แก้ไขใหม่ ๑๘ มีค. ๖๖
มานั่งอ่าน ทำให้รู้ว่าเขียนสภาวะตกไป
เรื่องโคตรภูญาณ
ประมาณว่าเมื่อไตรลักษณ์ปราฏ
อาจจะมีเกิดขึ้นขณะดำเนินชีวิต(ทุกขาปฏิปทา)
หรือมีเกิดขึ้นขณะทำกรรมฐาน(สุขาปฏิปทา)
สภาวะจิตดวงสุดท้ายเกิดต่อ
โคตรภูญาณเกิดขึ้นต่อ
หากมีสภาวะจิตดวงสุดท้ายปรากฏ
แต่โคตรภูญาณยังไม่ปรากฏ
นั่นหมายถึงยังไม่ได้โลดาปัตติผล
ไว้จะมาเขียนแยกตัวสภาวะออกจากกัน
มีตย.ของผู้ที่ได้โสดาปัตติผลตามจริง
บางครั้งก็ลืมไปนะว่าไม่ได้เขียนแยกไว้
ก่อนจะมาเป็นเจโตวิมุติและปัญญาวิมุตติ ที่มีเกิดขึ้นตามจริง
ต้องรู้ชัดสภาวะวิมุตติปาริสุทธิ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมไว้
เมื่อแจ่มแจ้งสภาวะ วิมุตติปาริสุทธิ ตามจริง
จึงจะแจ่มแจ้งคำที่เรียกว่า เจโตวิมุติและปัญญาวิมุตติ ที่มีเกิดขึ้นตามจริง
ค่อนข้างจะซับซ้อน คือ
แจ้งสภาวะวิมุตติที่มีเกิดขึ้นตามจริงก่อน
จึงจะแจ่มแจ้งคำที่เรียกว่า เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุตติ ที่มีเกิดขึ้นตามจริง ที่หลัง
ก็คือ เมื่อวิชชา ๓ ปรากฏตามจริง
วิมุตติญาณทัสสนะ จึงปรากฏตามจริง
จะแจ่มแจ้งสภาวะวิมุตติปาริสุทธิ ที่มีเกิดขึ้นตามจริงก่อน
(เดิมที่มักจะเรียกว่าสภาวะจิตดวงสุดท้าย)
แล้วจึงจะแจ่มแจ้งสภาวะที่เรียกว่า เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุตติ
ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมไว้เกี่ยวกับคำว่า เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุตติ
พอจะพูดได้ว่า
เมื่อได้วิชชา ๓ ตามจริง
วิมุตติญาณทัสสนะ ปรากฏตามจริง
แจ่มแจ้งสภาวะวิมุตติที่มีเกิดขึ้นตามจริง
เมื่อได้ศึกษาพระธรรมในพระสูตรต่างๆ
ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้เกี่ยวกับคำที่เรียกว่า เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุตติ
ประกอบกับแจ่มแจ้งสภาวะวิมุตติที่มีเกิดขึ้นตามจริงด้วยตัวเอง
จึงทำให้รู้รายละเอียดของคำที่เรียกว่า เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุตตินั้น
ก็คือสภาวะวิมุตติ ที่มีเกิดขึ้นตามจริงน่ะแหละ
เมื่อยังไม่แทงตัวอักษร(คำเรียก)
ย่อมไม่เข้าใจคำที่เรียกว่า เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุตติ
ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
“ธรรมอันหนึ่งแม้นี้แล
ที่เมื่อภิกษุผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปอยู่
จิตที่ยังไม่หลุดพ้น ย่อมหลุดพ้น
อาสวะทั้งหลายที่ยังไม่สิ้น ย่อมถึงความสิ้นไป
ย่อมบรรลุถึงธรรมที่ปลอดโปร่งจากกิเลสเป็นเครื่องประกอบไว้
อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ที่ยังไม่บรรลุ
อันพระผู้มีพระภาคผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ พระองค์นั้น ตรัสไว้”
ซึ่งตัวสภาวะที่มีเกิดขึ้นตามจริงก็ได้แก่ วิมุตติ
ทุกคำที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมนั้น
เป็นตัวสภาวะที่มีเกิดขึ้นตามจริง
เพียงแต่หากยังยึดติดตัวหนังสือ จะทำให้ยึดติดในสิ่งที่รู้มา
ทำให้ไม่รู้ชัดตัวสภาวะที่มีเกิดขึ้นของคำเรียกนั้นๆ
ที่สำคัญ ต้องละคำเรียกต่างๆนี้ ทิ้งไปเลยจากใจ
คือ เราเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์
ต้องไม่มีความเรียกเหล่านี้อยู่ในอนุสัย ไม่กำเริบเกิดขึ้นมาอีก
ให้บอกตัวเองเนืองๆว่า
เราปฏิบัติเพื่อดับภพชาติของการเกิด(อนุปาทาปรินิพพาน)
เราไม่ได้ปฏิบัติเพื่อ “ความเป็น”
หากเรายังมีความคิดในใจว่า เราเป็น
นั่นหมายถึงยังถอนตัณหาไม่ได้
หากเมื่อละตัณหา เรื่องความเป็นลงไปได้
ตัวสภาวะจะดำเนินต่อเนื่อง ไม่ติดขัด
เพราะไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในตัวหนังสือ
ไม่ยึดมั่นถือมั่นในพระธรรมที่ผุดขึ้นมา
สักแต่ว่ามีเกิดขึ้น แล้วเก็บรวบรวมไว้ เหมือนการต่อจิ๊กซอ
จากรู้คำเรียกหนึ่ง(ในพระสูตร) จะไปรู้คำเรียก(ในพระสูตร)ต่อๆไป
รู้ที่ละตัว ไม่ได้รู้เป็นแบบกลุ่มก้อน ไม่ใช้แบบนั้น
เดิมที่ เข้าใจว่าคำว่า เจโตวิมุติและปัญญาวิมุตติ
เข้าใจว่าเป็นสมถะและวิปัสสนา
เป็นเรื่องการทำกรรมฐาน
สมถะ มีใช้บริกรรม มีบัญญัติเป็นอารมณ์
วิปัสสนา มีรูปนามเป็นอารมณ์
ก่อนหน้า สิ่งที่เคยรู้มาก่อนโดยตัวสภาวะ
จึงทำให้เข้าใจว่า จะต้องเป็นแบบนี้ๆ
ที่ไม่ติดคำเรียกเหล่านี้ เกิดจากการกำหนดตามจริง
ไม่นำความรู้เห็นนี่ไปสร้างกรรมกับผู้อื่น
ใช้วิธีการเขียนมาเรื่อยๆ
พาลวรรคที่ ๓
[๒๗๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างเป็นไปในส่วนแห่งวิชชา
ธรรม ๒ อย่างเป็นไฉน คือ สมถะ ๑ วิปัสสนา ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมถะ ที่ภิกษุเจริญแล้ว ย่อมเสวยประโยชน์อะไร
ย่อมอบรมจิต
จิตที่อบรมแล้ว ย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมละราคะได้
วิปัสสนา ที่อบรมแล้วย่อมเสวย ประโยชน์อะไร
ย่อมอบรมปัญญา
ปัญญา ที่อบรมแล้ว ย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมละอวิชชาได้ ฯ
[๒๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตที่เศร้าหมองด้วยราคะ ย่อมไม่หลุดพ้น
หรือปัญญาที่เศร้าหมองด้วยอวิชชา ย่อมไม่เจริญด้วยประการฉะนี้แล
ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย
เพราะสำรอกราคะได้ จึงชื่อว่าเจโตวิมุตติ
เพราะสำรอกอวิชชาได้ จึงชื่อว่าปัญญาวิมุตติ ฯ
.
๕. อนุคคหสูตร
[๒๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิ อันองค์ ๕ อนุเคราะห์แล้ว
ย่อมเป็นธรรมมีเจโตวิมุติเป็นผล มีเจโตวิมุติเป็นผลานิสงส์
และเป็นธรรมมีปัญญาวิมุติ เป็นผล มีปัญญาวิมุติเป็นผลานิสงส์
องค์ ๕ เป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในธรรมวินัยนี้ สัมมาทิฐิอันศีลอนุเคราะห์แล้ว
อันสุตะอนุเคราะห์แล้ว
อันการสนทนาธรรมอนุเคราะห์แล้ว
อันสมถะอนุเคราะห์แล้ว
อันวิปัสสนาอนุเคราะห์แล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิอันองค์ ๕ เหล่านี้แล อนุเคราะห์แล้ว
ย่อมมีเจโตวิมุติเป็นผล มีเจโตวิมุติเป็นผลานิสงส์
และมีปัญญาวิมุตติเป็นผล มีปัญญาวิมุติเป็นผลานิสงส์ ฯ
.
ขยายใจความหมายของคำว่า เจโตวิมุติและปัญญาวิมุตติ
๒. เจโตวิมุติสูตรที่ ๒
[๗๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้ อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว
ย่อมมีเจโตวิมุติเป็นผล และมีเจโตวิมุติเป็นผลานิสงส์ ย่อมมี
ปัญญาวิมุติเป็นผล และมีปัญญาวิมุติเป็นผลานิสงส์
ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน
คือ ความสำคัญว่าไม่เที่ยง ๑
ความสำคัญว่าเป็นทุกข์ในสิ่งไม่เที่ยง ๑
ความสำคัญว่าเป็นอนัตตาในสิ่งที่เป็นทุกข์ ๑
ความสำคัญในการละ ๑
ความสำคัญในความคลายกำหนัด ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้แล
อันบุคคลเจริญแล้วทำให้มากแล้ว
ย่อมมีเจโตวิมุติเป็นผล และมีเจโตวิมุติเป็นผลานิสงส์
ย่อมมีปัญญาวิมุติเป็นผล และมีปัญญาวิมุติเป็นผลานิสงส์
เมื่อใด ภิกษุเป็นผู้มีเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ
เมื่อนั้น ภิกษุนี้เรียกว่าเป็นผู้ถอนลิ่มสลักขึ้นได้ ดังนี้บ้าง
ว่าเป็นผู้รื้อเครื่องแวดล้อมได้ ดังนี้บ้าง
ว่าเป็นผู้ถอนเสาระเนียดขึ้นได้ดังนี้บ้าง
ว่าเป็นผู้ถอดกลอนออกได้ ดังนี้บ้าง
ว่าเป็นผู้ไกลจากข้าศึก ปลดธงลงได้
ปลงภาระลงได้ ไม่ประกอบด้วยวัฏฏะ ดังนี้บ้าง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ถอนลิ่มสลักขึ้นได้อย่างไร
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้ละอวิชชาเสียได้ ถอนรากขึ้นแล้ว
ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน
ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา
ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ถอนลิ่มสลักขึ้นได้อย่างนี้แล
ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้รื้อเครื่องแวดล้อมได้อย่างไร
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ละชาติสงสาร
ที่เป็นเหตุนำให้เกิดในภพใหม่ต่อไปได้ ถอนรากขึ้นแล้ว
ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา
ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้รื้อเครื่องแวดล้อมได้อย่างนี้แล
ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ถอนเสาระเนียดขึ้นได้อย่างไร
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ละตัณหาเสียได้ ถอนรากขึ้นแล้ว
ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา
ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ถอนเสาระเนียดขึ้นได้อย่างนี้แล
ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ถอดกลอนออกได้อย่างไร
คือภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ เสียได้ ถอนรากขึ้นแล้ว
ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา
ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ถอดกลอนออกได้อย่างนี้แล
ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ไกลจากข้าศึก ปลดธงลงได้ ปลงภาระลงได้ ไม่ประกอบด้วยวัฏฏะอย่างไร
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ละอัสมิมานะได้ ถอนรากขึ้นแล้ว
ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา
ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ไกลจากข้าศึก ปลดธงลงได้ ปลงภาระลงได้ ไม่ประกอบด้วยวัฏฏะอย่างนี้แล ฯ
จากพระสูตรที่เคยอ่านมา ทำให้เห็นแบบนั้น
ต่อมาเจอพระสูตรนี้ มาช่วยขยายความเข้าใจมากขึ้น
แต่ก็ยังเข้าใจเหมือนเดิม ไม่รู้รายละเอียดทั้งหมด
๒. อัฏฐกนาครสูตร
พระอานนท์แสดงธรรมโปรดทสมคฤหบดี ชาวเมืองอัฏฐกะ
รูปฌาน ๔
[๒๐] ดูกรคฤหบดี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม
บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุข เกิดแต่วิเวกอยู่
เธอพิจารณาอยู่อย่างนี้ ย่อมรู้ชัดว่า แม้ปฐมฌานนี้
อันเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ก่อสร้างขึ้น
ก็สิ่งใดสิ่งหนึ่ง อันเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ก่อสร้างขึ้น
สิ่งนั้นไม่เที่ยง มีความดับไปเป็นธรรมดา ดังนี้
เธอตั้งอยู่ในธรรม คือ สมถะและวิปัสสนานั้น
ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
เพราะความยินดีเพลิดเพลินในธรรม คือ สมถะและวิปัสสนานั้น
เพราะความสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕
เธอย่อมเป็นโอปปาติกะ จะปรินิพพานในที่นั้น
มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา.
ดูกรคฤหบดี ธรรมอันหนึ่งแม้นี้แล
ที่เมื่อภิกษุผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปอยู่
จิตที่ยังไม่หลุดพ้น ย่อมหลุดพ้น
อาสวะทั้งหลายที่ยังไม่สิ้น ย่อมถึงความสิ้นไป
ย่อมบรรลุถึงธรรมที่ปลอดโปร่งจากกิเลสเป็นเครื่องประกอบไว้
อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ที่ยังไม่บรรลุ
อันพระผู้มีพระภาคผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ พระองค์นั้น ตรัสไว้.
= อธิบาย =
จากพระสูตรนี้ พูดตัวสภาวะ จะเหมือน ๒. เจโตวิมุติสูตรที่ ๒
คำว่า ความยินดีเพลิดเพลินในธรรม คือ สมถะและวิปัสสนานั้น
ได้แก่ ทำกรรมฐาน
สมถะ มีใช้บริกรรม มีบัญญัติเป็นอารมณ์
ทำต่อเนื่อง จนจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิในรูปฌาน อรูปฌาน นิโรธ
วิปัสสนา มีรูปนามเป็นอารมณ์
ทำต่อเนื่อง จนจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิในรูปฌาน อรูปฌาน นิโรธ
.
ตรงนี้
“สิ่งนั้นไม่เที่ยง มีความดับไปเป็นธรรมดา ดังนี้
เธอตั้งอยู่ในธรรม คือ สมถะและวิปัสสนานั้น
ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย”
ได้แก่ จะสมถะหรือวิปัสสนา
หากไตรลักษณ์ปรากฏตามจริง
ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
หากยึดติดตัวหนังสือนี่
จะทำให้เข้าใจผิดคิดว่า เมื่อมีไตรลักษณ์ปรากฏตามจริง
เท่ากับได้มรรคผลตามจริง
.
ตรงนี้
“ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
เพราะความยินดีเพลิดเพลินในธรรม คือ สมถะและวิปัสสนานั้น”
คือยังพอใจในจิตเป็นสมาธิในรูปฌาน อรูปฌาน นิโรธ
พอมาเจอพระสุตรนี้ จบเลย
มีรายละเอียดทั้งหมด
จึงทำให้รู้แล้วว่า คำว่า เจโตวิมุติ และคำว่า ปัญญาวิมุตติ
ให้สังเกตุตรงคำว่า วิมุตติ
วิมุตติ จะมีใช้อยู่สองสภาวะคือ วิมุตติและวิมุตติญาณทัสสนะ
วิมุตติปาริสุทธิ หมายถึงได้มรรคผลตามจริง ปราศจากตัณหา
วิมุตติญาณทัสสนะ ไม่ใช่เพียงการแจ้งอริยสัจ ๔ เท่านั้น
๔. มหามาลุงโกฺยวาทสูตร
ทรงโปรดพระมาลุงกยะและพระอานนท์
โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕
รูปฌาน 4
เธอพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย
คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งมีอยู่ในภายในสมาบัตินั้น
โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นความลำบาก
เป็นไข้ เป็นอื่น เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญเป็นของมิใช่ตัวตน.
เธอย่อมเปลื้องจิตจากธรรมเหล่านั้น
ครั้นเธอเปลื้องจิตจากธรรมเหล่านั้นแล้ว
ย่อมน้อมจิตไปในอมตธาตุว่า ธรรมชาตินี้สงบ ธรรมชาตินี้ประณีต
คือ ธรรมเป็นที่สงบสังขารทั้งปวง เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง
เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นที่สิ้นกำหนัด เป็นที่ดับสนิท
เป็นที่ดับกิเลส และกองทุกข์ดังนี้.
เธอตั้งอยู่ในวิปัสสนา อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์นั้น
ย่อมบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
ถ้ายังไม่บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
ย่อมเป็นโอปปาติกะ จักปรินิพพานในภพนั้น
มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
เพราะความยินดี ความเพลิดเพลินในธรรมนั้น
และเพราะสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ทั้ง ๕
ดูกรอานนท์ มรรคแม้นี้แล ปฏิปทาแม้นี้แล
ย่อมเป็นไปเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕.
= อธิบาย =
ตรงนี้
“รูปฌาน 4”
หมายถึงการทำกรรมฐาน
สมถะ มีบัญญัติเป็นอารมณ์
ปฏิบัติต่อเนื่องจนจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิใน รูปฌาน อรูปฌาน นิโรธ
วิปัสสนา มีรูปนามเป็นอารมณ์
ปฏิบัติต่อเนื่องจนจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิใน รูปฌาน อรูปฌาน นิโรธ
“เธอพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย
คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งมีอยู่ในภายในสมาบัตินั้น
โดยความเป็นของไม่เที่ยง”
ตัวสภาวะตรงนี้มีเกิดขึ้นเฉพาะสัมมาสมาธิ
ทำให้สติปัฏฐาน ๔ ปรากฏตามจริง
เวทนากล้า ไตรลักษณ์ปรากฏตามจริง
ดังที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมไว้
สีลสูตร
เมื่อสัมมาสมาธิมีอยู่
ยถาภูตญาณทัสสนะชื่อว่ามีเหตุสมบูรณ์
ย่อมมีแก่บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยสัมมาสมาธิ
คำว่า เธอย่อมเปลื้องจิตจากธรรมเหล่านั้น
ได้แก่ ละความยึดมั่นถือมั่นในอุปทานขันธ์ ๕ ตามจริง
“เธอตั้งอยู่ในวิปัสสนา อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์นั้น
ย่อมบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย”
คำว่า ย่อมบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
ได้แก่ สภาวะจิตดวงสุดท้าย(วิมุตติปาริสุทธิ)ที่มีเกิดขึ้นตามจริง
มรรค เธอตั้งอยู่ในวิปัสสนา อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์นั้น
เวทนากล้า ไตรลักษณ์ปรากฏตามจริง
ปล่อยความยึดมั่นถือมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕ ที่มีเกิดขึ้น
(บางคนใช้โยนิโสมนสิการว่า ไม่ตายหรอก ทำให้อดทน จนผ่านไปได้)
เมื่อจิตปล่อย เวทนากล้าที่มีอยู่จะค่อยๆคลายหายไป(ตรงนี้เกิดก่อน) หรือดับ(เกิดที่หลัง)
(จึงมาเป็นคำว่า
เวทนากล้า ไตรลักษณ์ปรากฏตามจริง
ปล่อยความยึดมั่นถือมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕ ที่มีเกิดขึ้น
ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย)
กับคำว่า
ถ้าไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
ได้แก่ เวทนากล้าที่มีอยู่จะค่อยๆคลายหายไป แต่สภาวะจิตดวงสุดท้ายไม่ปรากฏ)
ผล ย่อมบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
สภาวะจิตดวงสุดท้าย(วิมุตติปาริสุทธิ)ปรากฏตามจริง
คำว่า วิมุตติปาริสุทธิ
ตัวสภาวะที่มีเกิดขึ้นตามจริงได้แก่
วิชชา ๑
วิชชา ๒
วิชชา ๓
วิมุตติญาณทัสสนะจะปรากฏตามจริง
แจ้งอริยสัจ ๔ ตามจริง
คำว่านิพพาน ตัวสภาวะตามจริง คือดับภพ ๓ (กามภพ รูปภพ อรูปภพ)
ดับตัณหา ๓ และดับอุปาทานขันธ์ ๕
แก้ไข 4 สค. 65
๒. สามัญญผลสูตร
เรื่องพระเจ้าอชาตศัตรู
วิชชา ๘
วิปัสสนาญาณ
มโนมยิทธิญาณ
อิทธิวิธญาณ
ทิพยโสตญาณ
เจโตปริยญาณ
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
จุตูปปาตญาณ
อาสวักขยญาณ
= อธิบาย =
มโนมยิทธิญาณ
อิทธิวิธญาณ
ทิพยโสตญาณ
เจโตปริยญาณ
เกิดจากกำลังสมาธิในอรูปฌาน
ทั้งมิจฉาสมาธิและสัมมาสมาธิ
ยังเป็นโลกียะ
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
จุตูปปาตญาณ
อาสวักขยญาณ
เป็นเรื่องการได้มรรคผลตามจริง
เป็นโลกุตตระ
วิชชา ๑ โสดาปัตติผล
โคตรภูญาณมีเกิดขึ้นต่อ
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
มีเกิดขึ้นเฉพาะผู้ปฏิบัติได้เนวสัญญาฯที่เป็นสัมมาสมาธิเท่านั้น
อาหุเนยยสูตรที่ ๑
พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสว่า ดูกรพราหมณ์
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ
บรรลุจตุตถฌานอยู่
ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส
ปราศจากกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้
ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนๆ ได้เป็นอันมาก ฯลฯ
วิชชาข้อแรก เป็นอันเธอได้บรรลุแล้ว ดังนี้
อวิชชาสูญไป วิชชาเกิดขึ้น
ความมืดสูญไป แสงสว่างเกิดขึ้น
เช่นเดียวกันกับของภิกษุผู้ไม่ประมาท
มีความเพียร ส่งตนไปแล้วอยู่ ฉะนั้น
เวรภยสูตรที่ ๑
ว่าด้วยภัยเวร ๕ ประการ
[๑๕๗๔] สาวัตถีนิทาน.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดี
ผู้นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งว่า ดูกรคฤหบดี
ภัยเวร ๕ ประการของอริยสาวกสงบระงับแล้ว
อริยสาวกประกอบแล้วด้วยโสตาปัตติยังคะ ๔ ประการ
และญายธรรมอันประเสริฐ
อริยสาวกนั้นเห็นดีแล้ว
แทงตลอดดีแล้วด้วยปัญญา
อริยสาวกนั้นหวังอยู่ พึงพยากรณ์ตนด้วยตนเองได้ว่า
เรามีนรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ปิตติวิสัย อบาย ทุคติ วินิบาต สิ้นแล้ว
เราเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา
เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า.
[๑๕๗๕] ภัยเวร ๕ ประการเป็นไฉน
ดูกรคฤหบดี บุคคลผู้มีปกติฆ่าสัตว์
ย่อมประสพภัยเวรอันใด
ที่เป็นไปในปัจจุบันก็มี
ที่เป็นไปในสัมปรายภพก็มี
ได้เสวยทุกขโทมนัสที่เป็นไปทางใจก็มี
ก็เพราะการฆ่าสัตว์เป็นปัจจัย
เมื่ออริยสาวกเว้นจากการฆ่าสัตว์แล้ว
ภัยเวรอันนั้นเป็นอันสงบระงับไปด้วยประการฉะนี้
บุคคลผู้ลักทรัพย์ …
บุคคลผู้ประพฤติผิดในกาม …
บุคคลผู้พูดเท็จ …
บุคคลผู้ดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัย
อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
ย่อมประสพภัยเวรอันใด
ที่เป็นไปในปัจจุบันก็มี
ที่เป็นไปในสัมปรายภพก็มี
ได้เสวยทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางใจก็มี
ก็เพราะดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัย
อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทเป็นปัจจัย
เมื่ออริยสาวกงดเว้นจากการดื่มน้ำเมา
คือสุราและเมรัยเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ภัยเวรอัน อันนั้น
เป็นอันสงบระงับไปด้วยประการฉะนี้ ภัยเวร ๕ ประการเหล่านี้ สงบระงับแล้ว.
[๑๕๗๖] อริยสาวกประกอบด้วยโสตาปัตติยังคะ ๔ ประการเป็นไฉน
ดูกรคฤหบดี อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหว
ในพระพุทธเจ้า …
ในพระธรรม …
ในพระสงฆ์ …
ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว ไม่ขาด ฯลฯ เป็นไปเพื่อสมาธิ
อริยสาวกประกอบด้วยโสตาปัตติยังคะ ๔ ประการเหล่านี้.
[๑๕๗๗] ก็ญายธรรมอันประเสริฐ
อันอริยสาวกนั้นเห็นดีแล้ว แทงตลอดดีแล้วด้วยปัญญา เป็นไฉน
ดูกรคฤหบดี อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
ย่อมกระทำไว้ในใจซึ่งปฏิจจสมุปบาทอย่างเดียว
โดยอุบายอันแยบคายเป็นอย่างดีว่า
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี
เพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้ย่อมเกิด ด้วยประการดังนี้
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี
เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้ย่อมดับ ด้วยประการดังนี้ คือ
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ ฯลฯ
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการฉะนี้
ก็เพราะอวิชชาดับด้วยการสำรอกโดยหาส่วนเหลือมิได้ สังขารจึงดับ
เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ …
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการฉะนี้
ญายธรรมอันประเสริฐนี้ อริยสาวกนั้นเห็นดีแล้ว แทงตลอดดีแล้วด้วยปัญญา.
[๑๕๗๘] ดูกรคฤหบดี
เมื่อใด ภัยเวร ๕ ประการนี้
ของอริยสาวกสงบระงับแล้ว
อริยสาวกประกอบแล้ว
ด้วยโสตาปัตติยังคะ ๔ ประการเหล่านี้
และญายธรรมอันประเสริฐนี้
อันอริยสาวกนั้นเห็นดีแล้ว แทงตลอดดีแล้วด้วยปัญญา
เมื่อนั้น อริยสาวกนั้นหวังอยู่ พึงพยากรณ์ตนด้วยตนเองได้ว่า
เรามีนรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ปิตติวิสัย อบาย ทุคติ วินิบาต สิ้นแล้ว
เราเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา
เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า.
ความรู้ความเห็นจะเป็นสเตป เป็นขั้นตอน จะรู้ชัดตรงสภาวะนี้ก่อน
นี่เป็นสภาวะของโสดาบันประเภท กายสักขี ที่ได้เนวสัญญาฯ ที่เป็นสัมมาสมาธิ จนไดมรรคผลตามจริง
วิชชา ๒ อนาคามิผล
จุตูปปาตญาณ
มีเกิดขึ้นผู้ปฏิบัติได้รูปฌานและอรูปฌาน
วิชชา ๓ อรหัตผล
อาสวักขยญาณ
มีเกิดขึ้นผู้ปฏิบัติได้รูปฌานและอรูปฌาน
แก้ไข 3 กย. 65