การเริ่มต้นการฝึกเจริญสติ
คนทุกคนชอบความสบาย ถ้าเลือกได้ ไม่มีใครที่จะเลือกความลำบาก ผลของการเจริญสติ สิ่งแรกที่พบเห็นได้ชัด เมื่อตัวสัมปชัญญะเกิดขึ้นในจิตผู้นั้น คือ ความเห็นแก่ตัว เห็นแบบหยาบๆก่อน แล้วจะเห็นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ
จะเห็นกิเลสมากมายที่เกิดขึ้นในจิต ในแต่ละสภาวะที่มีผัสสะมากระทบ แม้กระทั่งไม่มีผัสสะมากระทบก็ตาม เห็นสภาวะกิเลสตั้งแต่หยาบๆที่มองเห็นได้ จนกระทั่งเห็นแบบละเอียด ที่ไม่สามารถจะรู้ได้ หากจิตไม่นิ่งสงบพอ
จะเห็นความคิดที่เกิดขึ้นมากมาย มีแต่กิเลส แต่ไม่เคยรู้ว่าเป็นกิเลส ซึ่งเมื่อก่อนก็มีไม่ใช่ไม่มี แต่ไม่สามารถรู้ชัดในสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ได้ เป็นเพียงแค่ความคิดที่ผ่านๆไปเท่านั้นเอง ความแตกต่างอยู่ตรงนี้ รู้ชัดกับแค่ผ่านๆ แล้วก็ลืม
สภาวะ
มารู้จักกับว่า ” สภาวะ ” ก่อน เพื่อจะได้เข้าใจเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตว่า เกิดจากอะไร ทำไมชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
สภาวะ คือ สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของแต่ละคน
ทุกๆคำเรียกที่นำมาใช้เรียกในการสื่อสารกัน ล้วนมีตัวสภาวะบ่งบอกทั้งสิ้นว่า คำเรียกนั้นๆมีสภาวะอย่างไรตามความเป็นจริงของตัวสภาวะหรือสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นๆ
ฐานของจิต
สิ่งแรกที่ควรรู้คือรื่องของฐานของจิต หมายถึง ที่ตั้งมั่นของจิต ได้แก่ตัว สติ สัมปชัญญะและสมาธิ ซึ่งทุกๆคนมีอยู่แล้ว เพียงแต่ยังไม่รู้วิธีที่จะนำสิ่งที่มีอยู่แล้วนั้น ว่าจะนำออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร
สติ ส่วนมากจะรู้แค่ตัวบัญญัติ ไม่รู้ว่าสติก็มีตัวสภาวะของตัวสติเอง เหมือนสภาวะอื่นๆที่เกิดขึ้นในชีวิต
การเริ่มต้น
การเริ่มต้นของการฝึกเจริญสติ ไม่มีความยุ่งยากอะไร ขอเพียงมีลมหายใจอยู่เท่านั้นเอง เพียงรู้ลมหายใจเข้า รู้ลมหายใจออก ร่างกายจะพิการ หรือ ไม่พิการ สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นเพียงแค่สภาพของเปลือก ที่จิตมาอาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้นเอง
เปลือกหรือร่างกายของแต่ละคน ไม่ว่าจะมีลักษณะแบบใดก็ตาม ล้วนเกิดจากเหตุที่ทำหรือสร้างขึ้นมาด้วยความไม่รู้ทั้งสิ้น ผลที่ได้รับ ย่อมเป็นไปตามเหตุที่ทำมา ร่างกายหรือเปลือกจึงมีความแตกต่างกันไปเพราะเหตุนี้
เริ่มเรียนรู้
ก่อนที่ฝึกเจริญสติ เราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อน ในสิ่งที่ควรรู้ สิ่งที่ทุกๆคนจะต้องพบเจออย่างแน่นอนไม่ว่าจะฝึกหรือไม่ได้ฝึกก็ตาม สิ่งนั้น คือ เรื่องกรรมและ วิบากกรรม
กรรม มีใช้เรียกหลายๆ ชื่อ แต่ความหมายคือตัวเดียวกัน สภาวะไม่แตกต่าง แตกต่างที่ตัวบัญญัติ
กรรม เรียกว่า เหตุ เหตุ คือ การกระทำ
ผลของกรรม เรียกอีกชื่อว่า วิบากกรรม ได้แก่ผลของการกระทำ ผลของกรรมหรือเหตุ ที่ทำลงไป ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม
การกระทำทุกๆอย่างล้วนคือ กรรมหรือเหตุ ฉะนั้นย่อมมีผลให้ได้รับอย่างแน่นอน สร้างเหตุอย่างไร ย่อมรับผลเช่นนั้น
จุดประสงค์ในการเจริญสติ
เราทุกคนปฏิบัติเพื่อมรรค,ผลและนิพพานกัน ซึ่งคำศัพท์เหล่านี้เป็นเพียงคำบัญญัติหรือคำเรียก ถ้าไม่รู้โดยตัวสภาวะที่แท้จริง อาจเป็นเหตุให้เราเหมือนคนที่เดินวนอยู่ในเขาวงกต
สัจจานุโลกมิกญาณ ( อนุโลมญาณ )
ควรอ่านเรื่องนี้ก่อน เพื่อจะได้เข้าใจในเรื่องของเหตุ ( กรรม ) และ ผล ( วิบากกรรม ) ที่ได้รับ เพราะถ้าไม่เข้าใจในเรื่องนี้ จะไม่ตรงกับจุดประสงค์ในการฝึกเจริญสติ เป็นเหตุให้แทนที่จะสร้างเหตุของการดับเหตุ กลายเป็นการสร้างเหตุของการเกิดเหตุ
…………………………………………………..
การเบียดเบียน
ขึ้นชื่อว่ายังมีลมหายใจเข้าออกอยู่ ล้วนแต่มีเหตุของการเบียดเบียน ไม่เบียดเบียนตัวเอง ก็ต้องมีการเบียดเบียนผู้อื่น ความเป็นกลางหรือจะอยู่กับปัจจุบันได้นี่สุดจะกล่าวได้
เรายินดีเบียดเบียนตัวเอง ดีกว่าไปคิดเบียดเบียนผู้อื่น อย่างน้อยเรารู้ดีว่า เราทำเพื่ออะไร เราทำเพื่อตัวเราเอง เพื่อดับเหตุของการเกิด ไม่ต้องมาเกิดอีกต่อไป การเกิดล้วนมีแต่ความทุกข์ ยิ่งทำยิ่งเห็นทุกข์ ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ยังไงก็คือทุกข์
ทุกข์
สภาวะภายนอกที่ทุกคนมองเห็น ใครๆคาดเดาว่า ชีวิตเรานี้สบายแล้ว ไม่ต้องมาห่วงอะไรแล้ว นั่นล้วนเกิดจากการให้ค่าตามผัสสะกันเอง ส่วนจิตเราจริงๆนั้นมันไม่ใช่ สภาวะตอนนี้ยังคงมีแต่ความเบื่อหน่าย ยิ่งทบทวนชีวิต ยิ่งเบื่อหน่าย
ความเบื่อหน่ายก็เป็นสภาวะหนึ่งของความทุกข์ เพราะมีสภาวะความบีบคั้น ความทนอยู่ไม่ได้ แต่สำหรับเรานั้น เราต้องอยู่ได้ทุกๆสภาวะ เบื่อก็ยอมรับว่าเบื่อ รู้สึกอย่างไร ยอมรับไปตามความเป็นจริง
เพราะเรากำลังสร้างเหตุของการดับของตัวต้นเหตุ คือกิเลสทั้งปวง ที่มีอยู่ในจิตนี่แหละ หากไม่ยอมรับในสิ่งที่เป็นอยู่จริง เราจะไม่สามารถไปต่อได้ ขนาดตัวเองยังโกหกได้ แล้วคนอื่นๆล่ะ จะไม่โกหกเลยหรือไง มันเป็นไปไม่ได้หรอก
มองรอบๆตัว เห็นแต่ความเห็นแก่ตัวของแต่ละคน ไม่แปลกใจเลยนะ เรื่องปกติจริงๆ ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อน เราจะไม่มองว่าเป็นเรื่องปกติ กิเลสตัวนี้มีกันทุกคน เพียงแต่ว่าใครจะยอมรับตามความเป็นจริง เราเองก็ยังคงมีกิเลสตัวนี้อยู่
เพียงแต่ว่า เดี๋ยวนี้จิตวางได้ไวมากขึ้น คือแว่บนิดเดียวแล้วหายไปเอง ไม่ต้องไปคิดพิจรณาอะไร หรือต้องไปกำหนดอะไร
ไม่มีใครชอบความลำบาก
ทุกคนชอบความสบาย ไม่มีใครหรอกที่ชอบความลำบาก ขนาดเข้าใจในสภาวะแล้วก็ยังมีความไม่ชอบใจในความลำบาก ความลำบากคืออะไรล่ะ ความไม่ได้ดั่งใจนั่นเอง เมื่อไม่ได้ดั่งใจ จึงเป็นเหตุให้ไม่สบายใจ ลำบากใจนั่นเอง
ทุกสิ่งสำคัญที่จิต
หากจิตสามารถอยู่กับปัจจุบันได้ตลอด จะไม่มีมีทั้งความสบายและความลำบาก เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากการให้ค่าต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเหตุให้ชอบใจ,ไม่ชอบใจ,สบายหรือลำบาก ล้วนเกิดจากเหตุที่ทำหรือสร้างด้วยความไม่รู้ทั้งสิ้น นี่แหละเหตุของความไม่รู้ จึงเป็นเหตุให้สร้างเหตุทั้งเบียดเบียนตัวเองและผู้อื่น
สุขบ้าง ทุกข์บ้าง
สภาวะตอนนี้ สุขบ้าง ทุกข์บ้าง แต่ที่เห็นชัดมากที่สุดกว่าทุกๆสภาวะคือ ความเบื่อหน่าย ทั้งๆที่ในชีวิตจริงๆแล้ว ไม่ได้มีความทุกข์อะไรมากมายถึงขนาดให้เกิดความเบื่อหน่ายได้มากมายถึงขนาดนี้
แล้วก็ไม่ได้ไปเกิดความทุกข์กับสภาวะที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด เพียงแต่ยังมีอาการจุกจิกในใจอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงขนาดก่อให้เกิดความทุกข์ให้เกิดขึ้น แค่จุกจิก แว่บขึ้นมาแล้วหายไป กลับมาอยู่ปัจจุบันได้เหมือนเดิม มันจะเป็นแบบนี้แต่ไม่บ่อย
เหตุของความเบื่อหน่าย
เหตุที่ทำให้เราเกิดความเบื่อหน่าย คือ ความ ไม่ได้ดั่งใจ เห็นแล้วมันรู้สึกเบื่อจริงๆ พอแค่รู้ แค่ดู จะเห็นแต่ความไม่เที่ยง นั่นก็ไม่เที่ยง นี่ก็ไม่เที่ยง ไปคาดเดาอะไรไม่ได้ แม้กระทั่งความรู้สึกเบื่อก็ไม่เที่ยง
สภาวะเบื่อหน่ายตัวนี้แตกต่างกว่าเมื่อก่อน สภาวะเบื่อที่เกิดขึ้นในเมื่อก่อน มันจะเป็นสภาวะเบื่อที่ละเอียดมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะต่อให้ชีวิตที่คิดว่าดี เราก็เบื่อ คิดว่าไม่ดี เราก็เบื่อ มันรู้สึกเบื่ออยู่ข้างใน เบื่อแบบบอกไม่ถูก
…………………………………………………….
ตัวปัญญาเกิดขึ้นเนืองๆ
การเจริญสติ เมื่อมีตัวสัมปชัญญะเกิดขึ้นแล้ว จะมีตัวปัญญาเกิดขึ้นเนืองๆ ตัวปัญญานี้มีแต่มุ่งไปทางถ่ายถอนกิเลส เฝ้าคิดพิจรณาทบทวนสภาวะของตัวเอง
ส่วนตัวปัญญาที่เป็นปัญญาในการประหาณกิเลสส่วนลึกที่เป็นอนุสัย จะต้องใช้สมาธิที่มีกำลังมากๆ เรียกว่า ต้องมีทั้งสัมมาสติ และฌานที่เป็นสัมมาสมาธิ จึงจะเกิดสภาวะนั้นขึ้นมาได้
………………………………
ปฏิบัติเพื่ออะไร
ระหว่างที่ฝึกเจริญสติ ควรเรียนรู้เรื่องต่างๆที่นำมาบอกเล่าต่อไปนี้ เรียนรู้ไปพร้อมๆกัน เพราะจะทำให้เข้าใจในเรื่องของเหจตุที่กระทำและผลที่ได้รับตามความเป็นจริง จะได้รู้จักอดทนอดกลั้นต่อผัสสะหรือกิเลสที่เกิดขึ้นในใจของตนเอง
อดทนที่จะไม่ปล่อยให้เกิดการกระทำใดๆออกมา ควรเรียนรู้เอาไว้นะ เพราะเรื่องนี่สำคัญมากๆ จะได้ทำความเข้าใจในแนวทางของการเจริญสติได้มากขึ้น
เราต้องตอบคำถามให้กับตัวเองก่อนเป็นอันดับแรกว่า เราปฏิบัติไปเพื่ออะไร ต้องตอบคำถามตรงนี้ก่อน
ถ้าคนที่รู้ปริยัติ อาจจะมีคำตอบตามที่ได้เรียนรู้ ได้ศึกษามาหรือที่ได้ยินได้ฟังมา ส่วนคนที่ไม่รู้ปริยัติก็ตอบตามความเป็นจริงที่ตัวเองรู้สึก
ถ้าคนที่รู้ปริยัติ อาจจะตอบว่า เพื่อไม่ต้องเกิดอีกต่อไป คือ เป็นโสดา,สกิทาคา,อนาคามีและอรหันต์
ถ้าคนที่ไม่รู้ปริยัติเลย อาจจะตอบว่า เพราะเบื่อความทุกข์ เพราะเบื่อสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิต เพราะชีวิตไม่มีอะไรดีเลย เพราะทำดีแล้วไม่ได้ดี สารพัดคำตอบ ย่อมตอบไปตามในสิ่งที่ตัวเองได้พบมา
คำตอบส่วนมากจะมีเพียงอย่างเดียวคือ ความอยาก
สำหรับผู้ที่รู้ปริยัติ ความอยากที่เกิดขึ้นคือ ความอยากมี อยากได้ อยากเป็นอะไรๆในคำเรียกต่างๆเหล่านั้น
สำหรับผู้ที่ไม่รู้ปริยัติ ความอยากที่เกิดขึ้นคือ อยากพ้นไปจากสภาวะที่เป็นอยู่
………………………………….
สบายก็เบื่อ เหนื่อยก็เบื่อ
สภาวะตอนนี้เป็นแบบนี้จริงๆ มันรู้สึกอยู่ข้างใน รู้สึกเบื่อมากๆ
ตอนแรกคาเดาว่า เพราะการเดินทางหรือเปล่า เพราะงานบ้านที่มีเยอะในวันอาทิตย์หรือเปล่า
พอมาทำงาน ไม่ได้มีอะไรที่ต้องเหนื่อย งานออกจะสบาย
ทีนี้เอาสภาวะ ๒ สภาวะมาเทียบกัน สภาวะหนึ่งว่า รู้สึกเหนื่อยแล้วอาจจะทำให้เกิดสาเหตุของความเบื่อนี้ อีกสภาวะหนึ่ง อยู่แบบสบายๆก็ยังรู้สึกเบื่อ รู้สึกเบื่ออยู่ข้างในลึกๆ
สรุปแล้วไม่ได้เกิดจากผัสสะที่มากระทบ หรือเกิดจาการใช้ชีวิตประจำวันแต่
…………………………………….
หลักสำคัญในการเจริญสติ
จุดสำคัญของการเจริญสติทั้งหมด มีสภาวะที่สำคัญอยู่ ๓ สภาวะคือ การปรับอินทรีย์ ๑ การยอมรับ ๑ แก้ที่ตัวเอง ๑
การปรับอินทรีย์ ได้แก่ หมั่นสังเกตุดูเรื่องสมาธิกับสติเป็นหลัก หากจิตเป็นสมาธิ แต่ขาดความรู้สึกตัวในขณะที่จิตเป็นสมาธิ เช่น
นั่งแล้วมีนิมิตเกิด เช่น นิมิตภาพ แสง สี เสียงต่างๆ
นั่งแล้วเหมือนเวลาหายไป ไม่สามารถรู้ที่กายได้ ขณะที่รู้สึกว่าเวลาหายไป
นั่งแล้วมีสภาวะดิ่ง แล้วไม่สามารถรู้กายได้ ต้องปรับอินทรีย์ แต่หากนั่งแล้วดิ่ง แล้วมีงุบ แต่สามารถรู้ที่กายได้ตลอด อันนี้ไม่เป็นไร เป็นสภาวะปกติ
นั่งแล้วมีแต่ความว่างปรากฏ แต่ไม่สามารถรู้ชัดในความว่างได้ เช่น รู้แค่ว่าว่าง รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างว่างเปล่า รู้แบบนั้น คือ ขาดความรู้สึกที่กาย สภาวะของกายจะมีทั้งกายหยาบและกายละเอียด
ถ้าเป็นคนชอบนั่งมากกว่าเดิน ให้เพิ่มในอิริยาบทย่อย เช่น หางานให้จิตทำ อย่าอยู่ว่าง การทำงาน ให้อยู่ในอิริยาบทของยืน เดิน อย่านั่ง ให้อยู่ใน ๒ อริยาบทนี้เป็นหลัก พอถึงเวลานั่ง ให้เดินก่อนนั่งสักเล็กน้อย แล้วต่อด้วยนั่งตามปกติ
ถ้าเป็นคนชอบเดิน ให้เพิ่มอิริยาบทเดิน แล้วต่อด้วยนั่ง เพิ่มเดินไปเรื่อยๆ จนกว่า เวลาจิตเป็นสมาธิแล้วสามารถรู้กายได้
ถ้านั่งแล้วมีปวดเมื่อย มีทุกขเวทนาปรากฏ จะนั่งต่อหรือเปลี่ยนอิริยาบทก็ได้
หากนั่งต่อ ต้องตอบคำถามก่อนว่า นั่งเพื่ออะไร ถ้าตอบว่า เพราะเคยได้ยินคำบอกเล่าต่อๆกันมาว่าถ้าผ่านเวทนาได้จะเห็นโน่น เห็นนี่ ,ตายก่อนตายหรือได้อะไร เป็นอะไร คำตอบเหล่านี้ ล้วนเป็นความอยาก ความอยากต่างๆในบัญญัติ
เสร็จแล้ว ถ้านั่งจนเห็นเวทนาเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แล้วไม่รู้จักพิจรณา หลงยึดติดในสิ่งที่เห็น สภาวะเหล่านี้ จะกลายเป็นกิเลสไปทันที หากเกิดการยึดติดในสิ่งที่เห็นหรือคิดว่ารู้
สภาวะใดๆก็ตามที่เกิดขึ้น แล้วคิดว่ารู้ คิดว่าเห็น คิดว่าเป็นสภาวะอะไรๆในบัญญัติ ล้วนเกิดจากการให้ค่าทั้งสิ้น ให้ค่าได้ แล้วแค่รู้ ถ้าหากให้ค่าแล้วยึดติดในสิ่งที่คิดว่ารู้,เห็น สภาวะนี้จะกลายเป็นกิเลสไปทันที
สภาวะใดๆก็ตามที่เกิดขึ้น แล้วให้ค่าตามความคิด เรียกว่า มีความคิดเข้าไปแทรกแซงสภาวะนั้นๆ หากแค่ดู แค่รู้แล้วยอมรับว่าให้ค่า ตัวสภาวะจะดำเนินต่อไปเอง
แต่หากให้ค่าแล้วไม่รู้ว่าให้ค่า เกิดการยึดติดในสภาวะที่คิดว่ารู้,เห็น สภาวะนี้จะกลายเป็นกิเลสไปทันที ยึดมาก เหตุย่อมมากตามตัว ยึดน้อยเหตุย่อมน้อย ไม่ยึดเหตุย่อมไม่มี
เหตุในที่นี้คือ เหตุในการสร้างเหตุใหม่ที่เป็นเหตุของการเกิด
……………………………………