำหนิชีวิตของเจ้าจริง ๆ เจ้าถึงเป็นอยู่ ก็เหมือนตายแล้วต่อนั้นก็จะสอนเขาว่าอย่าทำอย่างนี้อีกต่อไปนะ
แล้วให้เข้าเรียนสติปัฏฐานข้อใดข้อหนึ่ง แต่สตรีผู้ใดพูดว่า “ ดิฉันใส่ใจสติปัฏฐานข้อโน้นเจ้าค่ะ ” ชาวกุรุที่เกิดมาเป็นมนุษย์ประกอบด้วยการใส่ใจดูสติปัฏฐานแต่พวกเดียวเท่านั้น แม้แต่สัตวดิรัจฉาน ที่อาศัยชาวกุรุอยู่ก็ใส่ใจ เจริญสติปัฏฐานด้วยเหมือนกันในข้อนั้น มีเรื่องสาธกดังต่อไปนี้…..
ลูกนกแขกเต้า
นักฟ้อนรำผู้หนึ่ง จับลูกนกแขกเต้าได้ตัวหนึ่ง ฝึกสอนมันพูดภาษาคน (ตัวเองเที่ยวไปแสดงการฟ้อนรำในที่อื่น ๆ ) นักฟ้อนรำ ผู้นั้นอาศัยสำนักของนางภิกษุณีอยู่ เวลาไปในที่อื่น ๆ ลืมลูกนกแขกเต้าเสียสนิทแล้วไป . เหล่าสามเณรีก็จับมันมาเลี้ยง ตั้งชื่อมันว่า พุทธรักขิต.
วันหนึ่ง พระมหาเถรี เห็นมันจับอยู่ตรงหน้า จึงเรียกมันว่า พุทธรักขิต ลูกนกแขกเต้าจึงขานถามว่า “ อะไรจ๊ะ แม่เจ้า” พระมหาเถรีจึงถามว่า “ การใส่ใจภาวนาอะไร ๆ ของเจ้ามีบ้างใหม่ ” มันตอบว่า “ไม่มีจ๊ะแม่เจ้า” พระมหาเถรีจึงสอนว่า “ ขึ้นชื่อว่าผู้อยู่ในสำนักของพวกนักบวช จะปล่อยตัวอยู่ไม่สมควร ควรปรารถนาการใส่ใจบางอย่าง แต่เจ้าไม่ต้องสำเนียกอย่างอื่นดอก จงท่องว่า อัฏฐิ อัฏฐิ ก็พอ” ลูกนกแขกเต้านั้น ก็อยู่ในโอวาทของพระเถรี ท่องว่า อัฏฐิ อัฏฐิ อย่างเดียวแล้วเที่ยวไป
วันหนึ่งตอนเช้ามันจับอยู่ที่ยอดประตู ผึ่งแดดอ่อนอยู่ แม่เหยี่ยวตัวหนึ่งก็เฉี่ยวมันไปด้วยกรงเล็บ . มันส่งเสียง กิริ ๆ . เหล่าสามเณรี ก็ร้องว่าแม่เจ้า พุทธรักขิต ถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป เราจะช่วยมัน ต่างก็คว้าก้อนดินเป็น ไล่ตามจนเหยี่ยวปล่อย เหล่าสามเณรีนำมันมาวางไว้ตรงหน้าพระมหาเถรี ๆ ถามว่า พุทธรักขิตขณะเจ้าถูกเหยี่ยวจับไปเจ้าคิดอย่างไร ?
ลูกนกแขกเต้าตอบว่า “ แม่เจ้า ไม่คิดอะไร ๆ ดอก คิดแต่เรื่องกองกระดูกเท่านั้นจ๊ะแม่เจ้า ว่ากองกระดูกพากองกระดูกไป จักเรี่ยราดอยู่ในที่ไหนหนอ.” พระมหาเถรีจึงให้สาธุการว่า สาธุ สาธุ พุทธรักขิตนั้นจักเป็นปัจจัย แห่งความสิ้นภพของเจ้า ในกาลภาคหน้าแล.
แม้สัตว์ดิรัจฉานในแคว้นกุรุนั้น ก็ประกอบเนือง ๆ ซึ่งสติปัฏฐาน ด้วยประการฉนี้ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบถึงความเจริญแพร่หลายแห่งสติปัฏฐานของชาวกุรุเหล่านั้นจึงได้ตรัสพระสูตรนี้…
4. มีการเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติ นับแต่คนรับใช้ไปจนถึงผู้ใช้แรงงาน
5. เรื่องที่สนทนากันก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับสติปัฏฐาน แม้แต่สัตว์เดรัจฉานที่อาศัยมนุษย์ก็เจริญสติปัฏฐาน กล่าวหรือพูดกันถึงแต่เรื่องสติปัฏฐาน 4 ทั้งสิ้น
ชีวิตทั้งหลายในห้วงวัฏสงสารนี้ หากยังเวียนว่ายอยู่ในความมืดมน ชีวิตนั้นย่อมต้องทนทุกข์ทรมานอย่างยาวนานราวกับไม่มีวันจบสิ้น
ใช่ว่าทุกชีวิตจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะตราบใดที่พระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังคงปรากฏอยู่ ตราบนั้นย่อมมีผู้ได้โอกาสในการสร้างสมบารมี ด้วยความปรารถนาที่จะไปให้ถึงวันแห่งการบรรลุธรรมอย่างแน่นอน
แต่ใครบ้างที่จะสามารถไปถึงวันนั้นได้ ตัวเราเองจะมีโอกาสแค่ไหน และอีกยาวนานเพียงใด กว่าที่เราจะไปถึงวันนั้น คำถามเหล่านี้อาจหาคำตอบได้จากเรื่องราวของชีวิตหนึ่งในอดีตกาล
ชีวิตนั้น เป็นเพียงนกแขกเต้าตัวหนึ่ง ซึ่งนักกายกรรมได้นำมาเลี้ยง และสอนให้พูด แล้วพาออกตระเวนแสดงตามเมืองต่างๆ
ครั้งหนึ่ง นักกายกรรมได้ไปพักอาศัยที่สำนักของนางภิกษุณี อนิจจา! เขาได้ลืมนกแขกเต้าไว้ ณ ที่นั้น
เมื่อสามเณรีได้มาพบนกแขกเต้า นางดีใจมาก รีบนำนกแขกเต้ามาเลี้ยงไว้ที่กุฏิ แล้วตั้งชื่อให้ว่า “พุทธรักขิต”
อยู่มาวันหนึ่ง นกพุทธรักขิตได้บินไปจับลงเบื้องหน้าพระเถรี พระเถรีจึงทักว่า
“เจ้าสบายดีหรือ พุทธรักขิต”
“สบายดีขอรับ พระแม่เจ้า”
“เจ้ามาอยู่ในสำนักที่มีการเจริญภาวนา เจ้าก็ควรที่จะบริกรรมภาวนาสักบทหนึ่งเถิด เอา
บทง่ายๆ ที่เหมาะกับเจ้า คือบทว่า อัฏฐิ อัฏฐิ เท่านี้ก็พอ เจ้าจงหมั่นภาวนาให้ขึ้นใจนะ” แล้วพระเถรีก็อธิบายรายละเอียดต่อไปว่า
“พุทธรักขิต เจ้าจงพิจารณาดูร่างกายที่ มีกระดูกเป็นดังเรือนพัก มีเนื้อหนังห่อหุ้มอยู่ภายในนั้นเต็มไปด้วยของโสโครก เหมือนหม้อใส่มูตรคูถที่เน่าเหม็น แต่ภายนอกงดงามน่า น่าชม เจ้าจงพิจารณาดูตามนี้ แล้วหมั่นภาวนาว่า อัฏฐิ อัฏฐิ อย่าได้ประมาท ”
พุทธรักขิตรับคำพระเถรี ด้วยความเคารพ แล้วตั้งใจภาวนาธรรมนั้น จะไปไหนก็ภาวนาอยู่เสมอมิได้ขาดเลย
วันหนึ่ง นกพุทธรักขิตจับอยู่ที่ข้างบันได แผ่หาง กางปีก อย่างเบิกบาน พลางภาวนาว่า “อัฏฐิ อัฏฐิ อัฏฐิ” ไปเรื่อยๆ
ขณะนั้น มีเหยี่ยวตัวหนึ่งตรงเข้าโฉบนกพุทธรักขิตไป หมายจะกินเป็นอาหาร สามเณรีที่เห็นเหตุการณ์เช่นนั้น รีบจับฉวยสิ่งของที่พอหาได้ ขว้างปาเหยี่ยว เพื่อจะให้ปล่อยนกนั้น
เหยี่ยวตกใจกลัวจึงปล่อยนกแขกเต้า แล้วรีบบินหนีไป
สามเณรี ทั้งหลาย จึงนำนกมาพบพระเถรี พระเถรีจึงถามว่า
“พุทธรักขิต เมื่อเจ้าถูกเหยี่ยวโฉบจับไป เจ้าคิดอะไรบ้าง”
นกตอบว่า “มิได้คิดเรื่องอื่นเลย ได้แต่ภานาว่า อัฏฐิ อัฏฐิ (กองกระดูกจับเอากระดูกไป) แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นขอรับ ”
พระเถรีก็ชื่นชม พร้อมกับแนะนำให้หมั่นภาวนาไป จักได้เป็นบุญกุศล และเป็นวาสนาติดตัวไปในภพเบื้องหน้า
ต่อมาเมื่อนกพุทธรักขิตตายไป ด้วยใจที่เป็นกุศลจดจ่อต่อการภาวนา ทำให้ไปเกิดเป็นมนุษย์ในตระกูลมั่งคั่งแห่งเมืองอนุราธบุรี ประเทศศรีลังกา
ครั้นเจริญวัยขึ้น วันหนึ่งได้เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งมีศีลาจารวัตรงดงาม ก็รู้สึกศรัทธา ด้วยเหตุที่คุ้นเคยกับนักบวชมาก่อน ทำให้ในชาตินี้ เกิดมีใจรักในการบวชทันที จึงลาบิดามารดาไปบวช แล้วเจริญภาวนาตามที่พระอุปัชฌาย์สั่งสอน ด้วยอานิสงส์จากการสั่งสมในอดีต พอเจริญภาวนาไปถึงบทว่า “อัฏฐิ อัฏฐิ” รู้สึกถูกอัธยาศัยยิ่งนัก จึงได้เจริญภาวนา โดยยึดเอากรรมฐานข้อนี้เป็นอารมณ์อยู่เสมอ
วันหนึ่งท่านเดินทางไปในเมือง ระหว่างทางมองเห็นหญิงคนหนึ่งผู้ทะเลาะกับสามี แล้วเดินหนีออกมา ด้วยอำนาจภาวนาธรรมที่เคยสั่งสมมาดีแล้ว พอท่านได้เห็นฟันของหญิงนั้น เห็นความไม่งามของกระดูก ก็เกิดอัฏฐิกรรมฐานขึ้น ทำให้ใจของท่านปล่อยวางจากสิ่งทั้งหลาย สงบ หยุดนิ่งอยู่ภายใน ผ่องใสไปตามลำดับ จนเข้าถึงธรรม บรรลุเป็นพระอรหันต์ พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณในขณะนั้นเอง
อาจดูเหมือนเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ที่นกน้อยพุทธรักขิตสามารถพัฒนาชีวิตของตนได้ ถึงเพียงนี้
พุทธรักขิตได้ย่นย่อระยะทางการสร้างบารมีของตนได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่สิ่งที่เหลือเชื่อก็เป็นจริงได้เสมอ ด้วยอานุภาพแห่งใจของผู้ที่ทำจริง
ใจของพุทธรักขิตมิเคยหวั่นไหวถ่ายถอนจากภาวนาธรรมเลย ไม่ว่าชีวิตจะตกอยู่ในภาวะร้ายแรงเพียงใด
ใจเช่นนี้ย่อมเป็นใจที่มุ่งตรงต่อเป้าหมาย เป็นใจที่พร้อมอย่างยิ่งในการเข้าถึงธรรม นกแขกเต้าผู้ต่ำต้อย สามารถพลิกชีวิตสู่ความเป็นพระอรหันต์ได้ แล้วเราผู้ซึ่งได้เกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา ได้เจริญสมาธิภาวนา จะมัวรอช้าอยู่ไย ?
ระวังหลงสภาวะ
17 พ.ย. 2009 ใส่ความเห็น
in บันทึก
…ไม่ได้ทำแบบเอาเป็นเอาตาย…เวลานั่งมีหลักของใจใช้"พุทโธ"บริกรรม…
…ปกติก็จะนั่งสมาธิได้ไม่นาน…เพราะผ่านการฝึกมาน้อยมาก…
…เวลานั่งพอรู้สึกว่าชาก็จะเริ่มขยับเพราะกลัวว่าเลือดไปเลี้ยงขาไม่พอ…
…จิตกับกายแยกส่วนเห็นได้ชัดเจนว่า…ที่เราเข้าใจว่าเป็นอันเดียวกันมันไม่ใช่…
…เพราะสิ่งที่เกิดขณะนั้นมีแต่ผู้รู้คือจิตอยู่โดดๆไม่รับรู้อาการของกาย…ลมหายใจไม่มี…
…แต่ไม่รู้สึกขาดอากาศแต่อย่างใด…เราไม่ตาย และรับรู้เสียงเทศนาธรรมตลอดเวลา…
…ท่านเทศน์สิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังคิดทุกครั้ง…เวลาไปวัดข้าพเจ้านั่งอยู่ท้ายศาลา…
…ไม่เคยเข้าไปเรียนถามอะไรท่าน……แค่ถามในใจท่านก็ตอบให้แล้วเจ้าค่ะ…
…ตอนข้าพเจ้านั่งสมาธิจนจิตรวมก็ตอนท่านเทศนาสดๆ…5ปีที่ปฏิบัติ…
…ถ้านับเวลาที่ได้เห็นธรรมว่าจิตกับกายแยกส่วนก็ผ่านมา 3 ปีเท่านั้นเอง…
…นับแต่นั้นไม่เคยสงสัยธรรมของพระพุทธเจ้า…ท่านเรียนถึงนิพพานหรือยัวเจ้าคะ…สงสัยหรือไม่
…ท่านพระอาจารย์แสนปราชญ์เรียนทางธรรม…น่าจะทราบดีกว่าโยมที่ไม่เคยอ่านพระไตรปิฎก…
…พระพุทธเจ้าแสดงอิทธิฤทธิ์…ปาฏิหาริย์ต่างๆมากมายนั่นเป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าทรงแสดง
…ต่อสายตาผู้คนยุคนั้น…หรือท่านอยากให้หลวงตาเหาะไปหาท่านล่ะเจ้าคะ…
…ตอนนี้หลวงตา 97 พรรษาไม่อยากมาทัศนาท่านดอกหรือเจ้าคะ...
…อัฐิที่กลายเป็นพระธาตุของครูบาอาจารย์สายพระกรรมฐานพระอาจารย์เสาร์และหลวงปู่มั่น…
…อยู่ชั้น2บนศาลาเก่าเต็มไปหมด…แล้วก็พระธาตุของพระอาจารย์ปัญญาชาวต่างประเทศก็มี… … ลองพิจารณาข้อความนี้เจ้าค่ะ…เช่นกันคนไปสวิสเซอร์แลนด์กับมาเล่าว่าสวยมาก…
…เราไม่ได้ไปแต่ก็แค่เขาเล่าเราก็ฟัง…แต่ไม่รู้ว่าสวยยังไง…เรายังอยากไปหรือท่านไม่อยากพ้นทุกข์…
…บวชไปเพื่อสิ่งใด…ทุกวันนี้…เมื่อมีโอกาสว่างการงาน…ข้าพเจ้าไปวัดป่าบ้านตาด…
…ก็ยังคงนั่งอยู่ท้ายศาลาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเจ้าคะ…เขียนมายาวมาก…อ่านแล้วเดี๋ยวตาลาย…
…พระพุทธเจ้าสอนเรื่องกาลามสูตร 10 นั่นน่ะของจริง…คำสอนมาจากของจริง…ข้าพเจ้าเขียน…
…ไม่ได้หวังให้ใครมาเชื่อโดยไม่พิสูจน์ก่อน…เพียงอธิษฐานขอให้เป็นผู้ที่ได้มีโอกาสเผยแผ่ธรรม…
…คำสอนของพระพุทธเจ้า…ผู้ที่พิสูจน์ได้เอง…ย่อมไม่เสียที่ที่เกิดเจอพระพุทธศาสนา…
…ให้ดีมาที่วัดป่าบ้านตาดสิเจ้าคะ…หลวงตายังอยู่รอท่านมาพิสูจน์?…ทุกท่านเลยนะเจ้าคะ…
ที่อุบาสิกาแสดงมาทั้งหมดก็ดี และอนุโมทนาด้วย
ถ้าอุบาสิกาทบทวนคำถามแล้วจะเข้าใจในคำตอบที่ควรตอบ คำถามที่ควรถาม ไม่เบียดเบียนตนเอง
ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ควรเป็นคำตอบเพื่อประโยชน์ ไม่เป็นไปเพื่อโทษ
คำถามของอาตมาไม่ใช่เป็นการกล่าวร้ายหลวงตาอย่างที่อุบาสิกาเข้าใจและพรรณามาแม้แต่น้อย
ตรงกันข้ามเป็นการส่งเสริมจริยวัตรหนึ่งของหลวงตาที่กล้าประกาศสภาวะออกมา
อาตมานับถือครูบาอาจารย์เสมือนพ่อแม่ และหลวงปู่ดุลย์ ศิษย์หลวงปู่มั่นสายเดียวกันกับหลวงตา
ก็เป็นพระอุปัชฌาย์ของอาจารย์อาตมา ดังนั้นจึงไม่มีจิตดังที่อุบาสิกาเข้าใจ แต่ถ้าหากทำให้อุบาสิกา
ไม่สบายใจก็ขออโหสิกรรมด้วย อาตมาสนทนาในเว็ปนี้ จุดประสงค์เพื่อแสวงหาความรู้ หาสิ่งที่เป็นประโยชน์
ไม่มีโทษ เป็นไปเพื่อปัญญา ไม่เป็นไปเพื่อโต้เถียง จึงไม่มีเจตนากล่าวร้ายใคร ๆ ทั้งสิ้น
อาตมาให้อภัยเสมอกับทุกคนที่อาจจะล่วงเกินอาตมาโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
อยากให้อุบาสิกาทบทวนคำถามของอาตมาอีกครั้ง เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง
เจริญในธรรมพระพุทธศาสดา
เข้าใจ เข้าถึง เผยแผ่ ปกปักษ์รักษาพระสัทธรรม
พระอาจารย์แสนปราชญ์
…พระธรรม…และพระสงฆ์…ไม่มีเจตนาคิดในทางเบียดเบียนผู้ใด…ถ้อยคำที่ร้อยเรียง…
…มาจากจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมของผู้เจตนาให้ศีล5บริสุทธิ์ไม่ให้หลุดขาด…
…ในความรู้สึกของผู้ที่ไม่รู้จักหลวงตามหาบัวจะเข้าใจผิดว่าที่ข้าพเจ้าเขียนหยาบคาย…
กิจวัตรประจำวัน
15 พ.ย. 2009 ใส่ความเห็น
in การเจริญสติ, บันทึก, ปฏิบัติ
เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้
15 พ.ย. 2009 2 ความเห็น
in สัตว์เลี้ยง
ขอจงอดทนทำความเพียร
15 พ.ย. 2009 ใส่ความเห็น
in บันทึก