ความแตกต่างสภาวะที่มีเกิดขึ้น
ระหว่างสภาวะสัญญากับสภาวะปัญญา
สภาวะสัญญา
ไม่สามารถนำมากระทำเพื่อดับทุกข์ได้ คือดับตัณหา
สภาวะปัญญา
สามารถนำมากระทำเพื่อดับทุกข์ได้ คือดับตัณหา
สภาวะสัญญา
กามคุณสูตร
[๒๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กามคุณ ๕ ประการนี้
๕ ประการเป็นไฉน
คือ รูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่
น่าพอใจ เป็นที่รัก ยั่วยวน ชวนให้กำหนัด
เสียงที่จะพึงรู้แจ้งด้วยหู ฯลฯ
กลิ่นที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจมูก ฯลฯ
รสที่จะพึงรู้แจ้งด้วยลิ้น ฯลฯ
โผฏฐัพพะที่จะพึงรู้แจ้งด้วยกาย อันน่าปรารถนา น่าใคร่
น่าพอใจ เป็นที่รัก ยั่วยวน ชวนให้กำหนัด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กามคุณ ๕ ประการนี้แล ฯลฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้
เพื่อละกามคุณ ๕ ประการนี้แล ฯ
ขยายใจความรายละเอียดตัวสภาวะ
ที่มีเกิดขึ้นตามจริงของคำว่า กามคุณ ๕
โลกกามคุณวรรคที่ ๒
มารปาสสูตรที่ ๑
[๑๖๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ
อันน่าปรารถนา น่าใคร น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่
หากภิกษุเพลิดเพลิน หมกมุ่น พัวพันรูปนั้น
ภิกษุนี้เรากล่าวว่า ไปสู่ที่อยู่ของมาร ตกอยู่ในอำนาจของมาร
ถูกมารคล้อง รัด มัดด้วยบ่วง
ภิกษุนั้นพึงถูกมารผู้มีบาปใช้บ่วง ทำได้ตามปรารถนา ฯลฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมารมณ์ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยใจ
อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่
หากภิกษุเพลิดเพลิน หมกมุ่น พัวพันธรรมารมณ์นั้น
ภิกษุนี้เรากล่าวว่า ไปสู่ที่อยู่ของมาร ตกอยู่ในอำนาจ ถูกมารคล้อง รัด มัดด้วยบ่วง
ภิกษุนั้นพึงถูกมารผู้มีบาปใช้บ่วงทำได้ตามปรารถนา ฯ
[๑๖๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อนึ่ง รูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ
อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่
หากภิกษุไม่เพลิดเพลิน ไม่หมกมุ่น ไม่พัวพันรูปนั้น
ภิกษุนี้เรากล่าวว่า ไม่ไปสู่ที่อยู่ของมาร
ไม่ตกอยู่ในอำนาจของมาร
ไม่ถูกมารคล้อง เป็นผู้พ้นจากบ่วงมาร
ภิกษุนั้นอันมารผู้มีบาปพึงใช้บ่วงทำตาม ความปรารถนาไม่ได้ ฯลฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมารมณ์ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยใจ
อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่
หากภิกษุไม่เพลิดเพลิน ไม่หมกมุ่น ไม่พัวพันธรรมารมณ์นั้น
ภิกษุนี้เรากล่าวว่า ไม่ไปสู่ที่อยู่ของมาร
ไม่ตกอยู่ในอำนาจของมาร ไม่ถูกมารคล้อง เป็นผู้พ้นจากบ่วงมาร
ภิกษุนั้นอันมารผู้มีบาปพึงใช้บ่วงทำตามความปรารถนาไม่ได้ ฯ
.
มารปาสสูตรที่ ๒
[๑๖๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
รูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ
อันน่าปรารถนาน่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่
หากภิกษุเพลิดเพลิน หมกมุ่น พัวพันรูปนั้น
ภิกษุนี้เรากล่าวว่า พัวพันอยู่ในรูป ไปสู่ที่อยู่ของมาร
ตกอยู่ในอำนาจของมาร ถูกมารผู้มีบาปทำได้ตามปรารถนา ฯลฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมารมณ์ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยใจ
อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่
หากภิกษุเพลิดเพลิน หมกมุ่นพัวพันธรรมารมณ์นั้น
ภิกษุนี้เรากล่าวว่า พัวพันอยู่ในธรรมารมณ์ ไปสู่ที่อยู่ของมาร
ตกอยู่ในอำนาจของมาร ถูกมารผู้มีบาปทำได้ตามปรารถนา ฯ
[๑๖๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง รูปที่จะพึงรู้ด้วยจักษุ
อันน่าปรารถนาน่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่
หากภิกษุไม่เพลิดเพลิน ไม่หมกมุ่น ไม่พัวพันรูปนั้น
ภิกษุนี้เรากล่าวว่า พ้นไปจากรูป
ไม่ไปสู่ที่อยู่ของมาร ไม่ตกอยู่ในอำนาจของมาร
อันมารผู้มีบาปพึงทำตามปรารถนาไม่ได้ฯลฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมารมณ์ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยใจ
อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่
หากภิกษุไม่เพลิดเพลิน ไม่หมกมุ่น ไม่พัวพันธรรมารมณ์นั้น
ภิกษุนี้เรากล่าวว่า พ้นไปจากธรรมารมณ์
ไม่ไปสู่ที่อยู่ของมาร ไม่ตกอยู่ในอำนาจของมาร
อันมารผู้มีบาปพึงทำตามปรารถนาไม่ได้ ฯ
สภาวะปัญญา
๙. ฉันทปหีนสูตรที่ ๑
ว่าด้วยการละความพอใจในขันธ์ ๕
[๒๙๘] พระนครสาวัตถี. ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงละความพอใจ ความกำหนัด
ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยากในรูปเสีย ด้วยอาการอย่างนี้
รูปนั้นจักเป็นอันเธอทั้งหลาย ละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว
กระทำให้เป็นดุจตาลยอดด้วน กระทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา.
เธอทั้งหลายจงละความพอใจ ความกำหนัด
ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยากในเวทนา …
ในสัญญา …
ในสังขาร …
ในวิญญาณเสีย ด้วยอาการอย่างนี้
วิญญาณนั้นจักเป็นอันเธอทั้งหลายละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว
กระทำให้เป็นดุจตาลยอดด้วน กระทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา.
= อธิบาย =
คำว่า ความกำหนัด
ได้แก่ ฉันทราคะในอุปาทานขันธ์ ๕
วิธีการกระทำเพื่อดับกามคุณ ๕
ผัสสะ
๙. สุภสูตร
ทรงโปรดสุภมาณพ
[๗๒๓] ดูกรมาณพ กามคุณ ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน
คือ รูปอันจะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ
ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด
เสียงอันจะพึงรู้แจ้งด้วยหู …
กลิ่นอันจะพึงรู้แจ้งด้วยจมูก …
รสอันจะพึงรู้แจ้งด้วยลิ้น …
โผฏฐัพพะอันจะพึงรู้แจ้งด้วยกาย
ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด
กามคุณ ๕ ประการนี้แล
ดูกรมาณพ พราหมณ์โปกขรสาติโอปมัญญโคตร ผู้เป็นใหญ่ในสุภควัน
กำหนัดแล้ว
หมกมุ่นแล้วด้วยกามคุณ ๕ ประการนี้
ถูกกามคุณ ๕ ประการนี้ครอบงำแล้ว
ไม่เห็นโทษ
ไม่มีปัญญาเป็นเครื่องถอนออก บริโภคอยู่
เขาจักรู้ จักเห็น หรือจักทำให้แจ้งชัดซึ่งญาณทัสนะวิเศษของพระอริยะ
อย่างสามารถยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์หรือหนอ
ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
= อธิบาย =
คำว่า กำหนัด
ได้แก่ ฉันทราคะในอุปาทานขันธ์ ๕
คำว่า ญาณทัสนะวิเศษของพระอริยะ
ได้แก่ แจ้งอริยสัจ ๔ ตามจริง
แจ้งขันธ์ ๕
อุปาทานขันธ์ ๕
ฉันทราคะในอุปาทานขันธ์ ๕
อุปาทาน ๔
ตามจริง
เริ่มจากการสดับพระธรรมจากสัปปุรุษ
ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ
เมื่อปฏิบัติ
สภาวะเหล่านี้จะปรากฏตามจริง
ปฏิปทาวรรค ๒
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
พิจารณาเห็นในกายว่าไม่งาม
มีความสำคัญในอาหารว่าเป็นของปฏิกูล
มีความสำคัญในโลกทั้งปวงว่าไม่น่ายินดี
พิจารณาเห็นในสังขารทั้งปวงว่าไม่เที่ยง
ปฏิปทาวรรคที่ ๒
อีกประการหนึ่ง ใจของภิกษุปราศจากอุทธัจจะในธรรม
สมัยนั้น จิตนั้นย่อมตั้งมั่น สงบ ณ ภายใน
เป็นจิตเกิดดวงเดียว ตั้งมั่นอยู่
มรรคย่อมเกิดขึ้นแก่เธอ
เธอย่อมเสพ เจริญ กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
เมื่อเธอเสพ เจริญ กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
ย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้ อนุสัยย่อมสิ้นสุด
ฟังธรรมจากปุริสบุคคล
ขยายใจความรายละเอียดตัวสภาวะที่มีเกิดขึ้น
ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ
สิ่งที่มีเกิดขึ้นในชีวิตแต่ละขณะๆๆๆ
ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด และเฉยๆ
สิ่งที่มีเกิดขึ้นในชีวิต
ผัสสะ
กามคุณ ๕
ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด
เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ
เวทนา ๓
สุขเวทนา พอใจ ยินดี(โลกธรรม ๘ ฝ่ายยินดี) ราคะ กามฉันทะ ความโลภ
ทุกขเวทนา ไม่พอใจ ยินร้าย(โลกธรรม ๘ ฝ่ายยินร้าย) ปฏิฆะ โทสะ พยาบาท
อทุกขมสุขเวทนา ไม่ทุกข์ไม่สุข โมหะ ความหลง มิจฉาทิฏฐิ สักกายทิฏฐิ
ตัณหา ๓
กามตัณหา
ภวตัณหา
วิภวตัณหา
อุปาทาน ๔ เกิดจากฉันราคะในอุปาทานขันธ์ ๕
กามุปาทาน
ความยึดมั่นในกาม
กามตัณหา
ภวตัณหา
วิภวตัณหา
ทิฏฐุปาทาน
ความยึดมั่นในทิฏฐิ พรหมชาลสูตร
ไม่แจ้งอริยสัจ ๔
สีลัพพัตตุปาทาน
ความยึดมั่นในศีลพรต
สีลัพพตปรามาส
อัตตวาทุปาทาน
ความยึดมั่นในวาทะว่ามีอัตตา
สักกายทิฏฐิ
อัตตานุทิฏฐิ
ภพ
เกิดทางใจ
กามภพ มีเกิดขึ้นขณะดำเนินชีวิต
รูปภพ มีเกิดขึ้นขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิในรูปฌาน
อรูปภพ มีเกิดขึ้นขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิในอรูปฌาน