การใช้คำกำหนด สำทับลงไปในลักษณะอาการที่มีเกิดขึ้น เช่น
ได้ยินเสียง กำหนดเสียงหนอ
เห็นทางตา กำหนดเห็นหนอฯลฯ
หรือกำหนดแบบกลางๆ ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น กำหนด รู้หนอๆ
…
สิ่งเหล่านี้ เคยทำมาหมดแล้ว
ตั้งแต่กำหนดอิริยาบทหลัก ยืน เดิน นั่ง นอน
เหตุปัจจัยที่เวลานอน ที่ทำให้ไม่รู้จักคำว่า หลับ อีกต่อไปในชีวิต
ก็เกิดจากการกำหนดท้องพองขึ้น ยุบลง รู้ไปตามอาการที่มีเกิดขึ้น
จนกระทั่งจิตเสพจนเกิดความคุ้นเคย จิตย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิ
ทุกวันนี้ไม่เคยกำหนดแบบนั้นอีก เมื่อนอนลง พอหลับตาลง
ภายในสว่างทันที บางครั้ง รู้สึกวูบลงไป แล้วรู้สึกวาบขึ้นมาในใจ
แล้วภายในสว่าง บางคืนเกิดสภาวะนี้เกือบทั้งคืน ก็รู้ไป
ที่เป้นแบบนี้ เพราะรู้ว่า มันไม่เที่ยง ถือมั่นอะไรไม่ได้
บางคืนดิ่งแล้วดับ บางคืนรู้สึกสว่างอยู่ภายใน บางคืนสงบ
เวลานอน ถ้าทุกคนทำแบบที่เราทำก่อนนอนตั้งแต่แรกเริ่ม
ทุกคนก็เจอสภาวะเหมือนที่เราเจอ ไม่แตกต่างกันเลย
.
การกำหนดอิริยาบทย่อย กิน ดื่ม ทำกิจกรรมหรือทำงานต่างๆ
เช่น เวลากิน กำหนดตั้งแต่มือจับช้อน ตักอาหารเข้าปาก กำหนดทุกระยะ กินหนอ เคี้ยวหนอ กลืนหนอ ข้าวคำเดียว ใช้เวลาบางครั้ง ครึ่งชม. ทีนี้เมื่อจิตกำหนดต่อเนื่อง สมาธิย่อมเกิด บางครั้งมีนิมิต เราก็ดู พอเบื่อดู ก็เลิกกำหนด เพราะเบื่อที่จะดู
ที่ยกมาเป็นตย.แบบคร่าวนี่ สมัยก่อนยังไม่รู้อะไรหรอก
ถูกสอนมาแบบไหน ก็ทำตามแบบนั้น ทำตัวเหมือนเด็กลี้ยงควาย เหมือนหญิงทอหูก แบบที่หลวงพ่อจรัญฯ ท่านสอนไว้
นี่มารู้ที่หลังนะ หลังจากสภาวะจิตดวงสุดท้ายครั้งที่ ๒ มีเกิดขึ้น
จึงรู้ว่า ที่ให้กำหนดแบบนั้นเพราะอะไร ไม่ใช่แค่เรื่องสตินะ ที่คิดว่าเป็นเรื่องสติ สัมปชัญญะ สมาธิ เท่านั้น ก็เข้าใจไม่ผิดนะ แต่ยังไม่ถูกจุด เหมือนคนเวลาคัน แต่เกาไม่ถูกที่ ก็รู้สึกคันอยู่อย่างนั้น
เหตุผลของการให้กำหนด เพื่อให้รู้อยู่กับกาย ไม่ให้จิตแว่บออกไปนอกตัว ไปนำเรื่องราวนอกตัว มาสร้างเป็นกรรมใหม่ให้มีเกิดขึ้นในใจตน นิวรณ์ต่างๆ จึงมีเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยนี้
หากบอกว่า เพราะไม่มีใครบอก ไม่มีใครพูดตรงๆว่า ที่ให้กำหนดนั้น เพื่อดับเหตุปัจจัยของภพชาติการเกิด ก็เป็นการกล่าวโทษนอกตัว ทั้งหมดเป็นเรื่องของเหตุปัจจัยของที่มีอยู่ของเราทั้งสิ้น
เมื่อมาเจอผู้ปฏิบัติที่ใช้การกำหนดรู้หนอ เห็นหนอ ยินหนอฯลฯ สภาวะนี่ไม่ต่างกับเราในอดีต หลงคิดแค่ว่าเป็นเรื่องของสติ สัมปชัญญะ สมาธิ ตามความเป็นจริงคนละเรื่อง
เมื่อไม่รู้ จึงหลงกระทำกรรมได้อย่างง่ายดาย
ไม่ต่างจากผู้ปฏิบัติอื่นๆ เข้าวัดภาวนา กลับมาบ้านด่าเป็นไฟ บ่นโน่นนี่ แปบๆนินทาละ แล้วก็บอกว่า กำหนดไม่ทัน จึงเป็นแบบนี้ ไปโทษการกำหนดโน่น แต่ไม่โทษการกระทำของตัวเอง นี่แหละอวิชชา ความไม่รู้ที่มีอยู่
๑๒ พค.๖๑
ประโยชน์ของการใช้ “หนอ” ในการกำหนด
.
การเจริญวิปัสสนา มีสมถะเป็นเบื้องต้น
สมถะเกิดก่อน วิปัสสนาเกิดทีหลัง
การทำความเพียร เพื่อให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ
การใช้พองหนอ ยุบหนอ เป็นการกำหนดรู้ตามความเป็นจริงของร่างกายที่มีเกิดขึ้น ขณะหายใจเข้า ท้องพองขึ้น หายใจออก ท้องยุบลง
แรกๆ อาจจะกำหนดไม่ค่อยได้ เพราะใจมักชอบแว่บไปโน่นนี่(คิด)
เมื่อทำบ่อยๆ จนทำเกิดเป็นวสี คือ จิตจดจำได้ คำบริกรรม พองหนอ ยุบหนอ ที่ใช้กำกับ จะหายไปเอง ไม่ต้องใช้พองหนอ ยุบหนอในการกำหนดอีกต่อไป เป็นสภาวะของรูปนาม ที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง กล่าวคือ สิ่งที่เกิดขึ้น(ท้องพอง-ยุบ) กับใจที่รู้อยู่
ที่มาของปฏิสัมภิทามรรค วิปัสสนาญาณ ๙ ของพระสารีบุตร
กล่าวคือ สภาพธรรมต่างๆที่มีเกิดขึ้น ขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ มีรูปนามเป็นอารมณ์
ส่วนญาณ ๑๖ เป็นการแตกข้อปลีกย่อยออกมา
ผู้ที่ประสพพบเจอด้วยตนเอง เมื่อมาอ่าน จึงจะเข้าใจ
ภาษาชาวบ้าน หมายถึง ต้องผ่านญาณ ๑๖ มาแล้ว จึงจะอ่านได้อย่างเข้าใจในลักษณะอาการที่มีเกิดขึ้นตามคำอธิบาย
หากไม่เคยผ่านญาณ ๑๖ (อนุโลมญาณ มรรคญาณ ผลญาณ)
อ่านแล้ว มีแต่การคาดเดา หาใช่ตามความเป็นจริงไม่
การการอธิบายความทั้งหมด ที่ตรงกับสภาพธรรมที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง ล้วนลงรอยเดียวกัน กล่าวคือ เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ไม่ใช่เรื่องความมี ความเป็นแต่อย่างใด
มีแต่เรื่องของ อริยสัจ ๔
เหตุปัจจัยให้ความมี ความเป็นมีเกิดขึ้น ล้วนเกิดจากตัณหา
ภิกษุผู้มีสติ เป็นอย่างไร
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑. พิจารณาเห็นกายในกายอยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้
๒. พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่ ฯลฯ
๓. พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯลฯ
๔. พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้
ภิกษุผู้มีสติ เป็นอย่างนี้แล
.
การเจริญสมถะ มีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น
วิปัสสนาเกิดก่อน สมถะเกิดทีหลัง
เป็นสภาวะของศิล ที่เป็นไปเพื่อสมาธิ
ศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไทย อันวิญญูชนสรรเสริญ
อันตัณหาและทิฐิไม่ลูบคลำ เป็นไปเพื่อสมาธิ
การใช้หนอในการกำหนดรู้ในผัสสะที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง
เช่น ทางตา รูปที่มากระทบ ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด กำหนดเห็นหนอ รูหนอ
เสียงที่มีเกิดขึ้น ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด กำหนดเสียงหนอ ยินหนอ รู้หนอ พร้อมกับหายใจยาวๆ ลึกๆ
ฯลฯ
เป็นการสำรวม สังวร ระวัง ไม่สร้างเหตุออกไปทางกาย วาจา
ตามความรู้สึกนึกคิดที่มีเกิดขึ้น
การเดิน แบ่งออกเป็น ๖ ระยะ ตั้งแต่หยาบ จนละเอียด
เช่น อย่างหยาบ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ
กิน ดื่ม ถ่าย นอน ทุกอิริยาบาทใช้หนอกำกับทุกอย่าง
เช่น เสียงหนอ ยินหนอ เห็นหนอ กลิ่นหนอ กินหนอ ดื่มหนอ กลืนหนอ นอนหนอ รู้หนอฯลฯ
ภิกษุผู้มีสติ เป็นอย่างไร
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑. พิจารณาเห็นกายในกายอยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้
๒. พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่ ฯลฯ
๓. พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯลฯ
๔. พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้
ภิกษุผู้มีสติ เป็นอย่างนี้แล
ภิกษุผู้มีสัมปชัญญะ เป็นอย่างไร
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ทำความรู้สึกตัวในการก้าวไป การถอยกลับ
ทำความรู้สึกตัวในการแลดู การเหลียวดู
ทำความรู้สึกตัวในการคู้เข้า การเหยียดออก
ทำความรู้สึกตัวในการครองสังฆาฏิ บาตร และจีวร
ทำความรู้สึกตัวในการฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม
ทำความรู้สึกตัวในการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ
ทำความรู้สึกตัวในการเดิน การยืน การนั่ง
การนอน การตื่น การพูด การนิ่ง
ภิกษุผู้มีสัมปชัญญะ เป็นอย่างนี้แล
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงมีสติสัมปชัญญะอยู่ นี้เป็นคำพร่ำสอนของเราสำหรับเธอทั้งหลาย
.
ภิกษุพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสื่อมเลย
ตราบเท่าที่ภิกษุยังมีศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไท
ท่านผู้รู้สรรเสริญ ไม่ถูกตัณหาและทิฏฐิครอบงำ เป็นไปเพื่อสมาธิ
เสมอกันกับเพื่อนพรหมจารีทั้งหลายทั้งในที่แจ้งและในที่ลับ