การสนทนาในยูทูปต่อจากครั้งก่อน
“ชีวิตมีเเค่นี้ มีเเต่โลกสมมุติ”
REM 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ท่านทั้งหลายทำไมมีแต่มานะทิฐิ หลวงพ่อชาท่านกล่าวเตือนแล้ว แต่ละคนคิดว่าความรู้ที่ตัวเองถูก แล้วมาโต้เถียงไม่จบ แต่ถ้าแยกตามสังโยชน์เบื้องสูง ข้อ มานะ ไฉนข้อปฏิบัตินี้ท่านจะทำไม่ได้เลยหรือ ทำไมท่านต้องยกตนข่มผู้อื่นด้วยเล่า เปรียบเหมือนท่านยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกูรู้ อันนี้ความรู้กู ผู้อื่นจะมาคัดง้างติเตือนไม่ใด้ ผู้ปฏิบัติจริง ๆ ควรจะปล่อยวางข้อนี้ด้วย
วลัยพร walailoo2010 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา (แก้ไขแล้ว)
@REM ดูกิเลสที่มีเกิดขึ้นให้ทันก่อน เอาตัวเองให้รอดก่อน อื่นๆที่คุณพูดมานั้น เกิดจากอวิชชาที่มีอยู่ เกิดจากไม่เคยสดับพระธรรม ขาดการศึกษา
ถ้าคุณยังคิดกระทำแบบนี้เนืองๆ สภาวะของคุณจะตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมไว้
ถ้าคุณยังยึดติดอาจารย์ คุณยึดในคำพูดของอาจารย์ของตน วาทะอื่นๆจะตามมา เพ่งโทษ เพราะผู้ที่เห็นตามความเป็นจริงของผัสสะ ที่มีเกิดขึ้นตามจริง จะกราบๆๆๆๆๆๆๆ ที่พระบาทของพระพุทธเจ้า ไม่มีการนำเรื่องอจ.มาอ้างอิงอีก เพราะมีปัญญาเกิดขึ้นในตนแล้ว
ใครที่ยังต้องการสนทนา แล้วยังนำทิฏฐิของอจ. คือความรู้ของอจ. นั่นหมายถึง คุณยังละฉันทราคะในอุปาทานขันธ์ ๕ ไม่ได้ ตัวนี้แหละตัวร้าย ที่ผู้ปฏิบัติไปต่อไม่ได้ สภาวะจะชมแช่อยู่แค่นี้
อีกอย่าง ผู้ปฏิบัติ เวลาสนทนากัน จะพูดเรื่องสภาวะที่มีเกิดขึ้นตามจริง ส่วนบุคคลที่มองภายนอกแค่เปลือก เช่นคุณ ย่อมกระทำออกมามีลักษณะ
ไปกล่าวหาหรือไปเพ่งโทษนอกตัว ซึ่งเป็นการสร้างกรรมใหม่ให้มีเกิดขึ้นในตน ทุกคนๆ ยังเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ล้วนเกิดจากกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ล้วนเกิดจากการกระทำของตน
ยวกลาปิสูตร
[๓๕๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฟ่อนข้าวเหนียวบุคคลกองไว้ในหนทางใหญ่ ๔ แพร่ง
ทีนั้นบุรุษ ๖ คนถือไม้คานมา
บุรุษเหล่านั้นพึงฟาดฟ่อนข้าวเหนียวด้วยไม้คาน ๖ อัน
ฟ่อนข้าวเหนียวนั้นถูกบุรุษเหล่านั้นฟาดกระหน่ำอยู่ด้วยไม้คาน ๖ อันอย่างนี้แล
ทีนั้นบุรุษคนที่ ๗ ถือไม้คานมาฟาดฟ่อนข้าวเหนียวนั้นด้วยไม้คานอันที่ ๗ ฟ่อนข้าวเหนียวนั้นถูกบุรุษฟาดกระหน่ำอยู่ด้วยไม้คานอันที่ ๗ อย่างนี้แลแม้ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้ว ก็ฉันนั้นแล
ถูกรูปอันเป็นที่พอใจและไม่เป็นที่พอใจกระทบจักษุ ฯลฯ
ถูกธรรมารมณ์อันเป็นที่พอใจและไม่เป็นที่พอใจกระทบใจ
ถ้าว่าปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้วนั้น ย่อมคิดเพื่อเกิดต่อไป
ปุถุชนนั้นเป็นโมฆบุรุษ เป็นผู้ถูกอายตนะกระทบกระหน่ำแล้ว เหมือนฟ่อนข้าวเหนียวถูกบุรุษฟาดกระหน่ำด้วยไม้คานอันที่ ๗ ฉะนั้นแล ฯ
ใครเล่าเป็นผู้รู้ ไครเล่าเป็นผู้เสวย ก็ผู้เพ่งนั้นแล
เพ่งโลภะเสวยโลภะ เพ่งโทสะเสวยโทสะ เพ่งโมหะเสวยโมหะ
ทางนี้เป็นทางเสื่อม นำไปสู่นรก
ปุถุชนพากันเดินไปทางนี้
เพราะเห็นเป็นของเอร็ดอร่อย
เพราะปัญญาทราม ไม่ทันกิเลสในใจตน
REM 6 นาทีที่ผ่านมา
@วลัยพร walailoo2010 อันนี้ก็แค่อยากมาร่วมสนทนา แต่ด้วยเพราะกระผมเป็นแค่นักปฏิบัติเพื่อหาทางหลุดพ้นคนนึง เป็นแค่ฆราวาส ไม่ได้ศึกษาธรรมะวินัยอันเป็นของสงฆ์หรืออภิธรรมที่เป็นข้อปฏิบัติยิบย่อยต่าง ๆ เพียงแต่ปฏิบัติหลัก สติปัฏฐานสี่ ควรสำรวมระวังกาย วาจา ใจ ไม่ให้ไหลไปข้างนอกหรือนำมาสู่ตัว ภายในจิต ยึด ศรัทธา ศีล สมาธิ ใช้ปัญญาใคร่ครวญ ตามหลักความเป็นจริงของชีวิต คงไม่สามารถพูดถึงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อันใดได้ ด้วยเนื่องจุดหมายปลายทางแล้ว ข้อธรรมต่าง ๆ เราก็จะวางเสีย ท้ายนี้ขอบคุณที่ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันครับ
วลัยพร walailoo2010 18 นาทีที่ผ่านมา (แก้ไขแล้ว)
@REM นี่คือปัญหาของผู้ปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ ขาดการสดับพระธรรม ขาดการศึกษา เวลานำมาเรื่องสภาวะมาสนทนามักนำความเชื่อของอจ.ที่ตนนับถือมาอ้างอิง ไปเพ่งโทษตัวคนอื่น กรรมตรงนี้ ทำให้เวลาปฏิบัติ ไม่สามารถจะเห็นสภาวะที่ควรดำเนินตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมไว้
ส่วนเรื่องฤิทธิ์ ผู้ที่ปฏิบัติได้อรูปฌาน โดยเฉพาะเนวสัญญาฯ ค่อนข้างมีปัญหากับคนเหล่านี้ เพราะยังไม่รู้ตามความเป็นเรื่องการดับทุกข์ ทำให้เหมือนคนที่ชอบเดินเล่นในสวนเก็บดอกไม้
ผู้ที่เห็นทุกข์ จะไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เพราะฤทธิ์เหล่านี้ ต่อให้มีเจโต ถอดกายได้ ไปเที่ยวสวรรค์ นรก สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากกำลังของสมาธิ ถ้าไม่มีสมาธิ ก็เหมือนคนทั่วๆไป แต่มีศิลรักษาอยู่
ไม่เหมือนปัญญา เมื่อแจ้งแล้ว แจ้งเลย ไม่ทำให้หลงทาง เพราะดิฉันเคยสมาธิเสื่อม เนวสัญญาฯที่ทำกว่าจะได้มานั้น การปฏิบัติหลังไม่แตะพื้น เมื่อจิตเป็นสมาธิเนวสัญญาฯ สิ่งเหล่านี้ไม่ต้องอยากเลย ฤทธิ์ต่างๆจะมีเกิดขึ้นเอง รวมทั้งพระธาตุ สิ่งเหล่านี้มีเกิดขึ้นกับดิฉัน
หลังสมาธิเสื่อม กว่าจะทำให้กำลังสมาธิกลับคืนมาได้ ต้องใช้เวลา ด้วยเหตุนี้ ทำให้ดิฉันไม่สนใจเรื่องฤทธิ์เหล่านี้อีก เพราะไม่ใช่ทาง
ทำไมต้องพยายามทำให้สมาธิกลับขึ้นมา เกิดจากความไม่รู้ที่มีอยู่ ไม่รู้เรื่องเหตุปัจจัย กรรมและผลของกรรม สิ่งที่เคยกระทำไว้ในอดีต ทำให้มาเจอคนกลุ่มที่สามารถดูดหรือถ่ายเทสมาธิได้ แค่คุยผ่านโทรฯ ไม่จำเป็นต้องรู้จักหรือเห็นตัว ตอนที่สมาธิเสื่อม เห็นทุกข์ชัด มากกว่าคนทั่วๆไป
เอาละ จะแนะทางให้กับคุณ ซึ่งดิฉันพูดถึงบ่อยๆ คนส่วนมากไม่ฟัง จะทำตามที่ตนชอบ ไม่เคยสดับ ไม่ยอมศึกษา พอศึกษาก็ไปไม่ถูก เพราะผู้ที่แนะนำ รู้แค่ไหน ย่อมพูดได้แค่นั้น
จะพูดเรื่องทางลัดที่เห็นผลได้เร็ว ขึ้นอยู่กับความอดทนอดกลั้นต่อเวทนาทางกายที่มีเกิดขึ้น เพราะคุณต้องนั่งอย่างเดียว ๓ ชม. ไม่ขยับ ไม่มีการเคลื่อนไหว ใช้คำบริกรรมมาช่วย จะพุทโธ หรือพองหนอยุบหนอ ใช้ได้หมด
แรกเริ่มการนั่ง จะหายใจเข้าออก ใช้คำบริกรรมก่อน เช่น หายใจเข้า บริกรรมพองหนอ หายใจออก บริกรรมยุบหนอ พอรู้ชัดลมหายใจเข้า หายใจออกตามคำบริกรรม ให้เพิ่มความเร็วในการคำบริกรรมจะเหลือคำบริกรรมว่ายุบ ให้บริกรรมถี่ๆ ไม่ต้องสนใจเรื่องลมหายใจ ให้จดจ่อกับคำบริกรรมไม่ให้มีช่องว่าง
เมื่อนั่งนาน เวทนาทางกายย่อมมีเกิดขึ้น เป็นเรื่องปกติ เมื่อกายยังมีอยู่ เวทนาย่อมมี ไม่ต้องไปสนใจ ให้บริกรรมถี่ๆ ยิ่งเวทนากล้าเหมือนใจจะขาด ความรู้สึกเจ็บปวดอธิบายไม่ถูก ไม่ต้องไปสนใจ ยิ่งบริกรรมถี่ๆไปเรื่อย การที่จิตจดจ่ออยู่กับคำบริกรรมต่อเนื่อง เวทนาที่มีเกิดขึ้นจะหายไปเอง ปีติจะเกิด บางคนร้องไห้ เหมือนมีใครตาย ทั้งร้องไห้ อ้วกแตกอ้วกแตน เป็นเรื่องของปีติ อาจจะเป็นหลายวัน แล้วปีติจะหายไป จิตจะเข้าสู่ความสงบ จิตจะไม่บริกรรม จิตละทิ้งคำบริกรรมเอง จิตจะเป็นสมาธิ โอภาส แสงสว่างเจิดจ้า จะมีสองสภาวะมีเกิดขึ้น คือ แสงสว่างเจิดจ้ากับใจที่รู้อยู่ แล้วจะมีความรู้เห็นแปลกๆมีเกิดขึ้น ยังคงปฏิบัติต่อเนื่อง เพื่อให้จิตจดจำสภาวะที่มีเกิดขึ้นในตน เรื่องฤทธิ์ ไม่ต้องไปสนใจ จะถอดกายทิพย์ รู้หนอหรือเจโต ไม่ต้องสนใจ เพราะเป็นเรื่องปกติ เกิดจากกำลังมาธิ ไม่ใช่เรื่องอัศจรรย์แต่อย่างไร
การที่คุณจะปฏิบัติได้แบบนี้ นั่ง ๓ ชม. หากมีเวลามาก ทำหลายรอบได้ ยิ่งทำมากยิ่งดีต่อผู้ปฏิบัติ เมื่อสภาวะคงที่ จะดูจากเวลาหลับตา จะกลางวันหรือกลางคืน พอนั่ง หลับตาลง จิตจะเป็นสมาธิทันที ไม่ต้องใช้คำบริกรรม เพราะจิตทิ้งคำกรรมโดยตัวของสภาวะเอง หลับตาปั๊บ แสงสว่างเจิดจ้าเกิดทันทีพร้อมกับใจที่รู้อยู่
เมื่อสภาวะเป็นแบบนี้ คุณต้องปรับอินทรีย์ ๕ เพราะสภาวะสมาธิอรูปฌาน ยังเป็นมิจฉาสมาธิ เหตุนี้ต้องมีการปรับอินทรีย์ ๕
เอาเป็นว่า คุณทำให้ได้ก่อน แล้วจะพูดเรื่องการปรับอินทรีย์ ๕ หากปรับแล้ว สัมมาสมาธิจะมีเกิดขึ้น ทำให้รู้ชัดผัสสะ ที่มีเกิดขึ้นขณะจิตเป็นสมาธิในรูปฌาน อรูปฌาน นิโรธ ตามลำดับ ที่สามารถรู้เห็นได้ เพราะสติปัฏฐาน ๔ มีเกิดขึ้นตามจริง
วลัยพร walailoo2010 1 วินาทีที่ผ่านมา
วิธีการปฏิบัติ ทั้งภิกษุและฆราวาส ใช้แบบเดียวกัน
ยกเว้นผู้ที่ยังทำงานประจำ ให้นั่ง ๓ ชม. วันละครั้งหรือมากกว่านี้ แล้วแต่ความสะดวก
คำว่า ความตาย ไม่ใช่ความตายของทางโลก แต่เป้นเรื่องการได้มรรคผลจะมีเรื่องความตายหรือสภาวะจิตดวงสุดท้ายมาเกี่ยวข้อง
๔. ภัททกสูตร
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่ โดยประการที่เมื่อเธอสำเร็จการอยู่
ย่อมมีความตายที่เจริญ ตายแล้วก็เจริญ
ก็ภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่โดยประการที่เมื่อเธอสำเร็จการอยู่ ย่อมมีความตายที่เจริญ ตายแล้วก็เจริญเป็นอย่างไร
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไม่ชอบการงาน ไม่ยินดีการงาน ไม่ขวนขวายความชอบการงาน ไม่ชอบการคุย ไม่ยินดีการคุย ไม่ขวนขวายความชอบการคุย ไม่ชอบความหลับ ไม่ยินดีความหลับ ไม่ขวนขวายความชอบความหลับ ไม่ชอบความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ไม่ยินดีความคลุกคลีหมู่คณะ ไม่ขวนขวายความชอบความคลุกคลีหมู่คณะ ไม่ชอบความคลุกคลีด้วยคฤหัสถ์ ไม่ยินดีความคลุกคลีด้วยคฤหัสถ์ ไม่ขวนขวายความชอบคลุกคลีด้วยคฤหัสถ์ ไม่ชอบธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ไม่ยินดีธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ไม่ขวนขวายความชอบธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่ โดยประการที่เมื่อเธอสำเร็จการอยู่
ย่อมมีความตายที่เจริญ ตายแล้วก็เจริญ อย่างนี้แล
ภิกษุนี้เรียกว่า ผู้ยินดีนิพพาน ละสักกายะเพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ ฯ
ครั้นท่านพระสารีบุตรได้กล่าวไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้กล่าวคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า ฯ
ผู้ใดประกอบธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ยินดีธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า เช่นดังเนื้อ
ผู้นั้นย่อมไม่ได้ชมนิพพานที่เกษมจากโยคะ หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้
ส่วนผู้ใดละธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ยินดีในบทคือธรรมที่ไม่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า
ผู้นั้นย่อมได้ชมนิพพานที่เกษมจากโยคะ หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ ฯ
๕. อนุตัปปิยสูตร
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่ โดยประการที่เมื่อเธอสำเร็จการอยู่ ตายแล้วย่อมไม่เดือดร้อน
ก็ภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่ โดยประการที่เมื่อเธอสำเร็จการอยู่ ตายแล้วย่อมไม่เดือดร้อน เป็นอย่างไร
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไม่ชอบการงาน ไม่ยินดีการงาน ไม่ขวนขวายความชอบการงาน
ไม่ชอบการคุย … ไม่ชอบความหลับ … ไม่ชอบความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ …
ไม่ชอบความคลุกคลีด้วยคฤหัสถ์ ไม่ชอบธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า
ไม่ยินดีธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ไม่ขวนขวายความชอบธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่ โดยประการที่เมื่อเธอสำเร็จการอยู่
ตายแล้วย่อมไม่เดือดร้อนอย่างนี้แล
ภิกษุนี้เรียกว่า ผู้ยินดีนิพพาน ละสักกายะเพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ ฯ
ครั้นท่านพระสารีบุตรได้กล่าวไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้กล่าวคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า ฯ
ผู้ใดประกอบธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ยินดีธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า เช่นดังเนื้อ
ผู้นั้นย่อมไม่ได้ชมนิพพานที่เกษมจากโยคะ หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้
ส่วนผู้ใดละธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ยินดีในบทคือธรรมที่ไม่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า
ผู้นั้นย่อมได้ชมนิพพานที่เกษมจากโยคะ หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ ฯ
อันนี้ดิฉันขอยืนยันว่า สภาวะจะมีเกิดขึ้นตามที่พระสารีบุตรแนะนำไว้
สำหรับฆราวาส จะทำได้ยากเรื่องการคลุกคลี การสนทนา อันนี้ไม่ต้องนำมากังวล ส่วนปฏิบัติก็คือปฏิบัติ ไม่นำมารวมกัน ขอเพียงตั้งใจปฏิบัติตามที่ดิฉันบอกว่า ตัวสภาวะจะดำเนินของโดยสภาวะเองตามลำดับ
คำว่า ละสักกายะ ไม่ใช่แบบที่ท่องจำกัน แต่จำเป็นต้องรู้ เพราะเวลาสภาวะที่มีเกิดขึ้นจะมีรายละเอียดมากกว่านั้น คือ หยาบ จากการท่องจำ ,กลาง จากการปฏิบัติ สภาวะที่มีเกิดขึ้น และละเอียด ตอนมรรคผลปรากฏตามจริง
REM 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา
@วลัยพร walailoo2010 ขอบคุณที่ชี้แนะครับ ตอนนี้กระผมกระทำได้ตาม ยะถาสติ ยะถาพลัง ประพฤติอยู่ ปฏิบัติตามอยู่ซึ่งคำสอนขององค์ศาสดา
REM 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา
@วลัยพร walailoo2010 เชื่อครับว่าผู้ใดเห็นแจ้งซึ่งอริยสัจสี่ เห็นขันธ์ห้าเป็นตัวทุกข์ แล้วก็ละซึ่งทุกข์ไม่ยึดติดด้วยขันธ์ห้า เห็นการเกิดดับของขันธ์ห้า ล้วนเป็นของไม่เที่ยง เป็นของไม่ใช่ตัวตนเรา เมื่อรู้แล้วก็ปฏิบัติตามการดับทุกข์ ขจัดสิ้นอุปัททวกิเลส เดินมรรคอันมีองค์ 8 ใช้อิทธิบาท 4 เร่งความเพียร ตามสติและกำลังของกระผมครับ
วลัยพร walailoo2010 31 วินาทีที่ผ่านมา
@REM ทำให้ประจักษ์ด้วยตนก่อนคือได้มรรคผลตามจริง ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมไว้ เป็นหลักฐาน
ด้วยเหตุนี้ ดิฉันจะเน้นการปฏิบัติให้ถึงเนวสัญญาฯเท่านั้น ที่จะสามารถพิสูจน์ในพระธรรมที่พระองค์ทรงตรัสไว้
หากปฏิบัติได้กำลังสมาธิที่ต่ำไปกว่าเนสัญญาฯ ความรู้ความเห็นตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ จะไม่มีเกิดขึ้น นิดเดียวก็ไม่มี มีแต่การท่องจำแล้วน้อมใจเชื่อในสิ่งที่ตนคิดว่าตนรู้ตนเห็น ที่เกิดจากตัณหาและทิฏฐิที่มีเกิดขึ้น
เวลาพูดจะองอาจ ภูมิใจ ที่ได้รู้เห็นตามจริง ไม่จำเป็นต้องเชื่อคำของครูหรืออาจารย์หรือตำราที่บอกต่อๆกัน ด้วยเหตุนี้จึงบอกว่าผู้ที่ประจักษ์แจ้งด้วยตน จะกราบๆๆๆๆที่พระบาทของพระพุทธเจ้า คำอะไรจากอจ.ที่เคยฟังมา จะทิ้งไปหมด
REM 35 นาทีที่ผ่านมา
@วลัยพร walailoo2010 จะรบกวนชี้แนะการเข้าณานขั้น 1-8 ได้ไหมครับ
วลัยพร walailoo2010 1 วินาทีที่ผ่านมา
@REM ได้บอกวิธีการปฏิบัติที่ลัดที่สุด
ได้ผลเร็วมากที่สุด นั่ง ๓ ชม.
อื่นๆเขียนบอกไปแล้ว
ส่วนจะรู้ชัดในสภาวะในรูปฌาน อรูปฌาน นิโรธ ตามลำดับ ต้องมาปรับอินทรีย์ใหม่
คือทำอันแรกให้ได้ก่อน นั่ง ๓ ชม. ทำทุกวัน ทำหลายรอบก็ได้
อรูปฌานที่มีเกิดขึ้น ยังเป็นมิจฉาสมาธิมีเกิดขึ้นก่อน
ทำตรงนี้ให้ได้ก่อนค่ะ
วลัยพร walailoo2010 2 นาทีที่ผ่านมา (แก้ไขแล้ว)
@REM ตรงนี้ ถ้าไม่ถาม จะลืมไปเลย
” จะรบกวนชี้แนะการเข้าณานขั้น 1-8 ได้ไหมครับ”
คำตอบ มีค่ะ จะเป็นการปฏิบัติ เหมาะสำหรับผู้ที่มีความอดทนน้อยต่อเวทนากล้าที่มีเกิดขึ้นทางกายและใจ
วิธีการปฏิบัติตรงนี้ ไม่ต้องปรับอินทรีย์ ๕ ตัวสภาวะจะดำเนินไปโดยของสภาวะเอง เพียงแค่ อย่าอยาก อยากเป็นโน้นนี่ตามที่เคยอ่านหรือฟังมา เช่น โสดาบัน เพราะโสดาบันมีหลายประเภท อินทรีย์ ๕ที่มีเกิดขึ้นก็แตกต่างกัน
มาพูดเรื่องการปฏิบัติ เดินกรม ๑ ชม. ต่อนั่ง ๑ ชม. จะใช้สมถะหรือวิปัสสนาก็ได้
สำหรับบุคคลที่มีเวลาน้อย ให้เริ่มเวลาทีละน้อย เหมาะสำหรับคนที่ฝึกใหม่
ให้เดินจงกรม ๓๐ นาที ต่อนั่ง ๓๐ นาที แล้วค่อยๆเพิ่มเวลาการปฏิบัติ
ถ้าให้แนะนำ ผู้ที่มีนิวรณ์มาก
ควรใช้สมถะ มีบัญญัติเป็นอารมณ์
ลักษณะสภาวะที่มีเกิดขึ้น มีการใช้คำบริกรรมมาเกี่ยวข้อง เช่น พุทโธ พองหนอ ยุบหนอ กสิณ ฯลฯ
ขณะนั่ง จิตจดจ่อกับคำบริกรรม จะตามลมหายใจเข้าออกหรือบริกรรมถี่ๆ ใช้ได้หมด ไม่มีข้อห้าม
ทำต่อเนื่อง แรกเริ่มจะเจอเวทนามีเกิดขึ้นก่อน ให้ใช้คำบริกรรมถี่ๆมาช่วย ไม่ต้องไปสนใจลมหายใจ เอาจิตจดจ่ออยู่กับคำบริกรรมต่อเนื่อง หากผ่านเวทนาไปได้ ตัวสภาวะจะดำเนินโดยตัวของสภาวะเอง เมื่อจิตเป็นสมาธิ จะเป็นไปตามลำดับ 1-8
สำหรับผู้ที่มีนิวรณ์น้อย สามารถใช้วิปัสสนา มีรูปนามเป็นอารมณ์
ลักษณะสภาวะที่มีเกิดขึ้น กำหนดผัสสะที่มีเกิดขึ้นตามจริง ไม่ใช้คำบริกรรมมาเกี่ยวข้อง
เช่น หายใจเข้า หายใจออก กำหนดรู้ตามจริง
หายใจเข้า รู้ท้องพองขึ้น หายใจออก ท้องแฟ่บ กำหนดรู้ตามจริง
ตราบใดที่ยังมีกายปรากฏอยู่ เวทนาย่อมมี ตัวสภาวะที่มีเกิดขึ้น จะเหมือนการปฏิบัติสมถะ
เวทนากล้ามีเกิดขึ้น กำหนดตามจริง ไม่มีบริกรรมมาเกี่ยวข้อง อดทนอดกลั้นไม่ขยับตัว อารมณ์ประมาณ ตายเป็นตาย ไม่ขยับตัว
มีอีกหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ สมถะและวิปัสสนา
สมถะเกิดก่อน วิปัสสนาเกิดที่หลัง
วิปัสสนาเกิดก่อน สมถะเกิดที่หลัง