17 มีนาคม 64 เวลา 22:49 น.
หากต้องการจะเห็นความเกิด ความดับขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิในรูปฌาน อรูปฌาน นิโรธ
ต้องปรับอินทรีย์ ๕ ด้วยการเดินจงกรม ต่อด้วยนั่งเช่น ถ้าเดิน 1 ชม. ต่อนั่ง 1 ชม.
ทำหลายรอบ ทำต่อเนื่อง
หรือนั่งอย่างเดียว 2 ชม. 3 ชม. 4 ชม.
ทำจนกระทั่งจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ มีธรรมเอกผุดปรากฏธรรมเอกผุด ได้แก่ โภาส ยิ่งสีขาว
หมายถึงกำลังสมาธิที่มีเกิดขึ้นมากขึ้นยิ่งมีมาก จะเจิดจ้า สว่างสุดๆ
จนเหลือสภาวะสองสภาวะมีเกิดขึ้นคือ โอภาสกับจิตที่รู้อยู่
เมื่อเป็นแบบนี้ ให้เริ่มปรับอินทรีย์ ๕ ให้สมดุลย์ โดยการเดินจงกรม แล้วต่อนั่ง
ตรงนี้สำหรับคนที่ติดนั่ง ติดสมาธิ มักไม่ชอบการเดิน นี่คือการปรับอินทรีย์ยาก
หากเริ่มปรับอินทรีย์ตั้งแต่แรก คือเดินจงกรมก่อน แล้วต่อนั่ง เช่น เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที
แล้วเพิ่มเวลาขึ้นไปเรื่อยๆ จนจิตคุ้นเคย เวลากำลังสมาธิมีมากขึ้น(โอภาส)
เมื่อปรับอินทรีย์เพิ่ม(การเดิน) จะทำง่ายกว่าคนที่ติดสมาธิ(ชอบนั่ง)
จะว่าไป การเดิน 20 นาที ต่อนั่ง 20 นาที ประกอบกับใช้สีลวิสุทธิช่วย
ทำให้ภพชาติของการเกิดน้อยลง แทนที่จะเกิดกัปป์กัลป์ เหลือแค่ 7 ชาติ
ยิ่งทำให้มากขึ้น เดิน 1 ชม. ต่อนั่ง 1 ชม. จนกระทั่งไตรลักษณ์ปรากฏตามความเป็นจริง(ไม่ใช่นึกเอาเองนะ)
เจอหลายครั้ง เช่นกายแตก กายระเบิด จนจิตเสพคุ้นเคย
หากตาย จะเกิดในสวรรค์และปรินิพพาน
อารมณ์กรรมฐาน(นั่ง)
จะสมถะ(มีบัญญัติเป็นอารมณ์)
หรือวิปัสสนา(มีรูปนามเป็นอารมณ์)
คือ วิปัสสนามีเกิดขึ้นก่อน อนิมิตตเจโตสมาธิเกิดที่หลัง
หรือสมถะและวิปัสสนา คือทำสมภะให้มีเกิดขึ้นก่อน วิปัสสนา(อนิมิตตเจโตสมาธิ)เกิดที่หลัง
จะปฏิบัติแบบไหนก็ได้ ไม่มีวิธีไหนดีที่สุด ขึ้นอยู่กับสัปปายะของแต่ละคน
เพราะจุดประสงค์ของการทำกรรมฐานคือจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ฉะนั้นจะใช้วิธีปฏิบัติแบบไหนก็ใช้ได้หมด
ส่วนการจะเห็นความเกิด ความดับ ขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิในวิโมกข์ ๘
ต้องอาศัยกำลังสติ ซึ่งสามารถมีเกิดขึ้นขณะเดินจงกรม(มี 6 ระยะ)
จนกระทั่งเห็นสภาวะสันตติขาดออกจากกัน
คือ รู้การขาดออกจากกันทุกย่างก้าวในแต่ละขณะๆ จะรู้ขึ้นมาที่ใจ
กำลังสมาธิจากการเดินจงกรมจะส่งเสริมให้กำลังสมาธิที่มีอยู่ ทำให้กำลังสมาธิที่มีอยู่ มีมากขึ้น
ส่วนกำลังสติ ช่วยทำให้รู้ชัดผัสสะที่มีเกิดขึ้นขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิในรูปฌาน อรูปฌาน นิโรธิ
และทำให้รู้ชัดความเกิด ความดับในรูปฌาน อรูปฌาน นิโรธ
ยิ่งมีโอภาส สว่างมากๆ กลางคืนแต่เหมือนกลางวัน ต้องเดินให้มากกว่านั่ง
หากเอาแต่นั่ง จิตจะเสพแต่สมาธิ ไม่สามารถเห็นความเกิด ความดับได้
เมื่อเป็นแบบนี้ ก็ไม่สามารถจะรู้ว่าขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ อยู่ตรงไหน
เวลาได้มรรคผล มีผลต่อความรู้ความเห็น แบบไม่รู้จะทำแบบไหนต่อ
เพราะไม่แจ้งอริยสัจ ๔ ที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง
ฉะนั้นการเห็นความเกิด ความดับขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ
มีผลต่อตัวปัญญา(อริยสัจ ๔) ที่มีเกิดขึ้น
รโหคตวรรคที่ ๒
รโหคตสูตร
[๓๙๑] ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอประทานพระวโรกาส ความปริวิตกแห่งใจ เกิดขึ้นแก่ข้าพระองค์ผู้หลีกเร้นอยู่ในที่ลับอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคตรัสเวทนา ๓ อย่าง คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา พระผู้มีพระภาคตรัสเวทนา ๓ อย่างนี้
ก็พระผู้มีพระภาคตรัสพระดำรัสนี้ว่า ความเสวยอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นทุกข์ ดังนี้แล
พระผู้มีพระภาคตรัสพระดำรัสนี้ว่า ความเสวยอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นทุกข์ ดังนี้ ทรงหมายเอาอะไรหนอ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ถูกแล้ว ถูกแล้ว ภิกษุ
ดูกรภิกษุ เรากล่าวเวทนา ๓ นี้ คือ
สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา เรากล่าวเวทนา ๓ นี้
ดูกรภิกษุเรากล่าวคำนี้ว่า ความเสวยอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นทุกข์ ดังนี้
ดูกรภิกษุก็คำนี้ว่า ความเสวยอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นทุกข์ ดังนี้
เรากล่าวหมายเอาความที่สังขารทั้งหลายนั่นเองไม่เที่ยง
ดูกรภิกษุ ก็คำนี้ว่า ความเสวยอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นทุกข์ ดังนี้
เรากล่าวหมายเอาความที่สังขารทั้งหลายนั่นแหละมีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป ดับไป แปรปรวนไปเป็นธรรมดา ฯ
[๓๙๒] ดูกรภิกษุ ก็ลำดับนั้นแล
เรากล่าวความดับสนิทแห่งสังขารทั้งหลายโดยลำดับ คือ
เมื่อภิกษุเข้าปฐมฌาน วาจาย่อมดับ
เมื่อเข้าทุติยฌาน วิตกวิจารย่อมดับ
เมื่อเข้าตติยฌาน ปีติย่อมดับ
เมื่อเข้าจตุตถฌาน ลมอัสสาสะ ปัสสาสะย่อมดับ
เมื่อเข้าอากาสานัญจายตนฌาน รูปสัญญาย่อมดับ
เมื่อเข้าวิญญาณัญจายตนฌาน อากาสานัญจายตนสัญญาย่อมดับ
เมื่อเข้าอากิญจัญญายตนฌาน วิญญาณัญจายตนสัญญาย่อมดับ
เมื่อเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน อากิญจัญญายตนสัญญาย่อมดับ
เมื่อเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ สัญญาและเวทนาย่อมดับ
ราคะ โทสะ โมหะของภิกษุผู้สิ้นอาสวะ ย่อมดับ ฯ
[๓๙๓] ดูกรภิกษุ ลำดับนั้นแล
เรากล่าวความสงบแห่งสังขารทั้งหลายโดยลำดับ คือ
เมื่อภิกษุเข้าปฐมฌาน วาจาย่อมสงบ
เมื่อเข้าทุติยฌาน วิตกวิจาร ย่อมสงบ ฯลฯ
เมื่อเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ สัญญาและเวทนาย่อมสงบ
ราคะ โทสะ โมหะของภิกษุผู้สิ้นอาสวะ ย่อมสงบ ฯ
[๓๙๔] ดูกรภิกษุ ปัสสัทธิ ๖ อย่างนี้ คือ
เมื่อภิกษุเข้าปฐมฌาน วาจาย่อมระงับ
เมื่อเข้าทุติยฌาน วิตกวิจารย่อมระงับ
เมื่อเข้าตติยฌาน ปีติย่อมระงับ
เมื่อเข้าจตุตถฌาน ลมอัสสาสะปัสสาสะย่อมระงับ
เมื่อเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ สัญญาและเวทนาย่อมระงับ
ราคะ โทสะ โมหะของภิกษุขีณาสพย่อมระงับ ฯ
.
คำว่า ลมอัสสาสะ ปัสสาสะย่อมดับ
ได้แก่ ลมหายใจละเอียด จับไม่ได้
คำว่า อากาสานัญจายตนฌาน รูปสัญญาย่อมดับ
ได้แก่ กายหาย เหลือกับใจที่รู้อยู่
คำว่า วิญญาณัญจายตนฌาน
ได้แก่ มีโอภาสที่สว่างมากกับใจที่รู้อยู่
ส่วนอากิญจัญญายตนฌานและเนวสัญญานาสัญญายตนฌานหลังได้มรรคผล
จะรู้ชัดสภาวะที่เรียกว่าอากิญจัญญายตนฌานและเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน
ส่วนจะรู้ชัดสภาวะนิโรธ ต้องรู้ชัดความเกิด ความดับขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิในรูปฌาน และอรูปฌานก่อน
หากไม่สามารถเห็นความเกิด ความดับและ ก็ไม่สามารถแยกแยะความเกิด ความดับ ก็ไม่สามารถรู้ว่ากำลังสมาธิที่มีอยู่นั้น อยู่ตรงไหน ถึงนิโรธหรือยัง เห็นเป็นสมาธิแล้วดับหลายชม. คิดว่านิโรธ ทำให้ไม่สนใจพยายามทำให้มากขึ้น
ฉะนั้นพระพุทธทรงตรัสไว้ ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมา แห่งธุลี บรรพชาเป็นช่องว่าง
เรายังอยู่ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์โดยส่วนเดียว ดุจสังข์ที่เขาขัดแล้ว นี้ไม่ใช่ทำได้ง่าย