อย่าหาเหาใส่หัว

อย่าหาเหาใส่หัว

อย่านำเหตุของคนอื่น มาสร้างเป็นเหตุใหม่ ให้เกิดขึ้นกับตัวเอง

 

 

การเกิดล้วนเป็นทุกข์

เป็นคนชอบเขียน ไม่ชอบสอน ภพชาติจะเนิ่นนาน ตราบใดที่ยังมีกิเลส ไม่ขอแตะ เพราะรู้รสชาติเหล่านั้นดี ผ่านมาหมดแล้ว

ส่วนใครอ่าน รู้สึกนึกคิดอย่างไร แล้วแต่เหตุปัจจัยที่มีต่อกัน

กรรมฐาน รักษาทุกสภาวะ

เห็นแต่ความรู้สึก ยินดี/ยินร้าย นอกนั้น ไม่ได้มี(ห่า) อะไรเลย ชีวิตน่าเบื่อจริงๆ(พับผ่า)

โลกภายนอก เรียนเท่าไหร่ เรียนไม่จบ

โลกภายใน ได้แก่ กายและจิต รู้เมื่อไหร่ มีแต่จบๆๆๆๆๆๆๆ

แต่กว่าจะจบ เฮ้อออ … ชีวิตน่าเบื่อจริงๆ

 

 

กรรมฐาน รักษาทุกสภาวะ

ไม่ว่าสภาวะที่เกิดขึ้น หรือกำลังเป็นอยู่ มีสภาวะใดๆก็ตาม สมาธิที่เกิดขึ้น จะเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ที่เป็นอยู่

กำลังสมาธิ ที่เกิดขึ้นแต่ละขณะ มีกำลังมากน้อย ไม่เท่ากัน แล้วแต่เหตุปัจจัย ของสภาวะแต่ละสภาวะ

ในดีมีเสีย ในเสียมีดี

สภาวะเบื่อที่เกิดขึ้น นับวันรู้ชัดในความรู้สึก ของคนที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่ รู้ว่า อาการแบบไหน ที่เป็นเหตุให้ คนฆ่าตัวตาย

ทำไมในสมัยพุทธกาล ขณะฆ่าตัวตาย ทำไมจึงสำเร็จมรรคผลได้ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยของแต่ละคนจริงๆ ใช่ว่าจะเกิดขึ้นเหมือนกันหมด

เรียนรู้

ทุกๆสภาวะที่เกิดขึ้น มีหน้าที่ คือ รู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น รู้ในความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ไปรู้นอกตัว ให้รู้อยู่แต่ในตัว

ในตัว รู้ที่ใจ จบที่ใจ อย่าสร้างเหตุออกไป ตามแรงผลักดันของกิเลส ที่เกิดขึ้น

นอกตัว ล้วนเป็นเหตุที่เกิดขึ้น ตามเหตุปัจจัย ที่มีอยู่ เพียงยอมรับไป
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ย่อมจบลงไปตามเหตุปัจจัยเอง

วันนี้ สภาวะเบื่อเกิดแต่เช้า ทำสมาธิตั้งแต่ ๘ โมงเช้า แรกๆรู้สึกตัวดี ต่อมาดับสนิท เป็นเวลา ๕ ชม.

สิ่งแรกที่เกิดขึ้น เมื่อเริ่มรู้สึกตัว คือ เสียง เสียงรถที่กำลังวิ่งอยู่

ส่วนกาย ยังไม่รู้ รู้แค่เสียงอย่างเดียว สมาธิยังคงเกิดต่อเนื่อง มีโอภาส เริ่มรู้ที่กายได้ทีละน้อย รู้ที่อกเคลื่อนไหวเบาๆ เริ่มรู้ทีละส่วนของกาย ยังรู้แบบเบาๆ เสียงที่ได้ยิน หายไป

รอจนสมาธิคลายตัวลง แผ่เมตตา กรวดน้ำ

๒๙ พย.๕๕(หงุดหงิด กับ โกรธ)

แยกอารมณ์

บางคนถามว่า จะรู้ได้อย่างไร ว่าไม่ใช่ความโกรธ

อารมณ์โกรธ เป็นความรู้สึกแบบหยาบๆ ในอารมณ์โกรธ สิ่งที่เกิดร่วมด้วย ณ ขณะนั้นๆคือ อาจมีคำพูดประชดประชันอีกฝ่าย ถึงไม่พูดออกมา ก็ยังมีความคิดไม่ดีต่ออีกฝ่าย

จากโกรธ เป็นเกลียด 

เมื่อมีความเกลียดชังอีกฝ่าย จะเริ่มมีการสาปแช่งอีกฝ่าย หรือ อยากให้อีกฝ่าย มีอันเป็นไปในทางร้ายๆ หรือ อยากให้อีกฝ่าย เจอแบบเดียวกับสิ่งที่ตนนั้นเป็นอยู่ ได้แก่ มีแต่ความปรารถนาร้าย มากกว่า ปรารถนาดีต่อ อีกฝ่าย

บางครั้ง เหตุของ อวิชชาที่มีอยู่ การกระทำบางสิ่ง ที่คิดว่า ปรารถนาดีต่อผู้อื่น อาจเป็นปรารถนาร้าย แต่ไม่รู้ ก็มีอยู่

ซึ่งต่อมากลายเป็น ความพยาบาท จองเวรซึ่งกันและกัน ถ้าอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่ยอมเช่นกัน

จริงๆแล้ว เรื่องสภาวะอารมณ์เหล่านี้ ถ้าถามว่า จำเป็นที่จะต้องรู้ไหม
คำตอบ คือ แล้วแต่เหตุปัจจัยของแต่ละคน

แต่สำหรับตัวเองนั้น มองว่า มันเป็นเรื่องปกติ ที่มีเกิดขึ้นอยู่แล้ว เพราะ ยังมีกิเลสอยู่ แค่รู้ตามความเป็นจริง ไม่ต้องใส่ชื่อ แซ่ หรือคำเรียก ในสิ่งที่เกิดขึ้น

ทีนี้ เนื่องจาก สัญญามีอยู่ ด้วยความเคยชิน พอมีอะไรเกิดขึ้น มักจะใส่คำเรียกต่างๆลงไป ในสิ่งที่เกิดขึ้น ว่านี่คือ นั่น นั่นคือนี่

การปฏิบัติ ไม่ใช่ การเอาจิต ไปผูกมัด ไว้กับคำเรียกใด คำเรียกหนึ่ง แต่ควรผูกจิต ไว้กับสติ ใหมีสติ รู้อยู่ กับสิ่งที่เกิดขึ้น

ไม่ว่า จะเกิด ความรู้สึกนึกคิดใดๆก็ตาม หรือ มีสภาวะใดๆ เกิดขึ้นก็ตาม พึงมีสติรู้อยู่ ณ ขณะนั้นๆ

อย่านำ ความมีตัวตน หรือ เอาตัวตนที่มีอยู่ เข้าไปสอดแทรก ในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น สภาวะจะดำเนินไปตามเหตุปัจจัยเอง ไม่เกี่ยวกับคำเรียกต่างๆ

ผลของการปฏิบัติต่อเนื่อง/ความฟุ้งซ่าน กับ การปฏิบัติ

ผลของการปฏิบัติต่อเนื่อง

ไม่ว่าสร้างเหตุอย่างใด ผลย่อมมีเกิดขึ้น อย่างแน่นอน การปฏิบัติ ก็เช่นเดียวกัน

วันนี้ อาจมีข้ออ้างสารพัด ในการทำ ทำไม่ต่อเนื่อง เหตุเพราะ ทุกข์ ที่คิดว่า ทุกข์ ยังทุกข์ไม่จริง

หากทุกข์จริง จะปฏิบัติแบบยอมตาย มอบกายถวายชีวิต เพราะ ไม่มีอะไร ที่จะต้องคิดอีกแล้ว เห็นแต่ความทุกข์ ที่เกิดขึ้นเนืองๆ จนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ อีกต่อไป

เพียงอดทน ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น ก็แค่รู้ เพราะ ไปบังคับบัญชาให้หายไป ไม่ได้ มีหน้าที่เพียง รู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น รู้ไป ณ ขณะนั้นๆ

 

 

ความฟุ้งซ่าน กับ การปฏิบัติ

บางสภาวะ บางคนมุ่งหวังในเรื่องผล ของการปฏิบัติ เมื่อเกิดความฟุ้งซ่าน ก็นำความฟุ้งซ่าน มาเป็นข้ออ้าง ในการเลิกปฏิบัติ

อย่ามุ่งประเด็น ในการปฏิบัติว่า จิตต้องเป็นสมาธิอย่างเดียว หรือ จะต้องนั่งอย่างเดียว
ไม่ว่า จะยืน เดิน นั่ง นอน ในอิริยาบท ๔ และในอิริยาบทย่อยอื่นๆ ล้วนเป็นการปฏิบัติทั้งสิ้น

เมื่อปฏิบัติ ในรูปแบบ ถ้านั่ง แล้วฟุ้ง มีความคิดต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ให้ลุกขึ้นเดิน

การเดิน จะทำให้ ความคิดที่กำลังเกิดขึ้น ผ่อนคลายลง

การใส่คำบริกรรมสำทับลงไปในการเดิน เช่น พุทโธก็ดี ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ก้าวหนอ หรือแม้กระทั่งคำบริกรรมอื่นๆก็ดี เป็นการกำหนดต้นจิต ผูกจิตไว้กับสติ ให้รู้อยู่กับการเดินมากขึ้น แม้กระทั่ง ในอิริยาบทอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน

ถ้าถามว่า แล้วความฟุ้งซ่าน ที่กำลังเป็นอยู่ จะหายไปไหม
คำตอบ ไม่หายไปทันที ทันใด แต่จะเกิดบ้าง หายบ้าง สลับไปมา อันนี้เป็นสภาวะปกติ ที่จะต้องเจอกัน ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่มีอยู่ และที่กำลังสร้างขึ้นใหม่

ถ้ามีเวลามากพอ อาจจะเดิน ๑ชม. หรือ ๒ ชม. เหตุของแต่ละคน ไม่เหมือนกัน

วลัยพรเคยเจอสภาวะนี้มาแล้ว ฟุ้งมากๆ นั่งไม่ได้เลย เห็นความคิดที่เกิดขึ้น ชัดเจน
ใช้วิธีปรับอินทรีย์ โดยการเดินจงกรม บางรอบ เดินถึง ๓ ชม. ก็มี พอนั่งต่อ สงบแค่ ๕ นาที

มีท้อบ้าง แต่ยังคงทำต่อเนื่อง ทำทุกวัน เพราะ ตอนนั้น ทุกข์มากๆ เดินนี่ น้ำตากลบหน้า ที่ต้องทำ ทำเพราะ ไม่อยากทุกข์

แล้วก็ผ่านสภาวะนั้นมาได้ เป็นเหตุให้รู้ว่า จิต ถ้าไม่มีสมาธิหล่อเลี้ยงอยู่ จะเห็นความคิดที่เกิดขึ้น ชัดมากๆ จะเห็นแต่ความทุกข์ ที่เกิดขึ้นอยู่

สมาธิ เป็นตัวช่วยกดข่ม อารมณ์ต่างๆ แม้กระทั่ง ความคิด ให้ลดกำลังลงไปส่วนหนึ่ง
สติ เป็นตัวช่วย ให้จิต อยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ในส่วนหนึ่ง

แก้กรรม

แก้กรรม

กรรมในอดีต ไปแก้ไขอะไร ไม่ได้ ที่แก้ได้ คือ ปัจจุบัน

การแก้กรรม ต้องแก้ด้วย การทำกรรมฐานเท่านั้น คือ แก้ในตัว ไม่ใช่ไปคิดแก้นอกตัว

โดยเฉพาะ ผู้ที่ทำให้พ่อแม่ น้ำตาตกใน หรือทำให้พ่อแม่ เกิดความทุกข์ใจเนืองๆ เมื่อมา ทำกรรมฐาน ทำเท่าไหร่ ก็ทำไม่ขึ้น ทำแล้ว เจอแต่อุปสรรค
เหตุเพราะ แก้ไม่ถูกจุด

แก้ต้องแก้ให้ถูกจุด นอกจากทำกรรมฐาน ต้องเลี้ยงดูบุพการี เอาใจใส่ เอื้ออาทรต่อบุพการี ดูสารทุกข์

สุข ของบุพการี

ไม่ใช่สักแต่ว่า จะทำกรรมฐาน อย่างเดียว แต่ไม่เอาใจในความเป็นอยู่ของบุพการี มีแต่สร้างเหตุให้บุพการีทุกข์ใจเนืองๆ แก้ ต้องแก้ให้ถูกจุด

ชีวิตครอบครัว ก็เช่นเดียวกัน ไม่ใช่สักแต่ว่า จะทำกรรมฐานอย่างเดียว แต่ขาดการดูแล เอาใจใส่ต่อครอบครัว

เมื่อยังเป็นฆราวาส ต้องรู้สิ่งที่ควรทำ ทางโลก และทางธรรม ต้องก้าวไปพร้อมๆกัน หากลำเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง มักเจออุปสรรค ในการปฏิบัติเนืองๆ

กรรมฐาน รักษาทุกสภาวะ

อย่าหาเหาใส่หัว

อย่านำเหตุของคนอื่น มาสร้างเป็นเหตุใหม่ ให้เกิดขึ้นกับตัวเอง

 

 

เห็นแต่ความรู้สึก ยินดี/ยินร้าย นอกนั้น ไม่ได้มี(ห่า) อะไรเลย ชีวิตน่าเบื่อจริงๆ(พับผ่า)

โลกภายนอก เรียนเท่าไหร่ เรียนไม่จบ

โลกภายใน ได้แก่ กายและจิต รู้เมื่อไหร่ มีแต่จบๆๆๆๆๆๆๆ
แต่กว่าจะจบ เฮ้อออ … ชีวิตน่าเบื่อจริงๆ

 

กรรมฐาน รักษาทุกสภาวะ
ไม่ว่าสภาวะที่เกิดขึ้น หรือกำลังเป็นอยู่ มีสภาวะใดๆก็ตาม สมาธิที่เกิดขึ้น จะเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ที่เป็นอยู่

กำลังสมาธิ ที่เกิดขึ้นแต่ละขณะ มีกำลังมากน้อย ไม่เท่ากัน แล้วแต่เหตุปัจจัย ของสภาวะแต่ละสภาวะ

ในดีมีเสีย ในเสียมีดี

สภาวะเบื่อที่เกิดขึ้น นับวันรู้ชัดในความรู้สึก ของคนที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่ รู้ว่า อาการแบบไหน ที่เป็นเหตุให้ คนฆ่าตัวตาย

ทำไมในสมัยพุทธกาล ขณะฆ่าตัวตาย ทำไมจึงสำเร็จมรรคผลได้ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยของแต่ละคนจริงๆ ใช่ว่าจะเกิดขึ้นเหมือนกันหมด

เรียนรู้

ทุกๆสภาวะที่เกิดขึ้น มีหน้าที่ คือ รู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น รู้ในความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ไปรู้นอกตัว ให้รู้อยู่แต่ในตัว

ในตัว รู้ที่ใจ จบที่ใจ อย่าสร้างเหตุออกไป ตามแรงผลักดันของกิเลส ที่เกิดขึ้น

นอกตัว ล้วนเป็นเหตุที่เกิดขึ้น ตามเหตุปัจจัย ที่มีอยู่ เพียงยอมรับไป
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ย่อมจบลงไปตามเหตุปัจจัยเอง

วันนี้ สภาวะเบื่อเกิดแต่เช้า ทำสมาธิตั้งแต่ ๘ โมงเช้า แรกๆรู้สึกตัวดี ต่อมาดับสนิท เป็นเวลา ๕ ชม.

สิ่งแรกที่เกิดขึ้น เมื่อเริ่มรู้สึกตัว คือ เสียง เสียงรถที่กำลังวิ่งอยู่

ส่วนกาย ยังไม่รู้ รู้แค่เสียงอย่างเดียว สมาธิยังคงเกิดต่อเนื่อง มีโอภาส เริ่มรู้ที่กายได้ทีละน้อย รู้ที่อกเคลื่อนไหวเบาๆ เริ่มรู้ทีละส่วนของกาย ยังรู้แบบเบาๆ เสียงที่ได้ยิน หายไป

รอจนสมาธิคลายตัวลง แผ่เมตตา กรวดน้ำ

๒๓ พย.๕๕(ปากร้าย ใจดี )

ปากร้าย ใจดี

ทุกๆสภาวะ ที่เกิดขึ้น เป็นการเรียนรู้จริงๆ เพียงยอมรับตามความเป็นจริง ของสิ่งที่เกิดขึ้นในจิต แต่ละขณะๆๆๆ ที่เกิดความรู้สึกยินดี/ยินร้าย มาก/น้อย แค่ไหน รู้ไปตามความเป็นจริง ปล่อยจิตเป็นอิสระ ไม่ต้องภาวนา เพื่อกดข่ม(แล้วแต่เหตุนะ เพราะ เคยผ่านสภาวะ การภาวนา เพื่อกดข่มมาแล้ว จึงเข้าใจ)

ปล่อยจิต เป็นอิสระเต็มที่ รู้สึกนึกคิดอย่างไร รู้ไปตามนั้น แต่ไม่สร้างเหตุออกมา ทางวจีกรรมและกายกรร

ม ความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น นั่นแหละ คือ สิ่งที่มีอยู่ และเป็นอยู่ ตามความเป็นจริงสภาวะช่วงนี้ เจอความหงุดหงิด ไม่ใช่ความโกรธ คนละสภาวะกัน ถ้าความโกรธ จะมีการกระทำทางใจเกิดร่วม เช่น การสาปแช่ง การว่าร้าย ด่าทอในใจคือ มีแต่คำพูด ร้ายๆในใจ มีแต่อารมณ์ร้ายๆในใจ มีแต่กล่าวโทษนอกตัวหรือผู้อื่น แต่ใจเราไม่มี มีแต่ความรู้สึกหงุดหงิด กับการที่ต้องพูดเรื่องเดิมๆซ้ำๆ

เหตุที่ทำให้หงุดหงิด เกิดจาก สภาวะเบื่อ ที่กำลังเป็นอยู่ เป็นมานานแล้ว เบื่อธาตุขันธ์ที่มีอยู่ เห็นเหตุของแต่ละคน ที่ขยันสร้างเหตุ เหตุจากความไม่รู้ที่มีอยู่

สภาวะเบื่อที่มีอยู่แล้ว พอเจอสิ่งต่างๆเหล่านี้ ทำให้รู้สึกหงุดหงิดได้ง่าย ถึงคำพูดที่พูดไป อาจจะดูเหมือน (แล้วแต่จะคิดกันนะ)

แต่หลังจากพูดไปแล้ว แผ่เมตตา กรวดน้ำให้แต่ละครอบครัวมาตลอด ได้ผลนะ ไม่ใช่ได้ผล เพียงแต่จะหวังจากเราฝ่ายเดียวไม่ได้ เขาต้องทำกันด้วย จึงได้ผลเต็มที่ จึงจำเป็นต้องพูดแบบนั้น

ในดี มีเสีย ในเสียมีดี

สิ่งดี ที่เห็นได้ชัด ผู้ปฏิบัติ ช่วยเหลือตัวเองมากขึ้น โทรหาน้อยลง จะโทรมาต่อเมื่อ เขาติดขัดจริงๆ แต่เรื่องเดิมๆซ้ำๆจะลดน้อยลง เพราะต่างรู้ดีว่า เราจะพูดอะไร คือ โดนกันบ่อย จนจำได้มากขึ้น

ส่วนเสีย คือ ความรู้สึกนึกคิด ของตัวผู้ปฏิบัติเอง

นี่แหละ ปากร้าย ใจดี เพราะ ยังมีกิเลส ทำยังไงได้ เพียงทำตามความเป็นจริง ใครจะอยู่ ใครจะไป ตามเหตุปัจจัย วลัยพร ไม่สนใจเรื่องนั้นจริงๆ เหตุมี ผลย่อมมี เหตุไม่มี ผลย่อมไม่มี

โสดา กับ โซดา

รู้แล้ว หยุดสร้างเหตุนอกตัว สภาวะนี้ เรียกว่า โสดา

รู้แล้ว ยังสร้างเหตุนอกตัว สภาวะนี้ เรียกว่า โซดา

อยากเป็นอะไร เลือกทำตามนั้น ชีวิต ลิขิตเอง

๒๒ พย.๕๕(หงุดหงิด)

การทำกรรมฐาน ไม่แตกต่างกับการประกอบหาเลี้ยงชีพ

อาชีพทั่วไป สำหรับ หล่อเลี้ยงชีวิต ให้มีชีวิตอยู่ ดำเนินต่อไปได้

กรรมฐาน สำหรับ หล่อเลี้ยงจิต ให้อยู่ท่ามกลาง สภาวะแวดล้อม การรุมล้อมของกิเลส ที่เกิดขึ้นจาก ผัสสะ ที่เป็นเหตุปัจจัย เพราะ ยังมีเหตุปัจจัยอยู่ กับสิ่งๆนั้น กิเลสต่างๆจึงเกิดขึ้น

กรรมฐาน ทำแล้วจบ จบแล้ว ไม่ต้องทำอะไรอีก

การประกอบอาชีพ ทำแล้ว ไม่จบ ทำๆจนตายกันไปข้างหนึ่ง เหตุเพราะ ใจ ที่ยังไม่รู้จักคำว่า “พอ”

ตราบใดที่ยังมีชีวิต ทั้งสองสิ่ง ต้องอาศัยเกื้อหนุนกัน ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ ตราบใด ที่ยังมี อวิชชา เป็นปทัฏฐานอยู่

 

 

หงุดหงิด

มีแต่ร้องขอ มีแต่กล่าวโทษนอกตัว มีแต่ทำแล้ว หวังจะได้ผลทันที

ไม่เคยย้อนกลับไปดู พฤติกรรม หรือ การใช้ชีวิตในอดีตของตน บ้างเลย

ใครล่ะ ที่ทำให้ชีวิตเป็นแบบนี้ สร้างกันขึ้นมาเองทั้งนั้น เหตุจาก ความไม่รู้ที่มีอยู่

บางคน ทุกข์ของตัวเอง ที่กำลังเผชิญอยู่ ที่ทุกข์อยู่ ยังไม่พอ วิ่งหาทุกข์นอกตัว ใส่เข้ามาอีก เสียเงินเสียทอง ที่กรรมฐาน ไม่ต้องเสียสีกบาทเดียว ไม่ค่อยอยากจะทำกัน

ต้องทุกข์หนัก เหมือนไฟรนก้น นั่นแหละ ถึงจะทำ พอเบาลงหน่อย เอาอีกแล้ว ไปหาเรื่องอื่นเข้าตัวใหม่ โทษใครล่ะทีนี้ ก็โทษนอกตัวอีก

ไม่รู้ว่าจะพูดยังไง พูดเดิมๆซ้ำซาก เหมือนลมผ่านหู ไม่เคยจำกัน พูดแล้ว พูดอีก จนรู้สึกเบื่อ ถ้าไม่พูด ก็ว่าไม่สนใจอีก ว่าทอดทิ้งกันอีก แต่ทีเวลาพูด กลับไม่จำกันบ้างเลย

โอ้โห …. อดีตย้อนกลับมา นึกถึงหลวงพ่อจรัญ ในสมัยก่อน ท่านคงเหนื่อยน่าดู พูดปากเปียกปากแฉะ เดี๋ยวนี้ ท่านพยักหน้าซะเป็นส่วนมาก ไม่ค่อยพูดแบบก่อนๆ

ช่วงนี้ รู้สึกค่อนข้างหงุดหงิด เพราะ ผู้ที่ให้คำแนะนำอยู่ ส่วนใหญ่ ไม่ค่อยจำในสิ่งที่เคยพูดไว้ ตั้งแต่แรกเริ่ม ให้คำแนะนำ เคยบอกไว้แล้ว จะต้องเจออะไรกันบ้าง แค่ทุกข์ใจ จะเป็นจะตายให้ได้ แล้วที่ทำไว้กับคนอื่นๆ เคยย้อนกลับไปดูกันบ้างไหม

วลัยพร ผ่านมาหมดแล้ว ทุกข์แทบตาย จะเป็นจะตายให้ได้ เพราะทุกข์แบบนั้นแหละ ถึงมีวันนี้ได้ ถ้ายังสบายดี ยังมีความสุขอยู่ ก็คงเหมือนทุกๆคนน่ะแหละ ไม่แตกต่างกันหรอก

เพราะยังทุกข์ไม่จริง ทุกข์จริง จะทำแบบ ยอมตายถวายชีวิตเลย ตายเป็นตาย ไม่หลับไม่นอน คนอื่นนอนกันหมดแล้ว ตีสอง ตี สาม บางครั้ง ยันสว่าง ยังเดินจงกรม นั่งสมาธิอยู่เลย เพราะ ไม่อยากทุกข์อีกแล้ว ไม่ใช่เพราะ เรื่องอื่นๆเลย

ที่ยังเอาดีกันไม่ได้ ที่ยังทำไม่จริง ไม่มีอะไรหรอก เพราะ ยังทุกข์ไม่จริง เป็นเพียงทุกข์จร เหมือนทุกข์/สุข ทั่วๆไปในชีวิต

ความมหัศจรรย์ของจิต

ช่วงนี้ เจอสภาวะเบื่อเล่นงาน เมื่อเจอผู้ที่ให้คำแนะนำอยู่ ชอบคาดเดา ชอบคิดล่วงหน้า ชอบหาเหตุเข้าใส่ตัว เป็นเหตุให้ รู้สึกหงุดหงิดได้ง่าย เวลาต้องให้คำแนะนำ เพราะ มีแต่พูดเรื่องเดิมๆซ้ำๆ

คือ เข้าใจนะ ไม่ใช่ไม่เข้าใจ ความรู้สึกที่แต่ละคนเป็นอยู่ ไม่รู้จะพูดยังไงจริงๆ ต้องใช้วิธีตัด ตัดด้วยคำพูด คนที่อดทนจริงๆ ถึงจะผ่านสิ่งต่างๆเหล่านี้ไปได้ แม้กระทั่ง ต้องฟังคำพูดจากผู้แนะนำ

จิตนี่มหัศจรรย์จริงๆ ทุกๆครั้ง ที่เจอสภาวะแบบนี้ จะอยู่ในสมาธิได้นาน ดับสนิท เรียกว่า ให้พักผ่อนแบบเต็มที่ เพื่อมาเผชิญทางโลกต่อ

วันนี้ ซักผ้า มีแว่บเข้ามาเล่นเกมส์บ้าง พอตากผ้าเสร็จ ทำสมาธิตั้งแต่ ๔ โมงเช้า ดับสนิท รู้สึกตัวอีกที ก่อนเที่ยง เก็บผ้าบางส่วน ทำสมาธิต่อ ดับสนิท รู้สึกตัวอีกที บ่าย ๓ โมงครึ่งกว่าๆ

รู้สึกอิ่มในสมาธิ เมื่อเช้า กินสลัด กับ ปลาแซลม่อน ชิ้นเล็กๆ ๒ ชิ้น ตามด้วยน้ำผลไม้ มื้อเย็น น้ำผลไม้อีกแก้ว ไม่มีความรู้สึกหิวข้าวเลย รู้สึกอิ่มๆอยู่ข้างใน

๒๑ พย.๕๕(อิทธิบาท ๔)

เหตุที่เขียนเรื่อง อิทธิบาท ๔

เพราะ เพื่อดับที่ต้นเหตุ ไม่ว่าจะปฏิบัติแนวไหน แบบไหน ไม่อยากให้ว่ากัน ว่าแบบนั้น เป็นสมถะ แบบนี้ เป็นวิปัสสนา นี่แหละ เหตุของความไม่รู้ที่ยังมีอยู่

เพราะว่า ไม่ว่าจะเรียกแบบไหน ไม่ใช่เรื่อง สำคัญ ประมาณว่า รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม

สิ่งที่สำคัญ คือ ดับเหตุของการเกิด ไม่ใช่ นำบัญญัติ มาสร้างเหตุ ให้เกิดร่ำไป เหตุมี ผลย่อมมี กล่าวเบียดเบียนแนวทางอื่นๆ แนวทางอื่นๆ ย่อมกล่าวเบียดเบียน กลับมาเช่นกัน

ปริยัติ รู้ก่อน หรือ รู้หลัง หรือ รู้ไปพร้อมๆกับ การปฏิบัติ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ของแต่ละคน เป็นเหตุให้ รู้ก่อนบ้าง รู้หลังบ้าง รู้ไปพร้อมๆกับการปฏิบัติบ้าง

สิ่งที่สำคัญ คือ การหยุดสร้างเหตุนอกตัว ยิ่งหยุดได้มากเท่าไหร่ สภาวะย่อมดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ไม่มีสะดุด ไม่ติดขัด

๒๐ พย.๕๕(รีไซเคิล/ฝันแปลก)

รีไซเคิล

เสื้อและกางเกงสีขาว ที่เคยใส่ทำงาน มาเป็น ชุดสำหรับใส่ปฏิบัติ เวลาไปวัด

มีทั้งหมด ๙ ชุด เพราะ ไม่คิดจะทำงานอีกแล้ว มีรุ่นพี่ติดต่อเรื่องงาน ปฏิเสธไปหมด

ที่ปฏิเสธ ไม่ใช่เพราะ อายุเป็นเหตุ แต่เพราะ รู้ว่า ควรดำรงชีพแบบไหน

เสื้อ เป็นเสื้อช็อป เลาะด้านหลังออก เลาะสาบเสื้อออก เป็นคนที่ใส่เสื้อมีปก จะรู้สึกรำคาญ ป้ายอีก ต้องเลาะออกหมด

กางเกง เลาะด้านข้างออก ใช้ชิ้นส่วนของกางเกงอีกตัว มาประ

กอบเข้าใหม่ ให้ตัวใหญ่ขึ้น เวลานั้งขัดสมาธิ จะได้สบายตัวแก้เอง เย็บเองด้วยมือ เป็นการเจริญสติไปในตัว ปกติ ชอบเจริญสติ ในการทำงานต่างๆอยู่แล้ว แต่เวลาจิตจดจ่ออยู่กับงานแก้ไขเสื้อผ้า หรือเย็บผ้า สมาธิที่เกิดขึ้น จะมีมากเป็นพิเศษ

เหตุดีของการเรียนวิชา เย็บ ปัก ถัก ร้อย มาแต่สมัยเรียน และดูแม่เป็นตัวอย่าง เวลาตอนที่แก้ไขเสื้อผ้า ที่ไม่ได้ขนาด ของเก่า เอามาทำให้เกิดประโยชน์

นี่แหละ แม่แบบ แม่แผน แม่แปลน แม่ปู เป็นยังไง ลูกปู เป็นแบบนั้น แล้วแต่เหตุปัจจัยที่ทำมา และที่กำลังสร้างขึ้นมาใหม่ เป็นองค์ประกอบอยู่ด้วย ใช่ว่า จะเหมือนกันไปซะทุกเหตุ

ตอกย้ำ อีกครั้งเมื่อคิดว่า มีที่ยึดเหนี่ยวได้ พยายามที่จะยึด ไม่พยายามช่วยเหลือตัวเอง ไม่พยายามดับเหตุที่ตัวเอง มีแต่หลงสร้างเหตุ

เหตุของการที่ ทำให้บุพการี เศร้าใจ หรือ เสียใจ หรือทุกข์ใจ วิบากกรรมนี้ ส่งผลแรง ผลกลับมาคือ ทำกรรมฐานไม่ขึ้น มีแต่ความฟุ้งซ่าน มีแต่คิดเรื่องที่เกาะเกี่ยวอยู่

ทุกคน ต้องช่วยตัวเอง ไม่มีใครช่วยใครได้ ไม่มีใคร ทำให้ใครพ้นทุกข์ได้ แนะนำให้ได้ แต่ ต้องลงมือทำเอง ทำแทนกันไม่ได้

เข้าใจในสภาวะ ที่เป็นอยู่ ซึ่งสิ่งที่พูด พูดแต่เรื่องเดิมๆซ้ำๆ ทำกรรมฐานสิ ดีหรือไม่ดี ขอให้ทำ ไม่ว่าจะรู้สึกนึกคิดอย่างไร มีสภาวะใดเกิดขึ้น ขอให้ทำ อย่านำมาเป็นข้ออ้าง ในการไม่ทำวันหยุดมี หาเวลาไปปฏิบัติที่วัดบ้าง ค้างคืนที่วัด พาบุุพการีไปด้วย ถ้าพาไปได้ หากพาไปไม่ได้ เอาตัวเองไปก่อน

เคยบอกล่วงหน้าไว้ทุกเรื่อง บทความที่เกี่ยวกับธรรมะ อ่านแล้วถูกใจ ถูกใจได้ แต่อย่าเอาไปสร้างเหตุ โดยการแชร์ หรือ พิมพ์แจกจ่าย

บทความเหล่านั้น ล้วนเป็นสภาวะของคนเขียน กิเลส มากน้อยแค่ไหน ย่อมเขียนตามกิเลสของผู้เขียน

ไม่ว่าจะทำอะไร กรรมส่งผลหมด ถึงแม้ คิดว่า สิ่งนั้น เป็นกุศลก็ตาม แท้จริง เป็นเแค่ ความถูกใจ

ซึ่งบอกย้ำทุกๆครั้งว่า พยายามถนอมตัวเองไว้ อย่าสร้างเหตุนอกตัว ชอบใจได้ ไม่ชอบใจได้ แต่อย่านำไปสร้างเหตุต่อ ถ้าเหตุดีจริง ทำไมมีแต่ทุกข์ เคยคิดทบทวนมั่งไหม

ความทุกข์ใจที่มีอยู่ ซึ่งบอกทุกๆครั้ง ระบายออกมาให้หมด ใส่ลงในแบบร่างก็ได้ ไม่ต้องให้คนอื่นอ่าน เขียนออกมาให้หมด ตามความเป็นจริง ที่รู้สึกอยู่ อย่าปล่อยให้เป็นตะกอน สะสมจนตกผลึก ไม่รู้จบ

ไม่ต้องส่งมาให้อ่าน หรือให้คนอื่นๆอ่าน เปลือกดูดี ถูกกิเลสหลอก หลอกแล้ว หลอกอีก ก็หลงเชื่อกิเลส แต่ไม่รู้ว่า คือ กิเลส ไม่ใช่ตามความเป็นจริง คนที่อ่าน ยังไม่รู้ชัดในสภาวะ ย่อมหลงไปด้วย นี่ เหตุอีกแล้ว

บทความเกี่ยวกับธรรมะ ถ้าอยากจะแชร์ ให้ดูที่ มีเรื่องเกี่ยวข้องกับบุคคลที่ ๓ ไหม หรือ คนอื่นๆไหม หรือมีการเปรียบเทียบกันไหม หากมีการเขียน ในเหตุของคนอื่นๆ หรือมีการนำมาเปรียบเทียบกัน ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม อย่าไปแตะต้อง

บมความที่สะอาด ควรเป็นบทความ ที่เกี่ยวกับ ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับทุกข์ และ วิธีการดับทุกข์

พี่น้ำเคยหลงสภาวะมาก่อน จึงรู้ชัดในเรื่องพวกนี้ ถึงแม้ยังมีกิเลสอยู่ ยังมีหลุดๆอยู่บ้าง อันไหน ลบทิ้งได้ จะลบทิ้งไป เมื่อเวลาต้องรับผล ยอมรับหมด เพราะรู้ว่า เหตุมี ผลย่อมมี

ทำกันได้หรือยัง หากยังทำไม่ได้ อย่าไปแตะเรื่องนอกตัว ผลส่งมา มีแต่ทุกข์ และยิ่งรู้แล้ว ยิ่งไม่ยุ่งนอกตัว เหตุนี้ ทางจึงสั้นลงไปเรื่อยๆ ตามเหตุปัจจัย

ฝันแปลกเป็นฝันที่แปลกมาก ฝันว่า อยู่ในบ้านหลังหนึ่ง มีคน อยู่คนเดียว คือ ตัวเอง นอกนั้น เป็นสัตว์

เห็นสัตว์กำลังหนีอะไรสักอย่าง ท่าทางตื่นตระหนก เห็นกระต่าย สีเหมือนเจ้าไวท์ กับเจ้าบราวน์ ที่ตายไปแล้ว หนีออกไปทางหน้าต่าง

เห็นนก ตัวสีฟ้า เหมือนนกยูง เป็นตัวเมีย กำลังไล่จิกกระต่ายสองตัวนั่น ที่หนีออกไปนอกบ้านแล้ว

เป็นคนกลัวสัตว์น่ะ หาอาวุธใกล้ตัว ได้ไม้แขวนเสื้อ คล้องไปที่คอนก จับคอมันบิด พอน

กล้มลง เอาผ้าหุ้มไว้อีกที กันบินหนีหันกลับมาในบ้าน พวกสัตว์กำลังอลหม่าน ตื่นตูม ที่มาของเหตุ เห็นนก ขนสีดำเหมือน อีกา ปากยาวแหลม สีเหลือง กำลังไล่จิกตีสัตว์ต่างๆ

บางตัวนอนท้องแตก ไส้ทะลัก เรามองหาอาวุธใกล้ตัว ได้ไม้กวาด เอาด้ามตีๆไปที่นก ตีซะจนนกทั้งสองตัว นอนนิ่ง

ตอนนั้น รู้สึกเสียใจมาก ในชีวิตจริง ไม่เคยฆ่าสัตว์ ในฝัน ตีจนตาย รู้สึกเสียใจ สะอื้นออกมา

พอสะอื้น เริ่มกลับมารู้ที่กาย รู้ท้องพอง-ยุบอยู่ อาการสะอื้นภายใน ยังคงมีอยู่ สมาธิยังคงเกิดอย่างต่อเนื่อง

นั่งต่อสักพัก เพื่อให้กำลังสมาธิอ่อนตัวลง ตั้งจิต แผ่เมตตา กรวดน้ำ ให้กับทุกรูปทุกนาม

ฝันครั้งนี้ เหตุการณ์ ไม่รุนแรง เหมือนครั้ง ยักษ์ตัวเขียว

สุดท้าย พระธรรม คุ้มครองทุกสรรพสัตว์ เหมือนกับ ครั้งที่แล้ว

Previous Older Entries

พฤศจิกายน 2012
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930  

คลังเก็บ