Welcome to WordPress.com. This is your first post. Edit or delete it and start blogging!
ไอ้โรคจิต
28 ก.ย. 2010 ใส่ความเห็น
in บันทึก
ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งเจอแต่เรื่องแปลกๆทั้งทางโลกและทางธรรม
มีเรื่องแปลกอีกอย่างที่ได้เจอคือ การด่าคนอื่นๆ ถึงแม้จะไม่รู้จักกันเลยก็ตาม
มันเกิดขึ้นในจิต เกิดเองนะ เกิดมาเป็นอาทิตย์แล้ว ก่อนหน้านี้ก็มี แต่มันเป็นๆหายๆ
ซึ่งเราไม่ได้ใส่ใจอะไร ตอนนี้ที่เกิดมันรุนแรงนะในความรู้สึกของเรา เจอหน้าใครมันก็ด่าเขา
ด่าในใจไปหน้าตาเฉย แล้วจะไม่เรียกว่า ไอ้โรคจิต ได้ยังไง
แต่ที่ทำงานกลับไม่เป็นเลยนะ แม้กระทั่งเวลาเดินจงกรมก็ปกติดี นั่งก็รู้อยู่ในกายได้ดี
แต่ไหง พอออกมานอกบ้าน ไปเดินที่บิ๊กซี มันไปด่าเขาเฉยเลย เราก็ดูนะ
แล้วถามตัวเองว่า ไปด่าเขาทำไม รู้จักก็ไม่รู้จัก ขนาดรู้จักกัน ยังไม่เคยคิดจะไปด่าใคร
แม้ในชีวิตจริงๆก็ไม่เคยไปด่าใครๆ ทำไมจิตมันพิเรนแบบนี้นะ นี่ยังไม่จบนะยังมีอีก
ตกใจเลยตอนแรกที่เกิดสภาวะนี้
ต่อมา เริ่มมีถ้อยคำหยาบคายผุดขึ้นมาอีก ตอนนี้เราแค่รู้มากขึ้น ไม่ได้กำหนดอะไร คือ แค่ดู
เพราะเรารู้จักตัวเองดีว่า เราไม่เคยพูดจาใช้ถ้อยคำหยาบคายแบบนั้น มันอยากทำอะไรปล่อย
อยากด่าก็ด่าไป เราไม่ได้เจตนาเลยแม้แต่สักนิดเดียว จิตมันพุ่งขึ้นมาเอง
ต่อมาเราเริ่มจับรายละเอียดของสภาวะได้ทันมากขึ้น เห็นสภาวะได้ชัดมากขึ้น
เริ่มแยกแยะได้ชัดมากขึ้น
อ๋อ … ที่แท้ สิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ มันเป็นสภาวะเดียวกับสภาวะจิตคุยกันและทะเลาะกันเอง
กิเลสนี่มันร้ายจริงๆ มีหลายรูปแบบ
ดูสิทำไปได้ในครั้งนี้ เที่ยวไล่ด่าชาวบ้านเขา ดีนะที่เราพิจรณาตลอด เราจะย้อนกลับมาดูจิต
ทุกๆครั้งที่เกิดการกระทบ
ครั้งนี้ก็เช่นกัน เนื่องจากพื้นฐานของเราเรื่องการพูดจาหยาบคายเราไม่มี
ยิ่งไปด่าใครๆแบบนั้น ยิ่งแล้วกันใหญ่ ไม่มีเลย เราไม่มีนิสัยที่จะไปสู้กับใครๆมาตั้งแต่เด็กๆ
ขนาดโดนด่าแบบจังๆ เรายังนิ่งไม่ตอบโต้ ปล่อยให้เขาด่าทุกวัน จนเขาหยุดด่าไปเอง
มันเป็นแบบนั้นจริงๆ ตอนนี้สภาวะกิเลสด่าคนลดน้อยลงไปเรื่อยๆ
ก็เป็นมาเกือบสองอาทิตย์ที่เป็นต่อเนื่อง แรกๆไม่เท่าไหร่ พอหลายวันเข้าโอ้โห
เจอหน้าใครไม่ได้ ไม่รู้จักเลย มันด่าเขาแหลก คือหนึ่งคนต่อหนึ่งคำ เอากะมันสิ มันด่า
เราก็ดู ที่ดูเพราะยังไม่รู้จะทำยังไงกับมัน ตอนแรกจะกำหนด แต่ไม่กำหนด ก็ไม่ได้เจตนานี่
มันต้องมีอะไรสักอย่าง คือ สงสัยนะ แต่คิดว่าเดี๋ยวคงได้คำตอบเอง …
แรกๆก็บ่นกับตัวเองก่อน เอ .. ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้ ตอนหลังนี่ปล่อยให้ทุกอย่าง
เกิดตามความเป็นจริง ไม่ห้ามตัวเอง ปล่อยเลย จิตมันพิเรนจริงๆเลยนะ เราก็ปล่อย
แค่ดูอย่างเดียว แต่ไม่ไปสนใจเหมือนตอนแรกๆ
ก็แปลกนะ พอไม่สนใจมัน สภาวะที่ด่าคนกลับลดลงไปเรื่อยๆ มาวันนี้แปลกดี เดินในบิ๊กซี
แบบสะดวกใจ จิตมันไม่ไปด่าใครเลย มีกระเพื่อมนะ เหมือนจะแล่บ แต่มันไม่แล่บออกมา
เราเลยเดินไปได้เรื่อยๆ ไม่สนใจ มีก็มี ไม่มีก็ไม่มี ไม่ไปสนใจจดจ้องเหมือนตอนแรกๆ
ที่ไปจดจ้องด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นหว่า ไหงเป็นแบบนี้
นี่เองคำตอบ อย่าไปใส่ใจ ยิ่งสนใจจดจ้องดู มันยิ่งด่าอวดเรา ยิ่งเล่นละครให้เราดู เราแค่รู้ไป
เพราะเรารู้ดีว่า นิสัยแบบนั้นเราไม่มี ยิ่งไปใช้ถ้อยคำหยาบคายแบบนั้น ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึง
ไม่เคยทำ สภาวะจิตด่าคนในครั้งนี้ เป้นสภาวะเดียวกับจิตที่ชอบคุยและบางทีทะเลาะกันเอง
เพียงแต่เที่ยวนี้มันฉายเดี่ยว แจกคำด่าให้คนแหลกราน ด่าชาวบ้านไม่เลือก
กระทบปั๊บด่าทันที เอากะมันสิ
นี่ถ้าเราไม่มาเจริญสติ เราจะเห็นแบบนี้ได้ไหมหนอ? นี่แหละสุดยอดของตัวปัญญา
ตัวสัมปชัญญะ ความรู้สึกตัวนี่เอง ทุกๆสภาวะคือการเรียนรู้จริงๆ
สภาวะเขามาสอนตลอดเวลา
เผื่อใครเข้ามาอ่าน เวลาเจอสภาวะจิตด่าคน แล้วไม่รู้จะทำยังไง เวลาเกิดสภาวะนี้
จะได้ไม่ตกใจ จะได้รู้ว่าควรทำอย่างไรกับสภาวะนี้
เพียงมีหน้าที่เจริญสติต่อไป สิ่งที่เกิดขึ้นให้แค่รู้ อย่าไปจดจ้องสภาวะ แล้วสภาวะนี้
จะหายไปเอง ต้องกลับมาทบทวนตัวเองด้วยว่า จริงๆแล้วพื้นฐานนิสัยเราเองเป็นคนแบบนั้น
หรือเปล่า
สภาวะที่เกิดขึ้นนี้ เหมือนสภาวะที่มีจิตหลายๆตัวคุยกันหรือมาทะเลาะกันให้เราดู
พอจบจากสภาวะนี้ สภาวะอื่นๆก็จะเกิดขึ้นมาใหม่ คือ เรียกว่ามีแต่การเรียนรู้
กิเลสต่างๆที่เกิดขึ้นในจิต เพียงเรายอมรับตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
หมั่นทบทวนตัวเองบ่อยๆ ดูตามความเป็นจริง บางคนอาจจะต้องใช้การกำหนดเข้าช่วย
เราเองก็เคยใช้การกำหนดเข้าช่วยในสมัยก่อนๆ แต่ละสภาวะจะแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ต้องย้อนกลับมาดูที่จิตตัวเองทุกๆครั้งเวลามีสภาวะอะไรเกิด พึงระวังความอยากให้ดีๆ
กิเลสตัวนี้จะเนียนมากๆ มันจะแฝงมาในสภาวะนี้ได้
สำหรับคนที่หวาดกลัวเรื่องการปรามาส กลัวกั้นมรรคผล นี่แหละความอยาก
ความอยากที่แฝงอยู่ ถ้าดูไม่ทันเราก็เสร็จกิเลสมัน ต้องดูให้ดีๆ
แต่ตอนนี้มันแค่ดูสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงอย่างเดียว แล้วย้อนกลับมาทบทวน
ในจิตของตัวเอง ดูแบบไม่เข้าข้างตัวเอง ในส่วนลึกๆเรามีนิสัยแบบนี้มั๊ย ถ้ามีก็ยอมรับไป
ไม่ปฏิเสธ ถ้าไม่มีก็คือไม่มี
อย่าโกหกตัวเอง และอย่าได้ปลดปล่อยให้ถ้อยคำเหล่านั้นออกมาเพ่นพ่านนอกกาย
ด้วยการกระทำ ให้มันรู้อยู่ในจิต ยอมรับว่ามันมีสภาวะนี้เกิดขึ้น แต่ไม่ไปให้ค่ากับมัน
ไม่ไปจดจ้องมัน เหมือนสภาวะจิตคุยกัน แตกต่างแค่ตัวกิเลสมาแสดงเท่านั้นเอง
เมื่อเราแค่รู้ ไม่ไปสนใจ
มีหน้าที่คือเจริญสติไป ทำให้ต่อเนื่อง แล้วสภาวะจะจบลงไปได้ด้วยตัวเอง
ความไม่รู้จักพอ
27 ก.ย. 2010 ใส่ความเห็น
in บันทึก
ไว้อาลัยแด่ไดม่อน
26 ก.ย. 2010 ใส่ความเห็น
in สัตว์เลี้ยง
การเจริญสติ
25 ก.ย. 2010 ใส่ความเห็น
in การเจริญสติ, บันทึก
เนื่องจากผลของการเจริญสติ ทำให้ตัวสัมปชัญญะสามารถเกิดขึ้นได้ต่อเนื่อง จึงเป็นเหตุให้
มีสมาธิเกิดร่วมด้วย จึงเป็นเหตุให้ รับรู้ความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นในใจได้อย่างชัดเจน ( สภาวะกิเลส )
มีคำถามจากผู้ที่เจริญสติ ถามว่า ทำไมเมื่อก่อนนี้ เขาจึงไม่เห็นตัวอารมณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้
ทำไมเขาจึงหงุดหงิดง่าย โมโหง่าย โกรธง่าย ทั้งๆที่อารมณ์เหล่านี้เมื่อก่อนนี้มีไหม มันมีเกิดขึ้นประจำ
แต่ทำไมเขาจึงมองไม่เห็นมันได้ชัดหรือรู้สึกถึงอารมณ์ต่างๆได้ชัดขนาดนี้
บางคนเป็นคนใจเย็น ไม่โกรธใครง่ายๆ ใครจะพูดอะไรยังไงช่างเขา พยายามกดข่มเอาไว้
เพราะไม่อยากมีเรื่องกับใครๆ แต่พอมาเจริญสติ กลับกดข่มอารมณ์เหล่านี้เอาไว้ไม่อยู่ มันจะคอยพุ่งออก
คำตอบคือ เพราะเป็นผลของการเจริญสติ ทำให้ตัวสัมปชัญญะเกิด ตัวสัมปชัญญะจะทำให้มีความรู้สึกตัว
ขณะที่สิ่งต่างๆเกิดขึ้นในจิต ทำให้รู้ชัดในความรู้สึกที่เกิดขึ้น
นี่คือสภาวะแรกๆที่ทุกคนจะได้เจอเมื่อมาเจริญสติ คือ รู้ชัดในสภาวะต่างๆที่เกิดขึ้นในจิต
ไม่ว่าจะความชอบใจ ไม่ชอบใจ การกระทบต่างๆจะรู้ชัดมากๆ เรียกว่า รู้ทันปัจจุบัน
ยิ่งเจริญสติมากเท่าไหร่ ยิ่งเจอสภาวะเหล่านี้ชัดมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นรายละเอียดต่างๆชัดมากขึ้น
และริ่มรู้เท่าทันต่อสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในจิตมากขึ้น แรกๆอาจจะตอบโต้เพราะความไม่รู้
แต่เมื่อได้พบเจอกัลยาณมิตร แนะนำว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้เกิดจากอะไร ย่อมไม่ตอบโต้
และเจริญสติต่อไปเรื่อยๆ เมื่อมีกำลังของสติ สัมปชัญญะมากขึ้น
ย่อมรู้เท่าทันต่อการปรุงแต่งของจิตมากขึ้นเรื่อยๆ
เริ่มเข้าใจมากขึ้น
24 ก.ย. 2010 ใส่ความเห็น
in บันทึก
พระธาตุเส้นผม
21 ก.ย. 2010 ใส่ความเห็น
in บันทึก
การเห็นตามความเป็นจริง
21 ก.ย. 2010 ใส่ความเห็น
in การเห็นตามความเป็นจริง, บันทึก
เมื่อรู้ภายในได้ชัดเจน จนถึงชัดแจ้งแล้ว ย่อมรู้นอกกายหรือรู้ทุกๆสรรพสิ่งที่อยู่นอกกายได้
เพราะทั้งภายในกายและภายนอกกายนั้นล้วนไม่มีความแตกต่างกันเลย
การที่จะเห็นตามความเป็นจริงได้ ขั้นแรก ต้องยอมรับตามความเป็นจริงในสิ่งที่ตัวเองเป็น ( เพศ )
และตัวเองนั้นมีก่อน ( กิเลส ) ถ้ายอมรับตามนี้ได้ ย่อมเห็นคนอื่นๆได้
เมื่อมี สติ สัมปชัญญะ ย่อมมีหิริ โอตตัปปะเป็นเงาตามตัว
หิริ โอตตัปปะ ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
เมื่อมีหิริ โอตตัปปะ ศิลนั้นย่อมสะอาดมากขึ้นตามกำลังของสติ สัมปชัญญะ
ในโลกของอินเตอร์เนต มีโอกาสผิดศิลข้อมุสามากที่สุด เพราะเป็นเรื่องของการกระทำทางวาจา
คือ สิ่งที่โพสออกมาจากจิต จิตจะยอมรับตามความเป็นจริงได้หรือไม่ ให้ดูจากการโพส
หากเป็นชาย แต่ทำตัวเป็นหญิง
หากเป็นหญิง แต่ทำตัวเป็นชาย
ขอยกเว้นเพศที่สาม กระเทย , ทอม เพราะสภาวะนั้นย่อมแปรปรวนได้ตามสาภาวะที่เป็นอยู่
ในเมื่อยังไม่ยอมรับตามความเป็นจริง ในสิ่งที่ตัวเองเป็น
ย่อมเป็นเหตุให้เห็นตามความเป็นจริงได้ยาก เพราะขนาดตัวของตัวเองยังไม่ยอมรับในสิ่งที่เป็น
แล้วจะไปเห็นสิ่งอื่นๆตามความเป็นจริงที่นอกกายตัวเองได้อย่างไรกัน?
เหตุมี ผลย่อมมี ทุกๆความผิดพลาดเพราะความไม่รู้ นั่นคือ ครู
สภาวะ , การกำหนด
21 ก.ย. 2010 ใส่ความเห็น
in การกำหนด
สภาวะ แปลว่า ความเห็นเอง ความเกิดขึ้นเอง การปรากฏขึ้นเอง
เช่น สภาวะลักษณะ หมายถึงลักษณะที่เป็นเอง เกิดเองเป็นเองตามธรรมชาติของสิ่งนั้นๆ
ในการปฏิบัติกรรมฐานหรือเจริญสติหรือจะเรียกอะไรก็ตาม หมายถึง สภาวะหรือปรากฏการณ์
ที่เกิดขึ้นภายในกายและจิตของผู้ปฏิบัติ ( อันนี้เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นภายใน )
การกำหนดต้นจิต คือ การฝึกจิตให้อยู่กับการเคลื่อนไหวและอิริยาบทต่างๆของร่างกาย
เช่น ขณะนั่งอยู่ก็กำหนดรู้อยู่ว่านั่ง แล้วถ้าจะลุกขึ้น ก่อนจะลุกก็กำหนดรู้อยู่
การจะเปลี่ยนอิริยาบทหรือเคลื่อนไหวใดๆ หรือเมื่อจำเป็นต้องสนทนา จะพูดจะกล่าวคำใดๆ
ก็กำหนดรู้พร้อมกันไป การกำหนดในทำนองดังกล่าวมานี้ เป็นการช่วยให้มีสติ สัมปชัญญะ
และสมาธิเชื่อมโยงติดต่อกันไม่ขาดระยะ
การกำหนดทำนองดังกล่าวมานี้ มีในสติปัฏฐานสูตร หมวดอิริยาปถบัพพะและสัมปชัญญะบัพพะ
ในการฝึกกำหนดต้นจิต ในตอนแรกๆ อาจจะกำหนดทันบ้าง ไม่ทันบ้าง ขาดๆหายๆ
ซึ่งคนเราส่วนมากก็เป็นเช่นนั้น
ถ้าไม่ท้อถอย และเลิกเสียก่อน แต่พากเพียรทำต่อไปจะพบเองภายภาคหน้าว่า
มีสติกำหนดได้ดีเป็นส่วนมาก และจะค่อยๆกำหนดได้ติดต่อกันดีขึ้น แล้วในที่สุด
ก็สามารถกำหนดได้โดยติดต่อกัน ซึ่งแสดงว่า มีสติมั่นคง มีสัมชัญญะเกิด
ซึ่งเป็นพื้นฐานในการนั่งกำหนดสมาธิต่อไป
นำมาจาก หนังสือวิปัสสนากรรมฐาน ( สติปัฏฐานสูตร ) หลวงพ่อโชดก
บทความด้านบน นำมาเพียงบางส่วนค่ะ จริงๆแล้วมีรายละเอียดมากกว่านี้
การกำหนดมีสองแบบ คือ
๑. ใช้คำบริกรรมช่วย เช่น ใช้หนอกำกับลงไปในอิริยาบทนั้นๆ
เพื่อเป็นการสร้างทั้งสติ สัมปชัญญะ ให้มีกำลังมากขึ้น
๒. ไม่ใช่คำบริกรรม แต่เอาจิตจดจ่อลงไปรู้ในการกระทำนั้นๆ
สมาธิปทฐฐานา มีสมาธิเป็นเหตุใกล้ชิดที่จะทำให้ปัญญาเกิด หมายความว่า
ปัญญาจะเกิดได้ต้องมีสมาธิ คือ ความตั้งใจแน่วแน่ต่ออารมณ์นั้นๆ
เช่น เวลาดูหนังสือ ถ้าใจจดจ่ออยู่กับหนังสือนั้น ไม่วอกแวกไปทางอื่นก็จำได้ง่าย จำได้ดี
นั่นแหละเป็นเหตุให้เรื่องปัญญา เป็นเหตุให้เกิดปัญญา แม้ในปัญญาขั้นสูง เช่น
ภาวนามยปัญญาก็ต้องอาศัยสมาธิเช่นเดียวกัน
ตัวอย่าง การเจริญสติ ถ้ามีสติ มีสัมปชัญญะรู้อยู่กับรูปนามได้ดี โดยเป็นไปติดต่อกันเสมอ
( จิตจดจ่อรู้อยู่ในกายได้ตลอด ) ไม่มีเผลอ ยิ่งไม่เผลอมากเท่าไหร่
นั่นบ่งบอกถึงกำลังความแนบแน่นของสมาธิที่เกิดขึ้น
กำลังของสมาธิที่เกิดขึ้นจากการเจริญสติ สามารถมีกำลังถึงจตุตถฌานได้
และไปทีละสเต็ป เรียกว่าจากหนึ่งจนชำนาญ ไปสอง จากสองจนชำนาญไปสาม
จากสามจนชำนาญไปสี่
นิมิต
21 ก.ย. 2010 ใส่ความเห็น
in บันทึก
สภาวะของนิมิตที่เกิดขึ้นในขณะที่กำลังปฏิบัติ ไม่ว่าจะเกิดในขณะที่เดินจงกรมหรือนั่งก็ตาม
หากมีนิมิตเกิดขึ้น แต่ผู้ปฏิบัติไม่สามารถรู้กายได้ สภาวะนั้นๆจะเป็นสภาวะของอุปจารสมาธิ
หากเป็นในอัปปนาสมาธิหรือฌานที่เป็นมิจฉาสมาธิ จะไม่สามารถเกิดสภาวะใดๆได้เลย
มีแต่สภาวะดับสนิทเกิดขึ้นอย่างเดียว
หากมีนิมิตเกิดขึ้น แต่สามารถรู้อยู่ในกายได้ตลอด รู้การเคลื่อนไหวในกาย เช่น
รู้ท้องพองยุบ รู้ทรวงอกเคลื่อนไหว คืออะไรจะรู้อย่างใดอย่างหนึ่งรู้อยู่ในกับกาย
พร้อมๆกับนิมิตนั้นก็เกิดร่วมด้วย สภาวะนี้อาจจะเป็นอุปจารฌานหรือฌานต่างๆ
ต้องดูองค์ประกอบของสภาวะที่เกิดขึ้นร่วมด้วย
มีนิมิตอีกประเภทคือ เกิดได้ทั้งขณะที่ลืมตาและหลับตา
ไม่ว่าจะเป็นนิมิต รูป แสง สี กลิ่น เสียง สามารถเกิดขึ้นได้เอง โดยไม่ต้องนั่งสมาธิแต่อย่างใด
อันนี้เกิดจากสภาวะของผู้ที่มีสัญญาเก่าติดตัวมาเยอะ คือ สมถะดี ต้องอาศัยการเจริญสติ
มาช่วยในเรื่องของการปรับอินทรีย์ จึงจะสามารถนำกำลังของสมาธิที่มีอยู่นั้นๆ
มาใช้งานได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ส่วนมากจะเกิดจากผู้ที่ได้ฌาน ไม่ใช่แค่อุปจารสมาธิ